Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เจ้าหูตั้ง....สุนัขที่ระลึกชาติได้ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่หัวข้อนี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไข หรือตอบได้
ผู้ตั้ง ข้อความ
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 28 ก.ย. 2008, 7:33 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
มีใครรู้จักคุณหูตั้งบ้างคะ
ต้องการหาหนังสือเกี่ยวกับคุณหูตั้งค่ะ

http://larndham.net/index.php?showtopic=21577&st=0


เนื้อความ : (กรกฎ)


ได้ข่าวว่าสุนัขชื่อคุณหูตั้งระลึกชาติได้ จึงอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ เห็นว่ามีหนังสือที่ห้องสมุดโรงเรียนอภิธรรมหลวงพ่อเสือ (ประมาณ 200 กว่าหน้า) แต่ที่ตั้งค่อนข้างไกลเพราะอยู่ถึงพุทธมณฑล จึงอยากรบกวนถามเพื่อนสมาชิก เผื่อว่าใครมีหนังสือเล่มนี้ จะได้ขอก็อปปี้ และส่งค่าใช้จ่ายให้น่ะค่ะ



เคยสั่งหนังสือ เล่มนี้ ฉบับเต็ม ๆ จากคุณป้ามาลี สร้อยพิสุทธิ์ มาอ่านครับ ตอนนี้ให้น้องยืม แล้วหายไปเลย

นำเรื่องราวมาฝาก เพื่อน ๆ ชาวลานธรรมจักร ทุกท่านครับ

------------------------------------------------
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=492.0


หูตั้ง หมาระลึกชาติ
โดย คุณมาลี สร้อยพิสุทธิ์


จากหนังสือเล่มเดียวกันของเลี่ยงเซียงจงเจริญ ผู้เขียนอ่านพบหมาระลึกชาติ แต่มันเป็นหมาไทย ไม่ใช้ไอ้ฟลุ้ค หมาฝรั่งระลึกชาติจากภาพยนตร์

ไอ้หูตั้ง สุนัขไทยตัวนี้ ชาติที่ผ่านมาเป็นพลเรือตรี เจ้ากรมทหารเรือ ในสมัยหนึ่ง เรื่องเป็นอย่างไรโปรดติดตามอ่าน

คุณทองทิว สุวรรณทัต ได้นำเรื่องนี้มาเผยแพร่เป็นคนแรก



สุนัขตัวนี้เป็นสุนัขพันธุ์ไทย รูปร่างลักษณะสง่างาม หน้าตาได้สัดส่วน ขนเกรียน สีขาวนวลทั่วร่างตลอดถึงเท้า แต่หน้าดำมอมตั้งแต่ใต้ตาถึงปลายจมูก หูทั้งสองตั้งตรง เจ้าของจึงตั้งชื่อว่า “หูตั้ง”



เดิมหูตั้งเป็นลูกสุนัขอยู่ร้านขายกาแฟ ซอยวัดเพลงวิปัสสนา ท่าพระ ธนบุรี คุณมาลี สร้อยพิสุทธิ์ ไปพบหูตั้งเมื่อมันมีอายุเพียง 4-5 เดือน กำลังเข้าสู่วัยรุ่น เจ้าของร้านกาแฟเห็นมันดุ โตขึ้นอาจกัดคน การเลี้ยงสุนัขดุอาจเป็นอุปสรรคต่อการค้าขาย เมื่อเห็นคุณมาลีสนใจอยากได้จึงยกให้ คุณมาลีได้หูตั้งมาเลี้ยงก็ดีใจมาก



หูตั้งเหมือนสัตว์ 2 ชีพในร่างเดียวกันคือ เมื่ออยู่ร้านกาแฟไม่มีใครสนใจมากนัก จึงปล่อยเขาเจริญเติบโตตามสภาพสุนัขทั่ว ๆ ไป เมื่อเล็ก ๆ ไม่ชอบเห่า พอเป็นวัยรุ่นขึ้นแล้วทั้งเห่าทั้งกัด นี่คือตอนอยู่ร้านกาแฟ

ต่อเมื่อไปอยู่กับคุณมาลี หูตั้งได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี มีความอบอุ่น จึงแสดงแววอัจฉริยะออกมา มีความสนใจต่อบุคคลและสิ่งแวดล้อมเป็นพิเศษ ผิดกับสุนัขทั่ว ๆ ไป คุณสุมาลีสังเกตพบว่าหูตั้งชอบสบตาคน ซึ่งผิดจากสุนัขทั่วไปที่ไม่ชอบสบตาคน หูตั้งสนใจฟังคำพูดของคนบางโอกาส ทำทีเหมือนอยากพูดด้วย แต่พูดไม่ได้

คุณสุมาลีมีวิธีให้หูตั้งตอบคำถามได้ โดยให้เขาใช้เท้าหน้าข้างขวาสื่อความหมาย โดยเธอตั้งคำถามง่าย ๆ ว่าใช่หรือไม่ใช่ เมื่อได้ทบทวนซ้ำ ๆ และมากเรื่องมากคำถาม คำตอบ ก็ประมวลเรื่องราวถึงการเล่าเรื่องราวชาติที่เป็นมนุษย์ได้ จึงค้นพบว่าเขาเคยเกิดเป็นคนมาแล้ว และเป็นคนระดับสูงด้วย ฟังภาษาไทยรู้เรื่อง เขาจึงเป็นมนุษย์ในร่างสุนัข



ต่อไปจะเล่าขั้นตอนถึงเรื่องราวสำคัญ ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นใครมาก่อนตามลำดับ



ชอบนอนมุ้งประทุน ไม่ชอบนอนตากยุง ถ้าใช้มุ้งประทุนครอบให้นอนจะพอใจมาก ไม่ดิ้นรนตะกุยตะกายแต่อย่างใด หน้าหนาวห่มผ้าอุ่นก็รู้จักระมัดระวังไม่ให้ผ้าห่มหลุดจากร่างจนกระทั่งตื่นเช้า



สนใจกินยาอย่างคน เช่นยาธาตุ เมื่อท้องเสียจะกินยาธาตุ จนกระทั่งช่วงท้ายของชีวิต ก่อนตายก็รู้จักขอกินยาธาตุเอง คือแสดงท่าทางเหมือนหิวข้าว เมื่อหาข้าวให้กินกลับเดินนำไปที่ตู้ยา ครั้งแรกคุณมาลีก็งง จึงถามว่าจะกินยาหรือ หูตั้งก็กระดิกหาง แสดงว่าใช่ เมื่อหยิบขวดยาธาตุมาให้ดู ถามว่าจะกินยานี้หรือ หูตั้งก็เดินมาที่เก็บช้อน จึงเข้าใจได้ว่าจะกินยานี้ก่อนอาหาร เมื่อกินยาธาตุแล้วจึงเดินไปกินข้าว

ถึงแม้จะกินอยู่หลับนอนสุขสบายเหมือนคน แต่หูตั้งก็ยังทำหน้าของสุนัข คือรักษาทรัพย์ให้ปลอดจากขโมย หูตั้งมีประสาทหูที่ไวมาก และแม่นยำ รู้จักแยกเสียงคนในบ้านหรือเสียงขโมย ถ้าขโมยเข้าเขตบ้านหูตั้งจะเห่าเสียงดังจนขโมยต้องรีบหนีไป เวลาใกล้รุ่งมีคนในบ้านตื่นลุกขึ้นบ้างแล้ว หูตั้งจะนอนหลับสนิทเลย



หูตั้งแสดงให้รู้ว่าเคยเป็นทหารเรือ



วันหนึ่ง ขากลับจากพาไปหาหมอ ก็พาขึ้นรถสองแถว หูตั้งยืนตรงหน้าคุณมาลี ผู้โดยสารพากันทยอยขึ้น จนมีทหารเรือยศพันจ่าเอกขึ้นมานั่งตรงข้าม เยื้องไปข้างหลัง คุณมาลีพบว่า หูตั้งมองทหารเรือคนนั้นด้วยความสนใจยิ่ง ตั้งแต่เท้าจนถึงศีรษะ มองขึ้น ๆ ลง ๆ เช่นนี้หลายเที่ยว จนทหารคนนั้นรู้สึกตัวว่าถูกสุนัขสนใจมองตัวเอง จึงขยับตัวเปลี่ยนท่านั่ง และทำท่าสงสัยว่าทำไมหมาตัวนี้จึงมองเขาเขม้งเช่นนั้น จะว่าทำท่าเป็นศัตรูก็ไม่เชิง คุณมาลีรู้สึกเกรงใจทหารผู้นั้น จึงจับหูตั้งให้หันไปทางหน้ารถ แต่เผลอหน่อยเดียวหูตั้งก็หันไปจ้องเขาอีก จับหันหน้าไปอีกทางได้สักพักเขาก็หันไปมองทหารคนนั้นอีก จนลงจากรถ



เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว จึงเอ่ยถามหูตั้งว่า “ตัวไปมองดูทหารเรือคนนั้นทำไม ชาติก่อนเราเคยเกิดเป็นทหารเรือหรือ” หูตั้งยกเท้าหน้าขวาให้คุณมาลีทันที “อ๋อ..เราเคยเป็นทหารเรือ” คุณมาลีพูดอย่างไม่จริงจังนัก คิดว่าหูตั้งอาจนึกสนุกอะไรขึ้นมาก็ได้ จึงถามอีกว่า “ชาติก่อนเป็นทหารเรอะ เป็นทหารบกใช่มั้ย” หูตั้งนิ่งเฉย ทำไม่รู้ไม่ซี้ ”ทหารอากาศหรือเปล่า ?” หูตั้งเฉยอีก ย้อนถาม “เป็นทหารเรือหรือ” หูตั้งก็ยกมือขวาให้ทันที



คุณมาลีถามย้อนกลับไปกลับมา ก็ได้รับคำตอบแบบเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่สับสน คือหูตั้งจะยกมือขวาให้ต่อเมื่อถามว่า “เป็นทหารเรือใช่มั้ย” จึงสรุปได้ว่า หูตั้งเคยเป็นทหารเรือในอดีตชาติ คุณมาลีก็ทดสอบต่อไปอีกว่า เมื่อเป็นทหารเรือ มียศระดับไหน หรือจะมียศจ่าเอกอย่างที่เขาจ้องมอง



คราวนี้คุณมาลีกับลูกสาวช่วยกันสอบถามกลับไปกลับมา “เราเป็นทหารเรือน่ะรู้แล้ว แต่อยากรู้ว่ามียศระดับไหน เป็นกะลาสีหรือ” คุณมาลีลูบหัวหูตั้งเบา ๆ พลางหันไปสบตาลูกสาว หูตั้งนิ่งเฉย “อ้าว..เปนจ่าตรีใช่มั้ย ?” หูตั้งนิ่งเฉย คุณมลีก็ถามสูงขึ้นไปตามลำดับ จนถึงนาวาเอก หูตั้งก็นั่งนิ่งเฉย คุณมาลีจึงเย้าว่า “สงสัยจะเป็นนายพลละมั้ง” ได้ผลทีนี้ หูตั้งยกมือขวาชูร่อนให้คุณมาลีจับ “โอ้โฮ นี่เราเป็นถึงนายพลเชียวรึ” คุณมาลีพูดเสียงดังด้วยความประหลาดใจและตื่นเต้น หูตั้งทำหูหรี่ ส่งมือขวาให้อีก



“นายพลอะไร พลเรือตรีใช่มั้ย ?” หูตั้งส่งมือให้ทันที คุณมาลีทราบคำตอบแล้ว แต่ก็แกล้งถามต่ออีก “พลเรือโทใช่มั้ย ? “ หูตั้งนั่งนิ่งเฉย “พลเรือเอกใช่มั้ย ? “ หูตั้งก็นั่งนิ่งเฉยอีก เมื่อกลับมาถามว่า “พลเรือตรีใช่มั้ย ?” หูตั้งก็ส่วมือขวาให้รับอีก

ถึงแม้จะได้คำตอบแล้ว แค่คุณมาลีก็ยังสอบทบทวนอีก ตั้งแต่กะลาสีเรือ จ่าตรี ขึ้นไปเรื่อย ๆ ก็ได้ผลเดียวกัน หูตั้งยกมือให้เมื่อถามระดับ พลเรือตรี” จึงได้ข้อสรุปชัดเจนว่าหูตั้งเคยเป็นทหารเรือยศพลตรีในอดีตชาติ…..
คราวหนึ่งคุณมาลีพาครอบครัวไปเที่ยวชายทะเล ก็พาหูตั้งไปด้วย หูตั้งวิ่งเล่นสนุกสนานกับคลื่นกระทบฝั่ง วิ่งไปวิ่งมาอย่างมีความสุข วันต่อมาหูตั้งนั่งที่หาดทราย มองทอดสายตาออกไปในทะเลอันกว้างใหญ่ นั่งมองอยู่อย่างนั้นแหละเป็นชั่วโมง ซึ่งทะเลที่คุณมาลีพาไปนั้นอยู่ใกล้กับฐานทัพเรือสัตหีบ แต่เคยพาไปทะเลทีอื่นหูตั้งจะเฉย ๆ คุณมาลีจึงถามว่า “เคยไปรบในสงครามอินโดจีนหรือเปล่า” หูตั้งรีบยกมือให้

“รบกับเรือลามอทปิเก้ต์นะหรือ” หูตั้งรีบยกมือให้ (ลามอทปิเก้ต์คือเรือรบฝรั่งเศส รบกับเรือไทยที่เกาะช้าง คราวสงครามอินโดจีน

คุณมาลีถามอีกว่า “รู้จักคุณหลวงพร้อมวีรพันธ์ไหม ? “ หูตั้งรีบยกมือให้โดยเร็ว

(หลวงพร้อมวีรพันธ์คือวีรบุรุษการรบที่เกาะช้าง)

วันดีคืนดีคุณมาลีก็นึกสนุก ๆ ก็จะถามว่า “ ตั้งจ๊ะ รู้จักคุณสงัด ชะลออยู่มั้ย คุณสงัด ชะลออยู่ นะ “ ย้ำคำถามชัด ๆ หูตั้งเอียงคอจ้องมองหน้าแล้วรีบยกมือให้โดยเร็ว

“เป็นอะไรกัน เป็นผู้บังคับบัญชาเหรอ ?” หูตั้งมองหน้าเฉย ๆ จึงถามล้อ ๆ ว่า “เป็นลูกน้องเราเหรอ ?” หูตั้งเฉยอีก “งั้นก็เป็นเพื่อนนะสิ “ หูตั้งรีบยกมือให้ทันที แล้วก็ลุกเดินห่างออกไป การสอบตอนเป็นทหารเรือในวันนั้นทำหลายครั้งหลายครา



คราวหนึ่งถามทดสอบถึงตำแหน่งตอนเป็นพลเรือตรี สองคนแม่ลูกช่วยกันถาม คุณมาลีถามว่า “เออ...ตั้ง ชาติก่อนที่เป็นพลเรือตรีนะ เคยเป็นเจ้ากรมบ้างไหม ?” หูตั้งฟังคำถามด้วยความเอาใจใส่ พอถามจบก็รีบยกมือให้ทันที คุณมาลีต้องกรทราบว่าเป็นกรมอะไร จึงยกมาถามทีละกรม

“อ้อ..เคยเป็นถึงเจ้ากรมเชียวนะ แล้วเป็นเจ้ากรมอะไร กรมขนส่งใช่มั้ย ?” หูตั้งเฉย “งั้นเจ้ากรมข่าว” หูตั้งเฉยอีก “งั้นเจ้ากรมอู่ทหารเรือ” หูตั้งเฉยอีก “กรมสวัสดิการหรือ ?” หูตั้งก็เฉยอีก คุณวนิดาผู้เป็นลูกสาวเปิดหนังสือดูชื่อกรมต่าง ๆ แล้วเอ่ยขึ้น “กรมอู่ทหารเรือคงไม่ใช่ เพาะเจ้ากรมเป็นพลเรือโท” หูตั้งนั่งฟังคำถาม คุณวินิดาจึงถามอีกว่า “งั้นก็เจ้ากรมพลาธิกานะสิ “ หูตั้งรีบยกมือให้โดยเร็ว แสดงท่าทางดีใจมาก



ชอบให้เรียกผู้การ นายทหารเรือยศสูงเขาเรียกกันว่าผู้การ เมื่อเรียกหูตั้งว่าผู้การ หูตั้งจะแสดงความดีใจอย่างออกหน้า จะรีบเดินมาหาทันที เรียกครูก็ชอบ เพราะทหารเรือมักเรียกผู้อาวุโสว่าครู แบบสนิทสนมเป็นกันเองดียิ่ง เมื่อเรียกว่าครู หูตั้งก็จะรีบเดินมาหา และอีกคำที่ชอบมากคือคำว่า “คุณพี่” เพราะภรรยาของของนายทหารสมัยก่อนมักเรียกสามีว่า “คุณพี่” เมื่อคุณมาลีแกล้งเรียกลอย ๆ ว่า คุณพี่ หูตั้งก็แสดงอาการดีใจ จะรีบเดินมาหา ทำตาแหววหวานขึ้นมาทีเดียว จนเป็นที่ขบขันกัน



หูตั้งชอบนั่งดูภาพหนังสือพิมพ์ในบ้านเป็นพิเศษ โดยเฉพาะพระบรมฉายาลักษณ์ จะนั่งจ้องมองอยู่นาน ๆ โดยไม่ขยับเขยื้อน คุณมาลีเปิดให้ดูหน้าใน ซึ่งมีพระบรมรูปในอิริยาบทต่าง ๆ หูตั้งจะสนใจดูทุกภาพ เข้าใจว่า เมื่อหูตั้งเป็นทหารผู้ใหญ่ คงมีโอกาสไดเข้าเฝ้าใกล้ชิดพระยุคลบาทหลายครั้ง มีความซาบซึ้ง จงรักภักดีอยู่มาก



หูตั้งชอบธนบัตร เมื่อยังวัยรุ่นอายุขวบกว่า ๆ เห็นพ่อบ้านของคุณมาลีนำธนบัตรใบละร้อยรุ่นเก่าซ่งมีแดงจัดออกมา หูตั้งเดินรี่เข้ามาคาบธนบัตรดึงไปจากมือ พ่อบ้านก็ไม่ดุ ไม่แย่งกลับ แต่นั่งดูว่าเขาจะเอาไปทำไม ปรากฏเขาคาบไปวางไว้บนพื้นแล้วลงนอนใกล้ มองดูธนบัตรอยู่เป็นเวลานาน คนในบ้านจึงพูดสันนิษฐานกันว่า สมัยเป็นคนคงมีแบ๊งค์ร้อยมาก พอเห็นอีกก็นึกรักอย่าได้ แต่ก็เป็นอยู่ครั้งเดียว คงนึกขึ้นได้ว่า ถึงแม้จะเป็นของตัวก็ไม่รู้จะเอาไปทำไม ดังนั้นต่อมาก็ไม่สนใจกับธนบัตรอีกเลย



