Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ชีวิตหลังความตายต่อ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
โยคี19
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 15 เม.ย. 2008
ตอบ: 29
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ

ตอบตอบเมื่อ: 20 เม.ย.2008, 2:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อายุกขยมรณะ ก็หมายถึง ผู้ที่มีอายุมากพอสมควรแล้ว ร่างกายแก่ชราเต็มที่ไม่สามารถที่จะทรงอยู่ได้อีกต่อไป ความตายจึงได้บังเกิดขึ้น จึงได้เรียกว่า อายุกขยมรณะ แปลว่า ความตายเกิดขึ้นเพราะสิ้นอายุ และบุคคลผู้ตายโดยอายุกขยมรณะนี้ เป็นผู้ที่ได้เบียดเบียนสัตว์ ทำลายชีวิตสัตว์มาไม่มากนักในอดีตชาติ บุคคลผู้ตายดังกล่าวนี้ เรียกว่าถึงคราวตายแล้ว ความตายได้บังเกิดขึ้นมาเพราะร่างกายแก่เฒ่าทรุดโทรมจนอยู่ไม่ได้อีกต่อไป เป็นกาลมรณะถึงคราวถึงที่แล้วที่จะต้องตาย เปรียบเหมือนดวงประทีบโคมไฟที่น้ำมันก็ยังอยู่ แต่ไส้หมดไปเสียแล้ว

๒. กมฺมกฺขยมรณ ตายเพราะสิ้นกรรม มีแสดงวจนัตถะว่า “กมฺมสฺ ขโย = กมฺมกฺขโย” ความสิ้นสุดแห่งกรรม ชื่อว่า กัมมักขยะ
“กมฺมกฺขเยน มรณํ = กมฺมกฺขยมรณํ ” ความตายเพราะสิ้นสุดแห่กรรม ชื่อว่ากัมมักขยมรณะ การตายเพราะความสิ้นสุดแห่งกรรม ชื่อว่า กัมมักขยมรณะ
บางคนเกิดขึ้นมาแล้วมีอายุน้อยเหลือเกิน เพราะเกิดมาได้เพียงวันเดียว หรือ ๕ ปี ๑๐ปีเท่านั้นก็ตายแล้ว แต่บางคนอายุยิ่งน้อยไปอีกเพราะตายเสียก่อนที่จะได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ในเรื่องของกรรมนั้นมีอำนาจหลายอย่าง กรรมบางอย่างทำให้รูปผันแปรเปลี่ยนแปลงเป็นรูปใหม่ไปก็ได้ ในทางธรรมะตั้งชื่อให้ว่ากรรมชรูป กรรมบางอย่างมีอำนาจช่วยอุดหนุนหรือส่งเสริมให้เกิดการปฏิสนธิในภพใหม่ชาติใหม่ ในทางธรรมะตั้งชื่อให้ว่าชนกกรรม กรรมบางอย่างมีหน้าที่ช่วยสนับสนุนรูปนามที่เกิดจากชนกกรรมให้ตั้งอยู่ในภพนั้น ๆ ได้ เรียกชื่อว่า อุปถัมภกกรรม และกรรมบางอย่างเข้าไปตัดรอนวิบากและกรรมชรูปที่เกิดจากชนกกรรม คือทำให้ชีวิตต้องดับสูญสิ้นลง ในทางธรรมะมีชื่อว่า อุปฆาตกรรม


กรรมทุก ๆ อย่างล้วนมีอำนาจทั้งนั้น มีความสามารถที่จะให้บังเกิดผลได้เสมอ ถ้ามันมีกำลังเพียงพอ แต่ที่มันยังไม่ได้แสดงผลขึ้นมาก็เพราะกรรมอื่นที่มีกำลังมากกว่ากำลังให้ผลอยู่ ยังไม่ได้เปิดช่องโอกาสให้เท่านั้นเอง จึงสงบอยู่ ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายก็คือ เมื่อมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นเป็นการใหญ่ จิตใจก็ย่อมจะตั้งมั่นไม่ได้ เพราะเรื่องที่ทะเลาะกันเหล่านั้นมีกำลังมาก เรื่องนั้น ๆ จึงได้มากระทบจิตใจทำให้เกิดความครุ่นคิดเคียดแค้น หรือเศร้าหมอง ปิดบังขวางกั้นอารมณ์ทั้งหลายให้หมดโอกาส หรือมีโอกาสน้อยที่จะเกิดได้ และเกิดได้นาน ๆ

แม้จะมีเรื่องเร้าร้อนอยู่ภายในจิตใจมากมายก็ตาม แต่ถ้ามีอารมณ์ที่แรง ๆ เข้ามากระทบ เรื่องเร่าร้อนเหล่านั้นก็จะสะดุดหยุดลงชั่วคราว เช่นเมื่อมีคนมาคุยถึงเรื่องที่มีความสนใจ หรือมีคนมาพูดตลกคะนองทำให้เกิดความขบขัน หรือว่าเกิดถูกล๊อตเตอรี่รางวัลใหญ่ขึ้นมา อำนาจของอารมณ์ที่แรงกว่าเข้ามากระทบ จึงทำให้ความเร่าร้อนขุ่นเคืองที่คุกรุนอยู่ในใจระงับลงได้ชั่วครู่ชั่วยาม ทั้งนี้ย่อมเป็นการแสดงว่า อำนาจของอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมา ซึ่งก็คือ “กรรม” นั่นเอง ต้องต่อสู้กันเองอยู่เสมอ ถ้าใครมีอำนาจมากก็มีความสามารถยึดครองเอาไว้ได้นาน ถ้าอำนาจลดลง ก็ถูกกรรมอันอื่นที่เหนือกว่าเข้ามาตัดรอนแล้วแสดงบทบาทแทน

ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็เหมือนกัน เมื่อชนกกรรมนำเกิดขึ้นมาในภพชาติแล้ว จะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉานก็ตาม ชนกกรรมนำให้เกิดก็หมดหน้าที่ลง รูปนามที่เกิดขึ้นมาแล้วนี้ก็จะได้รับการอุดหนุนบำรุงต่อไปให้รูปนามชนกกรรมนำให้เกิด ยังคงอยู่ได้ในภพนั้น ๆ ต่อไป กรรมดังกล่าวนี้เรียกว่า อุปถัมภกกรรม และถ้าอุปถัมภกกรรมอันเป็นกรรมที่ได้ทำมาแล้วในอดีตหมดอำนาจลง ไม่สามารถที่จะอุปถัมภ์ค้ำจุนได้อีกต่อไปแล้ว บุคคลนั้นก็จะถึงซึ่งความตาย การสิ้นสุดของกรรมที่ปกปักรักษานี้แหละเรียกว่า กัมมักขยะ คือตายลงไปเพราะสิ้นกรรมที่จะอุปถัมภ์ค้ำชู อาจจะมีอายุอยู่ไม่กี่นาที ไม่กี่วันหรืออาจจะมีอายุมากก็ได้

ความตายดังกล่าวนี้ เปรียบเหมือนดวงประทีปที่ต้องดับลงไปเพราะหมดน้ำมัน

๓. อุภยกฺขยมรณ ตายเพราะสิ้นอายุ และ สิ้นกรรม มีวจนัตถะแสดงว่า “อุภเยสํ ขโย = อุภยกฺขโย” ความสิ้นสุดแห่งอายุและกรรมทั้ง ๒ ชื่อว่าอุภยักขยะ “ อุภยกฺขเยน มรณํ = อุภยกฺขยมรณํ.” การตายเพราะสิ้นสุดแห่งอายุและกรรมทั้ง ๒ ชื่อว่า อุภยักขยมรณะ อุภยักขยมรณะ หมายถึงผู้ตายมีอายุยืนยาวไปถึงอายุขัย คือ ๗๕ ปี หรือกว่า ซึ่งเราเรียกว่า แก่มากแล้วและพร้อม ๆ กันนี้เองกุศลชนกกรรมหรืออกุศลชนกกรรมที่นำเกิด ก็พอดีหมดความสามารถลงด้วย อุปถัมภกรรมที่จะรักษาให้ชีวิตยังคงยืนยาวต่อไปอีกหมดอำนาจลงแล้วคืออายุก็แก่มากแล้ว กรรมที่จะปกปักรักษาก็หมดลงด้วย เหมือนกับประทีปโคมไฟที่ดับลงไปเพราะหมดทั้งไส้และหมดทั้งน้ำมันเป็นการหมดลงทั้งสองอย่าง

๔. อุปจฺเฉทกมรณ ตายเพราะประสบอุบัติเหตุทั้ง ๆ ที่กรรมยังไม่สิ้น มีวจนัตถะแสดงว่า “ อุปจฺฉินทตีติ = อุปจฺเฉทกํ” กรรมอันใดย่อมเข้าไปตัดวิบากและกรรมชรูปที่เกิดมาจากชนกกรรม ฉะนั้นกรรมนั้นชื่อว่า อุปเฉทกะ ได้แก่ อกุศลกรรม ๑๒ ประเภท มหากุศล ๘ ประเภท และอรหัตตมรรคกรรม ๑ประเภท
“ อุปจฺเฉทกมมุนา มรณํ = อุปจฺเฉทกมรณํ ความตายเพราะกรรมเข้าไปตัดวิบากและกรรมชรูป ชื่อว่า อุปัจเฉทกมรณะ


ความตายในประเภทอุปัจเฉทกมรณะนี้ เป็นการตายโดยมีอำนาจของกรรมที่มีกำลังมากได้มาตัดรอน จะเป็นกุศลหรืออกุศลเข้ามาตัดรอนก็ได้ ความตายชนิดนี้ อายุก็ยังไม่มากถึงอายุขัย และอำนาจของกรรมที่ปกปักรักษาก็ยังมิได้หมดไป คือทั้งอายุและทั้งกรรมก็มิได้มาทำให้ให้ชีวิตต้องสิ้นสุดลง แต่ด้วยอำนาจของกรรมที่ได้ทำมาแล้วในภพก่อนหรือในภพนี้เข้ามาบั่นรอนให้บุคคลนั้นต้องตายลงไป ซึ่งเปรียบเหมือนประทีปโคมไฟที่ไส้ก็ยังอยู่ ทั้งน้ำมันก็ยังไม่หมดแต่ถูกลมถูกน้ำ หรือถูกของอะไรทับลงไปไฟจึงได้ดับ ความตายชนิดนี้ ชื่อว่าอุปัจเฉทกมรณะ

ความตายโดย อายุกขยมรณะ สิ้นอายุ , กรรมมักขยะมรณะ สิ้นกรรม , อุภยักขยมรณะ สิ้นอายุ สิ้นทั้งกรรม ทั้งสามอย่างนี้เป็น กาลมรณะ เป็นการตายที่ถึงคราว ถึงเวลา ถึงที่ที่จะต้องตายแล้ว ส่วนอุปัจเฉทกมรณะ ตายโดยอุบัติเหตุนั้น ชื่อว่า อกาลมรณะ เป็นการตายที่ยังไม่ถึงคราว ไม่ถึงเวลา ยังไม่ถึงที่ แต่เหตุไฉนเล่า คนเราจึงได้ตายลงไปในเมื่อยังไม่ถึงคราวถึงเวลาที่จะต้องตาย ทั้ง ๆ ที่อายุขัยก็ยังไม่สิ้นลงไป อำนาจของชนกกรรมก็ยังไม่หมด ความตายที่เกิดขึ้นนี้ ก็เนื่องมาแต่อำนาจของกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมที่ได้ทำมาแล้วในภพก่อนหรือในภพนี้ แต่มีกำลังมากเข้ามาตัดรอนให้ผู้นั้นต้องตายลง

ความตายดังกล่าวนี้เป็นการตายที่ยังไม่ถึงคราว ไม่ถึงเวลา และมีเหตุอันเป็นปัจจุบันเป็นเรื่องสำคัญ ความตายดังกล่าวจึงเว้นจากอดีตกรรมมาเป็นผู้อุดหนุนเสียหาได้ไม่ และจะทอดทิ้งกรรมในปัจจุบันเสียก็มิได้เหมือนกัน ดังพระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ในสังยุตตพระบาลีว่า
“อิธ มหาราชา โย ปุพฺเพ ปเร ชิฆจฺฉาย มาเรติ โส พหูนิ วสฺสสตส หสฺสานิ ชิฆจฺฉาย ปิฬิโต ฉาโต ฯลฯ ชิฆจฺฉาเยว มรติ ทหโรปิ มชฺฌิโมปิ มหลฺลโกปิ”
“ดูกรมหาราชา ในโลกนี้ ผู้ใดทำให้คนอื่นตายลงด้วยการอดข้าว ผู้นั้นแม้ยังอยู่ในวัยเด็กก็ตาม วัยหนุ่มสาวก็ตาม วัยแก่ก็ตาม ย่อมได้รับการเบียดเบียนด้วยการอดข้าว แล้วตายลงด้วยการหิวข้าวนั่นเอง เป็นดังนี้ตลอดแสนชาติ”

และผู้ที่ทำให้คนอื่นตายลงด้วยการอดน้ำ ให้งูกัด วางยาพิษ เอาไฟเผา ถ่วงน้ำ ฆ่าโดยใช้อาวุธ เหล่านี้เป็นต้น ผู้นั้นก็ย่อมตายลงด้วยการอดน้ำ ให้งูกัด วางยาพิษ เอาไฟเผา ถ่วงน้ำ ฆ่าโดยใช้อาวุธเช่นเดียวกัน และย่อมแสดงให้เห็นว่า อกาลมรณะเหล่านี้ จะเว้นเสียจากอดีตกรรมไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ท่านอาจารย์ทั้งหลายที่ทรงคุณวุฒิ จึงลงความเห็นว่า ความตายที่เป็น อกาลมรณะเหล่านี้ เป็นความตายเพราะอุปัจเฉทกรรม

เพราะเหตุแห่งกรรมที่ได้กระทำมาแล้วแต่ในอดีต มีความสามารถเข้ามาทำให้บังเกิดผลได้มากมายดังนี้ เราจึงต้องหมั่นทำกรรมในปัจจุบันเอาไว้ให้ดีที่สุด เพราะถ้ากรรมไม่ดีเข้ามาให้ผลมากอยู่แล้ว กระทำกรรมที่ไม่ดีลงในปัจจุบันลงไปอีก ก็มีโอกาสที่จะถึงแก่ชีวิตได้โดยง่าย และเป็นอุปัจเฉทกรรม บางท่าน โหราศาสตร์ทำนายทายทักว่า ในขณะนี้เคราะห์ร้ายมากเหลือเกิน ชีวิตเหมือนเกลียวเส้นด้าย เวลานี้ยังอยู่อีกเส้นเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ขาด ถ้าโหราศาสตร์ทำนายทายทักถูกต้องก็หมายความว่า อกุศลกรรมที่ได้เคยทำมา กำลังให้ผลมากอยู่ สมมุติว่าให้ผล ๙๐ ส่วนใน ๑๐๐ ส่วน ถ้าท่านผู้นี้ตกอยู่ในความประมาท ประพฤติตนในทางเสียหาย เช่นชอบเสพสุรายาเมาอยู่เสมอ ชอบเล่นการพนันหามรุ่งหามค่ำ ชอบเที่ยวกลางคืนจนเป็นเหตุให้สุขภาพกายและจิตใจเสียหาย หรือเป็นคนมีแต่ความประมาท ขึ้นรถลงเรือก็มิได้ระแวดระวัง ทั้งป่วยเจ็บก็มิได้รักษา ไม่ไปหาหมอหรือไม่กินหยูกกินยา อ้างว่าถึงที่แล้วก็ต้องตายเอง หรืออ้างว่าแล้วแต่บุญแต่กรรม หรือพูดว่ามันเป็นเองก็ต้องหายเอง ดังนี้แล้ว กรรมได้แก่ความประมาทที่ทำอยู่ในปัจจุบันก็ได้โอกาสเข้ามาซ้ำเติม ซึ่งไม่ต้องมากอะไรนักเพียงแค่ ๑๐ เท่านั้นก็พอ บุคคลนั้นก็จะถึงแก่ความตาย และความตายอันนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะอาศัยกรรมในปัจจุบันนั่นเองเป็นตัวเข้าไปตัดรอน แต่ก็มีกรรมในอดีตเข้ามาร่วมเป็นตัวอุดหนุนด้วยมากมายเหลือเกิน

