ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
13 ก.ค.2008, 6:51 pm |
  |
ระวัง ! ช่วยกันป้องกันพุทธศาสนาไม่ให้กลายเป็นสัทธรรมปฏิรูป
ปัจจุบัน มีพระและปถุชนที่ไม่ปฏิบัติสมถะและวิปัสสนากรรมฐานกันมาก พวกนี้เป็นผู้คึกคะนอง หลงผิดอย่างแรง
ไปนึกว่าปัญญาทางธรรมเกิดขึ้นได้จากการใช้หัวสมองคิด และตีความพระไตรปิฎก พวกนี้จำนวนหนึ่ง
มีอำนาจอยู่ในหมู่สงฆ์และสังคมฆราวาส และตามเว็บธรรมะต่างๆ นอกจากนี้ พวกนี้ก็มีการออกเทป วีซีดี ดีวีดี
และตำราพุทธศาสนาเกลื่อนไปหมด ทั้งๆที่พวกเขาไม่มีความรู้ในพุทธศาสนาดีพอ ตีความพระไตรปิฎก
ผิดๆถูกๆไปหมด และใช้อำนาจและการชักจุงใจให้คนเชื่อตาม กลายเป็นสัทธรรมปฏิรูป(สัทธรรมปลอม)คำสอน
ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จริงๆแล้ว ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ต้องปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา จึงจะได้ปัญญา และตีความพระไตรปิฎกถูกต้อง
พูดง่ายๆ คนที่จะสามารถตีความพุทธศาสนาได้ถูกต้อง ต้องเป็นพระหรือปถุชนผู้ปฏิบัติกรรมฐาน
ถึงขั้นโสดาบันหรือสูงกว่าขึ้นไปเท่านั้น ดังเช่นที่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เทศน์ว่า :
" สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงว่า ธรรมของพระตถาคต เมื่อเข้าไปประดิษฐานในสันดานของปถุชนแล้ว ย่อมเป็นของปลอมทั้งสิ้น(สัทธรรมปฏิรูป) แต่ถ้าเข้าไปประดิษฐานในจิตสันดานของ พระอริยะเจ้าแล้วไซร์ ย่อมเป็นของบริสุทธิ์แท้จริง และเป็นของไม่ลบเลือนด้วย "
ย้ำ! ธรรมของพระตถาคต เมื่อเข้าไปประดิษฐานในสันดานของปถุชนแล้ว ย่อมเป็นของปลอมทั้งสิ้น(สัทธรรมปฏิรูป)
แต่ถ้าเข้าไปประดิษฐานในจิตสันดานของ พระอริยะเจ้าแล้วไซร์ ย่อมเป็นของบริสุทธิ์แท้จริง และเป็นของไม่ลบเลือนด้วย "
อย่างไรก็ตาม เพราะว่าพวกพระหรือปถุชน ที่ไม่ปฏิบัติธรรม มีจำนวนมากกว่า พระหรือปถุชน ที่ปฏิบัติธรรม จึงยากจะต่อกรและยับยั้งพวกพระหรือปถุชน ที่ไม่ปฏิบัติธรรมไม่ถึงอริยะได้
ดังนั้น ผมจึงมาเตือนว่า พวกท่านพึงระวัง อย่าหลงเชื่อการตีความพระไตรปิฎกของพระหรือปถุชนที่บ้าตำรา แต่ไม่ยอมปฏิบัติธรรม หรือถ้าปฏิบัติก็ไม่ถึงขั้น พึงเร่งปฏิบัติเพื่อไม่ให้พุทธศาสนาของเรากลายเป็นสัทธรรมปฏิรูป
.....................................................................................................................
