Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ประสบการณ์วิปัสสนาที่ประเทศพม่า ๗ เดือน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
montasavi
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2007
ตอบ: 84
ตอบเมื่อ: 09 มี.ค.2008, 2:35 pm
หลักสูตรปริญญาโท วิปัสสนาภาวนา ต้องปฏิบัติ ๗ เดือน ก่อนทำวิทยานิพนธ์
โดย พระมหาประเสริฐ มนฺตเสวี
ความรู้สึกเมื่อเข้ามาภายในวัดงุยเตาอูกัมมัฏฐาน (ห่างจากด่านท่าขี้เหล็ก ๑ กิโลเมตร)
ความรู้สึกแรกที่เข้ามาภายในวัด รู้สึกแปลกๆ ดูสภาพแล้วไม่เหมือนวัดเลย ไม่มียอดอุโบสถ์ ไม่มียอดเจดีย์ เห็นแต่อาคารตึกที่พัก และอาคารปฏิบัติธรรม ดูเหมือนโรงแรมหรือรีสอร์ทเสียมากกว่า แต่ก็รู้สึกสบายใจขึ้นบ้างว่า มิใช่เป็นไปอย่างที่คิด ก่อนมาคิดว่า วัดนี้คงเป็นที่สูง ๆ ต่ำ ๆ ไม่ราบเรียบ เป็นเนินอยู่ในหุบเขากลางป่าที่มียุง,งูเห่าชุกชุม และเสียงอึ่งอ่างร้องน่ารำคาญ แต่พอเห็นสภาพจริงแล้วกลับตรงกันข้าม วัดมีสภาพราบเรียบเสมอกันหมดทั่วทั้งวัด เหมาะแก่การเดินจงกรมอย่างยิ่ง เห็นพระหลายท่านเดินไปมาช้า ๆ ด้วยอาการสำรวมกำหนดอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดศรัทธาขึ้นมาว่า ถ้าผู้ปฏิบัติทุกคนปฏิบัติเคร่งครัดกันอย่างนี้ เราจะมานั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ไม่ได้แล้ว ด้วยความที่ตนเป็นคนทิฏฐิมานะจัด ทำอะไรก็มักเป็นที่ ๑ ที่ ๒ - ๕ อยู่เสมอ จึงตัดสินใจลงไปเดี๋ยวนั้นเลยว่า "ใครที่ปฏิบัติมานาน เคร่งครัดที่สุด ปฏิบัติดีที่สุด ฉันจะปฏิบัติให้ยิ่งกว่านั้นอีก" (... น่าจะเป็นความคิดชั่ววูบ มากกว่า เพราะต่อมาหลุดกำหนดตอนฉันเป็นประจำ โดยเฉพาะตอนฉันก๋วยเตี๋ยว)
ส่วนเรื่องที่พัก ห้องน้ำจัดอยู่ในเกณฑ์ดีมาก สะอาด สะดวก สบายมาก เพราะมีพระภิกษุสามเณรภายในวัดคอยทำความสะอาด ปัดกวาด เช็ด ถูอยู่เสมอ จนแทบไม่ต้องทำอะไรเลย ทำให้รู้สึกแปลกใจและซาบซึ้งน้ำใจอยู่พักหนึ่งว่า ทำไม่พระภิกษุสามเณรภายในวัดถึงได้บริการเราถึงเพียงนี้ ทั้งที่ตนเองต้องเรียนอย่างหนักทั้งกลางวันและกลางคืน ยิ่งปฏิบัตินานไปก็ยิ่งรู้สึกทึ่งและซาบซึ้ง ตื้นตันใจว่า ชาตินี้คงไม่มีสถานที่แห่งใดในโลกที่บริการเราถึงเพียงนี้ และที่สำคัญทุกอย่างได้มาฟรี ๆ ไม่ต้องบิณฑบาต ไม่ต้องกวาดขยะ ไม่ต้องล้างห้องน้ำ ฉันเสร็จแล้วก็ไม่ต้องเก็บ ไม่ต้องล้าง ลุกขึ้นได้ทันทีไม่ต้องรอเพื่อน ช่วงแรกผ้าก็ไม่ต้องซักและที่สำคัญสุดยอด คือ ฉันเช้าตั้งแต่ ๖ นาฬิกา จนลืมไปเลยว่าความหิวเป็นอย่างไร ด้วยเหตุที่ได้รับการต้อนรับแบบนี้ ทำให้ข้าพเจ้าสำเหนียกขึ้นมาว่า เราต้องปฏิบัติให้เข็มงวดยิ่งขึ้นเรื่อย ๆให้สมกับที่ทางสำนักคอยบริการ ถวายความสะดวกให้ทุกอย่าง
เริ่มปฏิบัติ
สำนักมีข้อบังคับว่า ต้องนั่งวิปัสสนาบัลลังก์ละ ๑ ชั่วโมง เดินจงกรม ๑ ชั่งโมงเป็นอย่างน้อย สองวันแรกรู้สึกสบาย ๆ มีปวดขาท้ายบัลลังก์บ้างเล็กน้อย เพราะเคยปฏิบัติมาแล้ว ๔ ครั้ง (ครั้งละ ๑๐ วัน ตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย) แต่พอวันที่ ๓ เป็นต้นไป รู้สึกเสมือนว่าตนเองกำลังถูกจับทรมานให้เจ็บปวดอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ ปวดแรงขึ้นๆ โดยเฉพาะที่ศีรษะ มันบีบรัดจนมึนงงไปหมด กำหนดอะไรก็ไม่ชัดเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างมาบังเอาไว้หรืออารมณ์ที่จะกำหนดอยู่ไกลมากๆ จนแทบมองไม่เห็น ยิ่งพยายามกำหนดให้ชัด อาการบนศีรษะก็ยิ่งบีบรัดแรงขึ้น ๆ พอส่งจิตดูอาการปวดบนศีรษะก็ยิ่งปวดจนงง มีเส้นประสาทกระตุกเจ็บเป็นระยะ จากนั้นอาการทั้งหมดมารวมเป็นจุดเดียวกันที่หน้าผาก รู้สึกเจ็บๆ เสียวๆ ตามรากผม ยิ่งกำหนดคอก็เริ่มสั่น กล้ามเนื้อกระตุก รู้สึกว่าหน้าบูดเบี้ยวไม่เป็นรูปร่าง มึนงงจนไม่รู้ว่าตนเองนั่งอยู่ท่าไหน รู้สึกเหมือนตนเองนั่งเอาศีรษะลง ยิ่งกำหนดเข้าไปอีก ยิ่งรู้สึกเหมือนมีเข็มแทงอยู่ที่กลางหน้าผาก บางครั้งเหมือนมีน้ำเย็นๆฉีดใส่หน้าผากอย่างแรงอยู่ตลอดเวลา ทำให้ต้องนั่งเงยหน้า แล้วคอก็เริ่มสั่นแรงขึ้น ๆ พอถึงตอนนี้ทำให้หวนคิดถึงพระอาจารย์ชัชวาล (สำนักวิปัสสนาพุทธวิหาร นครนายก) ขึ้นมาทันที ที่ท่านเคยบอกวิธีแก้สภาวะนี้ ไว้ว่า "สภาวะนี้เรียกว่า สภาวะติดอุปทานขั้นรุนแรง อย่าส่งจิตไปกำหนดอาการบนศีรษะ ให้กำหนดตั้งแต่จมูกหรือคอลงมา และกำหนดเร็วๆ ไม่ต้องจดจ่อมาก" จึงนำความไปเรียนสยาดอ ท่านก็ไม่คัดค้าน หลังจากนั้นการกำหนดอารมณ์ต่าง ๆ ค่อย ๆ ดีขึ้น กำหนดได้ชัดและสะดวกขึ้น ทั้งๆที่อาการปกคลุมบนศีรษะก็ยังมีอยู่ แต่ไม่ใส่ใจ พยายามส่งจิตไปกำหนดอารมณ์อื่น แบบถี่ ๆ เร็วๆ แรงๆ เพื่อไม่ให้จิตไปรับรู้อาการบนศีรษะ นาน ๆ อาการบนศีรษะจึงจะรุนแรงทำให้มึนงงขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง แต่พอดวงอาทิตย์เริ่มลับแสงความมืดเข้าปกคลุม นั่งสมาธิรู้สึกเหมือนถูกฉาบทาไว้ด้วยความมืดมิด งงๆ เคว้งคว้าง จับอารมณ์กำหนดแทบไม่ได้เลย เหมือนถูกขังในคุกมืดมาเป็นร้อยๆปี พอไปสอบอารมณ์ช่วงเช้า จึงขอเปลี่ยนเวลาสอบเป็นช่วงค่ำ เพื่อจะได้ไม่ต้องนั่งสมาธิช่วงค่ำ
ด้วยความที่ตนมีสภาวะติดตัวมาเช่นนี้ ทำให้รู้สึกอิจฉาเพื่อน ๆ ว่า เราบุญน้อยจะทำให้ดี ให้เด่นก็มีอุปสรรคมาขัดขวาง เพื่อบางคนเริ่มปฏิบัติจาก ๑ แล้วค่อยไป ๒ ๓ - ๔ บางคนเริ่มจาก + ๑๐ ด้วยซ้ำ เพราะเคยปฏิบัติมาแล้วเป็นเดือนเป็นปี แต่เราต้องมาเริ่มที่ -๑๐ หรืออาจลบ -๑๐๐ เสียด้วยซ้ำ และนึกเปรียบการปฏิบัติวิปัสสนาเหมือนการใช้ดาบ ๒ มือฟาดฟัดกิเลสให้ถอยหนีไป หรือดับดิ้นไป เพื่อนคนอื่นเขาฟาดฟัดกิเลลด้วยดาบคู่กันอย่างสนุกมือ ทั้งซ้ายทั้งขวา แต่เรากลับใช้ดาบได้เพียงมือข้างเดียว เพราะมืออีกข้างหนึ่งต้องคอยถือโล่ชูเอาไว้เหนือศีรษะเพื่อป้องกันไม่ให้อาการบีบรัดบนศีรษะลงมารบกวนการกำหนดอารมณ์อื่น ๆ
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ข้าพเจ้าต้องเพิ่มความเพียรขึ้นไปอีก เพื่อไล่ตามเพื่อนให้ทัน โดยการเดินจงกรม ๑ ชั่วโมงขึ้นไป หลายครั้งเดินถึง ๒ ชั่วโมง สูงสุดเดินถึง ๒ ชั่วโมง ๕๐ นาที และนั่งสมาธิ ๑ ชั่วโมงครึ่งขึ้นไป สูงสุดนั่งได้ถึง ๔ ชั่วโมง
ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ จนครบ ๑ เดือนเต็มพอดี สยาดอบอกว่า "ท่านถึงญาณที่ ๑๑ แล้วนะ เข้าสังขา- รุเปกขาญาณเป็นรูปแรกด้วย" ทำให้ข้าเจ้ารู้สึกแปลกใจ ผสมดีใจและสงสัยว่า ท่านเอาอะไรมาตัดสิน เพื่อนๆ หลายท่านนั่งเห็นแสงสี ตัวเบา ตัวลอย แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นมีอะไรเลย ยังรู้สึกเจ็บๆ ปวดอยู่บางบัลลังก์ด้วยซ้ำ แต่ทำไม่เข้าสังขารุฯ เป็นรูปแรก" แต่ไม่ได้สอบถาม ด้วยเข้าใจว่าท่านเป็นพระวิปัสสนาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์สอบอารมณ์มากกว่า ๓๐ ปี คงจะมีหลักในการตัดสินของท่าน
สภาวเวทนา ญาณ ๒ ,ญาณ ๓
ขอย้อนกลับไปเล่าตอนต่อสู้กับเวทนา ญาณ ๒-๓ ดังนี้
ปฏิบัติวันแรก (๘ กรกฎาคม ๒๕๔๙)นั่งแบบสบาย ๆ ไม่ปวดมากนัก ทำให้นึกกระหยิ่มยิ้มย่องว่า นั่ง ๑ ชั่วโมงแบบนี้สบายมาก คนอื่นคงนั่งทรมานกันน่าดู เห็นบางคนนั่งบิดไปบิดมา เดี๋ยวก็ขยับ ๆ แต่พอวันที่ ๓ เป็นต้นไป เวทนาค่อย ๆ แรงขึ้น ๆๆ พอวันที่ ๕ นั่งได้ ๓๐ นาที มีแต่สภาวเวทนาล้วน ๆ ไม่มีอย่างอื่นบนเลย ปวดเจ็บไปทั่วถึงเยื่อในกระดูก เห็นเส้นเอ็นขาปวดตึงแน่นเป็นริ้ว ๆ ฝอย ๆ ยิ่งกำหนดไปเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าอาการปวดจะลดลงเลย ยิ่งกำหนดยิ่งปวดลึก ทำให้เกิดนึกสงสัยขึ้นมาว่า "นี้มันเวรกรรมอะไรกันนะ ทำไมนั่งแค่ ๓๐ นาทีถึงได้เจ็บปวดรวดร้าวถึงขนาดนี้ ชาติก่อนคงเคยไปหักแข้งหักขาใครไว้แน่ เวรกรรมจึงได้มาสนองเอาตอนนี้" แต่ก็ยังพยายามทนนั่งกำหนดต่อไปจนครบชั่วโมง คิดเสียว่าเป็นการชดใช้กรรม
วันที่ ๘ เจ้าพระคุณเอ๋ย ? อะไรกันเนี๊ย นั่ง ๕ นาทีเหมือนนั่ง ๑ ชั่วโมงเลย มันเจ็บปวดตึงแน่นมึนงงไปหมด ส่งจิตพุ่งตรงจี้ไปที่เวทนาที่ขาขวาแล้วกำหนดแบบไม่ยั้ง ความรู้สึกตอนนั้น "ภูเขาจะถล่ม ผืนดินจะทลาย โลกจะแตกก็ไม่สนแล้ว ปวดหนอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆอย่างเดียว กำหนดแบบถี่ๆเร็วๆแรงๆ กราดเป็นชุดๆ ยิ่งกว่าปืนกลเสียอีก ทุกนัดพุ่งตรงไปยังเป้าหมายเดียวกันคือเวทนาที่ขาขวา ไม่พลาดแม้แต่นัดเดียว แต่เอะ! ทำไม? ยิ่งกำหนดยิ่งปวด ยิ่งกำหนดยิ่งตึงแน่น ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย เหมือนยิ่งกำหนดก็ยิ่งไปเพิ่มกำลังให้มัน กำหนดจนเห็นกระดูกขาขาวจั๊ว มีเส้นเอ็นเป็นริ้วๆ ฝอยๆ อยู่รายรอบ ผ่านไปประมาณ ๓๐ นาที แค่กำหนด "ปวดหนอ ๆๆ" อย่างเดียวเอาไม่อยู่แล้ว จะออกแล้ว คิดอยากจะออกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็กลัวเสียสัจจะมากกว่า ("เกิดเป็นลูกผู้ชาย ชาติพระ ต้องพยายามเรื่อยไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ") มาถึงขั้นนี้แล้วถอยไม่ได้ บุกไปข้างหน้าอย่างเดียว ไม่มีถอย พอคิดจบจิตอยากจะออกก็ผุดขึ้นมาอีก " ลูกผู้ชง.. ลูกผู้ชาย อะไรนั่นหนะ? เอาไว้บัลลังก์หน้าก็แล้วกัน บัลลังก์นี้ขอถอยตั้งหลักก่อน" ทำท่าว่าจะออกจากสมาธิด้วยเวลาเพียงประมาณ ๓๐ นาที ทันใดนั้นเองคำบริกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ก็ผุดขึ้นในมโนสำนึก "ตาย เป็นตาย.." จากนั้นคำบริกรรม จากเดิมที่มีเพียง "ปวดหนอ ๆๆๆๆ" ก็เพิ่มเป็น " ปวดหนอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ตาย เป็นตาย.. ปวดหนอๆๆๆๆ ตาย เป็นตาย.. ปวดหนอๆๆๆๆๆๆๆๆ ตาย เป็นตาย.." พยายามนั่งต่อไปได้อีกประมาณ ๑๐ นาที (รวมเป็น ๔๐ นาที) อยู่ดีๆ ก็มีความคิดแทรกเข้ามาว่า "เอ๊อ นาฬิกาทำไมไม่ดังซะทีนะ" พอรู้ทันก็กำหนด "คิดหนอๆๆๆๆ" จนความคิดดับไป แล้วกำหนดเวทนาต่อ "ปวดหนอๆๆๆๆๆๆ ตาย..เป็นตาย" ความคิดก็ผุดขึ้นมาอีก "สงสัยนาฬิกาเสีย??" พอรู้ทันก็กำหนด "คิดหนอๆๆๆ" จนความคิดนั้นดับไป แล้วกำหนดเวทนาต่อไป ความคิดก็ผุดขึ้นมาอีก "สงสัยนาฬิกาเสียจริงๆ ออกละ" ค่อยๆขยับขาออก (อาการปวดหายไปโดยฉับพลันอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อ ๑๐ วินาทีก่อนปวดขาแทบตาย แต่บัดนี้กลับไม่มีอาการเช่นนั้นอยู่เลย สยาดอบอกว่า อาการปวดเกิดจากกำลังสมาธิที่แรงขึ้นไปเรื่อยๆ) แล้วค่อย ๆ เปิดตาขึ้นดูนาฬิกา เวลาผ่านไปเพียง ๕๐ นาที ไม่ครบชั่วโมง ขาดไป ๑๐ นาที รู้สึกเสียใจเล็กน้อย
บัลลังก์ต่อ ๆ มาไม่ต่างจากบัลลังนี้เท่าไหรนัก แต่นั่งได้ครบชั่วโมงทุกบัลลังก์ บางบัลลังก์นั่งเห็นชีพจรเต้นตุ๊บตั๊บๆๆ ทั่วทั้งร่างกาย ร้อยผ่าวไปทั่ว เห็นตัวเองห่อหุ้มไปด้วยผืนหนังสีขาวเป็นริ้วๆ ฝอยๆ บางบัลลังก์นั่งไปก็นึกสงสารตัวเองไป "ในโลกนี้ยังมีใครน่าเวทนาสงสารกว่าเราอีกไม่เนี๊ย? แค่พลิกขานิดเดียวก็หายปวดทรมานแล้ว แต่สัจจะบารมีไม่ให้พลิก ก็ต้องนั่งปวดหนอๆ อยู่อย่างนี้แหละ" บางบัลลังก์นั่งกำหนดไปเรื่อยๆ นึกอยากร้องให้ก็ร้องเลย(มีสะอื้นด้วย) แต่ก็พยายามเก็บเสียงเอาไว้ กลัวเพื่อนได้ยิน จะเป็นการรบกวนสมาธิ (ข้อ....าง) บางครั้งก็นึกอยากตายขึ้นมา ขณะที่นั่งปวดสุดๆ นั้นอยากให้รถที่มีล้อโตๆ ทับทีเดียวให้ตายไปเลย.. ความเจ็บปวดก็คงไม่ต่างกันนัก แต่นั่งให้รถทับน่าจะดีกว่า เจ็บแป๊บเดียวแล้วก็ตายไปเลย ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว ส่วนการนั่งกำหนดแบบนี้ ปวดสุดๆ ตั้งแต่ ๕-๑๐ นาทีแรก แล้วค้างเต่ง..อยู่อย่างนั้นจนครบชั่วโมง จะเพิ่ม..ก็ไม่เพิ่ม จะลดก็ไม่ลด ถ้าเวทนาปวดแรงขึ้นเรื่อยๆ ก็จะยังรู้สึกดีกว่านี้ เพราะเมื่อขึ้นถึงที่สุดแล้วก็คงจะลดลงบ้าง แล้วหายไปในที่สุด แต่นี่อะไร..?? ไม่เพิ่ม ไม่ลด ค้างอยู่นั่นแหละ นี่มันนรกชัดๆ "...ูอยากตาย?? "
บางครั้งนึกสนุก นึกถึงโฆษณาขายสินค้าทาง T.V. จึงพูดส่งเสียงออกมาให้เพื่อน ๆได้ยินว่า "โอ้ลอร่า..บัลลังก์นี้จอช์จปวดมากเลยอะ?" หรือ " โอ้ พระเจ้าจอช์จ มันปวดมากๆๆ" วันต่อ ๆ มาได้ยินเพื่อน ๆ พูดตามกันหลายรูป
ตั้งแต่วันที่ ๑๓-๑๔ เป็นต้นไป เวทนาค่อย ๆ ลดลง แต่ไม่หายขาด มีปวดแรงบ้างท้ายบัลลังก์
วันที่ ๒๓ เป็นต้นไป เวทนามีหายไปบ้างในบางบัลลังก์ บางบัลลังก์นั่งได้ถึง ๒ ชั่วโมง พอเวทนาที่ขาเริ่มลดลง อาการปวดรัดบนศีรษะก็กลับปรากฎชัดขึ้นมาอีก(อย่างที่เคยเล่ามาแล้ว) แต่ก็พอทนได้ กำหนดดูอาการเกิดดับของสภาวะต่างๆได้ดีขึ้น และค่อย ๆ ชัดขึ้น อาการบนศีรษะไม่ลงมารบกวนบ่อยนัก
นั่งร้องให้ซึ้งในพุทธคุณ
ตอนกำหนดเวทนาแรงมากๆ มีอยู่บัลลังก์หนึ่งปวดตึงแน่นที่ขาจนแทบจะขาดใจ และร้อยผ่าวไปทั้งตัว ยิ่งกำหนดยิ่งปวด ยิ่งร้อนรุ่ม อยู่ดี ๆ นึกถึงพุทธคุณขึ้นมา จึงเปลี่ยนไปเจริญพุทธคุณแทนเพื่อให้อาการปวดลดลงหน่อย เจริญพุทธคุณไปก็ซาบซึ้งไป เกิดปีติวูบวาบ ขนลุกชูชันเป็นละลอก ๆ
"พระพุทธเจ้านี้ดีเหลือเกิน.. พระองค์ประเสริฐเหลือเกิน.. เมื่อก่อนนี้พระองค์ก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น รู้จักร้อน รู้จักหนาว ต้องกิน ต้องถ่าย(อุจจาระ,ปัสสาวะ)เหมือนกับเรานี่แหละ มีกิเลสตัณหามากกว่าเราเสียด้วยซ้ำเพราะมีสิ่งปรนเปรอมากมาย(ตั้งแต่ประสูติ) แต่ในที่สุดพระองค์ทรงเพียรพยายามจนบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณได้ด้วยประองค์เอง มิใช้พระเจ้าประทานพร หรือพระพรหมบัลดาล แต่ด้วยความเพียรและหยาดเหงื่อของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ในขณะ ที่มนุษย์ทุกคนยอมเหนื่อยยาก ยอมเสี่ยงชีวิตในบางครั้งเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเพียงน้อยนิด แต่พระองค์กลับทิ้งสมบัติมหาศาลแล้วไปนั่งให้ยุงกัดอยู่กลางป่า ขณะที่พระองค์ตัดสินพระทัยทิ้งสมบัติมหาศาลออกจากพระราชวังไปนั้น พระองค์ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะพบวิธีดับทุกข์ได้จริงหรือเปล่า? จะดับทุกข์ได้ด้วยวิธีไหน? แต่พระองค์ก็ตัดสินพระทัยได้เด็ดขาดว่า "จะทิ้ง" โอ้. ช่างเป็นการตัดสินพระทัยที่เด็ดเดี่ยวเหลือเกิน... ดียิ่งนัก.. เลิศยิ่งนัก.. หลังจากตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องลำบากเดินด้วยเท้าเปล่าไปสอนคนโน้นคนนี้ เมื่อยปากเมื่อยคางเปล่าๆ บางทีถูกด่ากลับมาเสียด้วยซ้ำ เงินเดือนก็ไม่มี โบนัสก็งดจ่าย ค่าพาหนะก็ไม่มีใครให้ บางครั้งเดินด้วยเท้าเปล่าเป็นร้อย ๆ กิโลเมตรเพื่อไปสอนคนเพียงคนเดียว ญาติกันก็ไม่ใช่ คนรู้จักกันก็ไม่ใช่ ถ้าเป็นเรา..คงไม่ทำเป็นแน่ เมื่อยเปล่าๆ.. แต่พระองค์ทรงทำทุกวัน เทศนาสั่งสอนทุกวัน ตลอดระยะเวลา ๔๕ ปี มีเวลาพักผ่อนเอนหลังเพียงวันละ ๔ ชั่วโมงเท่านั้น โอ้..พระเมตตาช่างน่าซาบซึ้งนัก ตั้งแต่โลกเกิดจนโลกดับ จะหาบุคคลเช่นนี้ได้ที่ไหนอีก พระองค์ล้ำเลิศนัก การกระทำของพระองค์ยิ่งใหญ่นัก เหมาะสมแล้ว.. ถูกต้องที่สุดแล้วที่ผู้คนมากมายพากันบูชาสรรเสริญพระองค์ตลอดระยะเวลากว่า ๒๕๐๐ ปี แม้แต่ชั่วโมงสุดท้ายก่อนจะดับขันธ- ปรินิพพาน ทั้ง ๆ ที่ประทับนั่งไม่ไหวแล้ว สังขารร่างกายจะแตกดับเต็มที แต่พระองค์ก็ยังพยายามเอาเรี่ยวแรงที่พอมีเหลืออยู่เพียงน้อยนิดขับลมผ่านกล่องเสียงที่คร่ำคร่าเต็มทีในท่านอนสีหไสยาสน์ เพื่อแสดงธรรมให้สุภัททปริพพาชกฟังจนเขาบรรลุอรหันต์ได้เรียบร้อยแล้ว พระองค์จึงตัดสินพระทัยเสด็จดับขันธปรินิพพาน ประเสริฐยิ่งนัก.. เลิศยิ่งนัก..จะหาบุคคลเช่นนี้ที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เป็นการปรินิพพานในหน้าที่โดยแท้.." เจริญพระพุทธคุณ นึกไปก็ยิ่งซาบซึ้งเกิดปีติซาบซ่านไปทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะจนถึงแผ่นหลัง จนนิ่งไปเป็นพัก ๆ รู้สึกตัวอีกทีน้ำตาอาบเต็มสองแก้วแล้ว เสียงสะอื้นค่อย ๆ ดังขึ้น น้ำมูกน้ำตาไหลเป็นทาง นึกขึ้นมาได้ว่ากำลังนั่งอยู่ท่ามกลางเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรม ใครรู้เข้าจะอายเขา ทันใดนั้นมีความคิดแทรกเข้ามาว่า "ก็คนมันซึ้งนิ.. จะร้องให้แล้วใครจะทำไม?" ก็เลยสะอื้นต่อเลย มีหลวงพี่ท่านหนึ่งเห็นเข้า ท่านนำไปล้อเรียนอยู่พักใหญ่ ตอนหลังทราบว่าท่านปฏิบัติไม่ก้าวหน้ามากนัก จึงมาขอโทษ (ตบหลัง..แล้วกล่าวขอโทษ)
ปริญญาของพระพุทธเจ้า
พอปฏิบัติได้ถึงตอนนี้ สามารถข้ามญาณเวทนาได้แล้ว ก็เกิดคำถามขึ้นในใจว่า "เราทนทุกข์ทรมานสู้เวทนาทุกแบบ ไม่มีถอย เดินหน้าอย่างเดียว สู้ทุกรูปแบบ ยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้ข้ามญาณเวทนาให้ได้ จนสำเร็จแล้ว ที่เราเพียรพยายามมาทั้งหมดนี้เพียงเพื่อกระดาษแผ่นเดียวกระนั้นหรือ?"
คำตอบผุดขึ้นในใจทันทีว่า "ไม่แน่นอน ก็แค่ใบปริญญาไม่ต้องทำกันถึงขนาดนี้ก็ได้ ค่อย ๆ นั่งไป ปวด..ก็ขยับ ปวด..ก็พลิกขา ใช้เวลาข้ามญาณเวทนาสักเดือน สองเดือนก็ยังได้ เพราะมีเวลาปฏิบัติตั้ง ๗ เดือน(ทั้งที่สยาดอบอกว่า เพียง ๓-๔ เดือนก็จบได้แล้ว) แต่นี่..เราเพ่งเพียรกำหนดแบบไม่ลืมหูลืมตา ยิ่งปวดก็ยิ่งกำหนด ยิ่งกำหนดก็ยิ่งปวด สู้ไม่ถอย แม้จะท้ออยู่หลายครั้ง อยากตายให้พ้นๆไปหลายหน นั่งร้องให้ ๒-๓ บัลลังก์ จนสำเร็จได้ภายในเวลา ๑๐ กว่าวัน ที่ลงแรงทำไปทั้งหมดนี้ย่อมไม่ใช่เพียงแค่ใบปริญญาแน่นอน"
เกิดความคิดหลายครั้งว่า ถ้ามีเหตุให้ต้องย้ายสถานที่ปฏิบัติไปที่อื่น ถ้าไม่ไปจะต้องเสียสภาพความเป็นนิสิต ข้าพเจ้าก็จะยังปฏิบัติที่นี่ต่อไป โดยไม่รู้สึกลังเลเสียดาย หรือเสียใจเลยแม้แต่นิด อาจจะรู้สึกมีกำลังใจเสียด้วยซ้ำว่า " เราต้องปฏิบัติให้สำเร็จให้จงได้ ใบปริญญากระดาษได้หลุดมือไปแล้วหนึ่งใบ ยังเหลือแต่ปริญญาของพระพุทธเจ้าเพียงใบเดียวที่ยังพอมีโอกาส" และอีกประการหนึ่ง อยากรู้นัก หลังจากผ่านญาณเวทนาไปแล้วต่อไปจะมีอะไรอีก จะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหน? ที่เขาว่ารูปดับ-นามดับ มันเป็นอย่างไร? บัดนี้ก็มาถึงขั้นที่ ๓ แล้วทั้งที่ไม่เคยคิดมาก่อนด้วยซ้ำว่าชาตินี้จะมีโอกาสผ่านญาณ ๑ หรือไม่? ต้องไปให้ถึงจุดหมายให้ได้ ถึงจะบรรลุมรรคผลไม่ได้ ก็ขอให้ได้ใช้ความเพียรอย่างถึงที่สุด ดังพุทธพจน์ที่พอจะจำได้ว่า "เกิดเป็นลูกผู้ชาย ต้องพยายามเรี่อยไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ"
๓ - ๔ เดือนหลังจากนั้นแทบไม่มีเรื่องใบปริญญาเข้ามาในความคิดอีกเลย ต่อเมื่อปฏิบัติจบในเดือนที่ ๖ ความคิดเรื่องใบปริญญาจึงผุดขึ้นมาอีกครั้ง แต่คิดว่า ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะสิ่งที่ได้จากการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องตลอด ๖ เดือนนั้น ยิ่งใหญ่และทรงคุณค่ามากกว่าใบปริญญามากมายนัก
วิปัสสนูปกิเลส
วิปัสสนูปกิเลส คือ สภาวะธรรม(กิเลส)ที่ขวางกันไม่ให้วิปัสสนาญาณเจริญก้าวหน้าต่อไปได้ มีอยู่ ๑๐ สภาวะด้วยกัน คือ ๑. แสงสว่าง ๒. ปีติ(ความอิ่มใจ) ๓.ความรู้(มาก) ๔.ความสงบนิ่งเฉย ๕. ความสุขสบาย ๖. ความศรัทธา(จนคิดฟุ้ง) ๗. ความเพียรที่มากเกิน ๘. สติที่มากเกิน ๙. ความวางเฉยจนลืมกำหนด ๑๐. ความยินดีพอใจในแสงสีและสภาวะที่ดีๆ
ประมาณวันที่ ๒๓-๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๙ (หลังปฏิบัติได้ ๑๕ วัน) สยาดอเริ่มถามว่า "นั่งไป ๆ มีแสงสว่างเข้ามาบ้างมั๊ย? เห็นแสงสีบ้างหรือเปล่า?" ตอบท่านว่า "ไม่เห็นอะไรเลยครับ" วันต่อ ๆมาก็ยังถามอยู่เช่นเดิม ทำให้ข้าพเจ้าเริ่มสงสัยว่า "นี่ เราต้องนั่งให้เห็นแสงสีกันเลยหรือ?" ฟังเพื่อนคนอื่น ๆ ส่งอารมณ์ก็ไม่มีใครเห็นกันสักคน ๒-๓ วันต่อมาเพื่อนหลายรูปส่งอารมณ์ว่า "เห็นแสงแล้วครับ เป็นดวง ๆ เป็นสีก็มี พอกำหนดว่า "เห็นหนอๆ" มันก็ดับไป" บางรูปบอกว่า "นั่งรู้สึกสว่างจ้าเหมือนมีไฟฉายมาส่องหน้า บางรูปบอกว่า "เกิดปีติซาบซ่านตามแขน ขา และแผ่นหลัง บางครั้งมีคันยุบยิบ" บางรูปบอกว่า "นั่งไป ๆๆ สมาธินิ่งสงบจนไม่รู้อะไรไปเลย"ก็มี ข้าพเจ้าฟังแล้วก็เกิดสงสัยตนเองขึ้นมาว่า ทำไมเราไม่มีอะไรเลย อาการปวดบีบรัดบนศีรษะก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม พอง-ยุบก็ไม่คงที่เดี๋ยวสั้นเดี๋ยวยาว อาการปีติก็ไม่แน่ใจว่ามีบ้างหรือเปล่า เพราะกำหนดแบบถี่ ๆ เร็ว ๆ แบบไม่สนใจอะไรมาโดยตลอด (ที่ต้องกำหนดเร็วๆ แรงๆ ถี่ๆ เพราะต้องดึงใจไม่ให้ไปรับรู้อาการบีบรัดบนศีรษะ จะทำให้มึนงง จนกำหนดอะไรไม่ถนัด) หลังจากนั้น ๔-๕ วันคนแปลก็ยังเฝ้าถามถึงแสงสีอยู่ทุกวัน ก็ตอบไปว่า " ไม่เห็น ถ้าเห็นก็คงมีนิดเดียวทำให้ไม่แน่ใจ" ยิ่งผ่านไปหลายวันก็รู้สึกหงุดหงิดตัวเองมากขึ้นว่า " ทำไมเราไม่เห็นแสงสีซะที? ตั้งใจปฏิบัติมาตลอด ทำไมญาณไม่ขึ้นเลย คงจะติดอยู่แค่นี้เสียแล้วละมัง.." จึงตัดสินใจถามสยาดอตรง ๆ ว่า ตอนนี้ตนเองถึงขึ้นไหนแล้ว ถึงญาณที่ ๔ แล้วหรือยัง? ท่านก็ตอบตรง ๆ ว่า "ผ่านแล้ว เข้าญาณที่ ๕ แล้ว" ข้าพเจ้าฟังแล้วก็ไม่เชื่อเพราะยังไม่เคยเห็นแสงสีแบบเต็ม ๆ ตาเลยสักครั้ง ในขณะที่เพื่อนเขารายงานกันว่า นั่งสว่างไสวเหมือนนั่งอยู่กลางแดดเลย บางรูปเห็นดวงสีระยิบระยับเหมือนพลุ เรากลับไม่เห็นอะไรเลย แต่ทำไมสยาดอบอกว่าเราผ่านญาณที่ ๔ แล้ว ท่านพูดเพื่อให้กำลังใจเราหรือเปล่า ตอนนี้กำลังใจไม่ต้องการแล้ว.. ต้องการญาณอย่างเดียวต้องการเห็นแสงดวงใหญ่ หญ่าย.. (พร้อมกับกางมือออก แสดงขาดที่ต้องการเห็น ประมาณเท่ากระด้ง)จึงขอดูใบเช็คสภาวะญาณ ท่านก็ใจดีให้ดูเลย พร้อมกับบอกว่า "สภาวะของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต่างคนก็ต่างสภาวะ จะให้เหมือนกันทุกคนไม่ได้หรอก บางคนก็มีสภาวะแปลกพิศดารมาก ในขณะที่บางคนแทบไม่มีสภาวะอะไรเลยจนเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ โดยเฉพาะคนที่กำหนดถี่ ๆ เร็ว ๆ (กำหนดดะ) จิตรับรู้อะไรก็กำหนดดับทันที ไม่เผลอนั่งเหม่อ นั่งใจลอย ไม่ปล่อยให้ความพอใจในสภาวะต่าง ๆ เกิดขึ้น พบอะไรก็กำหนดดับหมด ทำให้ผ่านญาณที่ ๔ ไปได้แบบไม่รู้ตัว แต่ถ้าเผลอสติเพ่งดูแสงสีนั้น หรือนึกชอบใจอยากให้มีมาก ๆ ขึ้น ไม่พยายามกำหนดให้ดับๆไปซะ วิปัสสนาญาณก็จะติดอยู่เพียงญาณที่ ๔ ตลอดไป บางคนติดอยู่เป็นสิบๆปี จนตัวเองหลงคิดไปว่าได้บรรลุแล้ว
ข้าพเจ้าฟังสยาดออรรถาธิบายแล้วก็พอเข้าใจ แต่ก็ยังอยากเห็นแสงสีอยู่ดี จะได้ไม่น้อยหน้าเพื่อนๆ เพราะมีเพื่อนรูปหนึ่งชอบพูด(อวด)ว่า "ผมนั่งเห็นแสงระยิบระยับดวงแล้วดวงเล่า ดวงแรกยังไม่ทันดับ ดวงที่ ๒ ก็เกิดซ้อนขึ้นมาเรื่อย ๆ เต็มไปหมด บางครั้งแตกกระจายเหมือนพลุเลย พูดไปพวกท่านก็ไม่รู้หรอกว่ามันน่าอัศจรรย์ขนาดไหน? คนที่เห็นเท่านั้นจึงจะรู้"
ประมาณ ๑๕ วันต่อมา (ตอนนั้นข้าพเจ้าถึงญาณที่ ๑๑แล้ว) เวลาประมาณ ๓ ทุ่มครึ่ง ข้าพเจ้ากำลังเตรียมตัวจำวัด ก็ได้ยินเสียงคล้ายเด็กร้องให้ สะอื้นเบา ที่ระเบียงใกล้หน้าต่าง บางครั้งก็ร้องให้ บางครั้งก็หัวเราะบ่นพึมพำสลับกันไป ทำให้ข้าพเจ้าขนพองสยองเกล้าขึ้นมาทันที "เราโดยผีหลอกเข้าให้แล้ว" แต่ก็พยายามแข็งใจเดินออกไปดูให้เห็นกับตาว่าผีจริงหรือเปล่า (อยากเห็นมานานแล้ว จะได้นำไปเทศน์ให้โยมฟังได้เต็มปากเต็มคำว่า ผีมีจริง) พอออกไปดู เห็นหลวงพี่(ที่ชอบพูดอวดแสงสีของตนนั่นแหละ) กำลังนั่งร้องให้อยู่ ก็เลยนึกสงสาร เข้าไปตามว่า "หลวงพี่ มีอะไรหรือเปล่า ทำไมมานั่ง(ร้องให้)อยู่ตรงนี้" ท่านก็เดินกลับพร้อมกับพูดว่า " วันนี้จะร้องให้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ต่อไปจะไม่ร้องอีกแล้ว" ข้าพเจ้าฟังแล้วก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่กล้าถาม ท่านก็เดินร้องให้พึมพำเดินเข้ากุฏิไป นอนร้องให้ต่อ เวลาประมาณ ตี ๒ เสียงร้องก็ดังแรงขึ้นๆ จนได้ยินชัดเจน นึกสงสารอยากช่วย( .... ) จึงลุกขึ้นไปดู ได้ยินเสียงท่านบ่นพึมพำว่า "ไอ้เฮีย? กูเคยเห็นมึงแล้วมึงมาทำไมอีกวะ มึงไม่ต้องมาหรอก กูเคยเห็นมึงแล้ว ท้อง(พอง-ยุบ)ทำไมมันเบานักวะ" พร้อมกับเอากำมือทุบหน้าท้องไปด้วย ข้าพเจ้าบอกท่านว่า "กำหนดตามที่มันเป็นซิ เดี๋ยวมันก็ดับไปเอง รู้ก็ให้กำหนดว่ารู้ เห็นก็ให้กำหนดว่าเห็น" เสียงท่านก็เบาลงพักหนึ่ง แต่ไม่ทราบว่าหลังจากนั้นจะดังขึ้นอีกหรือเปล่า
รุ่งเช้า ท่านไปส่งอารมณ์ สยาดอบอกว่า "ไม่ต้องกลัว มันเป็นเพียงสภาวของภยญาณ (ญาณที่ ๖) สาเหตุเกิดจากการไม่ยอมกำหนดแสงสีตั้งแต่ต้น ปล่อยให้จิตเข้าไปยึดมั่นยินดีกับสิ่งที่เห็นจนปัญญา ญาณอ่อนกำลัง กำหนดเท่าไรก็ไม่ดับซะที บวกกับท่านเป็นคนขี้กลัวอยู่ด้วยจึงทำให้เป็นเช่นนี้"
ตั้งแต่บัดนั้น ข้าพเจ้าไม่เคยนึกอยากเห็นแสงสีอีกเลย ถ้าเห็นแล้วเป็นแบบนี้ขอไม่เห็นดีกว่า ต่อมาแม้จะเห็นอยู่บ้างในบางบัลลังก์ ก็พยายามเบี่ยงหน้าหนี และรีบกำหนดให้ดับไปในทันที .. ไม่อยากนั่งร้องให้ขี้มูกโป่ง..?
เกิดกำลังใจในการปฏิบัติ
หลังจากผ่านญาณเวทนาได้เรียบร้อยแล้ว สติในการกำหนดแจ่มชัดขึ้นตามลำดับ เห็นความเกิด-ดับของสภาวธรรมต่าง ๆ ที่กำหนดได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงญาณที่ ๕ (ภังคญาณ) กำหนดอะไรก็เห็นแต่อาการดับชัดเจนมาก ยิ่งข้าพเจ้ากำหนดแบบเร็วๆ แรงๆ ถี่ๆ มาตั้งแต่ต้นด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เห็นอาการดับรวดเร็วตามไปด้วย (ที่ต้องกำหนดเร็วๆ แรงๆ ถี่ เพราะต้องดึงใจไม่ให้ไปรับรู้อาการบีบรัดบนศีรษะ จะทำให้มึนงง จนกำหนดอะไรไม่ถนัด) แม้แต่เดินจงกรมก็ยังรู้สึกได้ถึงอาการลอกหลุดไปของส้นเท้าและอาการเกิด-ดับของเท้าในแต่ละการเคลื่อนไหว ทำให้เกิดปัญญารู้ผสมกับความอัศจรรย์ใจว่า " นี่มันอะไรกันเนี๊ย? เราเจอของจริงเข้าแล้วนี่ นี้แหละพระไตรลักษณ์ของแท้ พระไตรลักษณ์ของแท้ต้องเป็นอย่างนี้ ที่เคยเรียนจากตำราเป็นสิบๆปีนั้น นั่นเป็นเพียงตัวหนังสือ มิใช่ของแท้ บัดนี้เราได้เจอของแท้เข้าให้แล้ว มันช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ ไม่มีสภาวะใดเลยกำหนดแล้วไม่ดับ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สังขารธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีสภาวธรรมใดเลยที่เป็นตัวตน สามารถบังคับบัญชาให้เป็นไปอย่างใจคิดได้" มันเป็นความจริงทั้งนั้น ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า การมาปฏิบัติครั้งนี้ ณ วัดแห่งนี้ จะทำให้เราพบความจริงเช่นนี้ เป็นพระหลวงพ่อพระพรหมโมลีแท้ ๆ เป็นเพราะสยาดอ(ภัททันตะวิโรจนะ)แท้ ๆ ที่ทำให้เราพบความจริงอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้ นึกไปก็เห็นภาพตนเองหมอบกราบอยู่แทบเท้าสยาดอ และหลวงพ่อพระพรหมโมลี น้ำตาค่อยๆเอ่อล้นขอบตาไหลรินเป็นทางจนเต็มแก้มทั้งสองข้าง (แล้วก็เริ่มเอะใจ.. ใครเห็นบ้างมั๊ยเนี๊ย? ไม่สน ก็คนมันกำลังซึ้ง ..นิ)
montasavi
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2007
ตอบ: 84
ตอบเมื่อ: 09 มี.ค.2008, 2:44 pm
รุ่งลลิดา สกุลงาม
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 21 ก.ค. 2007
ตอบ: 53
ที่อยู่ (จังหวัด): 75/8 ม.3 ม.จามจุรี 2 ต.ท่ามะกา อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี 71120
ตอบเมื่อ: 26 มี.ค.2008, 2:02 am
นมัสการพระคุณเจ้า สาธุสาธุสาธุ บุญ-บารมีท่านมากนัก ขออนุโมทนาสาธุการ..........................
อธิษฐานจิตชาตินี้ชาติไหนขอให้ได้มีโอกาสปฏิบัติ....เช่นนี้ด้วยเถิด....ปริญญาพระพุทธองค์
_________________
มีสติไว้
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th