หูตั้งชอบดูเล่นไพ่ เมื่ออายุประมาณ 2 ปี วันหนึ่งพวกลูก ๆ ของคุณมาลีก็นึกสนุก ๆ หาไพ่มานั่งเล่นกัน เมื่อหูตั้งเห็นก็เข้าไปนั่งเคียงข้างลูกชายคุณมาลี ชะเง้อมองไพ่ในมือด้วยความสนใจ ดูไพ่ที่ทิ้งลง ที่เก็บขึ้น ก็นั่งจ้องดูเหมือนรู้และเข้าใจที่พวกเขาเล่นกัน แต่สนใจดูเพียงครั้งเดียว มาคราวหลังเมื่อพวกเขาเล่นกันหูตั้งก็ไม่สนใจดูอีก



ชอบดนตรีบางอย่าง บุตรชายคุณมาลีหัดสีซอ พอสีเป็นเพลงแล้วหูตั้งจะตามไปนั่งฟังอยู่ข้าง ๆ สักครู่ก็นอนฟังจนหลับไป เวลาเข้านอนหูตั้งจะมองวิทยุ เมื่อมีคนเปิดเพลงให้ฟังเขาจะกระดิกหางชอบใจ แล้วจึงลงนอน แต่ดนตรีประเภทตีเช่นฉิ่ง ขิม หูตั้งไม่ชอบ คุณมาลีซ้อมตีขิม หูตั้งจะแสดงอาการไม่พอใจ บางครั้งก็เอาเท้ามาเหยียบบนเส้นลวด โดยเฉพาะเสียงฉิ่งนี่เกลียดมาก พอได้ยินเสียงใครตีฉิ่งจะรีบวิ่งหนี



การซักถามตอนสำคัญ ๆ นั้น คุณมาลีถือเป็นกรณีพิเศษ สอบถามอย่างจริงจัง ถามซ้ำ ๆ อย่างอุตสาหพยายาม เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือ ซึ่งคุณมาลีได้พูดว่า

“การซักถามในเรื่องทหารเรือนั้นเป็นไปโดยซ้ำ ๆ ซาก ๆ แต่ก็ได้คำตอบที่เหมือนกันทุกครั้ง ไม่มีเปลี่ยนแปลงผิดเพี้ยนเป็นอย่างอื่นเลย ช่วงที่สนใจไต่ถามเรื่องทหารเรือนั้น หูตั้งมีอายุ 7 ปีเศษ และเนื่องจากเลี้ยงไว้แต่ในบ้าน ไม่ได้ออกไปคลุกคลีกับหมาอื่น ๆ นั่นเอง ทำให้หูตั้งมีเวลาอยู่กับคน ฟังภาษาคน เห็นความเป็นไปของชีวิตคนตลอดหลายปี จึงน่าจะไปกระตุ้นความทรงจำในอดีตชาติก่อนให้ฟื้นกลับคืนมา แต่ถ้าเลี้ยงให้ปะปนอยู่กับเพื่อนหมา อาจทำให้ความจำนั้นถูกลบเลือนไปหมดก็ได้”



การสอบถามถึงความเป็นไปของนายผู้ทหารระดับผู้การนั้นคุณมาลีสามารถทดสอบลึกจนทราบชื่อเสียงเรียงนามของนายทหารผู้ใหญ่ท่านนั้นด้วย แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะเป็นการกระทบกระเทือนถึงเกียรติยศชื่อเสียง ของท่านผู้นั้นและจนถึงตระกูลวงศ์ลูกหลานเผ่าพันธุ์



เมื่อคุณมาลีสร้างบ้านเสร็จใหม่ ๆ ก่อนย้ายไปอยู่ได้พากันไปตรวจดูความเรียบร้อย หูตั้งก็ไปด้วย หูตั้งได้แสดงความสนใจและตรวจตรามองดูทุกห้อง รวมถึงเพดาน และห้องน้ำ มองอย่างพินิจพิเคราะห์คล้ายคน หูตั้งได้ย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ อยู่ได้เพียง 2 ปีก็หมดอายุ ก่อนสิ้นใจเฮือกสุดท้าย คุณมาลีได้เมตตาบอกหนทางเดินให้โดยจับใบหูพูดกรอกลงไปค่อนข้างดังว่า “พุทโธ ๆ ๆ นะตั้ง” หูตั้งหายใจแรงอีกครั้งก็แน่นิ่งไป เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2526



เมื่อหูตั้งเสียชีวิตแล้วก็ยังเป็นโอปปาติกะอยู่ในบ้านนั้น ทราบจากประสบการณ์ของคนในรอบครัว 3 คนคือ

1. ประสบการณ์ของคุณมาลี สร้อยพิสุทธิ์

คือหลังจากหูตั้งเสียชีวิตไปแล้วได้ 1 เดือน วันพระวันหนึ่ง คุณมาลีแต่งชุด

ขาวเตรียมตัวไปปฏิบัติธรรมที่วัดเบญจมบพิตร เมื่อก้าวจากรั้วบ้าน พอดีมีสุนัขที่เคยให้อาหารแถวนั้น 2-3 ตัว วิ่งมาล้อมขอกิน ตัวหนึ่งดีใจกระโจนจะถูกตัว ด้วยกลัวจะเปื้อน จึงเรียก “ตั้งเอ๊ย จัดการทีเถอะ ดูสิผ้าจะเปื้อนหมดแล้ว” ทันใดนั้นสุนัขตัวนั้นก็ยืนนิ่งกับที่ไม่ขยับเคลื่อนกายเลย เหมือนถูกสะกด คุณมาลีเดินจะไปขึ้นรถ 2 แถวปากทาง ห่างจากที่เดิมประมาณ 20 เมตร หันไปมอง ยังเห็นเจ้าตัวนั้นยืนนิ่งเหมือนหิน



อีกครั้งหนึ่ง สุนัขหน้าบ้านมีแผล เคยใส่ยาให้ คุณมาลีพบอีกก็เรียกให้เข้ามาหาเพื่อใส่ยา เจ้าตัวนั้นคงเข็ดแสบยาหรือไงไม่แน่ กำลังเดินหันหลังหนีห่างออกไป คุณมาลีจึงพูดว่า “ตั้งเอ๊ย...จับมันมาทีเถอะจะได้รีบใส่ยาให้เสร็จ ๆ เสียเวลาจริง ๆ “ พอพูดขาดคำ เจ้าตัวนั้นก็หันหน้าวิ่งถูลู่ถูกังเข้ามาหาเหมือนมีใครฉุดดึง และมาซบอยู่ข้างหน้า ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยที่เจ้าตัวนี้จะกระทำเช่นนี้



อีกครั้งหนึ่ง วันนั้นตากข้าวสารไว้บนโต๊ะกลางแจ้ง เผลอหน่อยเดียวก็มีนกกระจอก 5-6 ตัว ลงมารุมจิกข้าวจนกระจุยกระจาย จึงร้องหาหูตั้งว่า “ตั้งเอ๊ย ไล่นกไปทีเถอะ มันมาจิกข้าวกันใหญ่แล้ว” อึดใจต่อมานกก็พากันแตกตื่นบินขึ้นไปจับบนที่สูงเหมือนมีอะไรมาไล่ ไม่ลงมารบกวนอีกเลย

2. ประสบการณ์ของคุณวนิดา สร้อยพิสุทธิ์ ลูกสาว

เมื่อหูตั้งเสียชีวิตแล้วเกิดเป็นโอปปาติกะ มีรูปร่างเหมือนเดิม แต่สีผิวผิดไป

เล็กน้อย คือกลายเป็นสุนัขสีขาวทั้งตัว ปากมอมก็หายไป ดำเฉพาะปลายจมูกเท่านั้น คุณวนิดาเล่าว่า หลังจากหูตั้งเสียไปแล้วไม่นาน คุณวนิดานอนเล่นในห้อง รอดูละครเรื่อง”สาวใช้คนใหม่” กำลังเคลิ้ม ๆ ครึ่งหลับครึ่งตื่น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าสุนัขเดินเข้ามา ก็รู้ว่าเป็นเสียงของหูตั้ง เดินเข้ามาจนถึงประตูห้องที่แง้มอยู่ ต่อมาก็รู้สึกมีสุนัขขนขาว หางฟู มานอนเอกเขนกอยู่ใกล้ ๆ หันหน้ามามองสบตา หน้าแจ่มใสบอกถึงความยินดีที่ได้พบกัน คุณวนิดาจึงเอื้อมมือไปแตะที่เท้า มั่นใจว่าเป็นหูตั้งที่เธอคิดถึงตลอดเวลา ร่างของหูตั้งมีแสงสว่างล้อมรอบตัวอีกด้วย



3. สาวใช้ในบ้านเห็นประตูเปิด/ปิดเอง

สาวใช้ไม่ได้เห็นโอปปาติกะ แต่พบความผิดปกติบางอย่างของสถานที่

กล่าวคือ ห้องที่หูตั้งเคยนอนเป็นประจำสมัยมีชีวิตอยู่นั้นปิดสนิท ล็อคกุญแจตลอด แต่วันหนึ่ง สาวใช้อยู่ในบ้านคนเดียวเวลากลางวัน พบว่าประตูห้องของหูกว้างเปิดออกโดยไม่มีใครไปไขกุญแจ สาวใช้รู้สึกกลัว ไม่กล้าจ้องมองเข้าไปในห้องนั้น เกรงจะเห้นสิ่งที่ไม่อยากเห็น จึงรีบออกไปอยู่นอกตัวเรือนพักใหญ่ จึงย้อนกลับเข้าไปดูอีก ก็พบว่าประตูที่เห็นเปิดอยู่นั้นปิดสนิท ลั่นกุญแจอย่างเดิม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 28 ก.ย. 2008, 7:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์


สาธุ สาธุ สาธุ
074 คนพาลเกิดเป็นมนุษย์ได้ยาก
http://www.84000.org/true/074.html
------------------------------------------------------


543 อนาคตของคนจิตเศร้าหมองและผ่องใส
http://84000.org/true/543.html

----------------------------------------------------------------
021 มนุษย์ไปเกิดเป็นสัตว์ได้
http://www.84000.org/true/021.html
-------------------------------------------------------
073 คนเกิดเป็นสัตว์ได้
http://www.84000.org/true/073.html
------------------------------------------------------
072 นรกมีจริงหรือ
http://84000.org/true/072.html
---------------------------------------------------
495 ตรัสว่าคนตายแล้วเกิดจริง
http://www.84000.org/true/495.html
----------------------------------------------------
526 พระพุทธองค์ทรงรับรองการตายแล้วเกิด
http://www.84000.org/true/526.html
-----------------------------------------------------
061 เหตุให้เชื่อชาติหน้า
http://www.84000.org/true/061.html
--------------------------------------------------------
037 โลกหน้ามีจริงหรือไม่
http://www.84000.org/true/037.html
-----------------------------------------------------------
166 เหตุให้เกิดในภพ
http://www.84000.org/true/166.html
------------------------------------------------------------
046 พุทธทำนาย
http://www.84000.org/true/046.html
-------------------------------------------------------------

พระอภิธัมมัตถสังคหะ

อารมณ์ของสัตว์ที่มรณะ
http://abhidhamonline.org/aphi/p5/083.htm
--------------------------------------------------
กรรมอารมณ์
http://abhidhamonline.org/aphi/p5/084.htm
-------------------------------------------------------
กรรมนิมิตอารมณ์
http://abhidhamonline.org/aphi/p5/085.htm

-----------------------------------------------------------
คตินิมิตอารมณ์
http://abhidhamonline.org/aphi/p5/086.htm

-------------------------------------------------------
ศรัทธา ๔
http://larndham.net/index.php?showtopic=25621&per=1&st=11&#entry354397

อำนาจกรรม
http://larndham.net/index.php?showtopic=31318&per=1&st=3&#entry504976

--------------------------------------------------------

ขอแถมด้วยเรื่อง สภาวะจิตในขณะ มรณสันนกาล ตามหลักพระอภิธรรม ที่ท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร บรรยายไว้

คนตายแล้วไปเกิดได้อย่างไร ?

http://www.abhidhamonline.org/Ajan/book.htm

http://www.dharma-gateway.com/ubasok/boonmee/boonmee-02-01.htm




หรือผู้ดูแลคนไข้จะให้อารมณ์ เป็นต้นว่าเอาภาพวัดวาอาราม หรือพระพุทธรูปมาให้ดู นิมนต์พระมาสวดให้ได้ยิน บอกให้ระลึกถึงพระอรหันต์ ให้ระลึกถึงบุญกุศลหรือข้อธรรมต่างๆ ถ้าเคยทำกรรมฐานก็ให้ทำสมถะ หรือวิปัสสนากรรมฐาน ฯลฯ

ถ้าคนไข้เคยศึกษาธรรมมาบ้าง หรือเคยสนใจในธรรมะมาก่อน ควรพูดเรื่องตายเรื่องเกิด

หรือจะให้สติอะไรก็ได้

แต่ถ้าคนไข้ไม่ค่อยสนใจในเรื่องธรรมะมาก่อน หรือคนไข้เป็นคนมีเหตุผลน้อย ชอบทำบุญให้ทานอย่างเดียว ไม่ชอบศึกษา หรือคนไข้มีความกลัวตายเป็นทุนอยู่แล้ว

การให้สติดังกล่าว คนไข้รู้เท่าทันก็จะบังเกิดความตกใจ หรือเสียใจว่าตัวจะต้องตาย หรือคิดว่าลูกหลานจะแช่งให้ตายเพื่อจะเอาสมบัติ หรือเกิดความอาลัยเสียดายชีวิตขึ้นมา หรือเป็นห่วงทรัพย์สินเงินทอง เรือกสวนไร่นาที่ยังไม่ได้แบ่งสันปันส่วน เมื่อตายลงขณะนั้นก็มีหวังไปสู่ทุคติ

ในขณะมรณาสันนกาลนี้ ถ้าคนไข้ทำอกุศลมามาก คนไข้ก็จะแสดงกิริยาอาการต่างๆ ที่น่ากลัว บางทีก็หลายวัน เพราะได้เห็นหรือได้ยินเสียง หรือจิตได้สร้างภาพอันน่าหวาดเสียวขึ้น

ถ้าคนไข้มิได้ตกอยู่ในวิสัญญี คือสลบ หรือเข้าไปอยู่ในความหลง มีโมหะมากแล้ว เราก็มีหวังจะแก้อารมณ์ได้โดยวิธีการต่างๆ แล้วแต่กรณี

แต่ถ้าคนไข้ขาดสติและหลงอยู่เสมอแล้ว ความหวังเช่นนั้นก็จะอยู่ห่างไกล หรือสิ้นหวังเอาเลยทีเดียว

แต่ถึงอย่างไรก็ดี ผู้ที่พยาบาลคนไข้ที่มีใจอารี

มีจิตเป็นกุศลก็ย่อมจะพยายามจนสุดความสามารถ

เพราะเสียสละเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

อาจจะให้ประโยชน์อันมหาศาลแก่คนไข้

เขาย่อมไม่ให้เวลาอันเป็นนาทีทองเหล่านั้นสูญเสียไป

ในขณะที่มรณาสันนกาล อารมณ์มักจะเกิดแก่คนไข้ได้มากที่สุดก็คืออาจิณกรรม ซึ่งได้แก่กรรมที่กระทำอยู่เสมอในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ กรรมที่ทำมาชำนาญเหล่านั้นก็มักจะปรากฏแก่คนไข้

เช่นเคยทำกุศลหรืออกุศลในทางใดๆเสมอ กรรมเหล่านั้นก็จะกระทบจิตทำให้เห็นไปต่างๆ นานาอย่างเด่นชัด เหมือนว่าภาพนั้นเป็นจริงเป็นจังต่อหน้าต่อตา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 28 ก.ย. 2008, 7:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สวัสดีครับ คุณเฉลิมศํกดิ์ สาธุ

คิดถึงนะครับหายไปหลายวันเลย ยิ้มเห็นฟัน

มาถึงก็บรรจุระเบียบวาระแนวถนัดเสนอเลยนะครับ ยิ้ม
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ฌาณ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์

ตอบตอบเมื่อ: 28 ก.ย. 2008, 9:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

สวัสดีครับท่านผู้การหูตั้ง..... ยิ้มเห็นฟัน

ขอบพระคุณท่านอาจารย์เฉลิมศักดิ์ครับ เรื่องนี้ดีมากๆๆครับ สาธุ สาธุ

ผมมีคำถามครับว่า....

1.เมื่อตายจากมนุษย์ไปเป็นสุนัข....กายหยาบเค้าเป็นสุนัข
แต่นามกายของเขายังเป็นมนุษย์หรือเปล่าครับอาจารย์......

2.โอปปาติกะนั้นจัดอยู่ในภพภูมิไหนครับ...

สาธุ สาธุ
 

_________________
ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ย. 2008, 9:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณเฉลิมศักดิ์ ตอบท่านฌาณด้วย

ยกขึ้นมาให้เดี๋ยวหาย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 30 ก.ย. 2008, 5:17 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณฌานครับ อย่าเรียกผมว่าอาจารย์เลยครับ

อ้างอิงจาก:
ผมมีคำถามครับว่า....

1.เมื่อตายจากมนุษย์ไปเป็นสุนัข....กายหยาบเค้าเป็นสุนัข
แต่นามกายของเขายังเป็นมนุษย์หรือเปล่าครับอาจารย์


ขณะที่เกิดเป็นสุนัขนั้น ทั้ง ขันธ์ ๕ คือ รูป (รูป ๒๘) นาม ( จิต เจตสิก หรือ สัญญา สังขาร วิญญาณ )เป็นสุนัขครับ แต่ที่มีสัญญาเกี่ยวกับมนุษย์อยู่มาก อาจจะเนื่องด้วย ตายจากมนุษย์แล้ว ก็เกิดเป็นสุนัข ทันที ไม่ได้ไปเกิดในภูมิอื่นก่อน เช่น นรกภูมิ เป็นต้น

อ้างอิงจาก:
2.โอปปาติกะนั้นจัดอยู่ในภพภูมิไหนครับ...



พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=โอปปาติกะ

โอปปาติกะ สัตว์เกิดผุดขึ้น
คือ เกิดผุดขึ้นมาและโตเต็มตัวในทันใด ตายก็ไม่ต้องมีเชื้อหรือซากปรากฏ เช่น เทวดาและสัตว์นรก เป็นต้น
(ข้อ ๔ ในโยนิ ๔);


คุณฌานครับ โอปปาติกะ มีทั้ง ทุคติภูมิ เช่น สัตว์นรก เปรต อสุรกาย ฯลฯ และ สุคติภูมิ เช่น เทวดา พรหม

แต่ในกรณีของ หูตั้งนี้ ผมเชื่อว่าตอนใกล้ตาย ได้รับคติอารมณ์ที่ดี จากเจ้าของ พร้อมทั้งมีกุศลนำเกิด จึงได้เกิดในสุคติภูมิ แต่ที่เนรมิตให้เห็นเป็นหูตั้ง ให้เจ้าของเดิมเห็น แล้วจำได้ครับ

แต่มี่แน่ ตอนนี้ หูตั้ง ท่านได้เกิดในสุคติภูมิที่สูงกว่ามนุษย์อุจจาระเหม็น แถมยังหนาแน่นด้วยกิเลส อย่างพวกเรา

อ้างอิงจาก:
คุณเฉลิมศักดิ์ ตอบท่านฌาณด้วย

ยกขึ้นมาให้เดี๋ยวหาย


ใช่ไหม คุณ mes

โอกาสที่พวกเราจะเกิดใน สุคติภูมินี้ยากมาก ๆ

ดัง พระพุทธพจน์


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต

http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=20&A=1003&Z=1058

[๒๐๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ที่เกิดบนบกมีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่เกิดในน้ำมากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่กลับมาเกิดในมนุษย์มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่กลับมาเกิดในกำเนิดอื่นจากมนุษย์มากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่เกิดในมัชฌิมชนบทมีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่เกิดในปัจจันตชนบท ในพวกชาวมิลักขะที่โง่เขลา มากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่มีปัญญา ไม่โง่เง่า ไม่เงอะงะ สามารถที่จะรู้อรรถแห่งคำเป็นสุภาษิต และคำเป็นทุพภาษิตได้ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่เขลา โง่เง่า เงอะงะ ไม่สามารถที่จะรู้อรรถแห่งคำเป็นสุภาษิต และคำเป็นทุพภาษิตได้มากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่ประกอบด้วยปัญญาจักษุอย่างประเสริฐ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ตกอยู่ในอวิชชา หลงใหลมากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่ได้เห็นพระตถาคต มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ไม่ได้เห็นพระตถาคตมากกว่าโดยแท้ สัตว์ที่ได้ฟังธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศไว้ มีเป็นส่วนน้อย

--------------------------------------------

074 คนพาลเกิดเป็นมนุษย์ได้ยาก
http://www.84000.org/true/074.html
------------------------------------------------------


543 อนาคตของคนจิตเศร้าหมองและผ่องใส
http://84000.org/true/543.html

----------------------------------------------------------------
021 มนุษย์ไปเกิดเป็นสัตว์ได้
http://www.84000.org/true/021.html
-------------------------------------------------------
073 คนเกิดเป็นสัตว์ได้
http://www.84000.org/true/073.html
------------------------------------------------------
072 นรกมีจริงหรือ
http://84000.org/true/072.html
---------------------------------------------------
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 30 ก.ย. 2008, 5:32 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อนึ่ง เรื่องราวของ สุนัขที่สามารถจดจำบางสิ่งบางอย่างเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เมื่อครั้งพุทธกาลก็มีครับ

โตเทยยะเป็นบิดาของสุภมาณพเมื่อตายไปเกิดเป็นสุนัขอยู่บ้านเดียวกับสุภมาณพซึ่งเป็นลูกชายตัวเอง สุนัขตัวนี้จำได้ว่าซ่อนสมบัติให้ลูกชายตัวเองที่ไหนบ้าง ทำให้ลูกชายตนเองดีใจมาก




อรรถกถาสุภสูตร

http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=579

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูโลกในสมัยใกล้รุ่ง ทรงเห็นสุนัขนั้นแล้ว ทรงดำริว่า โตเทยยพราหมณ์ตายไปเกิดเป็นสุนัขในเรือนของตนเทียว เพราะความโลภในทรัพย์ วันนี้ เมื่อเราไปสู่เรือนของสุภะ สุนัขเห็นเราแล้ว จักทำการเห่าหอน. ลำดับนั้น เราจักกล่าวคำหนึ่งแก่สุนัขนั้น สุนัขนั้นจะรู้เราว่าเป็นสมณโคดม แล้วไปนอนในที่เตาไฟ เพราะข้อนั้นเป็นเหตุ สุภะจักมีการสนทนาอย่างหนึ่งกับเรา สุภะนั้นฟังธรรมแล้ว จักตั้งอยู่ในสรณะทั้งหลาย ส่วนสุนัขตายไปแล้วจักเกิดในนรก ดังนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้ความที่มาณพจะตั้งอยู่ในสรณะทั้งหลายนี้แล้ว ในวันนั้นทรงปฏิบัติพระสรีระ เสด็จไปสู่เรือนนั้นเพื่อทรงบิณฑบาต โดยขณะเดียวกันกับมาณพออกไปสู่บ้าน. สุนัขเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ทำการเห่าหอน ไปใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า. แต่นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้กะสุนัขนั้นว่า แน่ะโตเทยยะ เจ้าเคยกล่าวกะเราว่า ผู้เจริญๆ ไปเกิดเป็นสุนัข แม้บัดนี้ ทำการเห่าหอนแล้ว จักไปสู่อเวจี ดังนี้. สุนัขฟังพระดำรัสนั้นแล้ว รู้เราว่าเป็นสมณโคดม มีความเดือดร้อน ก้มคอไปนอนในขี้เถ้า ในระหว่างเตาไฟ. มนุษย์ไม่อาจเพื่อจะยกขึ้นให้นอนบนที่นอนอันประเสริฐได้. สุภะมาแล้วพูดว่า ใครยกสุนัขนี้ลงจากที่นอนเล่า. มนุษย์พูดว่า ไม่มีใคร แล้วบอกเรื่องราวเป็นมานั้น. มาณพฟังแล้วโกรธว่า บิดาของเราไปเกิดในพรหมโลก ไม่มีสุนัขชื่อโตเทยยะ แต่พระสมณโคดมทรงทำบิดาให้เป็นสุนัข พระสมณโคดมนั้นพูดพล่อยๆ ดังนี้ เป็นผู้ใคร่จะข่มพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคำเท็จ จึงไปสู่วิหารทูลถามประวัตินั้น.

แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสอย่างนั้นเทียวแก่สุภมาณพนั้น เพื่อไม่ให้โต้เถียงกัน จึงตรัสว่า ดูก่อนมาณพ ก็ทรัพย์ที่บิดาของเธอไม่ได้บอกไว้มีอยู่หรือ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ มีหมวกทองคำราคาหนึ่งแสน รองเท้าทองคำราคาหนึ่งแสน และกหาปณะหนึ่งแสน. เจ้าจงไป จงถามสุนัขนั้นในเวลาให้กินข้าวปายาสมีน้ำน้อย แล้วยกขึ้นในที่นอนก้าวสู่ความหลับนิดหน่อย มันจะบอกทรัพย์ทั้งหมดแก่เจ้า. ลำดับนั้น เจ้าจะพึงรู้สุนัขนั้นว่า มันเป็นบิดาของเรา.

มาณพดีใจแล้วด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ถ้าจักเป็นความจริง เราจะได้ทรัพย์ ถ้าไม่เป็นความจริง เราจักข่มพระสมณโคดมด้วยคำเท็จดังนี้ แล้วไปทำอย่างนั้น. สุนัขรู้ว่า เราอันมาณพนี้รู้แล้ว ทำเสียงร้อง หุง หุง ไปสู่สถานที่ฝังทรัพย์ ตะกุยแผ่นดินด้วยเท้าแล้วให้สัญญา. มาณพถือเอาทรัพย์แล้ว มีจิตเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ธรรมดาสถานที่ปกปิดทรัพย์ปรากฏเป็นของละเอียด อยู่ในระหว่างปฏิสนธิอย่างนี้ นั่นเป็นสัพพัญญูของพระสมณโคดมแน่แท้

---------------------------------------------------------------

จากลานธรรม อภิธรรมมูลนิธิ
http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=11481


มนุษย์ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน


นายโกตุหสิกะเป็นชาวเมืองอัลลกัปปะ ในสมัยหนึ่งเกิดการข้าวยากหมากแพงเพราะธรรมชาติผันผวนผิดฤดูกาล เขาได้ตัดสินพาภรรยาเดินทางไปยังเมืองโกสัมพี เพราะเป็นเมืองที่เหมาะจะไปทำมาหากินอยู่ที่นั่น


เมื่อไปถึงเมืองโกสัมพีแล้วเขาได้พาภรรยาของเขาไปขออาศัยอยู่บ้านเศรษฐีคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของคอกวัวหลายคอก วันที่สองสามีภรรยาไปถึงนั้นเป็นวันที่เศรษฐีเจ้าของบ้านจัดให้มีงานทำบุญรับขวัญแม่โคนมพอดี


เมื่อเศรษฐีเห็นสองสามีภรรยาแล้วก็จำได้ แล้วรู้ว่าเดินทางมาไกลก็เกิดสงสาร จึงสั่งให้จัดอาหารให้ทั้งสองคนรับประทานจนอิ่มหน่ำสำราญ ฝ่ายนายโกตุหสิกะนั้นแม้จะได้กินอาหารที่เศรษฐีจัดมาให้จนอิ่มแล้ว แต่เป็นเพราะเขาไม่ได้กินอาหารมาเป็นเวลานานถึง ๘ วัน เขาก็ยังรู้สึกอยากจะกินอีก


และที่รู้สึกอยากจะกินอีกนี้ไม่ใช่อยากกินอาหารที่เขาได้กินไปแล้ว แต่เป็นเพราะเขาได้มองดูเศรษฐีรับประทานอาหารซึ่งอาหารที่เศรษฐีรับประทานนั้นเป็นข้าวปายาสคือข้าวหุงผสมนมชนิดเลิศ จึงอยากกินบ้างและยิ่งได้เห็นเศรษฐีแบ่งข้าวนั้นให้แก่สุนัขที่นอนอยู่ใต้ที่นั่งนั้นได้กินด้วย จึงคิดไปว่า สุนัขนี้ช่างมีบุญจริงหนอ ที่มาได้กินข้าวดีขนาดนี้


ความอยากกินอาหารผสมกับความคิดเรื่องเห็นสุนัขได้กินอาหารที่ดีๆ ไม่หายไปจากจิตใจ เขาคิดวนเวียนอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา พอตกกลางคืนอาหารที่เขากินมากไปไม่ย่อยกลับเป็นพิษ เขาตายเพราะอาหารเป็นพิษ และเป็นเพราะจิตที่เขาคิดถึงสุนัขด้วยความชื่นชมนั่นเอง จึงส่งผลให้เขาไปเกิดในท้องนางสุนัขตัวนั้น เพราะในคืนนั้นนางสุนัขนี้ได้มีการไปผสมพันธุ์อยู่พอดี และนางสุนัขตั้งท้องประมาณ ๗ เดือน ก็เกิดลูกมาเป็นสุนัขตัวผู้ซึ่งเมื่อโตก็กลายมาเป็นสุนัขแสนรู้


วิเคราะห์ด้วยปฏิจจสมุปบาทได้ว่า นายโกตุหสิกะเกิดชิวหาวิญญาณ คือ การรับรู้รสอาหาร


เมื่อเกิดชิวหาวิญญาณ ก็เกิดตัณหา คือเกิดความยินดีติดใจก็เกิดขึ้น และอยากในรสอาหาร (รสตัณหา)


ต่อมาเขาก็เกิดจักขุวิญญาณ คือเห็นเศรษฐีให้ข้าวแก่นางสุนัข แล้วตัณหา (รูปตัณหา) ก็เกิดขึ้นอีก


จากนั้นอุปาทาน (กามุปาทาน) คือ ความอยากในอาหารนั้นก็เกิดขึ้นมาอีก ครั้นแล้วก็เกิด กรรมภพ คือ ความคิดอยากได้อาหารนั้นก็เกิดขึ้นวนเวียนอยู่ตลอดเวลา


นายโกตุหสิกะทำกรรม (มโนกรรม) คือ คิดอยากได้อาหารและในขณะเดียวกันเขาก็คิดถึงนางสุนัขคืออยากเป็นอย่างนางสุนัขอยู่ตลอดเวลา


การที่นายโกตุหสิกะคิดอยากได้อาหารก็ดี คิดถึงนางสุนัขก็ดี จัดเป็นมโนกรรม (แท้จริงแล้วมโนกรรมนั้นก็คือ มโนวิญญาณ คือการรับรู้ทางใจ หมายถึงการนึกคิดนั่นเอง การนึกคิดนั้นคือมโนกรรม)


เมื่อเกิดกรรมภพแล้วอุปัตติภพ (วิบาก) ก็เกิดขึ้นตามนั้น คือความติดใจในรสอาหารและการนึกคิดถึงนางสุนัขที่เป็นมโนกรรมนั้น บัดนี้ได้มีผลตกค้างเป็นผลอยู่ในภวังควิญาณ


เมื่อถึงคราวจะตาย.. โดยเหตุที่มโนวิญาณ มีอาหารและสุนัขเป็นอารมณ์อย่างแรงกล้า แม้ตกภวังค์เป็นภวังควิญญาณแล้วก็ยังมีอารมณ์อยู่เช่นเดิม ดังนั้น จุติจิตซึ่งเกิดต่อจากภวังค์ก็ยังมีอาหารและนางสุนัขเป็นอารมณ์


และเมื่อจุติจิตดับ ปฏิสนธิวิญาณ ซึ่งเกิดสืบต่อจากจุติจิตก็ยังมีอารมณ์เป็นอย่างเดียวกัน อารมณ์(กรรมอารมณ์) คือ อาหารและนางสุนัข มีพลังส่งผลให้ปฏิสนธิวิญญาณของนายโกตุหสิกะไปเกิดในท้องสุนัข ..นี่คือการตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน


เราก็จะเห็นได้ว่าในขณะที่นายโกตุหสิกะได้กินอาหารนั้นหากเราจะเขียนภาพวิถีขึ้นมาก็คือ ตี น ท ป ชิวหาวิญญาณ สํ ณ โว ชชชชชชช ตทา ตทา ภ แล้วก็ต่อด้วยวิถีทางมโนทวารที่ยินดีในรสตัณหาก็เกิดขึ้น คือ น ท ม ชชชชชชช ภ ฯลฯ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากแล้วก็เกิดกามุปาทาน


เมื่อเขาได้เห็นนางสุนัข วิถีที่เกิดขึ้นก็คือ ตี น ท ป จักขุวิญญาณ สํ ณ โว ชชชชชชช ตทา ตทา ภ แล้วก็ต่อด้วยมโนทวารวิถีที่มีความยินดีติดใจอยากจะได้อยากจะเป็นแบบนางสุนัขนั้นด้วยความยินดีในรูปตัณหาก็เกิดขึ้น คือ น ท ม ชชชชชชช ภ ฯลฯ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากเช่นกันแล้วก็เกิดกามุปาทาน


และเมื่อเวลาเขาใกล้จะตายมรณาสันนกาลที่เกิดขึ้นนี้เป็นอารมณ์ทางใจ จึงเป็นมโนกรรมโดยมีชวนะเป็นอกุศล(คือมีความยินดีในรสอาหารและการเป็นสุนัข) ส่วนมรณาสันนวิถีที่รับอารมณ์ต่อจากมรณาสันนกาลที่แม้จะมีการตกภวังค์ท้ายวิถีไปแล้ว แต่อารมณ์นั้นก็ยังส่งต่อมาอยู่เป็นอกุศลชวนะแล้วจึงจุติ/ปฏิสนธิเป็นสุนัข


การกระทำของนายโกตุหสิกะนั้นมีปฏิจจสมุปบาทเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นการได้กินการได้เห็น แต่จะมาชี้ให้เห็นความสำคัญของปฏิจจสมุปบาทในมรณาสันกาลนี้ให้เห็นเท่านั้นเองว่า


อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ นี้คือตากระทบรูปแล้วก่อให้เกิดการกระทำทางใจที่คร่ำครวญวนเวียนอยู่ด้วยเวทนาที่เป็นสุขเวทนาเพราะมีความยินดีในอารมณ์นั้น


และในการอธิบายครั้งที่ผ่านมาในการไปเกิดเป็นรูปพรหมและอรูปพรหมนั้นได้เน้นถึงเรื่องเวทนาว่า เป็นสุขเวทนา(โสมนัส) เป็นอุเบกขาเวทนา แต่ในการไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานนี้แม้ท่านไม่ได้เจาะจงไว้ในเรื่องของเวทนาแต่สามารถอธิบายได้ว่า เป็นสุขเวทนาเพราะมีความยินดีในอารมณ์ที่ได้รับ


ถ้าหากคนไม่เข้าใจก็อาจคิดว่า สุขเวทนานี้เป็นความรู้สึกที่ดีน่าจะทำให้ไปเกิดในสุคติมากกว่า เพราะถ้ามองผิวเผินแล้วในเมื่อไม่มีความทุกข์ทำไมจึงไม่ไปเกิดสุคติภูมิล่ะ ถามว่าสุขอันนี้เป็นสุขอะไร? คือโสมนัสในโลภะจิตอันข้องไปด้วยกามนั่นเอง


จากนั้นสุขเวทนาก็ทำให้ตัณหาเกิดขึ้นคือ รสตัณหาคือความยินดีที่ติดในรสชาติอาหารอยากจะได้กินอาหารของเศรษฐี หรือรูปตัณหา คือยินดีที่อยากจะเป็นสุนัขเพราะคิดว่าเป็นสุนัขก็ดีนะ แล้วก็เกิดอุปาทาน คือกามุปาทานเพราะยึดในอารมณ์ที่เป็นกามอยู่ในกามภูมิ


เพราะฉะนั้นชวนะใกล้ตายของเขาจึงเต็มไปด้วยความต้องการในอารมณ์กามคือ เขาได้ทำกรรมคืออกุศลมโนกรรมเป็นโลภะชวนะ ดังนั้น เมื่อจุติเกิดขึ้นแล้วเขาจึงได้ภพใหม่เป็นเดรัจฉานคือสุนัข นี่คือวงจรปฏิจจสมุปบาทในมรณาสันนกาลสู่มรณาสันนวิถี ซึ่งโดยปกติในการเรียนปฏิจจสมุปบาทของเรานั้นเราไม่เคยนำมาเกี่ยวข้องกันในมรณาสันนกาลและมรณาสันนวิถี
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 30 ก.ย. 2008, 5:42 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
สวัสดีครับท่านผู้การหูตั้ง.....

ขอบพระคุณท่านอาจารย์เฉลิมศักดิ์ครับ เรื่องนี้ดีมากๆๆครับ


คุณฌานครับ นอกจากจะมีเรื่องราวของผู้การหูตั้ง แล้ว ยังมีการอ้างถึงพระพุทธพจน์ และ ท่านอาจารย์ ยังได้นำ ปฏิจจสมุปบาท มาอธิบายประกอบ

คุณฌานครับ ผมเพียงแต่นำ เรื่องดี ๆ จากที่ท่านอาจารย์ ( ตัวจริง )

ผมไม่ถึงขั้นนั้นหรอกครับ ยิ้มแก้มปริ

------------------------------------------------------

ครั้งหนึ่ง เคยนั่งฟัง การอธิบาย ปฏิจจสมุปบาทธรรม ของท่านอาจารย์ เกิดศรัทธามาก ๆ ครับ

ปฏิจจสมุปบาท
http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=8821

ปฏิจจสมุปบาทธรรมนั้นเป็นระบบการกำเนิดสัตว์ หรือเรียกว่าชีวิต หรือกฎการหมุนเวียนแห่งชีวิต เรียกธรรมนี้ว่าภวจักร ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ปฏิจจสมุปบาทนั้น เป็นลักษณะเป็นปัจจัยแห่งชาติ ชรา – มรณะ ทำหน้าที่ให้เกิดทุกข์ติดตามมาในสังสารวัฏฏ์ และทำให้เกิดการเดินทางผิดจากพระนิพพานเป็นผล ชีวิตจึงเวียนวนอยู่ในสงสาร เวียนไปด้วยความไม่รู้จากกิเลสวัฏฏ์ กัมมวัฏฏ์ และวิบากวัฏฏ์

ภวจักร แปลว่า ล้อชีวิตหมุนอยู่ตลอด
สังสารวัฏฏ์ มาจากคำว่า สังสารจักร



ผู้ที่ฟังเรื่องปฏิจจสมุปบาทและปัญจาการนี้ โอกาสเท่ารูเข็มที่จะให้ทิฏฐิ (ความเห็นผิด) เกิดไม่ได้เลย เป็นมหากุศลญาณสัมปยุต ที่แน่นสืบต่อกันอย่างมั่นคง วิบากอันเป็นอกุศลเท่ารูเข็มจะไม่ปรากฏขึ้น

ฉะนั้น ขณะใดที่นั่งเรียนอยู่ และมีการแสดงธรรมปัญจาการและปฏิจจสมุปบาท ต่อให้มีอันตรายไม่ต้องหลบเพราะขณะนี้วิบากอกุศลเท่ารูเข็ม ที่จะเกิดให้วิบากอกุศลเข้ามา หรือกรรมเบียดเบียนฝ่ายอกุศล กับกรรมตัดรอนฝ่ายอกุศลจะเข้ามาไม่ได้เลย เพราะไม่มีเลยเท่าช่องรูเข็ม นี่คือธรรมวิเศษของปฏิจจสมุปบาทและปัญจาการ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เมธี
บัวตูม
บัวตูม


เข้าร่วม: 02 มี.ค. 2008
ตอบ: 222

ตอบตอบเมื่อ: 30 ก.ย. 2008, 8:31 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
บุญชัย
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 ก.ค. 2008
ตอบ: 568
ที่อยู่ (จังหวัด): สงขลา

ตอบตอบเมื่อ: 30 ก.ย. 2008, 9:47 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Fโหท่านเฉลิมนี่ความรู้เยอะจริงๆ
ขอบพระคุณมากๆครับ
ผมชอบพวกโอปาติกะร่างใสๆ
 

_________________
ทำดีทุกทุกวัน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 30 ก.ย. 2008, 8:38 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ่านจากตำราใช่ไหม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2008, 6:04 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

mes พิมพ์ว่า:
อ่านจากตำราใช่ไหม


ใช่ครับ คุณ mes

จะให้ผม ทำสมาธิจนได้ฌาน แล้ว กระทำ อภิญญาจิต ให้ได้อิทธิปาฏิหาริย์ มีตาทิพย์ แล้วค่อยเชื่อเรื่อง หลักกรรม การเวียนว่ายตายเกิด ในภพภูมิต่าง ๆ

ผมคงต้องเสียชีวิต ก่อนที่จะมีสัมมาทิฏฐิระดับโลกียะ แน่ ๆ

-----------------------------------------------------
จากตำรา พระอภิธัมมัตถสังคหะ

การอบรมสมาธิเพื่ออภิญญา
http://www.abhidhamonline.org/aphi/p9/055.htm

อภิญญา ญาณ วิชา
http://www.abhidhamonline.org/aphi/p9/063.htm

อย่าว่าแต่จะได้ถึงซึ่งอภิญญาเลย แม้การเจริญสมถกัมมัฏฐาน จนกว่าจะได้ฌานนั้น ก็มิใช่ว่าจะกระทำได้โดยง่ายดายนัก ต้องมีใจรักอย่างที่เรียกว่า มีฉันทะมีความพอใจเป็นอย่างมาก มีความพากเพียรเป็นอย่างยิ่ง ประกอบด้วยเอาใจจิตใจจ่ออย่างจริงจัง ทั้งต้องประกอบด้วยปัญญารู้ว่าฌานนี้ก็เป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นบาทที่ก้าวขึ้นไปสู่ความหลุดพ้น แล้วจึงตั้งหน้าเจริญภาวนาตามวิธีการจนเกิดฌานจิต ฌานจิตที่เกิดจากการปฏิบัติเช่นที่ได้กล่าวแล้วทั้งหมดนี้ มีชื่อเรียกว่า ปฏิปทาสิทธิฌาน เป็นการได้ฌานด้วยการประพฤติปฏิบัติ ได้ฌานด้วยการเจริญสมถภาวนา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2008, 6:10 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

mes พิมพ์ว่า:
อ่านจากตำราใช่ไหม


ถ้าไม่อ่านจากตำรา จะให้ผมนั่งนึกเอง ว่าเรื่อง นรก สวรรค์ โอปปาติกะ ( เทวดา เปรต) เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ทรงเอออวยกับศาสนาพราหมณ์ เพราะพิสูจน์ให้คนโง่ ๆ สมัยนั้นเห็นไม่ได้

ผมคิดแบบผู้ที่คุณนับถือ นั้นไม่ได้จริง ๆ


อ้างอิงจาก:

http://www.buddhadasa.com/index_subj.html

เทวดามีจริงหรือไม่ (โดยท่านพุทธทาส)
http://www.buddhadasa.com/dhamanukom/tevada83.html


อนึ่ง การที่ท่านพุทธทาส กล่าวตู่พระพุทธพจน์ว่าทรงเอออวยเรื่องนรก สวรรค์ กับศาสนาพราหมณ์ เพราะพิสูจน์ให้คนโง่เห็นไม่ได้ จึงไม่เป็นความจริงครับ

เพราะพระพุทธองค์ทรงเปิดโลกทั้ง ๓ ให้เห็นซึ่งกันและกัน
(ถ้าคุณ mes เชื่อตามอาจารย์พุทธทาส ว่าเรื่องปาฏิหาริย์เหล่านี้ สร้างขึ้นมาเพื่อสร้างอำนาจบางอย่าง ให้กับศาสนาพุทธ ก็ตามใจครับ)

ประวัติพระอภิธรรม

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14797&start=0&postdays=0&postorder=asc&highlight=&sid=3e44281e212d5acd9043c171b5fad520

--------------------------------------------------

สมุดภาพพระพุทธประวัติ
http://84000.org/tipitaka/book/


ทรงสำแดงยมกปาฏิหาริย์ข่มพวกเดียรถีย์ที่ต้นมะม่วงคัณฑามพฤกษ์
http://84000.org/tipitaka/picture/f62.html

แล้วเสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรด(พระอภิธรรม) พระพุทธมารดา
http://84000.org/tipitaka/picture/f63.html

ถึงวันมหาปวารณา เสด็จลงจากดาวดึงส์โดยบันไดแก้ว บันไดทอง บันไดเงิน
http://84000.org/tipitaka/picture/f64.html

____________________________________
http://www.84000.org/tipitaka/picture/f65.html

ภาพที่ ๖๕
ครั้นแล้วก็ทรงเปิดโลก บันดาลให้เทวดา มนุษย์ และสัตว์นรกแลเห็นซึ่งกันและกัน

วันที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากดาวดึงส์นั้น พระองค์ได้แสดงปาฏิหาริย์อีกครั้งหนึ่ง คือขณะ
ที่พระองค์ประทับยืนอยู่ที่บันไดแก้ว ทรงทอดพระเนตรไปทางทิศเบื้องบน เทวโลกและพรหมโลกก็เปิด
มองเห็นโล่ง เมื่อทรงทอดพระเนตรไปในทิศเบื้องต่ำ นิรยโลกทั้งหลายก็เปิดโล่ง ในครั้งนั้น สวรรค์ มนุษย์
และสัตว์นรก ต่างก็เห็นซึ่งกันและกันทั่วจักรวาล

ภาพนี้อยู่ในเหตุการณ์ตอนเดียวกับวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรียกเหตุ
การณ์ตอนนี้ว่าพระพุทธเจ้าทรงเปิดโลก โลกที่ทรงเปิดในเหตุการณ์คราวนี้มี ๓ โลก คือ เทวโลก มนุษย
โลก และยมโลก

เทวโลก หมายถึง ตั้งแต่พรหมโลกลงมาจนถึงสวรรค์ทุกชั้น มนุษย์โลกก็คือโลกมนุษย์ และ
ยมโลกซึ่งอยู่ทางเบื้องต่ำ คือ นรกทุกขุมจนกระทั่งถึงอเวจีมหานรก

พระพุทธเจ้าขณะเสด็จลงจากสวรรค์ ทอดพระเนตรดูเบื้องบนโลกทั้งมวลตั้งแต่มนุษย์ก็สว่าง
โล่งขึ้นไปถึงเทวโลก เมื่อทรงเหลียวไปรอบทิศรอบด้านสากลจักรวาลก็โล่งถึงกันหมด และเมื่อทอดพระเนตร
ลงเบื้องล่าง ความสว่างก็เปิดโล่งลงไปถึงนรกทุกขุม

ผู้อาศัยอยู่ในสามโลกต่างมองเห็นกัน มนุษย์เห็นเทวดา เทวดาเห็นมนุษย์ มนุษย์และเทวดา
เห็นสัตว์นรก สัตว์นรกเห็นเทวดาและมนุษย์ แล้วต่างเหลียวมองดูพระพุทธเจ้าผู้เสด็จลงจากสวรรค์ด้วยพระ
เกียรติยศอันยิ่งใหญ่

คัมภีร์ธรรมบทที่พระพุทธโฆษาจารย์เป็นผู้แต่งบอกว่า "วันนี้คนทั้งสามโลกได้เห็นแล้ว ที่ไม่
อยากเป็นพระพุทธเจ้านั้นไม่มีเลยสักคน" ปฐมสมโพธิพรรณนาไว้ยิ่งกว่านี้เสียอีก คือว่า

"ครั้งนั้นเทพยดามนุษย์แลสัตว์เดรัจฉาน กำหนดที่สุดมดดำมดแดง ซึ่งได้เห็นองค์พระชินสีห์
แลสัตว์คนใดคนหนึ่งซึ่งจะมิได้ปรารถนาพุทธภูมินั้นมิได้มีเป็นอันขาด"

พุทธภูมิ คือ ความเป็นพระพุทธเจ้า
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2008, 6:25 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

นี่ก็ใกล้ ออกพรรษาแล้ว มีปรากฏการณ์หนึ่ง ที่ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ยังไม่ได้ คือ บั้งไฟพญานาค

หลังจากมีนักวิชาการ เดาว่า ทหารลาวยิงปืน, เกิดจากก๊าซใต้น้ำโขง ฯลฯ

แต่ผมเชื่อว่า เกิดจากการกระทำของ โอปปาติกะ ผู้มีฤทธิ กระทำการณ์เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า และระลึกถึงเมื่อครั้ง พระพุทธองค์เสด็จจากเทวโลก

----------------------------------------------------------------------
http://www.thairath.co.th/offline.php?section=hotnews&content=66069

นักท่องเที่ยวหลายหมื่นคนหลั่งไหลพิสูจน์บั้งไฟพญานาคริมฝั่งโขงอย่างมืดฟ้ามัวดิน โดยตั้งแต่เช้าวันที่ 26 ต.ค. บรรยากาศงานเทศกาลออกพรรษาบั้งไฟพญานาค จ.หนองคาย เริ่มคึกคักกันตั้งแต่เช้า เมื่อมีรถยนต์ของนักท่องเที่ยวและรถทัวร์ทยอยเดินทางเข้า อ.เมือง อ.โพนพิสัย และ อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย นอกจากนักท่องเที่ยวมุ่งชมบั้งไฟพญานาคแล้ว ส่วนใหญ่ยังเดินทางไปไหว้และทำบุญตามวัดต่างๆ เนื่องในวันออกพรรษาด้วย
----------------------------------------------------

จากเรื่องผู้การหูตั้ง มาเป็นบั้งไฟพญานาค ได้งัยนี้ ขำ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2008, 8:35 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตำรามีไว้เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจากอาสวะกิเลส

มิได้มีไว้เพื่อยึดติดงมงาย พระพุทธเจ้ามีสั่งสอนเอาไว้

การปฏิบัติธรรมก็เพื่อพ้นวัฏฏสงสาร

มิใช่หวังอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารฺย์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2008, 8:37 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อีกประการหนึ่ง

สันดานความพยาบาทนั้นควรละทิ้งเสีย

อย่าเก็บเอาไว้ในใจ

เป็นสังโยช
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
บุญชัย
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 ก.ค. 2008
ตอบ: 568
ที่อยู่ (จังหวัด): สงขลา

ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2008, 8:57 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีฉันทะมีความพอใจเป็นอย่างมาก มีความพากเพียรเป็นอย่าง
ครับผมคนหนึ่งละครับที่ปฏิบัติ สมาธิทุกวัน ไม่ได้ขาด
ผมใช้ พระมหาชนกเป็น สติเตือน ให้มี วิริยะอย่างแรงกล้า ที่
จะปฏิบัติให้ได้ขั้นฌาน จะได้ไม่ขายหน้า เพื่อนๆ
 

_________________
ทำดีทุกทุกวัน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2008, 12:18 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

mes พิมพ์ว่า:
อีกประการหนึ่ง

สันดานความพยาบาทนั้นควรละทิ้งเสีย

อย่าเก็บเอาไว้ในใจ

เป็นสังโยช


คุณ mes ครับ แม้ท่านพุทธทาสอาจารย์ของคุณ ยังเว้นพยาบาทไม่ได้เลยครับ

จากหนังสือ ปฏิจจสมุปบาท ของท่านพุทธทาส
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?p=77052&sid=4c12b5e211df4fde583cd2d03c6732fe

อ้างอิงจาก:
ทีนี้มาเดากันดูอีกทางหนึ่งดีกว่าว่า จะมีทางเป็นไปได้ไหมว่าอาจเกิดมีหนอนบ่อนไส้ขึ้นในพระพุทธศาสนา. มีคนขบถทรยศเป็นหนอนบ่อนไส้เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา แกล้งอธิบายเรื่องปฏิจจสมุปบาทซึ่งเป็นหลักของพระพุทธศาสนาให้ผิดเสีย คือให้เป็นสัสสตทิฏฐิในฮินดู หรือกลายเป็นศาสนาพราหมณ์. ปฏิจจสมุปบาทของพระพุทธเจ้าไม่มีทางที่จะมีอัตตา, ชีโว, อาตมันหรืออะไรทำนองนั้น. ไม่มีทางที่จะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าเป็นของพุทธ. แล้วถ้ามีใครมาอธิบายปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนาให้มันเกิดคร่อม ๓ ชาติอย่างนี้มันก็เกิดเป็นอัตตาขึ้นมา เขาก็กลืนพุทธศาสนาสำเร็จ. ถ้ามีเจตนาเลวร้ายกันถึงขนาดนี้ ก็แปลว่าต้องมีคนแกล้งอธิบายขึ้นมาให้มีช่องให้เกิดอัตตาขึ้นมาในพุทธศาสนา แล้วศาสนาพราหมณ์ก็กลืนศาสนาพุทธวูบเดียวหมดโดยกระทันหัน. นี้เป็นเรื่องสันนิษฐานในแง่เลวร้ายอย่างนี้ก็มีได้

เรื่องส่วนตัวพระพุทธโฆษาจารย์
ทีนี้จะวิจารณ์เรื่องส่วนตัวของพระพุทธโฆษาจารย์กันบ้าง ไม่ใช่จ้วงจาบ ไม่ใช่นินทา ไม่ใช่ใส่ร้าย แต่เอามาเป็นเหตุผลสำหรับการอธิบาย ปฏิจจสมุปบาทของท่าน(บางส่วนที่คร่อมภพชาติ ซึ่งท่านพุทธทาสถือว่าผิดจากหลักบาลี ) ซึ่งมันมีแง่ให้เราตั้งข้อสังเกตว่าพระพุทธโฆษาจารย์นั้น ท่านเป็นพราหมณ์โดยกำเนิดท่านเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพราหมณ์ ท่านจบไตรเพทอย่างพราหมณ์คนหนึ่ง มีวิญญาณอย่างพราหมณ์ แล้วจึงมาบวชในพระพุทธศาสนานี้ แล้วได้รับการสมมุติกันในหมู่คนบางพวกว่าเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง เมื่อ พศ. ร่วมพันปี นักโบราณคดีถือว่าท่านเกิดที่อินเดียใต้ มิใช่ชาวมคธ บางพวกดึงท่านมาเป็นมอญก็มี ไม่เหมือนในอรรถกถา ที่ถือว่าท่านเป็นชาวมัธยมประเทศ ท่านเป็นพราหมณ์โดยเลือดเนื้อมาเป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนานี้ แล้วถ้าเกิดไปอธิบายปฏิจจสมุปบาทของพุทธให้กลายเป็นพราหมณ์อย่างนี้ มันยิ่งสมเหตุสมผล คือท่านเผลอไปก็ได้ ถ้าท่านเผลอท่านก็ไม่ใช่พระอรหันต์เป็นแน่นอน ข้อนี้จะว่าอย่างไรก็ต้องพูดอย่างที่เรียกว่า ขอฝากไว้ให้ท่านผู้มีสติปัญญาพิจารณาดูเถิด
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2008, 2:08 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณเฉลิมศักดิ์

เทพบนสวรรค์มีส่วนสูงเฉลี่ยที่เท่าไหร่

เทวดาบนสวรรค์มีส่วนสูงเฉลี่ยที่เท่าไหร่
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
บุญชัย
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 ก.ค. 2008
ตอบ: 568
ที่อยู่ (จังหวัด): สงขลา

ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2008, 2:08 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ gs9เหตุผลนี้ น่าเชื่อถือครับ
 

_________________
ทำดีทุกทุกวัน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่หัวข้อนี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไข หรือตอบได้
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง