ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
กรกต
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 28 ต.ค. 2006
ตอบ: 11
|
ตอบเมื่อ:
13 พ.ย.2006, 10:45 am |
  |
จับปลานอกสุ่ม
โดย หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
ในการเทศน์อบรมสั่งสอนฆราวาสญาติโยมนั้น ท่านพระอาจารย์มั่นท่านมักจะกล่าวปรารถเปรียบเทียบให้ญาติโยมฟังอยู่เสมอว่า “การเทศน์การสั่งสอนฆราวาสญาติโยมนั้น เหมือนกับการจับปลานอกสุ่ม” (สุ่มคือ เครื่องมือจับปลาชนิดหนึ่ง) การจับปลานอกสุ่มนั้นใครๆ ก็ย่อมรู้ว่ามันยากขนาดไหน เพราะปลามันมีที่จะไปได้หลายทางโดยไม่มีขอบเขตจำกัด มันจึงไม่ยอมให้จับได้ง่ายๆ ไม่เหมือนปลาที่อยู่ในสุ่ม ซึ่งมีขอบเขตจำกัดบังคับมันอยู่ จึงจับได้ง่ายแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายความว่าปลานอกสุ่มจะจับไม่ได้เลย จับได้เหมือนกันสำหรับผู้มีปัญญา
ท่านพระอาจารย์มั่นท่านมีอุบายวิธีอันชาญฉลาดมากในการสั่งสอนคน ถึงแม้ว่าท่านจะกล่าวปรารถทำนองถ่อมตน แต่องค์ท่านก็สามารถอบรมสั่งสอนโน้มน้ามจิตใจของญาติโยม ให้เกิดศรัทธาปสาทะความเชื่อความเลื่อมใส มาประพฤติปฏิบัติธรรมตามปฏิทาของท่าน เป็นจำนวนมากมหาศาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันนี้
ข้อที่น่าสังเกตในอุบายวิธีการสอนญาติโยมของท่านคือ ท่านจะสอนเน้นเป็นรายบุคคลเฉพาะผู้สนใจประพฤติปฏิบัติธรรมตามที่ท่านได้พิจารณาดูภายในแล้วเท่านั้น ถ้าหากญาติโยมผู้ใดถูกท่านพระอาจารย์มั่นทักซักถามแล้ว จะต้องตั้งใจฟังให้ดีๆ นั่นแสดงว่าท่านจะบอกขุมทรัพย์ให้ จึงเป็นบุญวาสนาของบุคคลนั้นโดยแท้ และบุคคลผู้นั้นจะถูกท่านซักถามแนะนำติดตามผลอยู่เสมอตามอุบายวิธีของท่าน จนสมควรแต่บุญวาสนาของบุคคลนั้นแล้ว ท่านจึงปล่อยให้ดำเนินตามที่ท่านแนะสอน เพื่อเพิ่มบารมีของเขาจนแก่กล้าเป็นลำดับต่อไป
สมัยนั้นญาติโยมชาวบ้านหนองผือกำลังมีความสนใจในการปฏิบัติธรรมมาก ทั้งหญิงทั้งชายหลังจากได้พากันละเลิกนับถือผีแล้ว โดยเฉพาะอาจารย์หลุย ผู้แนะนำสั่งสอนเป็นองค์แรกให้ละเลิกนับถือผี ถือผิดเหล่านั้น ให้หันหน้ามานับถือพระไตรสรณคมน์อย่างจริงจังมี พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งแทน และท่านยังได้อบรมสั่งสอนให้ปฏิบัติฝึกหัดนั่งสมาธิภาวนาพร้อมทั้งเดินจงกรมด้วย พากันปฏิบัติอย่างนั้นมาเรื่อยๆ จนทำให้การปฏิบัติธรรมของญาติโยมชาวหนองผือสมัยนั้น
บางคนมีความก้าวหน้ามาก และได้สละบ้านเรือนออกบวชกันหลายคน โดยเฉพาะฝ่ายหญิงออกถือบวชเนกขัมมะ สละเรือนเป็นแม่ขาว แม่ชี สมาทานศีลแปดจำนวนหลายคนด้วยกัน ที่สำคัญมีคุณยายขาวกั้ง เทพิน คุณยายขาววัน พิมพ์บุตร คุณยายขาวสุภีร์ ทุมเทศ คุณยายขาวตัด จันทะวงษา คุณยายขาวเงิน โพธิ์ศรี คุณยายขาวงา มะลิทอง คุณยายขาวกาสี โพธิ์ศรี และคุณแม่ชีกดแก้ว จันทะวงษา โดยมีพระอาจารย์หลุย เป็นผู้บวชให้
เมื่อบวชแล้วไปอยู่ตามสำนักที่ตั้งขึ้นชั่วคราวใกล้ๆ กับสำนักสงฆ์ของครูบาอาจารย์เพื่อจะได้ฟังเทศน์ฟังธรรมจากท่านเมื่อมีโอกาส บางครั้งพวกเขาก็พากันออกไปภาวนาหาความสงบวิเวกตามป่าช้าบ้าง ตามป่าเชิงเขาและถ้ำซึ่งอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นบ้าง เพื่อเป็นการหาประสบการณ์ให้แก่จิตใจ ไปเป็นกลุ่ม เมื่อเกิดปัญหาขึ้นทางด้านปฏิบัติสมาธิแล้ว จึงค่อยหาโอกาสเข้าไปกราบนมัสการเล่าถวายท่าน ท่านก็จะแก้ไขความขัดข้องนั้นให้ด้วยความเมตตากรุณา จนปัญหาเหล่านั้นลุล่วงไปด้วยดีทุกประการ และได้ปฏิบัติกันอย่างนั้นมาเรื่อยๆ
จนกระทั่งท่านพระอาจารย์มั่นได้เดินทางเข้าไปยังบ้านหนองผือ และพำนักอยู่วัดป่าบ้านหนองผือ ยิ่งทำให้คุณยายขาว และแม่ชีและญาติโยม ซึ่งกำลังมีความสนใจปฏิบัติธรรมอยู่แล้วมีความสนใจมากยิ่งขึ้น จนบางคนปรากฏผลเป็นที่น่าอัศจรรย์ในการปฏิบัติสมาธิภาวนา ในจำนวนนั้นมีคุณยายขาวกั้ง เทพิน อายุประมาณ 70 กว่าปี การปฏิบัติสมาธิมีความก้าวหน้ามากมีความรู้ความเห็นซึ่งเกิดจากการภาวนาหลายเรื่องหลายประการ ท่านมีนิสัยชอบเที่ยวรู้สิ่งนั้นสิ่งนี้ทางด้านจิตตภาวนาอยู่เสมอ เมื่อเกิดปัญหาขัดข้องทางด้านจิตตภาวนา มีโอกาสก็เข้าไปกราบนมัสการเล่าปัญหาถวายท่านพระอาจารย์มั่นฟัง ท่านก็จะแนะอุบายวิธีให้ไปประพฤติปฏิบัติตาม ในที่สุดปัญหาเหล่านั้นก็ตกไป
ตอนหลังคุณยายขาวกั้ง ท่านแก่ชราภาพมากไปมาไม่สะดวก ลูกหลานจึงให้ไปพักที่บ้าน ขณะที่อยู่บ้านท่านก็ไม่ได้ลดละความพากเพียร ตอนบ่ายเดินจงกรมบนบ้าน ค่ำลงเข้าห้องทำวัตรสวดมนต์ เสร็จแล้วนั่งสมาธิภาวนาต่อ ทำอย่างนี้ทุกวัน ตอนหนึ่งท่านนั่งสมาธิภาวนาจิตไปเที่ยวเพลิน ชมเมืองสวรรค์เกือบทุกคืน นั่งภาวนาคราวใดจิตจะไปเที่ยวชมเมืองสวรรค์ทุกครั้ง ท่านบอกว่า มันสนุกสนานเพลิดเพลิน เห็นแต่สิ่งสวยงดงามทั้งนั้น ไปแล้วก็อยากไปอีก เป็นอย่างนี้นอยู่หลายวัน วันหนึ่งไปกราบนมัสการเล่าเรื่องนี้ถวายพระอาจารย์มั่น ท่านจึงพูดปรามไม่ให้ไปเที่ยวเมืองสวรรค์บ่อยนัก แต่คุณยายขาวกั้งก็ยังติดอกติดใจจะไปชมเมืองสวรรค์อีก
คืนหนึ่งคุณยายขาวกั้งนั่งสมาธิภาวนาจะน้อมจิตไปเที่ยวชมเมืองสวรรค์ตามที่เคยไป แต่เหมือนมีอะไรมาขวางกั้นจิตทำให้ไม่รู้ทิศทางที่จะไป คืนนั้นเลยไปไม่ได้ พอตอนเช้าฉันจังหันเสร็จ คุณยายก็ไปที่วัดเข้าไปกราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่น เล่าเรื่องถวายท่านว่า “เมื่อคืนนี้หลวงพ่อเอาหนามไปปิดทางข้าน้อย ข้าน้อยเลยไปมิได้” ท่านพระอาจารย์มั่นตอบว่า “ไปเที่ยวเฮ็ดยั้ง ดุแท้ (บ่อยแท้)” คุณยายขาวกั้งจึงพูดตอบว่า “ไปแล้วมันม่วนรื่นเริงใจ เห็นแต่สิ่งสวยๆ งามๆ ทั้งนั้น” ท่านพระอาจารย์มั่นจึงบอกว่า “เอาล่ะ บ่ต้องไปอีกนะทีนี้”
คุณยายขาวกั้งก็เข้าใจความหมาย และยอมรับที่ท่านพระอาจารย์มั่นพูดเช่นนั้น แต่ในใจของคุณยายก็ยังคิดอยากจะไปเที่ยวชมเมืองสวรรค์อยู่อีก ท่านพระอาจารย์มั่นไม่ให้ไป เพราะท่านกลัวคุณยายจะผิดทางและเสียเวลา ท่านต้องการอยากจะให้ดูหัวใจตัวเองมากกว่า จึงจะไม่ผิดทาง ในที่สุดคุณยายขาวกั้งก็รับไปปฏิบัติตาม ซึ่งตามปกติคุณยายขาวกั้งจะเข้าไปกราบถามปัญหาธรรมกับท่านพระอาจารย์มั่นอยู่เสมอๆ แต่ละครั้งใช้เวลาไม่นาน เพราะคุณยายขาวกั้งจะถามปัญหาที่แก้ไม่ตกจริงๆ เท่านั้น
เมื่อท่านพระอาจารย์มั่นตอบมาอย่างไร คุณยายเข้าใจแล้วจะกราบลาท่านกลับที่พักของตน เป็นอยู่อย่างนี้เสมอ ต่อมาคุณยายขาวกั้งก็เกิดปัญหาทางจิตที่สำคัญอีกคือ วันหนึ่งไปที่วัดเพื่อจะไปกราบถามปัญหากับท่านพระอาจารย์มั่นตามปกติ วันนั้นพอเข้าไปกราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่น ท่านจึงทักขึ้นว่า “ฮ้วย..บ่แม่นไปเกิดกับหลานสาวแหล่วบ่เน้อ” (หมายความว่า ไม่ใช่จิตของยายเข้าไปปฏิสนธิในครรภ์ขอหลานสาวแล้วหรือ) เพราะช่วงนั้นคุณยายขาวกั้งมีหลานสาวคนหนึ่ง แต่งงานใหม่ กำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ อยู่
ด้วยเหตุนี้คุณยายขาวกั้งจึงบอกต่อท่านพระอาจารย์มั่นว่า “ข้าน้อย มิเยอะเกิด เพราะว่ามันทุกข์ แล้วล่ะเอ็ดแนวเลอ ข้าน้อยจังสิมิเกิดอีก” ท่านพระอาจารย์มั่นตอบว่า “อ้าว...เอาให้ดีเด้อ...ภาวนาให้ดีๆเด้อ” เหมือนกับคติพจน์ที่ท่านมักยกขึ้นมากล่าวอยู่เสมอว่า “แก้ให้ตกเน้อ แก้บ่ตกคาพกเจ้าไว้ แก้บ่ได้แขวนคอต่องแต่ง แก้บ่พ้นคาก้นย่างยาย คาย่างยายเวียนตายเวียนเกิด เวียนเอากำเนิดในภพทั้งสาม ภพทั้งสามเป็นเฮือนเจ้าอยู่”
ดังนี้ จากนั้นพระอาจารย์มั่นคงจะแนะอุบายวิธีแก้ให้แก่คุณยายนำไปปฏิบัติ คุณยายพอได้อุบายแล้วย ก็ถือโอกาสกราบลาท่านกลับบ้านองตน เมื่อกลับถึงบ้านแล้วจัดแจงเตรียมตัว เตรียมใจ ทำความพากเพียรตามอุบายที่ท่านพระอาจารย์มั่นแนะนำให้ปฏิบัติ คุณยายขาวกั้งทำความพากเพียรนั่งสมาธิ ภาวนาอยู่ประมาณสองหรือสามวันจึงรู้สาเหตุ แต่ก็ยังไม่สามารถทำลายอวิชชา ตัณหา อุปาทาน เหล่านั้นได้ จนคุณยายขาวกั้งอุทานออกมาให้ลูกหลานฟังว่า “พวกสู...กูกำลังไปเกิดกับอีอุ่น จังวากูมิเยอะเกิดอิ กูกำลังม้างอยู่เดี๋ยวนี้” (หมายความว่า พวกลูกๆ หลานๆ ทั้งหลายยายเห็นว่า ยายกำลังไปเกิดเป็นลูกของหลานสาวคือนางอุ่น แต่ว่ายายไม่ต้องการจะเกิดอีก จึงกำลังพยายามทำลายภพชาติอยู่ในขณะนี้)
หลังจากนั้นต่อมาไม่นานนางอุ่นหลานสาวของคุณยายขาวกั้งที่กำลังท้องอยู่ ยังไม่ถึงเดือนนั้นก็แท้งออกเสียโดยไม่รู้สาเหตุเลย หรือจะเป็นด้วยจิตเดิมของคุณยายขาวกั้ง เข้าไปปฏิสนธิของนางอุ่นหลานสาวจริง เมื่อคุณยายทำลายสาเหตุ คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ในจิตของคุณยายได้แล้ว จึงทำให้ครรภ์นั้นแท้งเสียดังกล่าว
สำหรับคุณยายขาวกั้งหรือแม่ชีกั้ง เรื่องการภาวนานั้นรู้สึกว่ามีความก้าวหน้ามากและเป็นไปได้เร็วกว่าบรรดาแม่ชีที่บวชรุ่นเดียวกัน แม้จะถือบวชชีตอนแก่ของบั้นปลายชีวิตแล้วก็ตามการภาวนาของท่านก็เกิดความรู้ความเห็นวิจิตรพิสดารโลดโผนมาก แต่คงจะเป็นด้วยบุญวาสนาของคุณยายที่มีท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งเป็นคูรบาอาจารย์ที่เชี่ยวชาญทางด้านจิตตภาวนา ได้เข้ามาพำนักอยู่วัดป่าบ้านหนองผือในช่วงนั้นพอดี จึงเป็นโอกาสให้คุณยายขาวกั้งได้เข้ากราบเรียนถามปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากการภาวนากับองค์ท่าน จนเป็นที่อบอุ่นใจของคุณยายมาจนกระทั่งท่านหมดอายุขัย
ส่วนแม่ขาวแม่ชีนอกนั้นก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ประพฤติปฏิบัติทำความพากเพียรตามรอยปฏิปทาของท่านพระอาจารย์มั่นมาเรื่อยๆ ตามลำดับ และได้ครองเพศถือบวช เป็นแม่ขาว แม่ชี สมาทานรักษาศีลแปด เจริญเมตตาภาวนาของท่านมาจนจิตใจหนักแน่น มั่นคงในธรรมปฏิบัติไม่อาจกลับย้อนไปถือเพศเป็นผู้ครองเรือนอีกจนตลอดสิ้นอายุขัยของท่านทุกคน ส่วนฆราวาสญาติโยมผู้มีอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า ไม่อาจสละบ้านเรือนออกถือบวชได้ ก็ตั้งตนอยู่ในภูมิธรรมของอุบาสกอุบาสิกาที่ดีทั้งหลายและมีจิตใจศรัทธามั่นคงอยู่ในบวรพระพุทธศาสนา ถือพระไตรสรณคมน์เป็นหลักในการบำเพ็ญตน ตลอดถึงคุณสมบัติของอุบาสกอุบาสิกาห้าประการคือ ประกอบด้วย ศรัทธา ๑ มีศีลบริสุทธิ์ ๑ เชื่อกรรมว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่เชื่อมงคลตื่นข่าว ๑ ไม่แสวงบุญนอกเขตพระพุทธศาสนา ๑ และบำเพ็ญบุญแต่ในพระพุทธศาสนา ๑ ดังนี้ ตลอดมาจนสิ้นชีวิตของเขานั่นแล
>>>>> จบ >>>>> |
|
|
|
  |
 |
เด็กเมื่อวานซืน
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 22 ต.ค. 2006
ตอบ: 31
ที่อยู่ (จังหวัด): นนทบรี
|
ตอบเมื่อ:
28 พ.ย.2006, 6:50 pm |
  |
คนนี้แปลกไซร้ มาๆ ไปๆ ประเดี๋ยวเบื่อประเดี๋ยวหายเบื่อ วนเวียนเรื่อยไปหาสิ้นสุดมิได้เลย
ชีวิตสั้นไวนัก ดุจน้ำค้างบนปลายหญ้า ประเดี๋ยวก็เหือดจาง ดุจใบไม้บนปลายกิ่งรอวันเหี่ยวเฉาหลุดล่วงไป พริบตานึกย้อนก็ 20 ปี พริบตานึกย้อนก็ 40 ปี พริบตานึกย้อนก็ 60 ปี พริบตานึกย้อนก็ใกล้เข้าโลงแล้ว บางคนไม่รู้จักชีวิตเลย ไม่รู้ว่าง่ายนัก ไม่มีวุ่นวายเลย
ยังย่ำอยู่ที่เดิมฤๅ หรือยังมิเบื่อบนรอยเดิม หาสิ่งสร้างสรรค์บนรอยธรรมนำชีวิต ดีกว่าย่ำอยู่รอยเดิม รอยกิเลสอวิชชา ผลาญทั้งเขาผลาญทั้งเรา ผลาญกันวอดวาย จนวินาศฉิบหายทั้งสังคม
 |
|
_________________ กินเหมือนสุกร อยู่เหมือนสุนัข ฝักใฝ่เสพกิเลสร่ำไป |
|
  |
 |
|