พระไตรปิฎก เล่มที่ 19 ฐิติสูตรว่าด้วยการตั้งอยู่แห่งพระสัทธรรม
*** อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้นานในเมื่อพระตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้ว
*** พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ดูกรท่านผู้มีอายุ เพราะบุคคลไม่ได้เจริญไม่ได้กระทำให้มาก ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ พระสัทธรรมจึงตั้งอยู่ไม่ได้นานในเมื่อพระตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้ว และเพราะบุคคลเจริญ กระทำให้มากซึ่งสติปัฏฐาน ๔ พระสัทธรรมจึงตั้งอยู่ได้นาน
*** ในอีกพระสูตรหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ด้วยว่าเมื่อปริยัติเสื่อมหายไป การปฏิบัติก็เสื่อมหายไป
เมื่อการปฏิบัติเสื่อมหายไป อธิคมก็เสื่อมหายไป. ถามว่า เพราะเหตุไร.
ตอบว่า ปริยัตินี้เป็นปัจจัยแก่การปฏิบัติ การปฏิบัติเป็นปัจจัยแก่อธิคม.
แต่เมื่อว่าโดยการปฏิบัติกำหนดปริยัติเท่านั้น ด้วยประการฉะนี้
ดังนั้น การเรียนปริยัติ จึงเป็นการเรียนภาคทฤษฎี เพื่อจะนำเอาไปปฏิบัติเท่านั้น ผมขอนำคำเทศน์ของครูบาอาจารย์ 2 ท่านมาเตือนสติให้ทุกท่านเร่งปฏิบัติ
1. พระธรรมเทศนา..สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี
ในตำราทั้งหลาย องค์สมณโคดมไม่เคยสอนให้ยึดคำสอนของพระองค์เป็นสรณะ แต่ต้องการให้ท่านปฏิบัติ
จนถึงสภาพแห่งการ"รู้" อันบริสุทธิ์ของพุทธะเป็นสรณะ เพื่อเป็นเรือเป็นการช่วยตัวเอง ให้พ้นจากกฎแห่งวัฏฏะ
ของทะเลซึ่งมีแต่คลื่นของความบ้าคลั่ง ในกามตัณหา
เพราะฉะนั้น การอ่านพระไตรปิฏก จึงอย่าอ่านเพียงเพื่อคุย ถ้าถามความจริง ขององค์สมณโคดมแล้ว
องค์สมณโคดมจะบอกว่า
"ท่านจงวางหมดทุกตำรา ท่านจงมาค้นจิตในจิต ท่านจงมาค้นกายในกาย เมื่อนั้นท่านจะรู้ว่าวิญญาณอยู่อย่างไร "
ในแนวแห่งพระสูตรดังกล่าวนั้น อรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์ ในกาลต่อมา ไม่เข้าซึ้งถึงเรื่องวิญญาณ
ไม่เข้าซึ้งถึงเรื่องกรรมจึงเขียนออกมาเช่นนั้นตามหลักแห่งสัจธรรมแล้ว พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เชื่อ
ตามหลักแห่งการปฏิบัติจิตเป็นสรณะ ให้ขัดเกลาอกุศลกรรมออกจากกาย นี่คือหลักความจริง ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการ
พระไตรปิฏกเพียงแต่เป็นพื้นฐาน ให้อ่านแผนผัง ถ้าท่านยึดท่านก็ยังไม่ถึงธรรม
2. พระธรรมเทศนา..หลวงพ่อชา สุภัทโท
เราควรอ่านตำรับตำรามากๆ หรือศึกษาพระไตรปิฎกด้วยหรือไม่ในการฝึกปฏิบัติ
หลวงพ่อชา ตอบ: พระธรรมของพระพุทธเจ้านั้นไม่อาจค้นพบได้ด้วยตำราต่างๆ ถ้าท่านต้องการจะรู้เห็นจริง
ด้วยตัวของท่านเองว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนอะไรท่านไม่จำเป็นต้องวุ่นวายกับตำรับตำราเลย
