ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
31 มี.ค.2008, 5:09 pm |
|
พูด-ไม่พูด
๖๐. เรื่องบางเรื่องไม่สมควรพูดบอกต่อกันไป
แต่การไม่พูดไปก็ทําให้ผู้อื่นและคนรอบๆ ผู้นั้น
ทําเรื่องให้มันบานปลายออกไป เราควรพูดหรือไม่ควรพูด
เพราะพูดแล้วจะว่าก่อประโยชน์ก็ได้ จะว่าก่อโทษก็ได้
ถ้าจําเป็นเห็นว่าควรพูดก็พูด
ถ้าไม่จําเป็นเห็นว่าไม่ควรพูดก็อย่าพูด
เขาจะเดากันไปอย่างไรก็ช่างเถอะ ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขา
บาปกรรมย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทํา แต่จะมีแก่ผู้ทํา
คนทําชั่วเองย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทําชั่วย่อมไม่เศร้าหมอง
ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน
คนหนึ่งจะทําให้อีกคนหนึ่งบริสุทธิ์ไม่ได้
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
17 พ.ค.2008, 3:36 pm |
|
ธรรมะกับครอบครัว
๖๑. การที่ภรรยาต้องอดทนกับสามีที่คอยทําร้ายจิตใจอยู่เสมอ
เรามักจะบอกว่าให้ภรรยาอดทน แต่มักจะไม่บอกให้สามีเปลี่ยนนิสัย
จริงๆ แล้วในข้อธรรมสอนว่าอย่างไร
สอนว่า ใครทําผิดก็ต้องแก้ไขที่คนนั้น
สามีทําผิดก็ต้องแก้ไขที่สามี ไม่ใช่ให้ภรรยาอดทนไปข้างเดียว
ความอดทนจําเป็นต้องมีทั้ง ๒ ฝ่าย
อดทนต่อความลําบากตรากตรํา ในการศึกษา ในการทํางาน
ในการประกอบคุณงามความดี อดทนต่อทุกขเวทนา อาพาธ
อดทนต่ออารมณ์ต่างๆ ที่ยั่วยวนให้เสียคน
และต้องพยายามแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ
รู้จักให้อภัยกันบ้าง สํารวมกิริยาวาจาต่อกันบ้าง
อย่ามุทะลุ ดุดันหรือทําอะไรเอาแต่ใจตัว
การอยู่ร่วมกันต้องนึกถึงความต้องการของผู้อื่นอยู่เสมอ
ไม่ใช่นึกถึงแต่ความต้องการของตัว
พยายามเสียสละให้กัน เมื่อต่างฝ่าย ต่างเสียสละให้กัน
ก็จะเห็นอกเห็นใจกัน และเข้าใจกัน
ถ้าต้องอดทนจนต้องเป็นบ้าก็อย่าอดทนเลย
ผลได้ไม่คุ้มเสีย หาช่องทางใหม่ดีกว่า
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
17 พ.ค.2008, 3:40 pm |
|
ไม่เชื่อเรื่องเวรกรรม
๖๒. คนที่เป็นมิจฉาทิฐิ ไม่เชื่อเรื่องเวรกรรม
ไม่เชื่อเรื่องการทําบุญมีผล เป็นต้น
จะมีวิธีโน้มน้าวอย่างไร ให้หันมาสนใจธรรมะได้คะ
ยิ่งเขาสุขสบาย เขายิ่งมองไม่เห็นว่าจะรู้ธรรมไปทําไมให้เหนื่อยยาก
ปล่อยเขาไปก่อน เมื่อใดเขาโดนขวากหนามแห่งชีวิต ชอกช้ำระบม
เขาจะหวนกลับมาเอง เขาจะเรียกร้องหาธรรมะอย่างที่ป้อนให้ไม่ทัน
ขอให้เราตระหนักว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน
กฎแห่งกรรมไม่เคยยกเว้นใคร
เขาจะต้องได้รับผลแห่งกรรมที่เขาทํา จนกว่าเขาจะสิ้นกรรม
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
17 พ.ค.2008, 3:43 pm |
|
การเทศน์ที่ไม่เหมาะสม
๖๓. ปัจจุบันมีพระผู้หวังดีแก่ประชาชนได้พัฒนารูปแบบการเทศน์
เพื่อให้ญาติโยมหันมาสนใจฟังธรรมกันมากขึ้น
เช่น มีการแหล่ในระหว่างเทศน์ มีเทศน์ ๒ องค์หยอกล้อกัน
มีการเอามิวสิกวีดีโอเพลงใหม่ๆ มาประกอบ
อยากทราบว่า เป็นเรื่องที่สามารถทําได้ใช่หรือไม่
ในครั้งพุทธกาลมีการประยุกต์แบบนี้บ้างหรือไม่
พุทธพจน์ตรัสว่าอย่างไรเกี่ยวกับลักษณะเช่นนี้
มีพระวินัยห้ามภิกษุแสดงธรรมด้วยเสียงขับอันยาว
ก็ทํานองแหล่นี่แหละ การเทศน์แหล่นั้น
มุ่งไปทางตลกคะนองก็ไม่สมควรเช่นเดียวกัน ธรรม
ประกอบด้วยเพลงไม่สมควร
เช่น พระแสดงธรรมเป็นเพลงหรือมีเพลงประกอบ
ส่วนเพลงที่ประกอบด้วยธรรม-ใช้ได้
เช่น คฤหัสถ์ร้องเพลงแต่เนื้อเพลงเป็นธรรมะ
ฟังแล้วทําให้เกิดสังเวชสลดใจ หรือเพิ่มพูนคุณธรรม-ใช้ได้ ในตําราเล่าว่า
มีภิกษุบางรูปฟังเพลงซึ่งประกอบด้วยธรรมเช่นนี้แล้วบรรลุอรหัตตผลก็มี
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
17 พ.ค.2008, 3:46 pm |
|
ทำบุญเพื่อลดหย่อนภาษี
๖๔. มีคนบอกว่าการที่เรานําใบอนุโมทนาไปขอลดหย่อนภาษี
เป็นการทําให้ลดบุญที่ได้ลงจริงหรือไม่
หรืออยู่ที่เจตนาเริ่มแรก ถ้าคนหนึ่งตั้งใจทําบุญจริง
ส่วนใบที่ได้มานั้นเป็นผลพลอยได้
กับอีกคนที่ตั้งใจหาใบอนุโมทนามาเพื่อลดภาษีโดยตรง
ไม่จริง คนแรกตั้งเจตนาไว้ดีแล้ว ใบลดภาษีเป็นผลพลอยได้
ส่วนคนหลังตั้งใจหาใบลดภาษี เจตนาในบุญไม่เต็มที่ จะได้บุญน้อยกว่า
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
17 พ.ค.2008, 3:48 pm |
|
ทำตามกฎหมาย
๖๕. ภาษีไม่ใช่สัจธรรม แต่เป็นเรื่องที่คนตั้งกฎเกณฑ์ขึ้น
เราต้องเคารพกฎนี้เท่ากับสัจธรรมหรือในการนับว่าเลี่ยง หรือไม่เลี่ยงภาษี
บางประเทศ ไม่ต้องเสียภาษี ในบางประเทศเสียภาษีหนัก
คําถามนี้ไม่ใช่เพื่อส่งเสริมการเลี่ยงภาษี
เพียงแต่ สงสัยเกี่ยวกับว่ากฎของความจริงกับกฎที่คนตั้งขึ้น
เพียงแต่ปฏิบัติตามกฎหมายที่สังคมตั้งขึ้น
จะเก็บภาษีมากหรือน้อย สุดแล้วแต่รัฐบาลจะกําหนด
มีขึ้นมีลงไม่แน่นอน ไม่ใช่สัจธรรม
แต่ก็ต้องทําตามกําหนด ไม่อย่างนั้นเขาก็มีบทลงโทษ
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
17 พ.ค.2008, 3:51 pm |
|
รักเท่าใดมีทุกข์เท่านั้น
๖๖. มีสิ่งอันเป็นที่รักเท่าใดก็มีทุกข์เท่านั้น จริงหรือ?
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ที่ใดกับใคร?
เรื่องนี้พระพุทธเจ้าตรัสกับนางวิสาขา ในวิสาขาสูตร
คัมภีร์อุทานพระไตรปิฎกเล่ม ๒๕ ใจความสําคัญว่า
หลานของนางวิสาขาคนหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รักมาก
คอยช่วยเหลือในการทําบุญให้ทานสิ้นชีวิตลง
นางวิสาขาร้องไห้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบแล้วจึงตรัสถามว่า
ถ้าคนในเมืองสาวัตถีดีอย่างหลานคนนี้จะรักเขาหรือไม่
นางวิสาขากราบทูลว่า รัก
ตรัสถามว่าในเมืองสาวัตถีมีคนเท่าใด และตายวันละเท่าใด
กราบทูลว่า ตายวันละหลายๆ คน
พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น วิสาขาก็ต้องมีผ้าเปียก
ผมเปียก ร้องไห้ทุกวันล่ะสิ
เพียงเท่านี้ นางวิสาขาได้สติ หยุดร้องไห้
พระพุทธองค์จึงตรัสต่อไปว่า บุคคลมีสิ่งอันเป็นที่รักหนึ่ง
ก็มีทุกข์หนึ่ง...มีสิ่งอันเป็นที่รักร้อยก็มีทุกข์ร้อย
ผู้ไม่มีสิ่งอันเป็นที่รักเลยก็ไม่ต้องทุกข์เลย
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
17 พ.ค.2008, 3:55 pm |
|
พระทำผิด
๖๗. ทําไมคนที่เป็นพระจึงยังทําผิดร้ายแรงจนเป็นข่าวอยู่เสมอ
เป็นเพราะเขาไม่ได้ตั้งใจจะศึกษาธรรมจริงๆ
แต่อยู่ในฐานะพระสบายกว่าเป็นคนข้างนอกวัดหรืออย่างไร
พระที่เป็นปุถุชนก็ยังมีกิเลสอยู่
เช่น โลภ โกรธ หลง เป็นต้น ก็ยังทําผิดได้
เพียงห่มผ้าเหลืองไม่ได้หมายความ ว่า ละความชั่วทั้งปวงได้แล้ว
ถ้ายังมีกิเลสอยู่ ไม่ว่าเป็นใครก็ยังทําชั่วได้
พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนไม่ให้ประมาท
เมื่อยังไม่สิ้นอาสวะก็อย่าเพิ่งวางใจว่า จะไม่ทําผิดต้องระวัง
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
17 พ.ค.2008, 3:57 pm |
|
สันโดษ (1)
๖๘. สันโดษจะทําให้เราเกียจคร้าน
หรือหยุดพัฒนาความก้าวหน้าในชีวิตหรือไม่
สันโดษไม่ทําให้เราเกียจคร้าน
ไม่ทําให้เราหมดความก้าวหน้าในชีวิต
ตรงกันข้ามทําให้ความเจริญทั่วถึง
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
17 พ.ค.2008, 4:01 pm |
|
สันโดษ (2)
๖๙. คําว่าสันโดษ ในความหมายที่เข้าใจกันในสังคม
ไม่ค่อยตรงกับธรรมะ อาจารย์กรุณาอธิบายความหมายของคําว่า
สันโดษโดยละเอียดเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ
สันโดษ หมายถึง พอใจตามมีตามได้ พอใจตามกําลัง และพอใจตามสมควร
คือ ตามความเหมาะสมแก่ตน ไม่โลภมากจนเกินไป จนถึงกับต้องทําทุจริต
สันโดษเป็นธรรมเครื่องป้องกันทุจริตหรือคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ
ถ้าทุกคนถือสันโดษคอร์รัปชั่นจะหายไปจากสังคม ไม่ว่าสังคมใดที่มีสันโดษ
เรามีมาตรการมากมายเพื่อป้องกันคอร์รัปชั่น
และปราบคอร์รัปชั่น แต่ก็ไม่สําเร็จ
มีทั่วไปหมดทุกวงการ เพราะคนในสังคม
ไม่ถือสันโดษ เพียงเท่านี้ก็จะเห็นแล้วว่า
สันโดษมีอุปการะต่อบุคคลและต่อสังคมเพียงใด
แต่คนส่วนมากไปเข้าใจผิด คิดว่าสันโดษคืออยู่เฉยๆ ไม่ทําอะไร
เมื่อมีสันโดษเป็นพื้นฐานแล้ว
ท่านสอนให้มีสัมมาวายามะ คือความเพียรชอบ
ก็จะยิ่งทําให้เจริญรุ่งเรืองขึ้น โดยไม่มีอุปสรรค
ความไม่สันโดษต่อความโลภ
ความทุจริตเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาสังคมอย่างมาก
เปรียบเหมือนเราเร่งเครื่องยนต์เต็มที่
แต่มีเชือกเส้นใหญ่ขวางล้ออยู่จะให้รถยนต์วิ่งไปได้อย่างไร
การพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองรวมทั้งการศึกษาด้วย
ที่ไม่มีศีลธรรมเป็นพื้นฐานจะสําเร็จได้อย่างไร
หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวไว้ว่า
ฝรั่งเขาหัวเราะเยาะเราว่า เสียแรงมีรัตนาครบองค์สาม
แต่เหมือนไก่ไม่นิยมชมของงาม มัวตะกละตะกลามหาของกิน
หมายความว่าการศึกษาที่ทําอยู่ มุ่งไปสู่อาชีพเสียทั้งสิ้น
ปริญญาท่วมท้นล้นแผ่นดิน แต่ขาดศีลขาดธรรมประจําใจ
ขอให้เราชาวพุทธตระหนักว่า
ชีวิตที่เรียบง่ายที่สุดเป็นชีวิต ที่ดีที่สุด ศีลธรรมเป็นวิถีชีวิตที่ดีที่สุด
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
17 พ.ค.2008, 4:07 pm |
|
กาลามสูตร
๗๐. กาลามสูตรคืออะไร นํามาใช้อย่างไร
กาลามสูตร เป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ
ซึ่งมีเชื้อสายกษัตริย์ พํานักอยู่ที่เกสปุตตนิคม
พระสูตรนี้ในพระไตรปิฎกจึงเรียก เกสปุตตสูตร หรือเกสปุตติยสูตร
เราจะค้นหาพระสูตร ชื่อกาลามะในพระไตรปิฎกไม่พบ
เพราะท่านเรียกพระสูตรนี้ว่า เกสปุตตสูตร ดังกล่าวแล้ว
คราวหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จไปที่เกสปุตตนิคมของชาวกาลามะ
พวกเขาพากันมาเฝ้า กราบทูลว่าสมณพราหมณ์เป็นอันมาก
ผ่านมาทางนี้ ต่างแสดงลัทธิของตนว่าดีว่าถูก
ส่วนลัทธิของผู้อื่นไม่ดี ไม่ถูก พระพุทธเจ้าทรงเห็นอย่างไร
พระพุทธองค์ตรัสว่า ควรจะสงสัยทีเดียว
แล้วตรัสว่ายังไม่ควรรับเชื่อเพราะเหตุ ๑๐ ประการ ดังนี้คือ
๑. โดยได้ฟังมา
๒. โดยถือสืบๆ กันมา
๓. โดยข่าวลือ
๔. โดยการอ้างตํารา
๕. โดยตรรกศาสตร์ (มา ตกฺกเหตุ)
๖. โดยนัยหรือโดยการเก็งความจริงแบบปรัชญา
(Philosophical Speculation)
๗. โดยตรึกตามอาการ หรือโดยการพิจารณาอาการว่า
น่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
๘. โดยเห็นว่าตรงกับความเห็นของเรา
๙. โดยเห็นว่าผู้พูดพอเชื่อถือได้
๑๐. โดยเห็นว่า ผู้นั้นเป็นสมณะ (หรือครู) ของเรา
แต่ทรงขอร้องให้ชาวกาลามะ พิจารณาด้วยปัญญาของตนเอง
สอบสวนไต่ถามท่านผู้รู้ซึ่งเป็นวิญญูชน
(คือท่านผู้มีความรู้ดีและมีความประพฤติดี)
และลองปฏิบัติดู ถ้าเห็นว่ามีโทษก็ละเสีย
ถ้าเห็นว่ามีคุณก็จงสมาทานและยึดไว้เป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว จะเห็นได้เองว่า
เราควรจะนํากาลามสูตรมาปฏิบัติอย่างไร
ควรสังเกตว่า กาลามสูตรนี้เป็นธรรมสัจจะ
คือความจริงเฉพาะกรณี เฉพาะเรื่อง
คือ ทรงแสดงในกรณีของชาวกาลามะเท่านั้น
ไม่ทรงแสดงทั่วไปแก่คนเหล่าอื่น
ไม่เหมือนพระพุทธดํารัสที่เป็นสัจธรรม
เช่น อริยสัจ ๔ ไตรลักษณ์ เป็นต้น ซึ่งเป็นความจริงสากล
|
|
|
|
|
|
|