Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เหตุที่พระพุทธเจ้าต้องมีอายุ 80 ปี อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
charoem
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 เม.ย. 2008
ตอบ: 31

ตอบตอบเมื่อ: 09 เม.ย.2008, 7:52 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เนื้อความก็มีอยู่ว่า
เมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงพระชนม์อยู่ ในวันนั้น องค์สมเด็จพระบรมครู ไปทรงกล่าวกับบรรดาท่านพุทธบริษัทว่า....

“ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัพเพ สัตตา มริสสันติ มรณันตัง หิ ชีวิตัง คนเราเกิดมาเท่าไร ตายหมดเท่านั้น”

หมายความว่า คนทุกคน และสัตว์ทุกประเภท ที่เกิดมาแล้ว มันก็ต้องตาย
และต่อมาภายหลังจากนั้นไซร้ เมื่ออายุ 80 ปี องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เสด็จดับขันธ์ คือ ตาย

ในตอนนี้ไซร้ ก็ปรากฏว่า มีอรรถกถาจารย์ทั้งหลาย พยายามรวบรวมคำสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เทศน์ไว้ อยากจะทราบว่า เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา เคยเทศน์ไว้ว่า....
คนที่มีการคล่องใน อิทธิบาท 4 คือ....

ฉันทะ ความพอใจ
วิริยะ ความเพียร
จิตตะ การจดจ่อ การเพียรในกิจการงานที่ทำ
วิมังสา การใคร่ครวญการงานที่ทำเสมอ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การคล่องในอิทธิบาท 4 ในด้านของการปฏิบัติธรรม
ผู้ที่คล่องจริง ๆ ในอันดับต้น ได้แก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ว่าที่คล่องรองลงมาก็คือบรรดา พระอรหันต์ทั้งหลาย
ก็ท่านทั้งสองประเภทนี้ คือพระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี
ถ้ามีอิทธิบาทไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ จะบรรลุ คือ ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน
ไม่ได้
แต่ว่า ทำไมองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ทรงเคยกล่าวไว้ว่า
ผู้ที่เคยคล่องใน อิทธิบาท 4 ประเภทนี้ สามารถจะอธิษฐานตน ให้อยู่ได้ถึงกัปหนึ่ง
หรือกัลป์หนึ่ง ก็ได้

และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กลับมา นิพพาน
เมื่อระหว่างอายุของพระองค์ได้ 80 ปี

ตอนนี้ พระอรหันต์ทั้งหลาย ก็มีความสงสัย
แต่ทว่าบรรดาพระอรหันต์ตั้งแต่ปฏิสัมภิทาญาณ ก็ดี ได้อภิญญาหก ก็ดี วิชชาสาม ก็ดี
ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ไม่สงสัย รู้ด้วยอำนาจของ อตีตังสญาณ

แต่ทว่า สำหรับพระอรหันต์ขั้นสุกขวิปัสสโก นี้ ต้องสงสัย เพราะว่า ไม่ได้ญานวิเศษ
จึงต้องค้นคว้าคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์

ในที่สุดก็พบว่า สมเด็จพระนราสภ คือ....
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แทนที่จะมีอายุ 1 กัป อย่างที่กล่าวไว้
แต่ทว่าการที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา ต้องมีอายุ 80 ปี

เหตุผล ก็เป็นมาอย่างนี้ ตามที่องค์สมเด็จพระชินศรี ทรงกล่าวว่า....
อตีเต กาเล ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย....

ในอดีตกาล ตถาคตเสวยพระชาติเป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์
บำเพ็ญบารมีเพื่อจะได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถอยหลังจากชาตินี้กลับไปหลายพันชาติ เวลานั้นสมเด็จพระบรมโลกนาถ
ทรงบำเพ็ญบารมี ใกล้จะถึง ปรมัตถบารมี

พระวรกายของพระองค์นี้ มีส่วนพิเศษอยู่จุดหนึ่ง คือ....
เท้าทั้งสอง ในอุ้งระหว่างกลางเท้าทั้งสองนี่ มีรูปกงจักรอยู่ด้วย เป็นสีแดง

ในเวลานั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เกิดเป็นลูกคนจน ทำมาหากินอยู่ในป่า
ต่อมาท่านบิดาก็ตาย เหลือแต่มารดาผู้เดียว ท่านก็ปฏิบัติตน เป็นคนประกอบไปด้วย

ความกตัญญูรู้คุณ หาเช้ากินค่ำ หรือหาค่ำกินเช้า นำเอาอาหารมาเลี้ยงมารดาเป็นที่รัก
คือว่าท่านเป็นคนป่า ก็ตัดฟืนขาย เข้าป่าก็แต่เช้า กลับมาจนบ่าย จนเย็น อาบน้ำ อาบท่า กินน้ำ บริโภคอาหาร
เสร็จแล้ว ก็นำฟืนเอาไปขาย ได้เงินมาเท่าไร ก็มามอบให้แก่มารดา
มารดาก็จัดเงินทั้งหลายเหล่านี้ จัดอาหารมาเลี้ยงดูกัน

เป็นอันว่า รายได้ขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา เวลานั้น
ก็เต็มไปด้วยการฝืดเคืองมาก

ในคราวนั้น พระราชามีความลำบาก
ด้วยยักษ์ตนหนึ่ง ที่เขาเรียกว่า “รากษส” นี่มีสภาพเหมือนยักษ์
แต่เป็นยักษ์ที่อยู่ในโพรง และอุโมงค์ใต้ดิน น่ากลัวจะเป็นยักษ์ปลาไหล
เพราะอยู่ในโพรง และใต้ดินมันมีบ่ออยู่

แต่ทว่าทางขึ้น ก็ทำเป็นปล่องขึ้น การขุดอุโมงค์อยู่ใต้ดิน

เจ้า รากษส ตัวนี้ ปรากฏว่า ถึงเวลาฤดูหนึ่ง ถ้าเปรียบเทียบกับเวลา ตรุษสงกรานต์
เป็นงานเกี่ยวกับนักขัตฤกษ์ประจำปี เจ้า รากษส ตัวนี้ ก็ขึ้นมาจับคนเอาไปกินเป็นอาหาร

ทำอย่างนี้ เป็นเวลา 2 – 3 ปี ในแดนไกล
ต่อมา พระราชาทรงทราบจากบรรดาประชาชนทั้งหลาย ว่า....

เจ้า รากษส ขึ้นมาอาละวาด เจ้า รากษส ตัวนี้ขึ้นมาเป็นเวลากาล
ถ้าถึงฤดูนั้น ถึงเดือนนั้น วันนั้น มันก็ขึ้นมาจับคนกินเป็นอาหาร เพื่อเป็นเสบียงกรัง
ทำอย่างนี้ เป็นเวลา 2 – 3 ปี

จนเป็นที่แน่ใจของประชาชนทั้งหลายว่า วันนี้แหละเจ้า รากษส จะขึ้นมาจับคนไปกิน
จึงไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ

พระราชา ก็ให้ป่าวประกาศหาคนดีมีฝีมือ ให้ไปสู้กับ เจ้า รากษส
ไปดักอยู่ปากปล่องของ รากษส ที่จะขึ้นมา ถ้า รากษส ขึ้นมา ก็จะฆ่า รากษส ให้ตาย

แต่ว่าบรรดาผู้ฟังทั้งหลาย รากษส มีสภาพเป็นยักษ์ มีความดุร้าย มีกำลังมาก
แทนที่คนทั้งหลายที่รับอาสาพระราชา จะไปฆ่า รากษส
ก็กลายเป็นอาหารของ รากษส อย่างดี

คือ รากษส ไม่ต้องไปหากินไกล จับคนทั้งหลายที่จะไปฆ่าเขา
นำกลับไปกินเป็นอาหาร

ต่อมาพระราชา เห็นว่า คนทั้งหลายไม่สามารถสู้ รากษส ได้
การประกาศให้บรรดาคนที่มีฝีมือทั้งหลาย ภายในขอบเขตของพระราชฐาน
หรือใกล้พระราชฐาน ก็ไม่มีใครรับอาสาไปปราบ รากษส

พระราชาได้ประชุมอำมาตย์ ข้าราชบริพารว่า....
เราไม่สามารถปราบ รากษส นี้ ได้เพียงใด ความเป็นพระราชาของเราก็ไม่อาจจะคงอยู่
เพราะเราไม่สามารถจะให้ความปลอดภัยกับบรรดาประชาชนได้

แล้วอาศัยที่พระราชาพระองค์นี้ ใช้ ทศพิธราชธรรม อันดี เป็นที่รักของปวงชนทั้งหลาย

บรรดาอำมาตย์ ข้าราชบริพารจึงประชุมกันว่า ถ้าหากพวกเราไม่สามารถฆ่า รากษส ได้
พระราชาก็จะสละราชสมบัติ แล้วคนที่มาใหม่ จะดีเท่าองค์นี้ หรือไม่ดี ก็ยังไม่แน่นัก
จึงปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรดี จะให้พระราชาครองราชย์ต่อไป

ในที่ประชุม ก็กล่าวกันว่า ทางที่ดีควรประกาศให้บรรดาประชาชนทั้งหลายทั่วประเทศ
ที่มีความสามารถ

เข้าใจตรงกันว่า พระราชามีบุญญาธิการอย่างนี้ และมีความเดือดร้อนอย่างนี้
ราษฎรจนที่ไหน พระองค์ก็ทรงจนด้วย
ราษฎรลำบากที่ไหน พระองค์ก็ทรงลำบากด้วย
หาทางช่วยราษฎรให้เป็นสุข พระราชาอย่างนี้ หาได้ยาก

ถ้ากระไรก็ดี ก็ควรกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบ ว่า....
คนในประเทศของเรา ไม่มีเท่าที่เห็น เพราะอยู่ในแดนไกล ในขอบเขตต่าง ๆ มีมากมาย
ควรจะประกาศให้บรรดาประชาชนทั้งหลายที่มีความสามารถ
แต่ไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าพระราชา ที่จะรับอาสาฆ่า รากษส
ในที่สุดเขาก็กราบทูลให้พระราชาทรงทราบ แล้วก็ทำตามนั้น

มอบทองคำ เท่าลูกฟัก สำหรับผู้รับอาสา

ต่อมา พระราช ก็ส่งคนไปประกาศว่า ถ้าบุคคลใดสามารถจะฆ่า รากษส ให้ตายได้
ในช่วงแห่งการรับอาสาจะมอบทองคำเท่าลูกฟัก หนักเท่าตัวบุคคลผู้รับอาสา
ให้เป็นทุนสำรองไว้ก่อน ทั้งนี้ ก็เผื่อว่า ไปพลาดพลั้งถูก รากษส ฆ่าตาย
ทางบ้านก็จะได้ใช้ทองคำนี้ จับจ่ายใช้สอย เป็นการประทังชีวิตให้มีความสุขสบายแทนผู้ตาย

ถ้าบุคคลใดฆ่า รากษส ตาย แล้วตัวเองก็ไม่ตาย ทองคำก็ได้เป็นสิทธิ์อยู่แล้ว

แต่เมื่อเวลาที่กลับมาประเทศเขตพระนคร พระราชาจะให้เป็นมหาอุปราช
คือไปมีตำแหน่งรองจากพระราชา

วันนั้น ก็ปรากฏว่า หน่อพระบรมโพธิสัตว์ จะเข้าป่าไปหาฟืน แต่ยังไม่ทันจะเข้า เดินออกจากบ้าน
ก็ได้ยินเสียงประกาศจจจากอำมาตย์ ข้าราชบริพารว่า ถ้าบุคคลผู้ใดรับอาสาฆ่า รากษส ได้
พระราชาจะประทานทองคำเท่าลูกฟัก หนักเท่าตัวคนผู้อาสา เป็นเดิมพัน
แต่ถ้าฆ่า รากษส ไม่ได้ ต้องตายไป ทองคำนี้ก็จะเลี้ยงครอบครัว
และถ้าฆ่าได้ ก็จะแถมรางวัลพิเศษ คือ ให้เป็นมหาอุปราช

หน่อพระบรมโพธิสัตว์ จึงคิดว่า เราเป็นลูกคนเดียวของแม่คนเดียว หาเช้ากินค่ำ
ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ ก็พอกินบ้าง ไม่พอกินบ้าง มีความลำบาก

ถ้าหากว่าเราจะยอมเสี่ยงชีวิตของเรา ตายแต่เพียงผู้เดียว
ให้แม่ได้มีโอกาสรับทองคำเท่าลูกฟัก หนักเท่าตัวเรา แม่ก็จะกินอยู่แบบสบาย ๆ
แม้กระทั่งตาย ทองคำก็ยังไม่หมด

เมื่อหน่อพระบรมโพธิสัตว์ กำหนดอย่างนี้แล้ว จึงได้ขันรับอาสา
แล้วก็รับทองคำมามอบให้แก่แม่
ตอนนี้ แม่คัดค้านอย่างหนัก ไม่อยากจะให้ลูกตาย

ในที่สุด ก็ต้องจำยอม เพราะตกลงกับเขาแล้ว จึงได้มอบทองคำให้แม่
ตัวเองก็ไปเฝ้าพระราชาพร้อมกับอำมาตย์
เข้าไปเฝ้าแล้ว....
พระราชาถามถึงผลของความต้องการ เธอสามารถแน่ใจที่จะฆ่า รากษส ได้หรือ
พระโพธิสัตว์ก็บอกว่า มั่นใจ ต่อไปพระราชา ถามว่า เจ้าต้องการทหารเท่าไร
ต้องการอาวุธอะไรบ้าง จะไปฆ่า รากษส

หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ก็ตอบว่า “ไม่ต้องการอะไรอะไรทั้งหมด ต้องการฆ่า ด้วยมือเปล่า”

พระราชาก็หนักใจ แต่ว่า เขาขันรับอาสาตามนั้น ก็ต้องปล่อยไป
เขาก็นำไปส่งที่ปล่องของ รากษส

หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ขึ้นไปคอยอยู่ประมาณ 2 วัน พระราชาทรงให้ทหารไปเป็นเพื่อน
นำอาหารไปบริโภค ไปคอยอยู่ที่ปากปล่องที่ รากษส จะขึ้น
ต่อมา เมื่อถึงวันนั้น คือวันกำหนดที่ รากษส จะขึ้นมา มีเวลาเป็นประจำ ก็ขึ้นมาพอดี

พอ รากษส ขึ้นมา ไม่ทันจะพ้นปล่อง หัวขึ้นมาพ้นปล่อง
หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ยกเท้าขึ้นหวังจะกระทืบ คือจะกระทืบให้ รากษส คอหักตาย

รากษส แหงนหน้าขึ้นมา เห็นอุ้งเท้าของหน่อพระจอมไตรบรมโพธิสัตว์ มีกงจักร
ในระหว่างท่ามกลางฝ่าเท้า ก็คิดว่า คราวนี้เราตายแน่ เราสู้ไม่ได้
เพราะคนนี้ต้องเป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ เพราะกลางระหว่างเท้า มีกงจักรสีแดง

จึงได้พูดว่า....
ช้าก่อน ท่านอย่าพึ่งฆ่าเรา ท่านนี่เป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้
เป็นพระพุทธเจ้าในอีกไม่นานนัก เพราะว่ากลางเท้าของท่านมีกงจักร
หากท่านฆ่าเรา เราก็ตาย ถ้าท่านฆ่าเราไซร้ ท่านจะมีอายุสั้น
ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ตามธรรมดาพระพุทธเจ้า จะต้องมีอายุ สองหมื่นปีบ้าง
ถึงสี่หมื่นบ้างก็มี

อีกประการหนึ่ง พระพุทธเจ้าสามารถจะอธิษฐานตนให้มีอายุถึงกัปหนึ่ง ก็ได้

หากว่า ท่านฆ่าเราตาย ในเวลานี้ เวลานี้เรามีอายุ 80 ปี
ถ้าหากว่าท่านฆ่าเราตายในเวลานี้

เมื่อท่านเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็ต้องมีอายุ 80 ปี เท่านั้น

การประกาศพระศาสนาของท่าน จะไม่มีผลตามความประสงค์

หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ก็กล่าวว่า....

“เจ้าเป็นสัตว์ที่มีความดุร้ายมาก ไล่พิฆาต เข่นฆ่าคนเป็นอาหาร ถึงแม้นว่าเราจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า มีอายุแค่ 80 ปี เราพร้อม ยอมตามนั้น”

ในที่สุด หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ก็กระทืบศรีษะยักษ์ รากษส ยักษ์ก็คอหักตาย



นี่แหละบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่า พระพุทธเจ้า ทุก ๆ พระองค์ เมื่อเป็นพระพุทธเจ้า สามารถจะอธิษฐานอายุของตนให้อยู่ได้ถึงกัปหนึ่ง ก็ย่อมเป็นได้ เพราะคล่องใน อิทธิบาท 4

แต่ว่า ที่องค์สมเด็จพระมหามุนีบรมศาสดา จะต้องนิพพาน ภายในอายุ 80 ปี
ตามพระบาลี ท่านกล่าวว่า เหตุของการฆ่า รากษส ตนนั้น

จึงเป็นเหตุให้สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ต้องนิพพานในอายุยังสั้น


--------------------------------------------------------------------------------------

เรื่องเป็นแบบนี้นี่เอง แต่ก็สงสัยนิดๆ ว่าทำไม รากษส พูดว่า
ท่านฆ่าเราตาย ในเวลานี้ เวลานี้เรามีอายุ 80 ปี
ถ้าหากว่าท่านฆ่าเราตายในเวลานี้
เมื่อท่านเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็ต้องมีอายุ 80 ปี เท่านั้น

เมื่อท่านรู้ว่า ตัวเองจะได้เป็นพระพุทธเจ้า แล้ว รากษสเตือนว่าอย่าฆ่าเราเลย อีกไม่นานจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ก็น่าจะรู้สึกยินดี และปิติ ว่าตัวเองจะได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วนะ เราน่าควรจะมีเมตตาต่อ รากษส โดยการปล่อยมันไปซะ ไม่ต้องถึงกับฆ่า แค่ขู่ก็พอว่า ถ้าเจ้ามาก่อกวนชาวบ้านอีก ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยเท้าของข้า แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว รากษสก็จะไม่มาทำร้ายชาวบ้านอีก


ถ้าเป็นเพื่อนๆในบอร์ดรู้ว่าอนาคตตัวเองจะได้บรรลุธรรม ชาตินี้จะฆ่าสัตว์อีกมั้ย

ไม่ได้ตำหนิความคิดพระพุทธเจ้านะครับ แค่สงสัย อ่ะครับ
เรื่องผ่านไปแล้ว พระพุทธเจ้าสอนว่าไม้ให้เก็บมาคิดมาก ให้อยู่กับปัจจุบันปล่อยๆไปเถอะครับ ผมแค่เอามาให้อ่านเป็นความรู้นะครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Chunyanuch
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2008
ตอบ: 2
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 09 เม.ย.2008, 11:40 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ก็เพราะ ตอนนั้นพระพุทธเจ้ายังเป็นปุถุชน ที่ ต้องการช่วยเหลือมนุษย์คนอื่น ด้วยการกำจัดยักษ์ไงล่ะคะ และพระองค์ก็ทรงยอมแลกอายุขัยในชาติที่บรรลุ เพื่อรักษาปัจจุบันไงคะ หากต้องแลกกับคนตายจำนวนมากถึงแม้ไปทำการสัญญากับยักษ์ ยังไงยักษ์ก็ไม่รักษาสัญญา หรอกค่ะ มีที่ไหนคะสัญญากับยักษ์
ยังไม่เข้าใจอีกเหรอคะ
 

_________________
ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
บุคคลอื่นไรเล่าพึงเป็นที่พึ่งได้
เพราะบุรุษมีตนที่ฝึกฝนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งพึงได้อันโดยยาก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
charoem
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 เม.ย. 2008
ตอบ: 31

ตอบตอบเมื่อ: 09 เม.ย.2008, 12:08 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ๋ออย่างนี้นี่เอง ผมคิดไม่ถึงจริงๆ จริงอย่างที่คุณ Chunyanuch ว่า ยักษ์ย่อมไม่มีสัจจะ เหมือนกับที่เค้ามักพุดกันว่า ไม่มีสัจจะในหมู่โจร ผมลืมคิดแง่นี้ไป ผมไว้ใจคนง่ายไป ขอบคุณมากนะครับที่ชี้แนะ ทำให้ตาสว่างขึ้นเลย ผมสำคัญผิดไปที่ไม่เข้าใจพระเมตตาของพระพุทธเจ้าด้วย จะบาปถึงตกนรกมั้ยครับที่คิดสงสัยในตัวพระพุทธเจ้า ละอายใจจริงๆ เรา เฮ้อ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
sittidet
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 26 ธ.ค. 2007
ตอบ: 53
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 09 เม.ย.2008, 6:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้าอยู่ถึงกัป เราก็ไม่มีโอกาสได้เห็นอยู่ดี แต่ดีนะที่พระองค์ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา
เรายังมีศาสดาอยู่คือคำสั่งสอนที่มีอยู่นั้นเอง จากที่ผมศึกษามา พระพุทธเจ้าบางพระองค์ถึงอยู่นานกว่าองค์ปจบ. แต่ศาสนาก็หายไปเร็วมากกว่าพวกเราอีกก็ยังมี พุทธบริษัทสี่ก็ยังไม่มีก็มี
สติปัฏฐานสี่ก็ไม่มี แม้แต่คนที่ได้เจอพระพุทธเจ้ามีโอกาสได้เข้าเฝ้ายังไม่มีโอกาสบรรลุธรรมก็มีให้เห็นอย่างเช่นอชาตศัตรู ผมว่าเรายังดีโชคนะที่เกิดทันศาสนาพุทธพบแนวทางพ้นทุกก์มีสิทธิ์ที่จะบรรลุธรรมกันด้วยแค่นี้ก็พอแล้วครับ
 

_________________
ผู้ใดมีตนเป็นที่พึ่งนับว่าหาที่พึ่งอันหาได้ยาก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
manio
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 10 เม.ย. 2008
ตอบ: 16

ตอบตอบเมื่อ: 11 เม.ย.2008, 12:05 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เเต่ในยุคของพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป เห็นเขาว่าในยุคนั้น คนเราจะมีอายุ ถึง พันปีเลยเเหละ ไม่รู้จริงป่ะ เเต่ผมคง ไม่มีบุญมาเกิดหรอก ร้องไห้
 

_________________
วันนี้ วันไหน ก็เหมือนเดิม...^_^
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
RARM
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417

ตอบตอบเมื่อ: 11 เม.ย.2008, 9:44 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เป็นวิสัยของ พระสัพพัญญู ยากที่จะเข้าใจได้อย่าง ลึกซึ้ง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตามรอย
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 16 เม.ย. 2008
ตอบ: 109
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 26 เม.ย.2008, 11:26 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระพุทธเจ้ามีคุณอย่างยิ่งครับ สาธุ
 

_________________
อย่าประมาทลืมตน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
ทศพล
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 10 ก.พ. 2008
ตอบ: 153
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 02 พ.ค.2008, 5:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สู้ สู้ สาธุๆๆๆ สาธุ
 

_________________
"ธรรมทาน คือ ทานอันสูงสุด"
"ผู้ที่ฝึกจิต ย่อมนำความสุขมาให้"

http://www.wimutti.net
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
บัวหิมะ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273

ตอบตอบเมื่อ: 12 ส.ค. 2008, 5:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรื่องจริงเหรอเนี่ย อนุโมทนาสาธุ กับผู้เล่าเรื่อง สาธุ
 

_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 12 ส.ค. 2008, 7:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ในบาลี มีบอกไหมว่า รากษส ตนนั้นได้กลายมาเป็นใคร ในชาติที่พระพุทธองค์ตรัสรู้

ผมเดาว่าน่าจะเป็น นายจุณฑะ ที่ถวาย สุกรมัททวะ ให้พระพุทธเจ้าฉันมื้อสุดท้าย

ข้อนี้ เดาเอานะ เพราะว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ ต้องไปดูในพระไตรปิฎก
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง