Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ชีวิตหลังความตาย
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
โยคี19
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 15 เม.ย. 2008
ตอบ: 29
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
ตอบเมื่อ: 20 เม.ย.2008, 1:51 pm
ชีวิตภายหลังความตาย
โดย อาจารย์บุญมี เมธางกูร
ความตายคืออะไร?
คำถามนี้เป็นคำถามที่ให้คำตอบกันง่าย ๆ โดยทั่วไปบุคคลทั้งหลายก็จะพากันตอบว่า ความตายคือการไม่หายใจ ความตายก็คือการดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามปกติธรรมดาไม่ได้ทุกอย่าง คำตอบเช่นนี้ก็มิได้ผิด แต่เป็นการถูกต้องผิวเผินเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง แต่ในสายตาของนักศึกษาเรื่องของชีวิตจากพระอภิธรรมปิฎกมีความเข้าใจดี แม้คำว่า จุติ ซึ่งแปลว่าดับหรือตาย ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังเข่าใจผิดไป เพราะไปเข้าใจว่า จุติได้แก่การเกิด บางคนเอาไปตั้งชื่อร้านค้าขายของตนเองว่า .จุติ หรือเมื่อเห็นแสงที่เรียกกันว่าดาวตกจึงได้พากันพูดว่าเทวดาจุติ หมายความว่าเทวดาเกิดในท้องของมารดา อย่าได้ไปทกเข้า หาไม่แล้วจะเข้าไป[
color=red]เกิด
ในท้อง
สุนัข ความตายก็ได้แก่ จุติหรือมรณะ มีวจนัตถว่า วจนํ จุติ การเคลื่อนจากภพหนึ่ง (สู่
ภพหนึ่ง) ชื่อว่า จุติ
[/color]มรณะ หรือ จุติ คือความตายนั้น จำแนกออกไปเป็น ๓ ประเภท คือ
๑. ขณิกมรณะ การดับไปของรูป- นามที่เกิดและดับไปอยู่ตลอดเวลา
๒. สมมติมรณะ คือการดับซึ่งได้แก่ความตายของคนหรือสัตว์ทั้งหลาย
๓. สมุจเฉทมรณะ ได้แก่การปรินิพพานของพระ
อรหันต์
ขณิกมรณะ ได้แก่การดับหรือการสลายตัวเปลี่ยนแปลงไปจนไม่เหมือนเดิมของบรรดารูปนามทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างกายหรือรูปอื่นใด จะเป็นจิตหรือวิญญาณ ซึ่งในวินาทีหนึ่งย่อมจะผันแปรเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ไม่มีผู้ใดที่จะมาบังคับให้มันหยุดนิ่งได้ ขณิกมรณะนี้ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องชีวิตภายหลังความตายนัก ดังนั้นจึงของดไม่บรรยายในรายละเอียดต่อไป
สมุจเฉทมรณะ เป็นการสิ้นชีวิตของพระอรหันต์ผู้ซึ่งปราศจาก
กิเลสแล้ว ไม่มีการเกิดมีชีวิตขึ้นมาได้อีกต่อไป เพราะหมดอำนาจของเหตุปัจจัยที่จะมาส่งเสริม ดังนั้นจึงของดไม่บรรยายในรายละเอียดต่อไปด้วยเหมือนกัน
จะได้บรรยายเฉพาะ สมมติมรณะ ซึ่งได้แก่ การดับหรือความตายของคนหรือสัตว์ทั้งหลายเท่านั้น
สมมติมรณะ คือความตายของคนหรือสัตว์ทั้งหลาย คืออะไร? ถ้าจะว่าโดยย่อแล้ว ความตายของคนหรือสัตว์ทั้งหลายก็ได้แก่ ความสิ้นสุดของรูปชีวิต และความสิ้นสุดของนามชีวิตในภพชาติหนึ่ง หรือจะพูดว่า ความตายก็คือจิต, เจตสิก และกรรมชรูป ดับลงในภพชาติหนึ่ง (ในปัญจ
โวการภูมิ) ประสาทตา ประสาทหู และหทัยวัตถุ เป็นต้น เป็นรูปที่เกิดมาด้วยอำนาจของกรรมแล้วมี ชีวิตรูป ควบคุมให้รูปเหล่านี้ดำเนินการไปได้ ชีวิตรูปมิได้เกิดขึ้นมาใหม่ในภพชาตินั้น ซึ่งก็คือหมดอำนาจลง ไม่สามารถควบคุมรูปเหล่านี้ได้อีกต่อไป จิตกับเจตสิกเกิดขึ้นมาแต่ละครั้ง ก็ย่อมจะมี ชีวิตนาม ควบคุมให้จิต เจตสิก ดำเนินการงานไปได้ แต่เมื่อชีวิตนามดับลงเป็นครั้งสุดท้าย มิได้มีเกิดขึ้นมาอีกในชาตินั้น หมดเหตุ หมดปัจจัยที่จะสนับสนุนให้เกิดขึ้นมาได้ จิต เจตสิกจึงมิได้เกิดขึ้นมาอีกต่อไป การสืบต่อเฉพาะในชาตินั้นขาดสะบั้นลง เราจึงได้เรียกผู้นั้นว่า คนตาย หรือสัตว์ตาย อย่างไรก็ดี ทั้งรูปและนามก็จะต้องสืบต่อไปอีกในภพชาติใหม่ตราบใดที่กิเลสตันหายังมิได้สูญหายไปจากจิตใจอย่างแน่นอน
แต่กรรมชรูปที่มีชีวิตรูปควบคุม และนามคือจิต , เจตสิก ที่มีชีวิตนามควบคมเอาไว้ให้ดำเนินการไปได้ เหตุใด เมื่อดับลงแล้วจึงมิได้เกิดขึ้นมาอีกตามปกติ ทำให้ความตายเกิดขึ้นมา
เหตุใดจึงต้องตาย ?
สมมุติมรณะ คือ ความตายของสัตว์ทั้งหลาย ถ้าจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็อาจกล่าวได้ว่า ความตายก็คือ จิต เจตสิก และกรรมชรูปดับลง แล้วไม่เกิดขึ้นมาใหม่ในภพชาตินั้น (เว้นอสัญญสัตตา) หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ว่า ความตายของสัตว์ทั้งหลาย (ในปัญจโวการภูมิ คือภูมิที่มีขันธ์ ๕ )นั้น หมดสิ้นอำนาจแห่งอนุบาลธรรม ๓ ประการ คือ
[size=12]
๑. ความหมดสิ้นไปแห่งกรรมชรูป
๒.ความหมดสิ้นไปแห่งอุสมาเตโชธาตุ
๓.ความหมดสิ้นไปแห่งภวังคจิต
[/size]
๑. ความหมดสิ้นไปแห่งกรรมชรูป
ธรรมดาสัตว์ทั้งหลาย ย่อมมีรูปอันเกิดขึ้นมาจากอำนาจของกรรม ที่เรียกว่า กรรมชรูปอยู่ทั่งสรรพางค์กาย คือ ประสาทตา ประสาทหู ประสาทจมูก ประสาทลิ้น ประสาทกาย เพศหญิงหรือเพศชาย และหทยวัตถุ อันเป็นที่ตั้งที่อาศัยของจิตใจ รูปทั้งหมดเหล่านี้เป็นรูปปรมาณู เกิดมาตั้งแต่ปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา โดยอำนาจของกรรมที่ทำไว้ในอดีต ซึ่งมีอิทธิพลมาก สามารถเป็นตัวการปรุงแต่ง ผันแปรรูปที่ถ่ายทอดจากบิดามารดาให้เป็นรูปประสาท เช่นประสาทกายเป็นต้น ตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิ และส่งเสริมปรุงแต่งเรื่อยมาจนเติบใหญ่ไปจนกว่าจะถึงแก่ความตาย รูปทั้งหลายดังกล่าวแล้วก็มีการสลายตัวไป และเกิดใหม่เพิ่มเติมชดเชยกันอยู่เรื่อย ๆ ตลอดเวลาทุก ๆ วินาทีที่ผ่านไป โดยอำนาจของกรรมผลิตสร้างขึ้น ติดต่อกันอยู่เสมอไม่ขาดสายเหมือนน้ำที่ไหลอยู่ในลำธาร
ทุกครั้งที่กรรมชรูปสร้างรูปขึ้นมา ก็มีชีวิตรูปเกิดขึ้นร่วมด้วยทุก ๆ ครั้งและทุก ๆ รูป ที่เรียกว่ากรรมชรูป แต่ครั้นถึงคราวที่ชีวิตจะสิ้นสุดลง เพราะหมดกำลังอำนาจของกรรมที่จะปกปักรักษารูป เฉพาะอย่างยิ่งหทยวัตถุ อันเป็นที่ตั้งที่อาศัยของจิตมิได้เกิดขึ้นมาแล้ว จิตก็จะดับและไม่เกิดขึ้นมาอีกสำหรับในภพนี้ บุคคลนั้นจึงถึงแก่ความตาย ถ้าจะตั้งคำถามว่า เหตุใดกรรมชรูปที่เกิดขึ้นมาสืบต่อกันไปไม่ขาดสายนั้น เมื่อดับลงแล้ว ไฉนจึงมิได้เกิดขึ้นมาใหม่ตามที่เคยเป็นไป ทั้งนี้ก็เพราะว่า กรรมที่เป็นตัวปกปักรักษาให้ชีวิตดำรงคงอยู่นั้น หมดสิ้นอำนาจลงเมื่อกรรมมิได้รักษาแล้ว รูปอันเกิดจากกรรมจึงมิได้ถูกผลิตสร้างขึ้นมา จิตเจตสิกจึงได้ดับลงไปพร้อมกัน เราจึงเรียกว่า ตาย
๒
. ความหมสิ้นแห่งอุสมาดโช
ธาตุ ชีวิตทุกชีวิตที่ยังดำรงคงอยู่ได้ ก็ด้วยอาศัยอำนาจของอุสมาเตโช คือความร้อนที่ช่วยรักษาชีวิตเอาไว้ เมื่อการงานของชีวิตสะดุดหยุดลง อุสมาเตโชที่รักษาให้ชีวิตอยู่ได้ก็หมดกำลังอำนาจ ความตายจึงได้เกิดขึ้น
๓. ความหมดสิ้นไปแห่งภวังคจิต
ภวังคจิตนั้นเป็นตัวการรักษาภพชาติเอาไว้ บัดนี้ ภวังคจิตดับลงไปโดยมิได้เกิดขึ้นเสียแล้ว ชีวิตของผู้นั้นก็ถึงที่สุดลง การที่ชีวิตต้องถึงที่สุดลงนั้น ก็ด้วยอำนาจของกรรมเป็นประการสำคัญที่สุด ดังนั้นความตายเกิดขึ้นเพราะอำนาจของกรรมที่ปกปักรักษาให้ชีวิต ดำรงคงอยู่นั้นหมดสิ้นอำนาจลงแล้ว
ขณะตายมีความเจ็บปวดบ้างหรือไม่
ยังมีคนที่เข้าใจผิดอยู่ไม่น้อย ที่เข้าใจว่า ในเวลาตายคงจะเจ็บปวดแสนสาหัส ดังนั้น จึงมักจะพูดอยู่เสมอหรืออธิษฐานอยู่บ่อย ๆ ว่า ขอให้กุศลผลบุญช่วยให้ตายสะดวก ๆ อย่าต้องทรมานเลย ในเรื่องนี้บางคนเชื่อเอาจริง ๆ เพราะเคยเห็นคนใกล้จะตายร้องครวญครางและดิ้นรนกระวนกระวายกระสับกระส่ายอยู่เป็นเวลานานแล้วจึงได้ตาย
ในบางคนเท่านั้นที่มีความเข้าใจว่า ความเจ็บปวดทรมานนั้นเกิดขึ้นเมื่อยังมิได้ตาย แต่ในขณะกำลังตายจะเจ็บปวดหรือไม่ ไม่ทราบ การที่จะทำความเข้าใจในเรื่องนี้ ก็จะต้องทำความเข้าใจในเรื่อวิถีจิต คือการทำงานของจิตว่าจิตใจมีการงานทำอย่างไร แต่การทำงานของจิตนั้นมีมากมายด้วยกัน
วิถีหรือการทำงานของจิตหลายประเภท ทำการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้สึกถูกต้องทางกาย และมีความคิดนึกในเรื่องราวต่าง ๆ
วิถีหรือการทำงานของจิตบางประเภท ทำงานในเรื่องสมาธิจนกระทั่งได้ถึงฌาน เรียกว่า ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ปัญจมฌาน ไปจนถึงอรูปฌานอีก ๔ ฌาน
วิถีหรือการทำงานของจิตบางประเภท ทำกำลังอำนาจของจิต ที่เรียกว่า อภิญญาจิต สามารถทำอิทธิฤทธิ์ได้ต่าง ๆ เช่นการระลึกชาติได้เป็นต้น
วิถีหรือการทำงานของจิตบางประเภท ทำงานในเรื่องของการทำลายกิเลสออกจากจิตใจได้โดยเด็ดขาด เรียกจิตประเภทนี้ว่า โลกุตรจิต คือมีนิพพานเป็นอารมณ์ เรียกว่า อริยมรรค อริยผล เป็นอริยบุคคล เริ่มตั้งแต่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ไปจนถึงอรหัตมรรค อรหัตผล
วิถีหรือการทำงานของจิตบางประเภท เช่นในขณะที่นอนหลับแล้วฝันไปในเรื่องราวต่าง ๆ มีฝันดีบ้าง ฝันร้ายบ้าง ฝันแล้วก็เป็นจริงบ้าง และไม่เป็นจริงบ้าง
วิถีหรือการทำงานของจิตในขณะตาย ในขณะเกิดในภพชาติใหม่ และในขณะที่กำลังนอนหลับ จุติ คือ ความตาย ปฏิสนธิ คือความเกิดในภพชาติใหม่ และภวังค์ คือการรักษาภพชาติ เช่นการนอนหลับ เป็นต้นนั้น ถึงจะมีความแตกต่างกันอยู่ก็จริง แต่ก็เหมือนกันในบางประการ จำเป็นต้องทำความเข้าใจเรื่อง ทวาร เสียก่อน
ทวารก็ได้แก่ประตู ประตูก็ได้แก่ ช่องทางเข้าออกของบุคคลทั้งหลาย เรามีประตูสำหรับเข้าไปทำงาน เช่น ประตูของกระทรวงทบวงกรม ไม่ใช่เข้าไปทำงานทางหน้าต่าง แต่ประตูก็มีหลายประตู บางคนก็เข้าประตูหนึ่ง และ บางคนก็เข้าอีกประตูหนึ่งเพื่อทำงาน ถ้าไม่มีประตูเราก็เข้าไปทำงานไม่ได้ นอกจากบางคน ถึงจะเป็นส่วนน้อยก็ตาม ก็มีอยู่ที่ไม่ต้องเข้าประตูเลยก็ทำงานได้
ท่านทั้งหลายว่าผู้ใดเล่าที่ไม่ต้องเข้าประตูเลยก็ทำงานได้ ถ้าท่านคิดยังไม่ออกผมจะขอบอกให้ ว่าผู้ที่ไม่ต้องเข้าประตูเลยก็ทำงานได้ คนนั้นก็ได้แก่ ภารโรงนั่นเอง เพราะภารโรงอาศัยกินอยู่หลับนอนภายในกระทรวงนั้น ตื่นเช้าขึ้นมาก็เปิดประตูหน้าต่างและทำความสะอาดเลยทีเดียว
จิตใจของสัตว์ทั้งหลายก็เหมือนกัน มีจิตมากประเภททีเดียวที่ต้องทำงานทางทวารคือ ประตู แต่จิตที่ไม่ทำงานทางประตูก็มีแม้ว่าจะน้อย
ประเภทก็ตาม จิตที่ต้องทำงานทางทวาร ในทางธรรมะ เรียกว่า ทวาริกจิต จิตที่ไม่ได้ทำงานทางทวาร ในทางธรรมะ เรียกว่า ทวารวิมุตจิต จิตที่ทำงานทางทวาร บางทีก็ทำงานได้ทวารเดียวเรียกว่า เอกทวาริกจิต ก็มีทำงานได้หลายทวาร เรียกว่า ปัญจทวาริกจิต ก็มี แล้วยังมีอื่น ๆ อีก ซึ่งเต็มไปด้วยตัวเลขควบคุมทั้งนั้น แม้ทวารวิมุตจิตก็ดี บางประเภททำงานทางทวาร คือเป็นทวาริกจิต และบางประเภททำงานที่ไม่ต้องอาศัยทวาร
เลย
ทวาริกจิต เป็นจิตที่ต้องทำงานทางทวารทั้ง ๖ คือ จักขุทวาร โสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร กายทวาร และมโนทวาร เพื่อทำงาน เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัสทางกาย และคิดนึก ผู้ใดจะรู้อารมณ์ทั้ง ๖ นี้ โดยไม่มีทวารย่อมจะเป็นไปไม่ได้ เช่น เห็น ก็จะต้องอาศัยจักขุทวาร ได้ยินก็ต้องอาศัยโสตทวาร ได้กลิ่น ก็ต้องอาศัยฆานทวาร รู้รสก็ต้องอาศัยชิวหาทวาร รู้ถูกต้องก็ต้องอาศัยกายทวาร รู้คิดนึกก็ต้องอาศัยมโน
ทวาร
[size=12]
๑. จักขุทวาร องค์ธรรมได้แก่ จักขุปสาท = ประสาทตา
๒. โสตทวาร องค์ธรรมได้แก่ โสตปสาท = ประสาทหู
๓. ฆานทวาร องค์ธรรมได้แก่ ฆานปสาท = ประสาทจมูก
๔. ชิวหาทวาร องค์ธรรมได้แก่ ชิวหาปสาท = ประสาทลิ้น
๕. กายทวาร องค์ธรรมได้แก่ กายปสาท = ประสาทกาย
๖. มโนทวาร องค์ธรรมได้แก่ ภวังคจิต ๑๙
[/size]
รวมได้รูปทวาร ๕ และนามทวาร ๑ สำหรับภวังค์ก็ได้แก่ มโนทวาร
เฉพาะทวารวิมุติจิต ซึ่งเป็นจิตที่ไม่ออกประตูทำงาน มี ๑๙ ประเภท คือ
อุเบกขาสันตีรณจิต ๒ (เป็นบาป ๑ เป็นบุญ ๑)
มหาวิบากจิต ๘
มหัคคตวิบากจิต ๙
จิตเหล่านี้ เป็นจิตที่เป็นผลของกรรมทั้งบาปและบุญที่ได้ทำเอาไว้ จิตที่เป็นวิบาก คือเป็นผลของกรรมเหล่านี้ กระทำงานพ้นจากการนับเป็นทวาร โดยมีหน้าที่การงาน ๓ อย่าง ทั้ง ๑๙ ประเภท คือทำงาน ปฏิสนธิ ภวังค์ และจุติ
ปฏิสนธิได้แก่ทำหน้าที่เกิดในภพชาติใหม่
ภวังค์ซึ่งได้แก่องค์แห่งภพ รักษาภพชาติเอาไว้ เช่นในเวลานอนหลับ เป็นต้น
และจุติ คือ ดับหรือตายไปจากภพชาตินั้น
ๆ
จิตใดที่เป็นทวาริก ก็ย่อมจะแสดงออกซึ่งความรู้สึกต่าง ๆ เช่น เห็น ได้ยิน และคิดนึก
จิตใดที่เป็นทวารวิมุติ พ้นจากการนับเป็นทวาร ย่อมจะไม่มีความรู้สึกนึกคิดอะไรทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้อย่าว่าแต่ จุติ คือความตายเลย แม้ปฏิสนธิ กับภวังค์ ก็หาได้มีความรู้สึกนึกคิดมิได้ ท่านอาจจะสงสัยว่า เหตุใดจิตเกิดขึ้นมาทำงานแล้ว ไฉนมิได้มีความรู้สึกนึกคิดหรือรู้สึกสำนึกตัว ผมก็จะถามท่านว่า ในเวลานอนหลับสนิท จิตมิได้เกิดขึ้นมาหรือ ในเวลานอนหลับก็มิได้ตาย จิตก็เกิดขึ้นมาทำงาน แต่คนนอนหลับสนิท รู้สึกนึกคิด หรือรู้สึกสำนึกตัวบ้างหรือเปล่า ปฏิสนธิ ภวังค์ และจุติ มิได้มีความรู้สึกสำนึกตัวดังนี้ จึงตอบคำถามได้ว่า ในขณะกำลังตายมิได้มีความเจ็บปวดแต่ประการใด เหมือนผู้ที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่นั่นเอง แต่อย่างไรก็ดี ในตอนก่อนที่จะถึงความตาย ก็อาจจะมีความรู้สึกสำนึกตัวโดยมีความสุขความสบายอย่างเหลือแสน หรืออาจเกิดความทุกข์ทรมานประการใดก็ได้ ทั้งนี้ก็แล้วแต่อำนาจของกรรมที่ผู้นั้นได้กระทำมาเป็นสำคัญ
มรณุปฺปตฺติจตุกฺก
ในพระพุทธศาสนาจะได้แสดงถึงกาลมรณะ อันหมายถึงคราวที่จะต้องตาย และอกาลมรณะ ได้แก่ตายลงไปโดยที่ยังไม่ถึงเวลาก็จริง ก็มิได้กล่าวไว้เฉย ๆ หากแต่ได้ให้เหตุผลข้อเท็จจริงไว้พร้อมบริบูรณ์ ซึ่งจำเป็นต้องศึกษาเรื่อง มรณุปฺปตฺติจตุกฺก จึงจะเข้าใจได้
มรณุปฺปตฺติจตุกฺก แยกออกแล้วได้ ๓ บท คือ มรณ + อุปฺปตฺติ+ จตุก มรณ = ความตาย อุปฺปตฺติ = ความเกิดขึ้น จตุกฺก = มี ๔ แปลว่า การเกิดขึ้นของความตายมี ๔ อย่าง เหตุที่จะให้ความตายเกิดขึ้น ๔ อย่าง นั้น ก็คือ
๑. อายุกฺขยมรณ เพราะสิ้นอายุ
๒. กมฺมกฺขยมรณ เพราะสิ้นกรรม
๓. อุภยกฺขยมรณ เพราะสิ้นอายุ และ สิ้นกรรม
๔. อุปจฺเฉทกมรณ เพราะประสบอุบัติเหตุทั้ง ๆ ที่กรรมยังไม่สิ้น
ถ้าจะเปรียบเทียบการตายของสัตว์ทั้งหลายแล้ว ก็เหมือนกับโคมไฟที่ได้จุดไว้ตามบ้านเรือน โคมไฟดังกล่าวนี้ย่อมจะต้องดับลงได้ด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ เพราะหมดไส้ ไฟจึงดับอย่างหนึ่ง , เพราะหมดน้ำมัน ไฟก็ย่อมจะดับอย่างหนึ่ง , เพราะหมดทั้งไส้ทั้งน้ำมันทั้งสองอย่าง ไฟจึงดับอย่างหนึ่ง และเพราะโดนลมพัดหรืออะไรทับ ไฟจึงดับอีกอย่างหนึ่ง รวมเป็น ๔ ประการด้วยกัน
๑. อายุกฺขยมรณ ตายเพราะสิ้นอายุ มีวัจนัตถะแสดงว่า อายูโนขยํ = อายุกฺขยํ ความสิ้นแห่งอายุขัย ชื่อว่า อายุกฺขย อายกฺขเยน มรณํ = อายุกฺขยมรณํ ความตายเพราะสิ้นอายุขัย ชื่อว่าอายุกฺขยมรณะ
ตามธรรมดาสัตว์ทั้งหลายย่อมจะต้องมีอายุขัยของตน ไม่ว่าจะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย มนุษย์ หรือเทวดาก็ตาม เช่น สัตว์เดรัจฉาน มีนก หนู สุนัข แมว ช้าง ม้า ปลาวาฬ เป็นต้น ย่อมจะมีขอบเขตสูงสุดของอายุ แม้จะมีบางพวกอายุมากก็จะเกินขัยสูงสุดไปไม่มากนัก นก สุนัข แมว ก็จะมีอายุประมาณ ๑๐ ถึง ๑๕ ปี เต่ามีอายุประมาณ ๑๐๐ ถึง ๒๐๐ ปี เป็นต้น
สำหรับมนุษย์นั้น เมื่อ ๒,๕๐๐ ปีเศษมาแล้ว มีขัยอายุสูงสุด ๑๐๐ หรือ ๑๐๐ ปีเป็นอายุขัย แต่ในปัจจุบันนี้ ขัยอายุของมนุษย์ลดลงเหลือเพียง ๗๕ ปีเท่านั้นเอง ในสมัยพุทธกาล คนมีอายุเกินกว่า ๑๐๐ ปี ก็มี ถึงจะไม่มากนักก็ตาม สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอายุเกินกว่า ๑๐๐ ปีก็มีหลายท่าน เช่น พระอานนท์ พระมหากัสสป และนางวิสาขา มีอายุถึง ๑๒๐ ปี และบางท่านก็มีอายุเกิน ๑๒๐ ปี เช่น พระพากุละเถระ มีอายุถึง ๑๖๐ ปี ซึ่งคนสมัยนี้ไม่ค่อยมีใครเชื่อ
อายุของมนุษย์จะสั้นหรือยาวก็ตาม ย่อมจะต้องอาศัยอำนาจของกรรมที่ได้ทำมาตั้งแต่ในอดีตเป็นส่วนสำคัญ ด้วยเหตุดังนี้ ผู้ที่มีอายุยืนหรืออายุน้อย จึงเกิดขึ้นมาจากสาเหตุและเหตุนั้นก็คือ การมีศีล เว้นจากการฆ่าสัตว์ หรือเว้นจากการเบียดเบียนในชีวิตผู้อื่น และการทำบุญให้ทานเจือจานให้ชีวิตของผู้อื่นได้ยืนยาวออกไป หรือช่วยให้ผู้อื่นรอดจากความตาย เช่นการรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยความมีน้ำใจ ทำให้อายุยืนยาว และการที่ได้เบียดเบียนชีวิตซึ่งกันและกันที่เกิดขึ้นในอดีตชาติ ทำให้อายุถดถอยสั้นลง มีคนหลายคนบ่นว่า ญาติมิตรของเขาไม่ได้ทำบาปอะไรมาเลย ไม่ได้เบียดเบียนไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาก่อน แต่เหตุไฉนจึงได้ป่วยเจ็บออดแอด และถึงแก่ความตายในเมื่ออายุยังไม่สมควร
ผู้ที่เข้าใจดังนี้ก็มีมากเหมือนกัน แต่ความคิดเห็นดังนี้ไม่เป็นการถูกต้องตามสภาวธรรม เพราะกรรมปัจจุบันในชาตินี้ เป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม เป็นชวนะดวงที่ ๑ มีกำลังอ่อน ย่อมจะให้ผลได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น กรรมที่ทำในอดีตชาติต่างหากที่เข้ามาให้ผลและไม่จำเป็นด้วยว่าต้องเป็นชาติที่แล้วมาเท่านั้น อาจเป็นชาติใน ๆ เข้าไปก็ได้
ความจริงอำนาจของกรรมของบุคคลผู้ซึ่งเบียดเบียนทำให้ชีวิตของสัตว์ต้องตกล่วงไปในอดีตชาติย่อมจะสนับสนุนให้ผู้นั้นมีชีวิตไม่ยืนยาว และบุคคลซึ่งมีความเมตตา กรุณา เอื้อเฟื้อเจือจานผู้อื่น หรือช่วยให้ชีวิตของผู้อื่นรอดและปลอดภัยในอดีตชาติย่อมจะมาเป็นกำลังอุดหนุนให้บุคคลนั้นมีอายุยืนยาว เรื่องนี้มองเห็นได้ยากจะต้องศึกษาเรื่องของกรรมจากพระอภิธรรมปิฎกจนมีความเข้าใจจึงจะหายสงสัยได้ ด้วยเหตุดังนี้เอง ในสมัยใดมนุษย์มีอายุขัยลดน้อยถอยลง ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ในสมัยนั้นได้เคยเบียดเบียนทำชีวิตของสัตว์ทั้งหลายให้ตกล่วงไปเป็นอันมากในอดีตชาติ
พี่ดอกแก้ว
บัวใต้น้ำ
เข้าร่วม: 07 มิ.ย. 2004
ตอบ: 118
ตอบเมื่อ: 23 เม.ย.2008, 9:54 am
กรุณาบอกที่มาของบทความด้วยนะคะ ว่านำมาจากไหน ใครเป็นผู้เขียนเรื่องนี้ จะขอบคุณยิ่งคะ
_________________
เป็นประธานมูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ
โยคี19
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 15 เม.ย. 2008
ตอบ: 29
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
ตอบเมื่อ: 24 เม.ย.2008, 7:17 pm
เป็นบทความของ ท่าน อาจารย์ บุญมี เมธางกูร ผู้สนใจสามารถค้นคว้าเพิ่มเติมได้ที่เว๊บไซต์ของ อภิธรรมมูลนิธิ
http://www.abhidhamonline.org/Ajan/article.htm
ยังมีบทความอื่นๆอีกมากมายที่น่าสนใจ
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th