ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
สิริกร พรมทอง
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 14 ก.ค. 2008
ตอบ: 7
|
ตอบเมื่อ:
14 ก.ค.2008, 8:09 pm |
  |
อยากทราบค่ะ เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ ต้องการหลุดพ้น เกิด แก่ เจ็บตาย ในชาตินี้ ตอนนี้คือเวลาอยู่ที่ไหน แค่คิดว่าให้ตัวหาย เหลือแต่ดวงจิต ก็จะเป็นทันที จะหลับตาลืมตาเหมือนกันหมด มีคน mail มาบอกให้ไปหาหลวงพ่อสะอาด แต่ไม่รู้อยู่ที่ไหน email: sirikorn63@sanook.com ขอบคุณล่วงหน้านะคะ |
|
|
|
   |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
14 ก.ค.2008, 8:23 pm |
  |
ปล่อยวางครับ ความอยากเป็นสมุทัย คุณอยากหลุดพ้นให้ได้ก็ต้องทิ้งโลกให้ได้ ส่วนที่ตัวหายนั้นกระผมเองเคยรู้สึกเช่นนั้นครับ รู้สึกตื่นเต้น ปิติ มีความสุขดี แต่ได้แค่นั้นจนสักระยะหนึ่งเมื่อพิจารณาทบทวนดูอีกทีก็พบว่าหลงเสียแล้วครับ เพราะไปยึดติดกับนิมิตที่เห็นว่าเป็นอัตตาครับ พระอาจารย์ท่านว่าให้ปล่อยวางเสียจึงไปต่อได้ แล้วก็ไปต่อได้จริงครับ
อันนี้เป็นวิธีที่ถูกจริตกับกระผมดีครับ ยังไงก็ลองนำไปใช้ดูได้ครับ |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
14 ก.ค.2008, 11:40 pm |
  |
เหลือแต่จิตก็ดูที่จิตครับ จะรู้จัก ขันธ์ทั้งห้าชัดขึ้นเรื่อย ๆ ครับ และจะสัมพัทธ์สัมพันธ์ไปถึงอายตนะ ๑๒ ครับ |
|
|
|
  |
 |
โปเต้
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 10 พ.ค. 2008
ตอบ: 76
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
|
ตอบเมื่อ:
15 ก.ค.2008, 10:40 am |
  |
ลองกลับมาที่กายนะคะ สติปัฏฐาน 4 ค่ะ
ดูกายให้เห็นจิต ดูจิตให้เห็นกาย
การที่จะหลุดพ้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่ามีทางเดียวคือ อริยมรรค 8 ประการ
ลองสำรวจอริยมรรค แล้วทำไปตามนั้น ค่อยเป็นค่อยไปค่ะ
หลวงปู่มั่นท่านว่า ทำเหมือนเราปลูกข้าว
หมั่นรดน้ำพรวนดิน สร้างเหตุแห่งการเกิดของข้าว ผลที่ได้ก็จะเป็นข้าวเองค่ะ |
|
_________________ สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา |
|
  |
 |
Lokudtradham
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 14 ก.ค. 2008
ตอบ: 14
|
ตอบเมื่อ:
15 ก.ค.2008, 1:07 pm |
  |
จิตเห็นจิตอะไรๆ มันก็ขาดหมดล่ะครับ รึว่าน้องเห็นจุดสว่างอยู่บริเวณอกจุดเล็กๆน่ะ นั้นล่ะครับตัวจิต หลวงตาท่านเทศน์ให้ฟังน่ะ  |
|
|
|
  |
 |
RARM
บัวบาน

เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417
|
ตอบเมื่อ:
15 ก.ค.2008, 3:28 pm |
  |
น่าจะแสดงรายละเอียดให้มากกว่านี้เผื่อเป็นแนวทางสำหรับท่านอื่นด้วย
รวมถึงตัวผมด้วย
ขอบคุณครับ
 |
|
|
|
  |
 |
thammathai
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 35
ที่อยู่ (จังหวัด): สังขตธาตุ
|
ตอบเมื่อ:
15 ก.ค.2008, 4:30 pm |
  |
สาธุครับคุณสิริกร
การปฏิบัติของคุณทำมาดีแล้วครับเพียงแค่นึกก็เหลือแต่จิตแล้วแสดงว่ากำลังสมาธิของคุณแก่กล้ามาก(อินทรย์ ๕และพละ๕ก็เยี่ยมมาก)
คุณต้องอาศัยข้อได้เปรียบนี้เป็นบาทฐานของปัญญาต่อไป
เมื่อพิจารณาเหลือแค่จิต
-ใช้จิตดูกาย(กายานุปัสสนา)เช่น พิจารณาว่าเป็นธาตุสี่ ของโสโครก
-ใช้จิตดูอารมณ์ว่ายังมีเวทนาอะไรอยู่อีกไหม
- ใช้จิตดูจิต(จิตตานุปัสสนา)ตรวจสอบดูว่าจิตยังมีโลภ โกรธ หลงอยู่หรือไม่เป็นอุเบกขาจิตหรือยัง ใสสะอาดดีหรือยัง
- ใช้จิตดูธรรม เช่นพิจารณาสังโยชน์ ๑๐ อริยสัจสี่(เห็นแจ้งในทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ทางดับทุกข์) เป็นต้น
โดยเฉพาะถ้าต้องการหลุดพ้นจริงๆต้องพิจารณาอริยสัจสี่ให้ดีๆจนเกิดปัญญาญาณรู้แจ้งเห็นจริง
สาธุครับ |
|
_________________ เราคือใจที่บริสุทธิ์ |
|
  |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
16 ก.ค.2008, 9:45 pm |
  |
คุณโปเต้
- ดูกายให้เห็นจิต
ู
พิจารณากายคตาสติ จิตรวมแล้วระดับหนึ่ง ความรู้สึกว่าร่างกายหายไป เหลือแต่จิต ท่านจึงว่า "ดูกายให้เห็นจิต"
- ดูจิตให้เห็นกาย
พิจารณาจิต จิตรวมแล้วระดับหนึ่ง จะเห็นว่าจิตส่วนหนึ่งกายส่วนหนึ่งแยกจากกัน ท่านจึงว่า "ดูจิตให้เห็นกาย"
เมื่อปฏิบัติดังนี้จะพัวพันกับ เวทนา และ ธรรม ไปในตัว
เมื่อตัวหายให้ดูในจิต เพื่อค้น เวทนาใน(เวทนานอกอยู่ที่กาย) สัญญา สังขาร วิญญาณ ในจิต แล้วจะย้อนออกมาหารูป และ ความสัมพันธ์ระหว่างขันธ์ ๕ กับ อายตนะ ๑๒ |
|
|
|
  |
 |
walaiporn
บัวบาน

เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ
|
ตอบเมื่อ:
18 ก.ค.2008, 12:04 am |
  |
ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เพียงแต่สมาธิมันมากเกิน ให้ฝึกเจริญสติให้มากขึ้น จนกว่าสติเสมอสมาธิหรือมากกว่าสมาธิ อาการนี้จะหายไปเอง ขอเพิ่มเติมว่า ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นให้ดูตามความเป็นจริงที่เกิด อย่าไปชอบ อย่าไปชัง อย่าไปให้ค่าความหมายในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่งั้นคุณจะติดตรงนี้อีกนาน |
|
_________________ ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง |
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
19 ก.ค.2008, 5:19 am |
  |
บังเอิญเจอ โป๊ะเชะ
อ้างอิงจาก: |
ถาม ภาวนาบางทีตัวมันใหญ่ๆจะทำอย่างไร?
ตอบ ตัวใหญ่ๆ นั่นปิติมันเกิด บางทีมันตัวเล็กนิดเดียวบางทีมันคล้ายๆกับว่าลอยอยู่บนอากาศ บางทีตัวมันหายไปหมด
ให้กำหนดรู้อยู่เฉยๆ อย่าไปรบกวนมัน มันจะเป็นไงก็ช่างมัน ปล่อยในขณะที่มันเป็น ปล่อยมันไปเลย ทีนี้สิ่งที่มันเป็นตัวใหญ่ก็ดี ตัวเล็กก็ดี ตัวเบาก็ดี ตัวหนักก็ดี ตัวลอยก็ดี มันเป็นอาการเปลี่ยนแปลงของสภาวะ เมื่อเรามีสติกำหนดรู้อยู่ สติสัมปัชญญะดีขึ้นมันจะกำหนดหมายรู้ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งเหล่านั้นว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ต้องไปกังวลใดๆทั้งสิ้น หน้าที่ของเรามีสติกำหนดรู้อย่างเดียว ในตอนแรกๆถ้าภาวนาแล้วจิตมันไม่อยู่มันมีแต่ความคิดฟุ้งๆๆขึ้นมา ปล่อยให้มันคิดไปเลยจนปล่อยให้มันคิดไปสุดช่วงแล้วมันหยุดเองอย่าไปบังคับมัน อย่างภาวนาพุทโธๆๆ เพียงแต่นึกพุทโธๆ อย่าไปบังคับจิตให้มันสงบ แต่ว่านึกพุทโธไม่หยุด |
http://mahamakuta.inet.co.th/practice/mk723.html |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
RARM
บัวบาน

เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417
|
ตอบเมื่อ:
19 ก.ค.2008, 6:23 am |
  |
ขอแสดงความคิดเห็นครับ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งแล้วกันครับ
อาจเป็นไปได้ 2 อย่าง คือ สมาธินี้อาจเป็นแค่ขณิกสมาธิ หรืออาจเป็นอัปปนาสมาธิ ถ้าต้องการทำวิปัสสนาก็ต้องทำสมาธิตัวนี้ให้ชำนาญ คือถอยเข้าถอยออก หรือหัดทรงสมาธินี้ให้ได้ตามที่เรากำหนด หรือไปหาหนังสืออ่านว่า การทำ วสีนั้นทำอย่างไร
เมื่อชำนาญในสมาธินี้แล้วต้องการบรรลุธรรมก็ทำตามวิธีข้างล้างนี้ครับ
-----------------------------------------------
ทำจิตให้เข้าสู่อุปจารสมาธิจนชำนิชำนาญ จากนั้นพึงยกอุปจารสมาธิไว้เสียส่วนหนึ่ง เอาจิตไว้ส่วนหนึ่ง พึงถอยเข้า ถอยออก โดยอนุโลม ปฏิโลม จนชำนาญ ใช้จิตที่มีกำลังดีแล้วแยกกายออกเป็นส่วนๆ ว่านี่คือ ผม ว่านี่คือ ขน ว่านี่คือ เล็บ ไปจนครบอาการ 32 ย้อนกลับหน้าหลังโดยอนุมาน เพ่งว่านี่คือ ธาตุ เป็นสภาวะอันมีเหตุปัจจัยเข้ามาปรุงแต่ง ว่ามิได้เป็นตัวเราของเรา
เมื่อเพ่งดูโดยพอประมาณแล้วจิตจะมีอาการอ่อนกำลังลงไป พึงยกจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิสร้างจิตให้มีกำลัง เมื่อรู้ว่าจิตมีกำลังพอแล้ว
พึงยกจิตและอุปจารสมาธินั้นไว้เสียต่างหากอีกเหมือนเดิมแล้วกลับเข้ามาเพ่งในกายคตาฯ อันมีอาการ 32 ต่อว่า มันสักว่าเป็นธาตุ เป็นของปฏิกูล เป็นของโสโครก เป็นของน่าเกลียด เป็นอสุภะ มิใช่เป็นตัวตนของเราแต่อย่างใดสิ้น พึงดำเนินไปตามนี้ กลับหน้าหลัง โดยอนุมานทั้งเข้าสมาธิและเพ่งพิจารณาธาตุขันธ์ ดำเนินไปจยกว่ามรรคจะเข้าประชุมกันอันจะตัดกิเลสได้เสียเป็น สมุเฉทปหาน
พระอาจารย์ชัยรัตน์ สุธมฺโม
16 ธันวาคม 2544
ขออนุโมทนาในความพากเพียร
 |
|
|
|
  |
 |
โปเต้
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 10 พ.ค. 2008
ตอบ: 76
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
|
ตอบเมื่อ:
19 ก.ค.2008, 9:54 am |
  |
อ้างอิงจาก: |
คุณโปเต้
- ดูกายให้เห็นจิต
ู
พิจารณากายคตาสติ จิตรวมแล้วระดับหนึ่ง ความรู้สึกว่าร่างกายหายไป เหลือแต่จิต ท่านจึงว่า "ดูกายให้เห็นจิต" |
ที่ว่า "ดูกายให้เห็นจิต" โปเต้ไม่ได้หมายถึงอย่างนี้ค่ะ
แต่หมายถึงว่า ระหว่าที่เราดูกาย ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจก็ดี หรือดูอิริยาบท ดูอสุภะ ก็ตาม
ให้เห็นเนื่องถึงจิต หรืออารมณ์ของจิตที่เกิดขึ้นไปด้วย โดยไม่ได้ทิ้งกายแต่อย่างไร
ที่ว่าดูจิตจนกายหายนั้น จากประสบการณ์ของโปเต้เอง(ไม่เกี่ยวกับท่านเจ้าของกระทู้ หรือของท่านอื่น)
เป็นการทิ้งกาย หรือทิ้งสิ่งที่เราไม่ชอบใจ พูดง่ายๆคือหนีทุกข์
เหมือนเป็นการฆ่าตัวตายอย่างหนึ่ง
กายนี้ไม่มี แต่จิตนี้ยังอยู่ ทุกข์ก็ยังคงอยู่ร่ำไป
ตราบใดที่ได้ดูจิตจนเห็นกาย คือเห็นว่าจิตยังคงยึดกาย(ไม่ว่าจะกายไหนๆ) ยังคงมีกายอยู่แม้กระทั่งในตัวของจิตเอง
แล้วกระทำให้แจ้งแก่ใจว่า ทั้งสิ่งที่ไม่ชอบใจ หรือชอบใจ ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ทนอยู่ไม่ได้ ไม่ว่าจะภายนอก หรือภายใน อันไม่ควรแก่การยึดมั่นถือมั่น ด้วยประการทั้งปวง
เมื่อได้เห็นแจ้งอย่างนี้ด้วยใจแล้ว เมื่อนั้น ใจจึงจะสลัด สำรอก สิ่งรุงรังที่ใจนั้นยึดมั่น ถือมั่นอยู่นั้นทิ้งโดยไม่เหลือ
(กำลังเพียรอย่างกระเตาะกระแตะอยู่ค่ะ ออกจะหลงรู้อยู่บ่อยๆ ) |
|
_________________ สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา |
|
  |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
19 ก.ค.2008, 12:59 pm |
  |
คุณ โปเต้
ขอบคุณครับ แลกเปลี่ยนกันนะครับ
กาเลนะ ธรรมะสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตมัง |
|
|
|
  |
 |
|