Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
มาทำความเข้าใจในเรื่อง นิพพาน ก่อนถึงนิพพาน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
Buddha
บัวบาน
เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
ตอบเมื่อ: 29 เม.ย.2008, 9:48 am
นิพพาน หรือ ปรินิพพาน เป็นชื่อชั้นการฝึกปฏิบัติธรรม ในทางศาสนาพุทธ ขั้นสูงสุด
ผู้จะเข้าถึงนิพพาน ได้ ต้องผ่าน ระดับชั้น การฝึกปฏิบัติ ตั้งแต่ ระดับ โสดาบัน ฯ เป็นต้นมา
ก่อนที่จะสำเร็จธรรมในชั้นต่างๆนั้น ล้วนต้อง บรรลุถึง ก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจึงจะเข้าสู่ชั้นสำเร็จ ในชั้นนั้น
ข้าพเจ้าได้ศึกษา ค้นคว้า วิจัย และได้ฝึกปฏิบัติ จนได้ผลอย่างชัดแจ้งแล้วว่า
ชั้นการฝึกปฏิบัติธรรม ในทางพุทธศาสนานั้น มีจริง เป็นจริง ซึ่งในแต่ละชั้น ตั้งแต่ชั้นโสดาบันฯ เป็นต้นไป จนถึงระดับ อรห้นต์ และ นิพพานนั้น ล้วนมีปรากฏการณ์ทางสรีระร่างกายที่แตกต่างกันไป คำว่า ปรากฏการณ์ทางสรีระร่างกาย ย่อมหมายรวมถึงสภาพสภาวะจิตใจด้วย
ผู้บรรลุนิพพานนั้น จะเปรียบได้กับเป็นผู้ชนะต่อสรรพสิ่งทั้งมวล ไม่ว่าจะชนะ กิเลส ในตัวเอง ยังสามารถชนะ กิเลสในตัวผู้อื่นที่แสดงออกมาอีกด้วย
คำว่า ผู้ชนะนั้น ไม่ได้เหมือนการชนะในการแข่งขันกีฬา หรืออื่นๆทั่วๆไป
เพราะการชนะในทางศาสนานั้น หมายถึงสามารถขจัด ควบคุม ป้องกัน สิ่งที่เรียกว่ากิเลสทั้งมวล และยังอาจหมายรวมถึง สภาพการณ์ต่างๆ ทางธรรมชาติอีกด้วย
การบรรลุนิพพานนั้น ยังเป็นเพียงการบรรลุ ยังไม่ถึงขั้นสำเร็จ เพราะการจะสำเร็จนิพพานนั้น จำเป็นต้องสละทุกอย่าง ถึงแม้ไม่บวช ก็สำเร็จได้ ขึ้นอยู่กับ สภาวะจิตใจ และความต้องการของบุคคลนั้นๆว่า จะสละ หรือขจัดทุกอย่างหรือไม่
การบรรลุถึงนิพพานนั้น สรีระร่างกาย ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานนิวเคลียส ที่มีทั้งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า คือความเป็น อัตตา คือมีตัวมีตน สามารถมองเห็นเป็นรูปร่าง แต่โปร่งแสง มีฉัพพรรณรังสี เปล่งออกมาตลอดเวลาที่มีการแปรเปลี่ยนทางสรีระร่างกาย
การบรรลุนิพพาน อีกรูปแบบหนึ่งนั้น สรีระร่างกาย ก็จะแปรเปลี่ยน เป็นธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศธาตุ มนุษย์ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
การแปรเปลี่ยนของสรีระร่างกายนั้น หมายถึง การแปรเปลี่ยนทางสรีระร่างกายที่เป็นมนุษย์นี้แหละ แปรเปลี่ยนไปตามที่ได้อธิบายไป การแปรเปลี่ยนอย่างหลังนี้ เรียกว่า "อนัตตา" คือ ความไม่มีตัว ไม่มีตน
การบรรลุนิพพานที่ เรียกว่า "อัตตา"นั้น สาเหตุ ก็เพราะ มีความหลง หรือความห่วง อะไรบางอย่าง อันเป็นอย่างละเอียด สุด จึงยังคงรูปให้สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่สรีระร่างกายก็แปรเปลี่ยน จากมนุษย์ ไปสู่อีกมิติหนึ่ง
ส่วน การบรรลุนิพพาน ที่เรียกว่า "อนัตตา"นั้น หมายถึง ไม่หลง ไม่ห่วง หลุดพ้นจากวัฏจักร อย่างสิ้นเชิง สรีระร่างกาย จะแปรเปลี่ยน เป็นอากาศธาตุ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แต่ยังคงมีรูป อันเป็นรูปที่มนุยษ์มองไม่เห็น
การแปรเปลี่ยนทางสรีระร่างกาย เมื่อบรรลุนิพพานนั้น จะแตกต่างจาก รูปร่างหรือสรีระร่างกายของ โอปปาติกะ เช่น เทวดา รุกขเทวา เจ้าที่ ฯลฯ เพราะ รูปร่าง ของโอปปาติกะ นั้น มีธรรมอยู่น้อย
แต่ผู้บรรลุนิพพาน สำเร็จด้วยธรรม จึงสามารถ กำหนดได้ คือ ที่ว่า เป็น "อนัตตา"นั้น จะกำหนดให้เห็นเป็นรูปร่าง ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ได้ เช่นกัน
อธิบายมาพอสมควร เมื่อท่านทั้งหลายได้อ่าน ก็โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และคิดพิจารณาด้วย ขอรับ
เพราะข้าพเจ้าไม่ท้าให้พิสูจน์ตัวข้าพเจ้า ขอรับ
แก้ไขล่าสุดโดย Buddha เมื่อ 08 พ.ค.2008, 3:24 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ทศพล
บัวเริ่มพ้นน้ำ
เข้าร่วม: 10 ก.พ. 2008
ตอบ: 153
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
ตอบเมื่อ: 02 พ.ค.2008, 10:38 am
พี่ buddha ครับ
พระโสดาบันทรงอารมณ์ยังไงหรอครับ
_________________
"ธรรมทาน คือ ทานอันสูงสุด"
"ผู้ที่ฝึกจิต ย่อมนำความสุขมาให้"
http://www.wimutti.net
Buddha
บัวบาน
เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
ตอบเมื่อ: 02 พ.ค.2008, 1:20 pm
ทศพล พิมพ์ว่า:
พี่ buddha ครับ
พระโสดาบันทรงอารมณ์ยังไงหรอครับ
ตอบ...
ทรงอารมณ์ หมายถึง มีอารมณ์ หรือตั้งอารมณ์ อย่างไร
ผู้บรรลุธรรมตั้งแต่ชั้น โสดาบัน เป็นต้นไป ล้วนย่อมมีสรีระร่างกายเป็นมนุษย์อยู่ ดังนั้น อารมณ์ใดใด ที่จะเกิด กับพระอริยะบุคคลนั้น ล้วนย่อมเกิดจาก ความรู้ ความเข้าใจ ประสบการณ์ และความจำ ในตัวของพระอริยะบุคคลนั้นๆ เป็นอันดับแรก
นอกเหนือจากนั้น ก็จะเป็น การได้รับการสัมผัสจากภายนอก ร่างกาย คือสัมผัสจากผู้อื่น ทางอายตนะทั้งหลาย ซึ่งล้วนทำให้เกิด รูป รส กลิ่น เสียง แสง สี โผฏฐัพพะ
ผู้บรรลุโสดาบัน เมื่อได้สัมผัส ประกอบกับปัจจัยที่มีอยู่ในตัว ล้วนย่อมมีอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด เฉกเช่น มนุษย์ทั่วๆไป
เพราะผู้บรรลุโสดาบันนั้น ก็เป็นเพียงผู้รู้จักมรรคผล รู้ว่า มรรค เป็นอย่างไร ผลเป็นอย่างไร ซึ่ง ต้องอาศัยการฝึกฝน เพื่อขจัดอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ให้ออกจากสรีระร่างกาย
ดังนั้น สภาพอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ของผู้บรรลุโสดาบัน ที่เกิดขึ้น บางอย่างก็จะสามารถขจัดออกไปได้ บางอย่างก็ไม่สามารถขจัดออกไปได้
สภาพอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก ที่สามารถขจัดออกจากร่างกายได้ ก็ย่อมทำให้ ผู้บรรลุโสดาบันนั้น ว่างเปล่า ไม่คิดสิ่งใด ไม่รู้สึก ไม่มีอารมณ์ ใดใด จะว่า วางเฉย ก็ไม่ใช่ จะว่า ไม่วางเฉยก็ไมใช่ คือรู้สึกตัวอยู่เสมอ แต่ไม่ยินดียินร้าย ต่อสิ่งที่มาสัมผัส นี้กล่าวในแง่ที่ว่า ผู้บรรลุโสดาบันนั้น ขจัดอาสวะออกไปได้
แต่ถ้าหากผู้บรรลุโสดาบัน ไม่อาจสามารถขจัดอาสวะที่ได้รับจากการสัมผัส และจากภายในร่างกายตัวเอง ให้ออกไปจากร่างกายได้ ก็ย่อมมีอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ตามการที่ได้รับสัมผัสนั้นๆ แต่เนื่องจากผู้บรรลุโสดาบัน มีสมาธิ และความรู้อยู่ครบถ้วน จึงไม่แสดงอาการ หรือสามารถควบคุณ อารมณ์ ความรู้สึก ความคิดเหล่านั้นไว้ได้ ซึ่งก็ย่อมขึ้นอยู่กับสถานะการ์ สิ่งแวดล้อม การครองเรือน หรือหน้าที่การงาน อันเป็นปัจจัยประกอบที่สำคัญ
สุดท้าย อย่าสงสัยว่า ทำไม ถามนิดเดียว แต่ตอบยาว
เพราะ มันเป็นเรื่องที่ต้องอธิบายกันยาว ไม่ใช่มาตอบว่า ละโน้น ละนี้ ละอย่างนั้น ละอย่างนี้ ก็ทรงอารมณ์อย่างนั้น อย่างนี้ นั่นมันอวดอุตริฯ
แต่ที่กล่าวไปทั้งหมด ของจริง เรื่องจริงขอรับ
Buddha
บัวบาน
เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
ตอบเมื่อ: 08 พ.ค.2008, 3:38 pm
ทศพล พิมพ์ว่า:
พี่ buddha ครับ
พระโสดาบันทรงอารมณ์ยังไงหรอครับ
ตอบ...
ทรงอารมณ์ หมายถึง มีอารมณ์ หรือตั้งอารมณ์ อย่างไร
ผู้บรรลุธรรมตั้งแต่ชั้น โสดาบัน เป็นต้นไป ล้วนย่อมมีสรีระร่างกายเป็นมนุษย์อยู่ ดังนั้น อารมณ์ใดใด ที่จะเกิด กับพระอริยะบุคคลนั้น ล้วนย่อมเกิดจาก ความรู้ ความเข้าใจ ประสบการณ์ และความจำ ในตัวของพระอริยะบุคคลนั้นๆ เป็นอันดับแรก
นอกเหนือจากนั้น ก็จะเป็น การได้รับการสัมผัสจากภายนอก ร่างกาย คือสัมผัสจากผู้อื่น ทางอายตนะทั้งหลาย ซึ่งล้วนทำให้เกิด รูป รส กลิ่น เสียง แสง สี โผฏฐัพพะ
ผู้บรรลุโสดาบัน เมื่อได้สัมผัส ประกอบกับปัจจัยที่มีอยู่ในตัว ล้วนย่อมมีอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด เฉกเช่น มนุษย์ทั่วๆไป
เพราะผู้บรรลุโสดาบันนั้น ก็เป็นเพียงผู้รู้จักมรรคผล รู้ว่า มรรค เป็นอย่างไร ผลเป็นอย่างไร ซึ่ง ต้องอาศัยการฝึกฝน เพื่อขจัดอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ให้ออกจากสรีระร่างกาย
ดังนั้น สภาพอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ของผู้บรรลุโสดาบัน ที่เกิดขึ้น บางอย่างก็จะสามารถขจัดออกไปได้ บางอย่างก็ไม่สามารถขจัดออกไปได้
สภาพอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก ที่สามารถขจัดออกจากร่างกายได้ ก็ย่อมทำให้ ผู้บรรลุโสดาบันนั้น ว่างเปล่า ไม่คิดสิ่งใด ไม่รู้สึก ไม่มีอารมณ์ ใดใด จะว่า วางเฉย ก็ไม่ใช่ จะว่า ไม่วางเฉยก็ไมใช่ คือรู้สึกตัวอยู่เสมอ แต่ไม่ยินดียินร้าย ต่อสิ่งที่มาสัมผัส นี้กล่าวในแง่ที่ว่า ผู้บรรลุโสดาบันนั้น ขจัดอาสวะออกไปได้
แต่ถ้าหากผู้บรรลุโสดาบัน ไม่อาจสามารถขจัดอาสวะที่ได้รับจากการสัมผัส และจากภายในร่างกายตัวเอง ให้ออกไปจากร่างกายได้ ก็ย่อมมีอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ตามการที่ได้รับสัมผัสนั้นๆ แต่เนื่องจากผู้บรรลุโสดาบัน มีสมาธิ และความรู้อยู่ครบถ้วน จึงไม่แสดงอาการ หรือสามารถควบคุณ อารมณ์ ความรู้สึก ความคิดเหล่านั้นไว้ได้ ซึ่งก็ย่อมขึ้นอยู่กับสถานะการ์ สิ่งแวดล้อม การครองเรือน หรือหน้าที่การงาน อันเป็นปัจจัยประกอบที่สำคัญ
สุดท้าย อย่าสงสัยว่า ทำไม ถามนิดเดียว แต่ตอบยาว
เพราะ มันเป็นเรื่องที่ต้องอธิบายกันยาว ไม่ใช่มาตอบว่า ละโน้น ละนี้ ละอย่างนั้น ละอย่างนี้ ก็ทรงอารมณ์อย่างนั้น อย่างนี้ นั่นมันอวดอุตริฯ
แต่ที่กล่าวไปทั้งหมด ของจริง เรื่องจริงขอรับ
ส่วนการบรรลุอรหันต์ นั้น คือ การที่บุคคล มีความรู้ ในหลักวิชชา ทางศาสนา ฝึกปฏิบัติ จนสามารถขจัดคลื่นอาสวะแห่งกิเลสออกจากร่างกาย ขณะที่ขจัดอาสวะแห่งกิเลส ก็จะเปล่งเป็นแสงสีต่างๆกัน จะเรียกว่า ฉัพพรรณรังสี ก็ได้ เพราะผู้บรรลุอรหันต์ จะสามารถขจัดอาสวะแห่งกิเลส อันเป็นอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด คลื่นแห่งกามตัณหา ฯลฯ ซึ่ง อาสวะแห่งกิเลสต่างๆเหล่านั้น จะแสดงออกมาเป็นแสงสีตามแต่ อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ฯลฯ ยกตัวอย่างเช่น อารมณ์โกรธ หรือขุ่นมัว ก็จะเปล่งฉัพพรรณรังสี เป็นแสงสีดำ หรือเกีอบจะดำ
ถ้าเป็นขจัดความหลง เช่นได้รู้จัก ได้เห็น ได้พบ ก็จะเปล่งเป็นแสงสีส้ม
ถ้าเป็นการขจัดอาสวะแห่งกิเลสที่เป็นส่วนละเอียด ก็จะเป็นแสงสีขาวนวล
ถ้าเป็นการขจัดอาสวะแห่งกิเลสที่เป็นส่วนละเอียด ระดับอะตอม(เล็กที่สุด) ก็จะเป็นแสงสีขาวใส
อย่างนี้เป็นต้น
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th