จงเฝ้าดูจิตของท่านเองพิจารณาให้รู้เห็นว่าความรู้สึกต่างๆ (เวทนา) เกิดขึ้นและดับไปอย่างไร
ความนึกคิดเกิดขึ้นและดับไปอย่างไร อย่าได้ผูกพันอยู่กับสิ่งใดเลย จงมีสติอยู่เสมอเมื่อมีอะไรๆ
เกิดขึ้นให้ได้รู้ได้เห็นนี่คือทางที่จะบรรลุถึงสัจธรรมของพระพุทธองค์
จงเป็นปกติธรรมดา ตามธรรมชาติทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่าน ทำขณะอยู่ที่นี่เป็นโอกาสแห่งการฝึกปฏิบัติเป็น
ธรรมะทั้งหมดเมื่อท่านทำวัตรสวดมนตร์อยู่ พยายามให้มีสติถ้าท่านกำลังเทกระโถนหรือล้างส้วมอยู่
อย่าคิดว่าท่านกำลังทำบุญทำคุณให้กับผู้หนึ่งผู้ใด มีธรรมะ อยู่ในการเทกระโถนนั้นอย่ารู้สึกว่า
ท่านกำลังฝึกปฏิบัติอยู่เฉพาะเวลานั่งขัดสมาธิเท่านั้น พวกท่านบางคนบ่นว่า ไม่มีเวลาพอที่จะทำสมาธิภาวนา
แล้วเวลาหายใจเล่ามีเพียงพอไหมการทำสมาธิภาวนา ของท่านคือ การมีสติระลึกรู้และการรักษาจิตให้เป็นปกติ
ตามธรรมชาติในการกระทำทุกอิริยาบถ |
|
|
|
  |
 |
RARM
บัวบาน

เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417
|
ตอบเมื่อ:
13 ก.ค.2008, 7:09 pm |
  |
ถ้าไม่อ้างครูบาอาจารย์
ขอท่านชี้แนะ ขยายความ คำว่า สัทธรรมปฏิรูป ด้วยได้ไหมครับ
ว่า ธรรมแบบไหนเป็น สัทธรรมปฏิรูป และ
ธรรมแบบไหนไม่เป็นสัทธรรมปฏิรูป
 |
|
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
13 ก.ค.2008, 7:20 pm |
  |
RARM พิมพ์ว่า: |
ถ้าไม่อ้างครูบาอาจารย์
ขอท่านชี้แนะ ขยายความ คำว่า สัทธรรมปฏิรูป ด้วยได้ไหมครับ
ว่า ธรรมแบบไหนเป็น สัทธรรมปฏิรูป และ
ธรรมแบบไหนไม่เป็นสัทธรรมปฏิรูป
 |
สัทธรรมปฏิรูปก็คือ ไปใช้สมองคิด และตีความครับ สมองคิด และตีความได้ในเรื่องทางโลก
แต่ในเรื่องสัจธรรมหรือความจริงสูงสุด ต้องหยุดใช้สมองคิดครับ หยุดจึงรู้ ยิ่งคิดยิ่งไม่รู้ |
|
|
|
  |
 |
RARM
บัวบาน

เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417
|
ตอบเมื่อ:
13 ก.ค.2008, 7:42 pm |
  |
และตัวท่านเองมีสัจธรรมไม่ปฏิรูปไหมครับ
ช่วยอธิบาย ให้บ้าง เพื่อเป็นแนวทาง แต่ขอไม่เอาของครูบาอาจารย์มานะครับ
เดี๋ยวไปหาว่าท่านเป็นสัจธรรมปฏิรูปไป จะบาปเปล่าๆ น่ะครับ
ขอบคุณครับพี่
 |
|
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
13 ก.ค.2008, 8:27 pm |
  |
คุณ"RARM" ครับ
ผมบอกแต่ความจริงทางศาสนา คนที่ไม่เข้าใจหรือไม่เชื่อ เขาก็ตีความว่า ผมทำสัทธรรมปฏิรูป |
|
|
|
  |
 |
เมธี
บัวตูม

เข้าร่วม: 02 มี.ค. 2008
ตอบ: 222
|
ตอบเมื่อ:
14 ก.ค.2008, 2:45 pm |
  |
|
    |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
14 ก.ค.2008, 3:18 pm |
  |
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑
ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
๑. พรหมชาลสูตร
อ้างอิงจาก: |
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ก็ตาม
เธอทั้งหลายไม่ควรอาฆาต ไม่ควรโทมนัสน้อยใจ ไม่ควรแค้นใจในคนเหล่านั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์
ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคือง หรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นเป็นแน่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์
ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคือง หรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น
เธอทั้งหลายจะพึงรู้คำที่เขาพูดถูก หรือคำที่เขาพูดผิดได้
ละหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้ทีเดียว พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์
ในคำที่เขากล่าวตินั้น คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นโดยความไม่เป็นจริงว่า
นั่นไม่จริง แม้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้นั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลาย และคำนั้น
จะหาไม่ได้ในเราทั้งหลาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา
ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ เธอทั้งหลายไม่ควรเบิกบานใจ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจในคำชมนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าเธอทั้งหลายจักเบิกบานใจ จักดีใจ จักกระเหิมใจในคำชมนั้น
อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นเป็นแน่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม หรือ
ชมพระสงฆ์
[b]ในคำชมนั้น คำที่จริง เธอทั้งหลายควรปฏิญาณให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั่นจริง แม้เพราะเหตุนี้ นั่นแท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้คำนั้นก็มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาได้ใน
เราทั้งหลาย. |
พระสัทธรรมจะปฏิรูปหรือไม่อย่างไร
หากผู้แสวงหาปัญญา ได้ปฏิบัติถึงขั้นอริยะได้แล้ว
ย่อมกระเทาะ กำจัด ของปลอมของปฏิรูปออกไปได้ทั้งสิ้น
แต่การจะมีพระอริยะเจ้านั้น ไม่ใช่จะอุบัติมีขึ้นทันทีทันใด
แม้แต่องค์พระพุทธเจ้า ยังต้องไต่เต้า ลองผิด ลองถูก ลองในธรรมะอันวิปลาสสุดโต่ง ทั้งสุขสุดๆ ทั้งทุกข์สุดๆ
ดังนั้น การจะมีปัญญาทางธรรมในระดับอริยะเจ้า ที่จะรู้ทันว่าอะไรปลอมอะไรจริง
ก็ต้องเรียนรู้จากปัญญาแบบหัวคิดนี้ ต้องเริ่มจากปริญัติทั้งนั้น
แล้วจึงปฏิบัติ แล้วจึงปฏิเวธน์ ไม่ใช่หรือ
การเรียนรู้ย่อมมีถูกผิดกันได้
ความรู้ก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน ย่อมมีเปลี่ยนแปลง สิ้นสุด เกิดขึ้นใหม่ กันได้
เมื่อพบความรู้ใหม่ที่ถูกกว่า จริงกว่า ก็พร้อมที่จะสละความรู้เดิมออกไป โดยไม่พิศวาสในการกอดความรู้เอาไว้
เมื่อผู้แสวงหาความรู้ ไม่ยึดติดในธรรมทั้งหลายเหล่านั้น
ย่อมมีโอกาสได้พบความรู้ใหม่ที่ถูกต้อง ขึ้นไปเรื่อยๆ
เหมือนน้ำเต็มแก้ว ที่พร้อมจะสละน้ำที่ไม่ดีออกไป ให้มีที่ว่างสำหรับน้ำที่ดีกว่า
ในมุตโตทัยที่ท่านยกมานั้น ในย่อหน้าถัดมา
หลวงปู่ยังได้บอกอีกว่า
ต้องฝึกตนให้เป้นอริยะเจ้าเสียก่อน รู้แน่ในของจริงเสียก่อน จึงสอนผู้อื่น
อ้างอิงจาก: |
.... เพราะฉะนั้น เมื่อยังเพียรแต่เรียนพระปริยัติธรรมถ่ายเดียว จึงยังใช้การไม่ได้ดี ต่อเมื่อมาฝึกหัดปฏิบัติจิตใจ กำจัดเหล่ากะปอมก่า คือ อุปกิเลสแล้วนั่นแหละ จึงจะยังประโยชน์ให้สำเร็จเต็มที่ และทำให้พระสัทธรรมบริสุทธิ์ไม่วิปลาสคลาดเคลื่อนจากหลักเดิมด้วย
ฝึกตนดีแล้วจึงฝึกผู้อื่น ชื่อว่าทำตามพระพุทธเจ้า
|
จาก - http://thai.mindcyber.com/buddha/why2/1123.php
"ฝึกตนดีแล้วจึงฝึกผู้อื่น" <<---- นี่แหละคือหัวใจสำคัญ
ท่านให้ฝึกตนก่อน
ซึ่งเราทั้งหลาย กำลังทำกันอยู่นี้ คือฝึกตน
ถูกบ้างผิดบ้าง ก็ต้องสอบสวนทวนความถามไถ่ แก้ไขกันไป
เพราะเป้าหมาย คือ "ตน" ไม่ใช่ผู้อื่น
ดังนั้น ต้องทำตน ชำระความรู้ตน ให้บริสุทธิ์เสียก่อน
เมื่อมีผู้แย้ง ผู้ติ ผู้ค้าน ต้องแก้ไขด้วยของถูก ของจริง
หากปลาตัวนั้น ไม่มีขาพอจะเข้าใจว่าเต่าเห็นอะไรบนบก
ก็พึงอุเบกขากับปลาเสีย
หากมีเมตตากับปลา
พึงสอนปลาด้วยธรรมอันเหมาะแก่เหล่าบัวที่เขาเป็นอยู่
เมื่อท่านตั้งใจจะประสาสะกับสหายธรรมผู้อื่น ด้วยภาษาอันมีข้อจำกัด
ภาษาอันอาจตีความกันแตกต่างไปตามผู้แปล
เปรียบเหมือนจะคุยกับปลาทั้งหลาย
ท่านก้ต้องคุยให้ปลาทั้งหลายเข้าใจ
โดยการเป็นเต่าที่พูดภาษาปลา
หากปลานั้นโง่เกินกว่าจะสอนได้ด้วยธรรมหมู่ใดๆ
ก็เพิกเฉยปลาเสีย
ไม่ใช่อ้างว่า บรรดาปลานั้นไม่มีขา
แต่ฉันมีขา ฉันรู้ ปลาต้องเชื่อฉัน ของฉันจริง ของคนอื่นปลอม
เมื่อปลามีขาขึ้นมาเมื่อไหร่ ปลาย่อมรู้เองได้
จึงปป่วยการที่จะบอกว่าใครถูก ใครผิด
"เธอทั้งหลายจะพึงรู้คำที่เขาพูดถูก หรือคำที่เขาพูดผิดได้
ละหรือ?" พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑
ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
๑. พรหมชาลสูตร |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
14 ก.ค.2008, 4:00 pm |
  |
เมธี พิมพ์ว่า: |
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16616
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?p=68941#68941
รบกวนถาม ข้างต้น ถือเป็นตัวอย่างของสัทธรรมปฏิรูปเปล่าครับ
ถ้าใครสอนไม่ตรงกับคำสั่งสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า
หรือว่าต่อเติม สามารถถือว่า คนนั้นทำสัทธรรมปฏิรูปรึเปล่าครับ
ถ้างั้นต้องปฏิบัติธรรมตามหลักกาลามสูตรถึงจะถูกต้องที่สุดใช่ไหมครับ |
คุณเมธีครับ
เรื่องที่ผมลงทุกเรื่องล้วนอยู่ในพระไตรปิฎกทั้งสิ้น แต่การตีความของแต่คนบุคคลแตกต่างกัน
1. เรื่องอัตตา อนัตตา คนที่เข้าไม่ถึงธรรม ย่อมตีความอัตตา อนัตตา ผิดไป ลองไปเปิดอนัตตลักขณะสูตร
แล้วอ่านดูใหม่ซิครับ ตอนนี้คุณจะเข้าใจโจ่งแจ้งเลย อวิชชาปิดบังคุณไม่ได้แล้ว เพราะผมเฉลยให้คุณฟัง
อย่างหมดเปลือกเลย
2. เรื่องพระพุทธเจ้าเป็นเทพยิ่งกว่าเทพ เป็นเทวาดิเทพ เป็นอดีเทพ ก็อยู่ในพระไตรปิฎก อวิชชาเขาปิดบังไม่ให้คุณ
หรือใครหาเรื่องเหล่านั้นเจอ ถึงหาเจอก็ตีความไม่ได้ ผมไม่เคยทำสัทธรรมปฏิรูป แต่ผมเปิดผู้เปิดเผย
พระสัทธรรมแท้จริงของพระพุทธเจ้า พระธรรมปิฎก ราชบัณฑิตเสถียรพงษ์ สมมุติสงฆ์และปถุชนที่
ปฏิบัติไม่ถึงระดับอริยะบุคคล นั่นแหละคือ ผู้ทำสัทธรรมปฏิรูป ผมเป็นผู้รักษาพระพุทธศาสนาครับ
ผมกล้าสอนทุกตนและทุกศาสนา และกล้าสอนพระสงฆ์ในทุกระดับ |
|
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
14 ก.ค.2008, 4:34 pm |
  |
คุณ"คามินธรรม" ครับ
ขอบพระคุณที่ช่วยนำเอาพระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ๑. พรหมชาลสูตร มาลง
ผมชี้แนะนิดนึงนะครับ
พระสงฆ์ ไม่ได้อยู่ที่ผ้าเหลือง การบรรลุธรรมก็ไม่ได้อยู่ที่ผ้าเหลือง
ผมโดนด่ามาเป็นแสนๆครั้งในทุกเว็บ และยังโดนไล่ออกจากเว็บพันทิพย์ 6 ครั้ง เว็บพลังจิตเขาก็ไล่ผมออกแบบถาวร
เว็บเมเนเจอร์ และอีกหลายเว็บ ผมส่งข้อความไปเขาก็ไม่ลงให้ ผมเคยแค้นใจ โกรธ น้อยเนื้อตำใจฟ้า
ที่ให้ความรู้สูงสุดกับผม เพื่ออะไร
ผมจะบอกคุณว่า ถ้าผมยังมีความแค้นใจ โกรธเคือง น้อยเนื้อต่ำใจอยู่ พระพุทธองค์จะไม่
ทรงประทานความรู้ที่แม้แต่พระอรหันต์ก็อาจจะไม่ทราบ ให้ผมแน่นอน ถ้าคุณหรือคนในเว็บนี้มีความสงสัยใดๆ
ในหลักศาสนาพุทธเถราวาท มหายาน คริสต์ อิสลาม ฮินดู ถามผมได้ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ๆ ชื่อผมตอนอยู่ในเว็บ
พลังจิต คือ ใบไม้นอกกำมือ หมายความว่า ผมรู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้ และเป็นสัจธรรมของจักรวาล
มีมารก็ต้องมีพุทธะ แต่ผมจะเป็นพุทธะหรือเป็นมาร ผมย่อมรู้อยู่ คนที่ยังมีความโกรธ ความอยากอวดตัว
อวดเก่ง มีทิฏฐิมานะทางศาสนา เรียกว่า อีโก้สูง ย่อมเห็นผมเป็นภัย และมองว่า ผมเป็นมาร
มาทำสัทธรรมปฏิรูป
ผมโดนว่าว่าเป็นอลัชชี เป็นมารศาสนา เป็นเดียรถี บิดเบือนพุทธพจน์ ทำสังฆเภท และยัดนรกอเวจี
และนรกโลกันต์ให้ผม หรือไม่ก็บอกว่า ผมเป็นโรคจิต ออกมาจากโรงพยาบาลบ้า
แต่คนที่มีสิ่งเหล่านี้ไม่มากจนเกินไป เขาย่อมเห็นพุทธะในตัวผม
แต่เท่าที่ผมจำความได้ ผมมีหลักฐานในพระไตรปิฎกเถรวาท มหายาน ไบเบิล อัลกุรอาน และคัมภีร์
ของศาสนาพราหมณ์มายืนยันทุกครั้ง แต่พวกที่กล่าวหาหรือด่าว่าผม ไม่เคยมีหลักฐานมาหักล้างผมได้
แม้แต่เรื่องเดียว |
|
|
|
  |
 |
|