ถ้ากรรมในอดีตที่เคยเบียดเบียนหรือฆ่าผู้อื่นมิได้มี กรรมในปัจจุบันก็ให้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่ได้ และอุปัจเฉทกรรมก็จะไม่เกิดขึ้นมา ด้วยเหตุนี้เราจึงได้เห็นบุคคลเป็นอันมากที่น่าจะต้องตายแต่กลับรอดมาได้ราวกับปาฏิหาริย์ เมื่อเราไม่ทราบว่าอดีตกรรมของเราในขณะนี้จะเป็นไปในทางดีหรือร้ายเราต้องทำดีเอาไว้เสมอไม่ประมาท ท่านทั้งหลายก็จะเห็นได้ว่าชีวิตนี้ช่างน่าพิศวงเพียงใด บางคนมีความตายอย่างเหลือเกิน ระแวดระวังชีวิตของตนเองอย่างที่สุด แต่ก็เจอะเอาความตายเข้าโดยง่าย แต่บางคนเช่นคนแก่เฒ่าหรือเจ็บป่วย ทุกข์ทรมานอยากจะให้มันตายไปเสียเร็ว ๆ ก็ไม่เห็นตายสักที ทั้งนี้ก็เพราะความตายนั้นขึ้นอยู่กับกรรมทั้งในอดีตและปัจจุบันนั่นเอง

อุปัจเฉทกมรณะนี้ บางคนก็ว่าเป็นการตายเพราะอุบัติเหตุก็แน่ละอาจจะตายเพราะอุบัติเหตุที่ประชาชนส่วนมากพากันเข้าใจ เช่น ตกรถ หรือรถคว่ำ หรือตกต้นไม้ หรือถูกอาวุธมีคมแต่อุบัติเหตุนี้อาจจะตายอยู่บนบ้านหรืออยู่บนเตียงนอนเฉย ๆ ก็ได้ เพราะเกิดจากความประมาทของตนหรือของผู้อื่นที่เข้ามาซ้ำเติมอีกเล็กน้อยจึงได้ถึงแก่ความตาย

เราย่อมทราบแน่แก่ใจแล้วว่า สรรพสิ่งสารพัดทั้งปวงไม่ว่าจะมีชีวิตหรือมิได้มีชีวิตก็ตามที่อยู่ในโลกนี้ทั้งสิ้น ย่อมจะต้องมีอันเป็นไปย่อมจะต้องพลัดพรากจากกันอย่างแน่นอน บางทีเราก็จากเขาและสิ่งต่าง ๆ ไปก่อน บางที่เขาหรือสิ่งต่าง ๆ ก็จากเราไปก่อน เราจะเศร้าเสียใจกันไปทำไมกับสิ่งที่ใคร ๆ ก็บังคับบัญชาไม่ได้ เราจะไปคิดกังวลให้วุ่นวายไปทำไมกับสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอนที่ใคร ๆ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้การสูญเสียครั้งใหญ่คือความตาย แม้จะครุ่นคิดเสียใจเพียงใดหรือจะทำอย่างไรมันก็ไม่พ้นไปได้

ผู้ไม่มีความประมาทจึงเพียรพยายามเอาความตายของคนทั้งหลายมาเป็นเครื่องระลึก แล้วเตรียมเครื่องเดินทางไกลเอาไว้ให้พร้อมเสียเนิ่น ๆ เพราะหาไม่แล้ว เมื่อถึงเวลาเดินทางซึ่งอาจจะโดยฉับพลันแล้วจะเตรียมตัวไม่ทัน จะเตรียมตัวเตรียมใจอย่างไรก็ดีทั้งนั้น ถ้าเป็นเรื่องของผลบุญ แต่การเตรียมปัญญาซึ่งได้แก่มีความเห็นอันถูกต้องในเรื่องของชีวิตโดยการศึกษาเล่าเรียนละปฏิบัติในหนทางพ้นทุกข์ ก็จะเป็นการเตรียมตัวที่ประเสริฐ ซึ่งมีน้อยท่านักที่ได้เตรียมเอาไว้อย่างพรักพร้อม

แก้ความเห็นผิด

ในความเข้าใจของบางท่านที่ว่า การเกิดขึ้นของเด็กในครรภ์มารดานั้นเกิดมาเพราะได้อาศัยบิดามารดาสมสู่อยู่ด้วยกันเท่านั้น รูปนามที่เกิดขึ้นมาในครรภ์ของมารดา มิได้เนื่อง หรือมิได้อาศัยอำนาจของรูปนามจากอดีต ของผู้ที่ตายลงไปเลย ซึ่งความเชื่อเช่นนี้เป็นอุจเฉททิฏฐิ มีความเห็นว่าตายแล้วสูญ ไปเกิดอีกไม่ได้ ในเรื่องนี้สำหรับชาวพุทธส่วนใหญ่เข้าใจว่าตายแล้วเกิด
เรื่องที่สำคัญมาก แล้วเป็นความเข้าใจผิดของบุคคลส่วนใหญ่ แม้จะเป็นบุคคลที่นับถือศาสนาพุทธก็ตาม ก็คือ มีความเข้าใจว่า เมื่อบุคคลสิ้นชีวิตลงแล้วจะมีวิญญาณออกจากร่างของคนตาย แล้วไปเกิดยังภพใหม่ ชาติใหม่ และอาจจะเป็นผีสางเทวดา หรือมนุษย์ได้ ตามบุญตามบาปที่เขาได้ทำไว้ เข้าใจว่าจิตหรือวิญญาณนั้นไม่มีเกิดไม่มีดับ แต่ล่องลอยไปเกิดใหม่ได้ ความเห็นเช่นนี้เป็นความเห็นผิด เป็นสัสสตทิฏฐิ

ซึ่งเป็นความเสียหายมากก็เพราะ ความจริงนั้น ทั้งรูปทั้งนามย่อมจะเกิดดับสืบต่อกันอยู่เสมอทุกเวลานาทีมิได้หยุดเลย ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ ที่จะมีความมั่นคงถาวรได้แม้แต่อย่างเดียว ถ้าความเข้าใจผิดดังกล่าวมานี้มีความมั่นคงอยู่ภายในจิตใจเสียแล้ว ก็จะเป็นเหตุให้ขัดขวางการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน อันเป็นการปฏิบัติหนทางที่จะให้ไปสู่ความพ้นทุกข์ เพราะรูปนามจะไม่ปรากฏเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตาได้ ญาณปัญญาก็จะถูกตัดออกไปโดยปริยาย ด้วยอาศัยความยึดมั่นในความเที่ยงที่ฝังประทับอยู่ในจิตใจขวางกั้นปัญญาเสีย

เหมือนเสียงที่ผม (ท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร) พูดออกไปนี้ก็คือความสั่นสะเทือนของอากาศเป็นช่วงคลื่นขนาดต่าง ๆ กัน จึงเป็นเสียงสูงเสียงต่ำ แต่ช่วงคลื่นที่เกิดขึ้นจากที่ผมพูดหาได้วิ่งไปกระทบหูของท่านทั้งหลายมิได้ หากแต่ได้ทำให้เกิดคลื่นในอากาศต่าง ๆ กันไปจนก่อให้เกิดความสั่นสะเทือนที่เยื่อหู สั่นต่อ ๆ กันไปถึงกระดูกอ่อนรูปค้อน รูปทั่ง รูปโกลนไปจนถึงแอ่งน้ำตามลำดับแล้วจึงจะได้ยิน หรือเครื่องโทรทัศน์ที่เราดูอยู่ทุกคืนก็เหมือนกัน คลื่นของแสงที่สะท้อนจากรูปที่สถานีในห้องส่งก็หาใช่ช่วงคลื่นอันเดียวกันนั้น คือที่สถานีส่งมาปรากฏขึ้นที่เครื่องรับโทรทัศน์ของผู้รับมิได้ แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธว่าเครื่องที่สถานีส่งนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัย และเป็นสันตติสืบต่อกันไปสลับซับซ้อน เช่นโดยเปลี่ยนจากคลื่นแสงมาเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

รูปหรือนามก็ดี ความรูสึกได้ยิน เรียกว่าโสตวิญญาณ โสตวิญญาณก็จะเกิดขึ้นที่ประสาทหู แล้วโสตวิญญาณก็ดับลงที่ประสาทหู นามเจตสิกที่ประกอบก็ดับลง ณ.ที่นี้ด้วย สัทธารมณ์ คือรูปอันได้แก่คลื่นเสียงก็จะดับลง คือพ้นไปจากความรู้สึกได้ยินก็ ณ.ที่นี้เหมือนกัน แม้โสตปสาท คือประสาทหูอันเกิดขึ้นมาจากกรรมชรูป ก็จะเกิดและดับในที่นี้เช่นเดียวกัน ถ้าจะแตกต่างกันบ้างก็ตรงที่รูปดับช้ากว่านาม เพราะนามเกิดขึ้นถึง ๑๗ ขณะใหญ่ หรือ ๕๑ ขณะเล็ก รูปจะดับลงไป ๑ ขณะเท่านั้นเอง แม้ในอารมณ์อื่น ๆ ก็เหมือนกัน

[size=12]เมื่อจุติจิตคือ ความตายได้เกิดขึ้นนั้น ทั้งรูปทั้งนามก็ดับลง ณ ที่นั้น และการปฏิสนธิเกิดขึ้นมาใหม่ของสัตว์ทั้งหลาย เป็นรูปนามที่เกิดใหม่อีกต่างหาก หาใช่เป็นรูปเป็นนามที่เคลื่อนย้ายมาจากจุติจิตมิได้ แต่ก็แน่นอนทีเดียว รูปและนามที่ได้ดับลงนั้นมีกำลังมีอำนาจก่อให้เกิดรูปนามขึ้นมาใหม่ [/size]
(เปรียบเหมือนชาวนานำเมล็ดข้าวไปหว่านในแปลงต่อมาเมล็ดข้าวนั้นก็กลายเป็นรวงข้าวเต็มท้องนาจะว่ารวงข้าวที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอันเดียวกันกับเมล็ดข้าวที่หว่านก็ไม่ใช่จะว่าเป็นเมล็ดเดียวกันก็ไม่ใช่แต่รวงข้าวที่เกิดเป็นผลจากเมล็ดที่หว่านฉันนั้น)

การเกิดใหม่ของสัตว์ทั้งหลายที่ประชาชนเข้าใจผิด คิดว่าจิตหรือวิญญาณเที่ยงเป็นสัสสตทิฏฐิ เพราะเข้าใจว่าวิญญาณเดิมของตนมี และเมื่อตายลงแล้ว วิญญาณของตนก็ออกจากร่างที่ตายแล้วไปเกิดใหม่ได้ บางคนยังเรียกว่าจิตเดิม หรือจิตเดิมแท้ แล้วเข้าใจว่าจิตนั้นเที่ยง ไม่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความคิดเห็นดังกล่าวเป็น มิจฉาธิโมกข์ คือ ตัดสินใจผิด บางท่านเข้าใจต่อไปอีกว่าสัตว์ทั้งหลายตายลงแล้วต้องคอยอีก ๗ วัน จึงจะไปเกิดได้ ในระหว่างนี้จิตหรือวิญญาณก็จะล่องลอยท่องเที่ยวไปหาที่เกิดใหม่เสียด้วยซ้ำ อันความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องตามสภาวธรรมนี้ ก็มาจากสาเหตุหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น ผู้ที่ได้ถึงแก่ความตายไปแล้ว มาแสดงตัวให้ปรากฏต่อหน้าญาติมิตร มีรูปร่าง สัณฐาน กิริยาอาการ ตลอดจนเครื่องแต่งกายเหมือนเมื่อตอนมีชีวิตอยู่ ญาติมิตรของผู้ตายได้พบได้เห็นแล้ว จึงคิดว่าผู้ตายยังคงไม่ได้ไปเกิด จึงได้มาเกี่ยวข้องด้วยอำนาจแห่งความผูกพันที่มีอยู่เดิม หรือจะมาเรียกร้องขออะไรที่ตนขาดตกบกพร่องอยู่ ฉะนั้นญาติมิตรจึงได้ทำบุญแผ่ส่วนกุศลไปให้ แล้วอธิษฐานใจว่า ขอให้ผู้ตายไปผุดไปเกิดเสียทีเถิด อย่าได้มาเป็นห่วงกังวลต่อผู้อยู่หลังเลย

แท้จริง จุติ คือดับหรือตายแล้วจะต้องปฏิสนธิ คือเกิดทันที แต่การเกิดบางท่านทำบุญเอาไว้น้อย แต่ทำบาปเอาไว้มาก จึงได้เกิดเป็นสัตว์ที่ใหญ่โตเต็มตัวในทันที เช่นเป็นเปรตหรืออสูรกาย หรือบางท่านทำบุญเอาไว้มากสักหน่อยจึงได้มาปฏิสนธิเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาชั้นต่ำสุด ได้แก่ เวมานิกเปรต หรือวินิปาติกอสุรา หรืออาจจะเป็นเทวดาที่สูงกว่านั้น สัตว์เหล่านี้เราเรียกว่า โอปปาติกกำเนิด ซึ่งความจริงแล้วเกิดแล้วทั้งนั้นมีรูปมีนามพร้อมกันในทันทีด้วย แต่รูปนั้นละเอียดมากเป็นรูปปรมาณู

เพราะอำนาจของความจำในภพเก่าที่ตัวมีความผูกพันอยู่ยังมิได้หลุดถอนออกไปจากจิตใจ ความจำเก่า ๆ ยังมิได้เลือนหายไป ด้วยอำนาจของอุปทาน ๓ คือ กามุปาทาน ความยึดมั่นในความดีติดใจในอารมณ์ต่าง ๆ ที่ตนเคยเสพมา ทิฏฐุปาทาน ความยึดมั่นในความเห็นที่ไม่ถูกต้อง และ อัตตวาทุปาทาน ความยึดมั่นในความเป็นตัวตนที่ได้เป็นไปในอดีตหรือความปรารถนาอย่างหนึ่งประการใด จึงได้มาแสดงตัวให้มาปรากฏเมื่อโอกาสอำนวยให้ ด้วยอำนาจของความจำเก่า ๆ ในอดีตภพยังไม่เลือนหายไป ยังปรากฏชัดเจนอยู่ในใจ บางท่านก็มีรูปกายเหมือนเดิม บางท่านก็ทำอำนาจจิตให้ร่างกายเหมือนเดิม ญาติมิตรจะได้ทราบว่าเป็นใครแต่บางท่านก็เกี่ยวเข้ามาในความฝัน
อย่างไรก็ดี ถ้าโอปปาติกะนั้นเกิดอยู่ในที่ห่างไกลมนุษย์ หรือโอกาสไม่อำนวยให้แม้ความยึดมั่นเกี่ยวกับภพเก่า หรือญาติพี่น้องจะมากมายก็จะไม่มีโอกาสแสดงตัวได้ ญาติมิตรที่ไม่ได้ข่าวคราวเลยจึงคิดว่าผู้ตายคงจะได้ไปเกิดแล้ว ความเข้าใจผิดอีกข้อหนึ่งก็คือเคยอ่าน เคยพูดกันในที่ทั่วไปถึงคำที่ว่า สมฺภเวสี ซึ่งตามพจนานุกรมบาลีไทย แปลว่า ผู้แสวงหาที่เกิด และในบทสวดมนต์เจ็ดตำนานฉบับหลวง แปลว่า สัตว์ที่กำลังเร่รอนแสวงหาที่เกิด ผู้อ่านผู้ฟังดังนี้ต่างก็มีความเข้าใจผิดไปว่าสัตว์ที่ได้ตายลงไแล้วยังมิได้เกิด แต่สัตว์เหล่านั้นกำลังแสวงหาภพใหม่หรือที่เกิดใหม่อยู่ สัตว์เหล่านั้นจึงเรียกว่า สมฺภเวสี

แท้จริงคำว่า สมฺภเวสี นั้น หมายถึงผู้ที่ยังจะต้องเกิดอีก ซึ่งได้แก่ปุถุชน ๔ พระเสกขบุคคล ๓ รวมเป็น ๗ คำว่า สมฺภเวสี
เป็นคำที่คู่กับคำว่า ภูตา ซึ่งมีอยู่ในเมตตาสูตร พระพุทธองค์ทรงเทศนาว่า
ทิฏฐา วา เย จ อทิฏฐา เย จ ทูเร วสนฺติ อวิทูเร ภูตา วา สมฺภเวสี วา สพฺเพ สตฺตา ภวนฺตุ สุขิตฺตตา
ซึ่งแปลความว่า

สัตว์ทั้งหลายเหล่าใด ที่เราได้เคยเห็นมาแล้วก็ตาม (ทิฏฐา วา ) ที่เราไม่เคยเห็นมาแล้วก็ตาม (อทิฏฐา วา ) และสัตว์เหล่าใดที่อยู่ในที่ไกลจากเราก็ตาม (ทูเร วา ) อยู่ในที่ใกล้เราก็ตาม (อวิทูเร วา ) และสัตว์ทั้งหลายที่เกิดแล้วก็ตาม (ภูตา วา) หรือแสวงหาที่เกิดก็ตาม (สมฺภเวสี วา) ขอสัตว์ทั้งหมดนั้น จงเป็นผู้มีตนถึงความสุขเถิด
ปุถุชน ๔ พระเสกขบุคคล ๓ เป็นบุคคลที่จะต้องเกิดอีกเมื่อสิ้นชีวิตลง ปุถุชนคือผู้หนาไปด้วยกิเลส ก็ได้แก่บุคคลเหล่านี้ คือ

๑. ทุคติบุคคล คือ เกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสูรกาย และสัตว์เดรัจฉาน
๒. สุคติบุคคล คือ เกิดเป็นมนุษย์และเทวดาชั้นต่ำที่ไม่สมประกอบตั้งแต่ปฏิสนธิ
๓. ทวิเหตุกบุคคล คือ เกิดเป็นมนุษย์และเทวดาที่จิตประกอบไปด้วยอโลภะ อโทสะ
๔. ติเหตุกบุคคล คือ เกิดเป็นมนุษย์และเทวดาที่จิตประกอบไปด้วยอโลภะ อโทสะ และอโมหะ
และอริยบุคคล ๓ ได้แก่ ผู้มีกิเลสเบาบางเป็นลำดับ มีพระโสดาบัน พระสกิทาคา และพระอนาคามี


[size=12]บุคคลทั้งหมด (ปุถุชน ๔ พระอริยบุคคล ๓ ) เหล่านี้เมื่อตายลงแล้วก็จะต้องเกิดอีก และบุคคลเหล่านี้แหละเรียกว่า สมฺภเวสี มียกเว้นแต่พระอรหันต์ประเภทเดียวเท่านั้นที่ไม่เรียก สมฺภเวสี เพราะไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป [/size]

รวมความว่า ผู้มีความเห็นผิดชนิดที่เรียกว่า สัสสตทิฏฐินั้น มีความเห็นว่า ใจที่จะเกิดขึ้นในภพใหม่นั้น ก็ได้แก่ใจที่อยู่ในภพเก่านั่นเอง ความเห็นผิดชนิดที่เรียกว่า อุจเฉททิฏฐินั้น มีความเห็นผิดว่า ใจที่จะเกิดขึ้นในภพใหม่นั้น มิได้เกี่ยวข้องกับกายและใจในภพเก่าแต่อดีตบางประการใดเลย อาศัยเหตุที่เกิดขึ้นในภพใหม่ทั้งสิ้น คืออาศัยบิดามารดาสมสู่อยู่ด้วยกัน แล้วเด็กก็เกิดขึ้นมา

อำนาจกรรมเวลาใกล้จะตาย

ตามธรรมดาจิตใจของสัตว์ทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นมาอยู่เสมอ และจิตใจที่เกิดขึ้นมาอยู่เสมอนั้นก็เพราะได้กระทบซึ่งอารมณ์ต่าง ๆ ถ้าไม่มีอารมณ์มากระทบแล้ว จิตใจก็จะเกิดขึ้นมาไม่ได้เลย เช่น เมื่อจิต “เห็น” เกิดขึ้นก็เพราะมีรูปารมณ์ อันได้แก่คลื่นแสงเข้ามากระทบ เมื่อจิต “ได้ยิน” เกิดขึ้นก็เพราะมีสัทธารมณ์ อันได้แก่คลื่นแสงเข้ามากระทบ และเมื่อจิตคิดนึกเกิดขึ้น ก็เพราะมีเรื่องราวอยู่ภายในใจเข้ามากระทบ วันหนึ่ง ๆ เราหนีอารมณ์ต่าง ๆ มากมายไปไม่ได้ และการกระทบอารมณ์เหล่านี้เรียกว่าผัสสะ

บรรดาอารมณ์ทั้งหลายที่เข้ามากระทบจิตใจนั้น ก็มีอารมณ์แรงบ้าง อารมณ์ไม่แรงบ้าง และถ้าเป็นอารมณ์ที่แรงมากระทบแล้ว จิตก็จะหนีไปไหนไม่ได้จะต้องเกิดขึ้นมาจับอารมณ์นั้นทันที เช่น ฟ้าแลบหรือเสียงที่ดังมาก จิตก็จะต้องเห็นหรือได้ยิน หรือเมื่อมีใครมานินทาว่าร้ายให้บังเกิดความเสียหายก็จะเกิดความโกรธ แล้วจะเก็บเรื่องราวเหล่านั้นเอาไว้ในจิตใจ เมื่อได้โอกาสเรื่องราวหรือความโกรธที่เก็บเอาไว้นั้นก็จะกระทบใจออกมา คือเกิดผัสสะขึ้นทำให้ครุ่นคิดซ้ำ ๆ ซาก ๆ อีก บางทีก็ออกจะบ่อยครั้งหรือยาวนานก็ได้ หรือล่วงเลยไปหลายวันแล้วก็ยังอดคิดไม่ได้ก็มี

อารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบใจเหล่านี้ เป็นตัวการทำให้จิตเกิดเวทนาขึ้น คือถ้าอารมณ์ที่ดีมากระทบ ก็มีความสนใจชอบใจ ถ้าอารมณ์ที่ไม่ดีมากระทบ ก็รู้สึกไม่ชอบใจ และถ้าอารมณ์นั้นมีกำลังอ่อน หรือเป็นอารมณ์ที่ไม่กระทบกระเทือนใจแล้วก็จะรู้สึกเฉย ๆ เป็นไปดังนี้อยู่ตลอดเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน ผลัดเปลี่ยนกันไปมาในทวารทั้ง ๖ ทวารนั้นวันหนึ่งนับจำนวนไม่ได้ เมื่อตื่นนอนลืมตาขึ้นมาแล้ว ก็หนีอารมณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบไปไม่พ้นและเมื่อจิตได้รับกระทบอารมณ์ ก็จะเกิดความชอบใจ ไม่ชอบใจ หรือเฉย ๆ ก็จะหนีบุญหรือบาปไปไม่ได้ บุญและบาปจึงได้เกิดขึ้นมามากบ้างน้อยบ้างตามกำลังแรงของอารมณ์เหล่านั้นอยู่ทั้งวัน วันหนึ่งก็นับจำนวนไม่ไหว เราจึงได้ชื่อว่าทำบุญทำบาปอยู่วันยังค่ำ และท่านทั้งหลายคงจะทราบด้วยตนเองว่าบุญหรือบาปในวันหนึ่งอย่างไหนจะเกิดมากกว่ากัน

ปุถุชนทั้งหลายเกิดอารมณ์ขึ้นมาแล้ว บุญหรือบาปก็จะไม่เกิดขึ้นมาก็ย่อมจะไม่มีเลย จึงหนีบุญหนีบาป คือกุศลกรรม อกุศลกรรมไปไม่ได้ ไม่เลือกว่าจะเป็นในเวลาที่ชีวิตเป็นไปตามปกติ หรือในเวลาที่ใกล้จะถึงแก่ความตายก็ตาม แต่อารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเวลาใกล้จะตายนั้น ท่านตั้งชื่อเอาไว้อย่างหนึ่ง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้ผู้ศึกษาได้เข้าใจว่า ไม่ใช่เป็นอารมณ์อื่น ๆ ทั่วไปหากแต่เป็นอารมณ์ของผู้ที่ใกล้จะถึงแก่ความตายเท่านั้น

บุคคลผู้ถึงแก่ความตายนั้น จะต้องมีอารมณ์ที่ชื่อว่า กรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ และคตินิมิตอารมณ์ จะเป็นอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งก็ได้ใน ๓ อารมณ์นี้ เกิดขึ้นก่อนแล้วความตายจึงจะมาถึง จะไม่มีอารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเลยแล้วก็ตายไปก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้ (ยกเว้นพระอรหันต์) กรรมอารมณ์

[size=12]กรรมอารมณ์นี้จะเกิดขึ้นทางมโนทวารเท่านั้น จะไม่เกิดขึ้นทางปัญจทวารเลยเพราะเป็นอารมณ์ที่ระลึกถึงกรรมที่ตนทำไว้ในอดีต หรือเรียกว่าเป็นอดีตอารมณ์ อำนาจของกรรมที่ทำไว้แล้วมีกำลังมากมากระทบใจทำให้บังเกิดความรู้สึกคิดนึกขึ้น เป็นการนึกคิดขึ้นถึงกรรมที่ได้ทำมาเท่านั้น มิได้เป็นภาพหรือสร้างมโนภาพหรือเป็นนิมิตมาปรากฏแต่ประการใด กรรมอารมณ์ที่เป็นฝ่ายกุศล ก็ระลึกถึงทานที่ตนได้ทำไปแล้ว ระลึกถึงศีลหรือการฟังธรรม หรือระลึกถึงการปฏิบัติสมาธิและวิปัสสนาที่ตนได้เคยกระทำมา กรรมอารมณ์ที่เป็นฝ่ายอกุศล ก็ระลึกถึงการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดในกามทำร้านหรือจำจองสัตว์เอาไว้ ระลึกขึ้นมาเหมือนที่ตนได้ทำทุกอย่าง [/size]

กรรมนิมิตอารมณ์

กรรมนิมิตอารมณ์นั้นได้แก่การระลึกถึงทางมโนทวาร หรือการเห็นการได้ยิน เป็นต้น ทางปัญจทวารด้วยตา ด้วยหูของตนเอง ถ้าเป็นการระลึกขึ้นมาในใจก็จะเป็นอดีตอารมณ์ ถ้าเห็นหรือได้ยินก็จะเป็นปัจจุบันอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ที่เป็นฝ่ายกุศล ได้แก่ระลึกหรือเห็นเครื่องมือเครื่องใช้หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ เช่นเห็นโบสถ์ วิหาร เห็นพระพุทธรูป เห็นพระที่ตนเคยบวช เห็นขบวนแห่และธงทิวเมื่อเวลาบวชนาค เห็นเครื่องสักการะที่ตนบูชา หรือเห็นวัตถุสิ่งของ หรือผ้าผ่อนแพรพรรณที่ตนให้ทานไป กรรมนิมิตอารมณ์ที่เป็นฝ่ายอกุศล ได้แก่การเห็นแห อวน หอกดาบ ปืนผาหน้าไม้ เครื่องประหารสัตว์ที่ตนเคยใช้มา เห็นข้าวของเงินทองที่ตนเคยคดโกง ปล้น จี้ชาวบ้านเขามา

[color=orange]คตินิมิตอารมณ์[/color]

คตินิมิตอารมณ์จะปรากฏขึ้นทางมโนทวารทางเดียว เป็นปัจจุบันอารมณ์ที่ตนกำลังนึกเห็นอยู่ คตินิมิตอารมณ์ก็คือเห็นเครื่องหมายที่จะนำตนไปสู่สุคติหรือทุคติ อันเ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
พี่ดอกแก้ว
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 07 มิ.ย. 2004
ตอบ: 118

ตอบตอบเมื่อ: 23 เม.ย.2008, 9:52 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กรุณาบอกที่มาของบทความด้วยนะคะ ว่านำมาจากไหน ใครเป็นผู้เขียนเรื่องนี้ จะขอบคุณยิ่งคะ
 

_________________
เป็นประธานมูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
โยคี19
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 15 เม.ย. 2008
ตอบ: 29
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ

ตอบตอบเมื่อ: 24 เม.ย.2008, 7:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เป็นบทความของ ท่าน อาจารย์ บุญมี เมธางกูร ผู้สนใจสามารถค้นคว้าเพิ่มเติมได้ที่เว๊บไซต์ของ อภิธรรมมูลนิธิ http://www.abhidhamonline.org/Ajan/article.htm ยังมีบทความอื่นๆอีกมากมายที่น่าสนใจ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง