ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ตามรอย
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 16 เม.ย. 2008
ตอบ: 109
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่
|
ตอบเมื่อ:
22 เม.ย.2008, 2:41 pm |
  |
ตอนนี้ข้าพเจ้าก็รักษาศีล 5 ไว้พยายามมิให้ขาด
และนั่งสมาธิทุกวันพยายามไม่ให้ขาด
ให้ทานที่สมควรจะให้
ระลึกถึงคุณพระศรีรัตนไตร
แล้วพวกท่านทั้งหลายเจริญธรรมกันเช่นไรบ้าง ขอความกรุณา
ช่วยบอกกล่าวเป็นกุศลกรรมแก่ข้าพเจ้าว่าควรจะทำสิ่งใดให้ยิ่งขึ้นไป
เวลานี้ข้าพเจ้ากำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย เกรงว่าเข้าไปเรียนแล้วจะ
ไม่มีเวลาเจริญสมาธิเท่าที่ควร
ขอให้ทุกท่าน อเวรา อัพยาปัชชา อนีฆา สุขขีอัตตานังปริหรันตุ
เจริญธรรม  |
|
_________________ อย่าประมาทลืมตน |
|
   |
 |
วงกลม
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 22 เม.ย. 2008
ตอบ: 2
ที่อยู่ (จังหวัด): Japan
|
ตอบเมื่อ:
22 เม.ย.2008, 3:10 pm |
  |
สวดมนต์ บทพระพุทธคุณ เท่าอายุ บวกหนึ่ง
ด้วยความเคารพ |
|
|
|
  |
 |
montasavi
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2007
ตอบ: 84
|
ตอบเมื่อ:
22 เม.ย.2008, 3:25 pm |
  |
|
   |
 |
แพท
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 06 ส.ค. 2007
ตอบ: 6
|
ตอบเมื่อ:
23 เม.ย.2008, 12:26 pm |
  |
การปฏิบัติธรรมขณะนี้พยายามตามรู้จิตของเราเองว่าคิดอะไรอยู่ คิดดีหรือไม่ดี เป็นกุศลหรือเปนอกุศล การนั่งสมาธิจะมีเวลาจำกัด แต่การตามรู้จิตสามารถทำได้ตลอดเวลาทุกลมหายใจไม่ว่าจะทำอะไรอยุ่ และในขณะที่ดำรงชีวิตประจำวันไม่ว่าจะกระทบเรื่องใดๆที่จะทำให้จิตเศร้าหมองก็จะรีบนำปัญญาตามที่ได้เรียนรู้จากการอ่านธรรมของพระพุทธเจ้ามาใช้ทันที คือพิจารณาว่าทุกสิ่งในโลกนี้อยู่ภายใต้กฏพระไตรลักษณ์คือ เปนทุกขัง อนิจจัง อนัตตา คือทุกสิ่งเปนทุกข์
ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน และในที่สุดก็ล้วนเป็นเรื่องสมมุติทั้งสิ้น เกิดดับตลอดเวลา ทำให้ใจเราไม่ยึดมั่นในเรื่องใดๆจนเกินไป ใจเราก็จะไม่ทุกข์ เมื่อเราสามารถประคองจิตเป็นกุศลได้มากเราก็จะสงบสุขได้มากเท่านั่น จุดมุ่งหมายในการปฏิบัติธรรมคือต้องการพ้นทุกข์และได้เข้าสู่พระนิพพานในที่สุด  |
|
|
|
  |
 |
ratchadapa
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 05 ม.ค. 2008
ตอบ: 84
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพมหานคร
|
ตอบเมื่อ:
23 เม.ย.2008, 3:35 pm |
  |
ทำทานสม่ำเสมอ ทั้งวัตถุทาน อภัยทาน และธรรมทาน
รักษาศีล 5 และมีอินทรียสังวร
ภาวนา ดูจิตดูกายตัวเองบ่อยๆ เท่าที่จะทำได้
ทำความเห็นให้ถูกต้อง แสวงหาความรู้เรื่อยไป
คงถึงเป้าหมายสักวันหนึ่ง  |
|
_________________ พวกเธอจงยินดีในความไม่ประมาท
จงระมัดระวังจิตของตน
จงถอนตนออกจากหล่มกิเลส
เหมือนพญาช้างติดหล่ม
พยายามช่วยตัวเอง |
|
  |
 |
ตามรอย
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 16 เม.ย. 2008
ตอบ: 109
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่
|
ตอบเมื่อ:
23 เม.ย.2008, 6:06 pm |
  |
วงกลม พิมพ์ว่า: |
สวดมนต์ บทพระพุทธคุณ เท่าอายุ บวกหนึ่ง
ด้วยความเคารพ |
ด้วยความจริงใจนะครับ ถ้าข้าพเจ้าอายุสัก70 ไม่สวดกันทั้งวันล่ะครับ
ขอขอบพระคุณในการชี้แนะครับ |
|
_________________ อย่าประมาทลืมตน |
|
   |
 |
ตามรอย
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 16 เม.ย. 2008
ตอบ: 109
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่
|
ตอบเมื่อ:
23 เม.ย.2008, 6:10 pm |
  |
แพท พิมพ์ว่า: |
การปฏิบัติธรรมขณะนี้พยายามตามรู้จิตของเราเองว่าคิดอะไรอยู่ คิดดีหรือไม่ดี เป็นกุศลหรือเปนอกุศล การนั่งสมาธิจะมีเวลาจำกัด แต่การตามรู้จิตสามารถทำได้ตลอดเวลาทุกลมหายใจไม่ว่าจะทำอะไรอยุ่ และในขณะที่ดำรงชีวิตประจำวันไม่ว่าจะกระทบเรื่องใดๆที่จะทำให้จิตเศร้าหมองก็จะรีบนำปัญญาตามที่ได้เรียนรู้จากการอ่านธรรมของพระพุทธเจ้ามาใช้ทันที คือพิจารณาว่าทุกสิ่งในโลกนี้อยู่ภายใต้กฏพระไตรลักษณ์คือ เปนทุกขัง อนิจจัง อนัตตา คือทุกสิ่งเปนทุกข์
ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน และในที่สุดก็ล้วนเป็นเรื่องสมมุติทั้งสิ้น เกิดดับตลอดเวลา ทำให้ใจเราไม่ยึดมั่นในเรื่องใดๆจนเกินไป ใจเราก็จะไม่ทุกข์ เมื่อเราสามารถประคองจิตเป็นกุศลได้มากเราก็จะสงบสุขได้มากเท่านั่น จุดมุ่งหมายในการปฏิบัติธรรมคือต้องการพ้นทุกข์และได้เข้าสู่พระนิพพานในที่สุด  |
กระผมก็ปฏิบัติเช่นนั้นอยู่เหมือนกันครับ แต่มักจะเผลอไปคิดเรื่องอกุศลบาง
เวลา ซึ่งข้อนี้ก็ยังแก้ไม่หายสักที แต่ก็พยายามอยู่น่ะครับ ส่วนเวลาว่างก็ศึกษา
พระธรรม ส่วนใหญ่ข้าพเจ้าชอบ ศึกษาพุทธวจนะ เพราะอ่านสนุกและนำมาปฏิบัติได้จริง ขอขอบพระคุณในการชี้แนะมา ณ ที่นี้ด้วยครับ |
|
_________________ อย่าประมาทลืมตน |
|
   |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
23 เม.ย.2008, 8:05 pm |
  |
ตามรอย พิมพ์ว่า: |
ตอนนี้ข้าพเจ้าก็รักษาศีล 5 ไว้พยายามมิให้ขาด
และนั่งสมาธิทุกวันพยายามไม่ให้ขาด
ให้ทานที่สมควรจะให้
ระลึกถึงคุณพระศรีรัตนไตร
แล้วพวกท่านทั้งหลายเจริญธรรมกันเช่นไรบ้าง ขอความกรุณา
ช่วยบอกกล่าวเป็นกุศลกรรมแก่ข้าพเจ้าว่าควรจะทำสิ่งใดให้ยิ่งขึ้นไป
เวลานี้ข้าพเจ้ากำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย เกรงว่าเข้าไปเรียนแล้วจะ
ไม่มีเวลาเจริญสมาธิเท่าที่ควร
ขอให้ทุกท่าน อเวรา อัพยาปัชชา อนีฆา สุขขีอัตตานังปริหรันตุ
เจริญธรรม  |
ตอบ....
คุณต้องทำความเข้าใจไว้อย่างหนึ่งว่า การปฏิบัติธรรมตามศาสนา ไม่ได้ช่วยทำให้คุณสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้นะคุณ
สิ่งที่จะทำให้คุณสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ คือการติววิชา อ่านหนังสือ เอาแบบ ติวเข้ม อ่านข้น
การปฏิบัติธรรมทางศาสนา เพียงช่วยให้คุณมีสมาธิไม่ฟุ้งซ่าน เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้คุณ มีความจำ มีกำลังใจ และมีปัญญา ในการอ่าน และตอบคำถามในการสอบได้ดีขึ้นเท่านั้น
อนึ่ง การปฏิบัติธรรม เจริญสมาธินั้น หาใช้อุปสรรคในการเรียนการศึกษาในชั้นเรียนใดใด ดังที่ได้กล่าวไป
เพียงแต่คุณรู้จักแบ่งเวลา ให้ถูกต้อง เพราะการเรียนการศึกษา วิชาการใดใด ก็ล้วนเป็นแขนงวิชาการหนึ่ง ของศาสนาทั้งสิ้น
อันนี้ยังไม่อธิบาย เอาเพียงเท่านี้ก่อนขอรับ |
|
|
|
  |
 |
ตามรอย
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 16 เม.ย. 2008
ตอบ: 109
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่
|
ตอบเมื่อ:
23 เม.ย.2008, 9:16 pm |
  |
Buddha
กระผมคิดว่าท่านคงเข้าใจผิดแล้วตอนนี้กระผมเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว
เพียงแต่เกรงว่าถ้าเข้าไปเรียนจะไม่มีเวลาทำสมาธิเหมือนทำที่บ้าน
ด้วยความเคารพ ตามที่คุณได้แนะนำมานั้นกระผมเองก็เห็นว่าจริง
และขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย
ปล. กระผมยังรอคำอธิบายอยู่  |
|
_________________ อย่าประมาทลืมตน |
|
   |
 |
มรรคคา
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 30 มี.ค. 2008
ตอบ: 77
ที่อยู่ (จังหวัด): ภูเก็ต
|
ตอบเมื่อ:
23 เม.ย.2008, 10:37 pm |
  |
การใช้ชีวิตของนักศึกษามหาวิทยาลัยนั้น เป็นสิ่งที่ยากแก่การปฏิบัติธรรมเป็นอย่างมาก
เพราะเราไม่ได้อยู่คนเดียว แต่เราอยู่รวมกับเพื่อน ๆ ยิ่งถ้าต้องอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัยด้วยแล้ว ยิ่งเป็นการยากที่จะทำ นั่นเป็นเพราะว่า เป็นการหายาก มาก ๆ ที่จะมีคนสนใจที่จะปฏิบัติ
และก็เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความอิสระ การกินเหล้า สูบบุหรี่ สิ่งเสพติดอื่น ๆ
นอกจากเพื่อน ๆ แล้วก็ยังมีรุ่นพี่อีก ที่จะต้องมีการกินเหล้า สูบบุหรี่ ถ้ารุ่นที่ชวนกินแล้วเราไม่กินก็ไม่ค่อยจะได้ ถ้าไม่ใจแข็งจริง ๆ
ถ้าเราเป็นรุ่นพี่บ้าง ก็ต้องกินเหล้ากับรุ่นน้อง
นั่นเป็นเรื่องปกติของชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัย ยากมาก ๆ ที่จะชวนกันปฏิบัติธรรมและรักษาศีล
ดังนั้นถ้าหากยังต้องใช้ชีวิตในสภาพนั้นก็ต้องตั้งสติให้มาก ๆ
ไม่หลงระเริงกับสิ่งเหล่านั้น
ด้วยเห็นว่าขัดต่อศีล ที่เรารักษาอยู่
ถ้าเลี่ยงได้ก็อยากให้เลี่ยง แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ให้คิดพิจารณาดูว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร
สิ่งใดที่ทำให้ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม
การปฏิบัติขณะเป็นนักศึกษานั้น จึงไม่อยากให้หวังความก้าวหน้ามากนัก
เอาแค่สามารถทรงอารมณ์ธรรมได้บ้างเท่านั้นก็คงจะดี
แล้วถ้าหากมีเวลาอยู่คนเดียวก็ควรจะเร่งปฏิบัติเพื่อเพิ่มภูมิจิตภูมิธรรมให้ตัวเอง
ขอให้มีความสุขกับการเรียน การใช้ชีวิตมหาวิทยาลัย และมีความสุขกับการปฏิบัติธรรมนะครับ |
|
_________________ มีสติสัมปชัญญะกับทุกลมหายใจเข้าออก |
|
  |
 |
รุ่งลลิดา สกุลงาม
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 21 ก.ค. 2007
ตอบ: 53
ที่อยู่ (จังหวัด): 75/8 ม.3 ม.จามจุรี 2 ต.ท่ามะกา อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี 71120
|
ตอบเมื่อ:
24 เม.ย.2008, 2:17 am |
  |
ศิลเป็นการกำจัดกิเลสอย่างหยาบ สมาธิกำจัดกิเลสอย่างกลาง ปัญญากำจัดกิเลสทั้งหยาบ-กลางและละเอียด
เมื่อท่านสร้างกุศลธรรมใว้เป็นเสบียงแล้ว อธิษฐานจิตให้ได้พบหมู่กัลยาณชน ผู้มีสัมมาทิฏฐิ
สามารถนำตนไปสู่กัลยาณธรรม เช่นท่านอาจจะมีวิปัสสนาจารย์ไว้เป็นกัลยาณมิตรชี้ทางธรรมให้ท่านได้ก้าวไป............ฐานท่านสร้างไว้ดีแล้ว ขอเพียงท่านเจริญสติศิลที่ท่านมีจะเป็นศิลในมรรค8 แม้ท่านมิได้สมาทานก็ตาม ขออนุโมทนาสาธุ |
|
_________________ มีสติไว้ |
|
    |
 |
1เอง
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 29 ต.ค. 2007
ตอบ: 43
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
|
ตอบเมื่อ:
24 เม.ย.2008, 11:11 am |
  |
การปฏิบัติธรรมไม่มีกาลไม่มีเวลาไม่มีสถานที่คับ สามารถปฏิบัติได้ทั้งสิ้น
เพียงแต่ว่าเวลาใดหรือสถานที่ใดๆนั้นปฏิบัติเจริญภาวนาแล้วได้ผลดี
ฉะนั้นแล้วเราไม่ควรที่จะสนใจกับเรื่องเวลาหรือสถานที่ต่างๆเหล่านั้น
ให้กลับมาสนใจกับจิตกับใจเราดีกว่า ตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรมให้ได้ตลอดเวลา
พยายามมีสติให้ได้ตลอดเวลา ถ้าเผลอสติเมื่อใดก็ให้กลับไปหาสติในทันที
ปฏิบัติเช่นนี้ไปเรื่อยๆจิตก็จะเป็นสมาธิและมีสติตลอดเวลาทุกลมหายใจ
ไม่ว่าจะเป็นเวลายืน เดิน นั่ง หรือว่านอน จงจำไว้ว่าถ้ายังมีลมหายใจ
เข้าออกอยู่นั้นเราสามารถปฏิบัติธรรมได้ตลอดหละครับ
เจริญในธรรมครับ |
|
|
|
  |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
24 เม.ย.2008, 12:49 pm |
  |
ตามรอย พิมพ์ว่า: |
Buddha
กระผมคิดว่าท่านคงเข้าใจผิดแล้วตอนนี้กระผมเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว
เพียงแต่เกรงว่าถ้าเข้าไปเรียนจะไม่มีเวลาทำสมาธิเหมือนทำที่บ้าน
ด้วยความเคารพ ตามที่คุณได้แนะนำมานั้นกระผมเองก็เห็นว่าจริง
และขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย
ปล. กระผมยังรอคำอธิบายอยู่  |
ตอบ
ครั้งแรก อ่านแล้วเข้าใจผิดจริงๆ แต่ไม่อยากลบ เพราะมีประโยชน์ ก็เลยต่อท้ายให้
และคุณไม่ต้องเกรงว่า หากเข้าเรียนแล้วหรือเวลาเรียนในมหาวิทยาลัย จะไม่มีเวลาทำสมาธิ หรือปฏิบัติธรรมอื่นๆ เพราะในชีวิตประจำวันของคุณ คุณปฏิบัติธรรมอยู่เป็นนิจอยู่แล้ว
อันนี้ไม่ต้องสงสัยนะ เพราะการปฏิบัติธรรม ก็คือวิถีชีวิตของตัวคุณเอง และของบุคคลอื่นๆด้วย ส่วน
การทำสมาธิหรือการปฏิบัติสมาธินั้น หมายถึง การเอาใจจดจ่อ หรือการเอาใจฝักใฝ่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่นในทางพระสงฆ์ ก็มีหลายวิธี ดั่งเช่น,สวดมนต์ ก็ใช้บทท่องสวด เป็นตัวกำกับ ในการฝึกสมาธิ รูปแบบหนึ่ง
เวลานั่งสมาธิ ทั่วๆไป ก็ใช้ ลมหายใจบ้าง อย่างอื่นบ้าง เป็นตัวกำกับ
เมื่อคุณศึกษาในมหาวิทยาลัย เวลาคุณฟังเลกเชอร์ จากอาจารย์ คุณก็เอาใจจดจ่อหรือฝักใฝ่ที่การพูดของอาจารย์ และจดบันทึกไปด้วย ก็เป็นการทำสมาธิประการหนึ่ง
หรือคุณอ่านตำรา ก็เป็นการทำสมาธิ อีกประการหนึ่ง
และก่อนที่คุณจะนอน คุณก็แบ่งเวลานั่งสมาธิ โดยใช้ลมหายใจเป็นตัวกำกับ ก็อีกประการหนึ่ง
เมื่อลงนอน คุณก็ทำสมาธิ ให้นอนหลับไป เป็นการพักผ่อนสมองไปในตัว
ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างให้คุณได้พิจารณา
ตัวข้าพเจ้าเอง ต้องศึกษา มสธ. ไปด้วย
ทำงานไปด้วย
และศึกษาค้นคว้า วิจัย ปฏิบัติธรรมไปด้วย
ไม่มีอุปสรรค เพียงแค่รู้จักใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ แบ่งเวลาให้ดี ไม่มีปัญหา
เพราะการปฏิบัติธรรมระดับคุณเป็นเพียงแค่ปฏิบัติธรรมระดับพื้นฐาน
ข้าพเจ้าเองเมื่อปฏิบัติธรรมในระดับอริยะบุคคล(อ่านแล้วโปรดใช้วิจารณญาณ) หรือบรรลุถึงระดับอริยะบุคคลแล้ว อุปสรรคเริ่มปรากฏ จึงจำต้องเกษียณ อายุราชการก่อนกำหนด
เพราะหน้าที่การงานที่ทำอยู่ เป็นอุปสรรคในการฝึกตน ฉะนี้ |
|
|
|
  |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
24 เม.ย.2008, 5:16 pm |
  |
ทำไปเรื่อยๆครับ ทำไปแบบไม่ต้องไปหวังอะไร ไม่ต้องไปอยากเห็นอะไร หรืออยากสัมผัสกับอะไรทั้งสิ้น เพราะนั่นคือตัณหา เป็นสมุทัย เป็นตัวปิดกั้นเราให้ไปไหนต่อไม่ได้ ละอุปปาทานเสีย ไม่ต้องกังวลเรื่องเวลาปฏิบัติครับ เพราะอยากมากถ้าไม่ได้ทำก็เป็นทุกข์ครับ เอาพอดีๆ ไม่เหลือเฟือ ไม่ขัดสนครับ หรือที่ใครๆเรียกว่า ปฏิปทา นั่นล่ะ เรารู้แค่ว่าเราทำก็พอ ไม่ต้องไปคิดว่าจะต้องทำอีกเท่าไหร่ครับ เพราะเราไม่มีทางรู้ได้หรอก จะต้องทำอีกสักกี่ชาติก็ทำไปเถอะครับ เพราะสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ก็เรียกว่าทำดี ย่อมเป็นเหตุปัจจัยต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน
ความสุขในศาสนาพุทธ สุขอยู่ที่การ ละ - ปล่อย - วาง |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
ตามรอย
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 16 เม.ย. 2008
ตอบ: 109
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่
|
ตอบเมื่อ:
24 เม.ย.2008, 5:34 pm |
  |
ข้าพเจ้าได้อ่านหมดทุกข้อความของผู้มีเมตตากรุณาทุกท่านแล้ว
ข้าพเจ้าเห็นว่า ตัวข้าพเจ้าเองคงจะคิดฟุ้งซ่านไปเองหรือเปล่า
ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ชี้ทางสว่างให้ข้าพเจ้าด้วย
ขออนุโมทนากับคุณ buddha ด้วย
ตัวข้าพเจ้าเองก็มีความคิดอยากเจริญธรรมระดับอริยะ เช่นกัน
เพราะข้าพเจ้าเองก็เห็นว่าชีวิตนี้ช่างน่าสงสารตายแล้วเกิดไม่มีที่สิ้น
ข้าพเจ้าเองก็ไม่อยากมาเกิดอีกแล้ว แต่ตอนนี้กลับกลัวความตาย
กลัวว่าจะไม่ได้ทำอะไรต่อมิอะไรหลายๆอย่าง
...แต่ใครจะอยู่ได้โดยไม่ตายล่ะ...
ขอให้ทุกท่าน อะเวรา อัพยาปัชชา อะนีฆา สุขขีอัตานัง  |
|
_________________ อย่าประมาทลืมตน |
|
   |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
24 เม.ย.2008, 8:00 pm |
  |
ตามรอย พิมพ์ว่า: |
ข้าพเจ้าได้อ่านหมดทุกข้อความของผู้มีเมตตากรุณาทุกท่านแล้ว
ข้าพเจ้าเห็นว่า ตัวข้าพเจ้าเองคงจะคิดฟุ้งซ่านไปเองหรือเปล่า
ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ชี้ทางสว่างให้ข้าพเจ้าด้วย
ขออนุโมทนากับคุณ buddha ด้วย
ตัวข้าพเจ้าเองก็มีความคิดอยากเจริญธรรมระดับอริยะ เช่นกัน
เพราะข้าพเจ้าเองก็เห็นว่าชีวิตนี้ช่างน่าสงสารตายแล้วเกิดไม่มีที่สิ้น
ข้าพเจ้าเองก็ไม่อยากมาเกิดอีกแล้ว แต่ตอนนี้กลับกลัวความตาย
กลัวว่าจะไม่ได้ทำอะไรต่อมิอะไรหลายๆอย่าง
...แต่ใครจะอยู่ได้โดยไม่ตายล่ะ...
ขอให้ทุกท่าน อะเวรา อัพยาปัชชา อะนีฆา สุขขีอัตานัง  |
ตอบ....
ความกลัวตาย นั้น นับเป็นปลายเหตุ สาเหตุที่แท้จริงแล้ว ก็คือ ความหลง
ความหลงใน รูป รส กลิ่น เสียง โผฎฐัพผะ ของคุณ ทำให้คุณเกิดความคิดที่ไม่อยากตาย ทั้งๆที่รู้ว่า ทุกคนต้องตาย
แก้ไม่อยากขอรับ ไปงานศพบ่อยๆ
พิจารณาบ่อยๆว่า ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว
อย่าประมาทในการทำงาน ในการขับขี่ยวดยานพาหนะ
จงมองความตายเป็นเรื่องธรรมดา
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย พยายามให้ครบ 5 หมู่ หรือจะรับประทาน แบบ 5 มั่ว ก็แล้วแต่
ออกกำลังเป็นประจำทุกวันได้ยิ่งดี (อันนี้แพทย์เขาสอนมาขอรับ)
หลีกเลี่ยงการทะเลาะเบาะแว้ง
และสุดท้าย จงจำไว้อย่างหนึ่งว่า
คนไม่กลัวตายนั้น ยมพบาลก็ไม่อยากให้ตายดอกนะคุณ ถ้าไม่ถึงเวลา
คนที่กลัวตาย นอนอยู่ในบ้านดีดี ยังเป็นลมตายก็มีนะคุณ |
|
|
|
  |
 |
ตามรอย
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 16 เม.ย. 2008
ตอบ: 109
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่
|
ตอบเมื่อ:
24 เม.ย.2008, 8:43 pm |
  |
Buddha
ข้าพเจ้าคิดว่าคุณ Buddha คงเป็นคู่ถกปัญหาธรรมที่ดีเลยทีเดียวครับ
ส่วนตัวข้าพเจ้าเองก็ไปช่วยงานศพอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว เพราะ
แถวๆละแวกบ้านของข้าพเจ้าเองก็เป็นชนบท ความสัมพันธ์ก็เป็นรูปแบบ
ญาตพี่น้องกันทั้งนั้น ไม่นานมานี้เอง เดือนที่แล้วนี่แหละครับ
ก็เกิดเรื่องเกี่ยวกับความตายนี่แหละครับ พี่สาวที่เป็นลูกของอา
เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต ทั้งๆที่อายุ21ปีเอง
พี่แกเคยบอกกับข้าพเจ้าว่าจะขอใช้ที่ของข้าพเจ้าทำธุรกิจส่วนตัวนะ
ผมก็ตกลงกันกับพี่คนนี้ พอมาเกิดเรื่องขึ้นข้าพเจ้าก็เลยเกิดความรู้สึก
ว่าความตายนี้ก็เป็นทุกข์อย่างนึงนะ คือ อยากทำอะไรก็ไม่ได้ทำซะงั้น
ก็เลยเกิดความกลัวว่าจะตายก่อนวัยอย่างนี้แหละครับ อันที่จริงแล้ว
อาจจะไม่ใช่ความกลัวแต่อาจเป็นแค่ความรู้สึกที่ไม่อยากตายอย่างนี้กระมัง
แต่ไม่ได้มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของข้าพเจ้านักหรอกครับ
ทุกวันนี้ก็หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล ในขณะที่เพื่อนๆเที่ยวกัน กินเหล้า
ข้าพเจ้าเองก็ชวนกันไปทำบุญบ้างตามโอกาสครับ นั่งสมาธิแทบจะทุกวัน
ส่วนใหญ่ก็นำธรรมะจากผู้รู้ไปทดลองปฏิบัติครับ
ขอขอบคุณ คุณ Buddha มากครับ
ปล. ขอท้าชวนให้มาถกธรรมกัน  |
|
_________________ อย่าประมาทลืมตน |
|
   |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
25 เม.ย.2008, 8:24 am |
  |
การถกปัญหาธรรมะ ไม่ใช่การประลอง ความรู้ แต่เป็นการโปรดสัตว์ เป็นการให้ทาน
โปรดใช้ความคิดให้ถูกต้อง
อนึ่ง ถ้าคุณมีประสบการณ์ดังที่คุณเล่ามา แต่คุณไม่คิดพิจารณาในทางที่เป็นธรรมชาติ
แต่คุณกับไม่คิด หรือคิดไปในทางฝืนธรรมชาติ เกิดอาการ จิตวิตก
ข้าพเจ้าขอแนะนำให้คุณ ไปพบจิตแพทย์เพื่อปรึกษาบ้าง ไม่ใช่เรื่องน่าอายนะขอรับ
การพบจิตแพทย์เพื่อปรึกษา ไม่ใช่ไปให้แพทย์ตรวจ ต่างกันนะขอรับ
การไปพบจิตแพทย์นั้น เราอาจได้ข้อคิดความรู้เพิ่มพูนขึ้น
ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างให้คุณได้พิจารณา
เมื่อปี พุทธศักราช 2523 ข้าพเจ้ามีอาการแปลกๆ ขนาดนั่งสมาธิเป็นประจำ แต่กลับได้รู้ได้เข้าใจ ระลึกนึกถึงอะไรบางอย่างได้ ตอนนั้นข้าพเจ้าอายุ 20 กว่า ทำให้เกิดมีพฤติกรรมที่คนรอบข้างสงสัย
ผู้บังคับบัญชา ก็สงสัย จึงส่งตัวข้าพเจ้าไปนอนโรงพยาบาล ทางโรงพยาบาล ก็ส่งตัวข้าพเจ้าไปโรงพยาบาลสวนปรุง เชียงใหม่ (โรงพยาบาลบ้า)
แพทย์ได้ตรวจอาการข้าพเจ้าทุกอย่างแล้ว เป็นปกติ ข้าพเจ้าจึงบอกแพทย์ไปตามความจริงว่า ข้าพเจ้ารู้สึกว่า และคิดว่า ข้าพเจ้า เป็นลูกของพระมหากษัตริย์ไทย
แพทย์ เขาก็ให้คำแนะนำว่า
ข้าพเจ้าอยู่ในอาการที่เรียกว่า "ภาวะสับสน" พอแพทย์แนะนำแค่นั้น
ข้าพเจ้าก็คิดขึ้นได้ว่า "เราจะเป็นใครไม่สำคัญ ตอนนี้เราก็เป็นเรา มีครอบครัว ต้องรับผิดชอบต่อครอบครัว ต่อประเทศชาติฯ "
พอคิดได้ ก็หาย กลับไปทำงานได้ตามปกติ โดยไม่ได้รับประทานยาแม้แต่เม็ดเดียวเลยนะคุณ
(ที่กล่าวไป เป็นเรื่องจริงนะขอรับ) |
|
|
|
  |
 |
ชินภพ พิมพะกร
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 17 ธ.ค. 2006
ตอบ: 67
|
ตอบเมื่อ:
25 เม.ย.2008, 7:37 pm |
  |
สวดมนต์ ทำสมาธิ ทำทาน สร้างกุศลตามโอกาสครับ
การปฏิบัติสามารถกระทำได้ในทุกขณะ คือ สมาธิตามธรรมชาติ เรียนก็รู้ว่าเรียน เอาใจใส่ในการศึกษา ค้นคว้าความรู้ อ่านตำรับตำราด้วยใจจดจ่อในสิ่งที่ทำ
หากต้องการความสงบ ระหว่างเวลาเรียน ซึ่งตามหลักสูตรมหาวิทยาลัยรัฐบาลที่ผมศึกษามา เราสามารถจัดเวลาตัวเองได้ มหาวิทยาลัยเอกชนยิ่งมีโอกาสดีมากในการศึกษาปฏิบัติ เพราะสามารถกำหนดเวลาการเรียนได้ง่ายกว่า มุมสงบระหว่างคาบเรียน เช่น โคนต้นไม้ ห้องสมุด หรืออาจเหลียวซ้าย แลขวา หาวัดใกล้ ๆ ซึ่งในเฉพาะกรุงเทพมหานครมีอยู่ทั่วไป พาตัวเข้าไปเจริญธรรมในโบสถ์ ศาลา หรือมุมสงบต่าง ๆ แล้วกลับมาเรียน
ผมทำงานบริการในระดับบริหาร ว่าง ๆ ระหว่างเวลางานก็เข้าโบสถ์สักหนึ่งชั่วโมง คิดซะว่าเป็นเวลาพักกลางวัน นอกเหนือจากการปฏิบัติที่บ้านครับ |
|
|
|
    |
 |
ตามรอย
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 16 เม.ย. 2008
ตอบ: 109
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่
|
ตอบเมื่อ:
25 เม.ย.2008, 9:26 pm |
  |
Buddha
ข้าพเจ้าต้องขอโทดอย่างสูงต่อท่าน Buddha มา ณที่นี้ด้วย
ที่ข้าพเจ้า เขียนข้อความอวดดีไปอย่างนั้น
เจตนาที่แท้จริงของข้าพเจ้าคือ อยากให้ท่าน Buddha มาโปรดข้าพเจ้า
ผู้โง่เขลาเบาปัญญา นี้เอง
จากการที่ข้าพเจ้าโพสข้อความอวดดีไปนั้น ก็แสดงให้เห็นความขาดสติ
ของตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าคิดว่าธรรมที่ข้าพเจ้าควรจะเจริญที่สุดในตอนนี้คือ สติ กระมัง ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าที่ข้าพเจ้าท้าชวน มิใช่ ท้าทาย ท่าน Buddha มาถกปัญหาธรรมนั้น มิได้มิเจตนาจะอวดเก่งในความรู้ที่มีน้อยนิดของตนเพียงแต่อยากรู้อยากเห็นธรรมของท่าน Buddha เท่านั้นเอง จะได้มาแลกเปลี่ยนทัศนคติกัน จึงเรียนมาเพื่อทราบเป็นการขอขมาท่าน Buddha
เจริญธรรม  |
|
_________________ อย่าประมาทลืมตน |
|
   |
 |
|