ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
26 ก.พ.2008, 5:09 pm |
|
ทำบุญไม่หวังผล
๒๐. มีคนพูดว่า ถ้าไม่หวังผล แล้วจะทําบุญ ทําทานไปทําไม จะตอบอย่างไรคะ
ทําปล่อย เมื่อไม่หวังผล ก็ทําปล่อย
ทําเหมือนไม่ได้ทํา ไม่มีผู้ทํา มีแต่การกระทํา (การโก น กิริยาว วิชฺชติ)
เห็นในภาษาอังกฤษใช้คําว่า Doing without doer
คําสอนทางพระพุทธศาสนาทั้งฝ่ายเถรวาท และมหายาน
ในระดับสูงสอนอย่างนี้ทั้งนั้น คือ ละลายตัวตน ไม่มีตัวตน เป็นอนัตตา เป็นสุญญตา
แต่ต้องระวังนะ เผลอเข้าจะเป็นมิจฉาทิฏฐิ
ผู้จะมาถึงจุดนี้ต้องมีศีลและสมาธิเป็นพื้นฐานดีแล้ว
มิฉะนั้น จะเห็นไปว่า ทําบุญไม่เป็นบุญ ทําบาปไม่เป็นบาป
ผู้ที่จะมาถึงจุดนี้ควรจะเป็นผู้มีศีลธรรม สมบูรณ์
มีจิตใจมั่นคงในกุศลธรรมแล้ว ขอให้ระวัง
เคยมีอุบาสกอุบาสิกาคู่หนึ่ง เมื่อก่อนเคยให้ทานรักษาศีล ตามปกติ
ต่อมาอุบาสกไปฟังเรื่องสุญญตา เรื่องอนัตตา ที่สํานักแห่งหนึ่ง
ฟังไป ฟังไป นานๆ เข้า เลิกทําบุญ เลิกรักษาศีล
ถือแต่อนัตตา สุญญตาอย่างเดียว เห็นว่า ทําไปก็ไร้ผล ไม่มีผู้รับ
นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่กล่าวว่าให้ระวังจะหมุนไปสู่มิจฉาทิฏฐิ
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
26 ก.พ.2008, 5:22 pm |
|
อาชีพฟ้อนรำจะได้ขึ้นสวรรค์จริงหรือ
๒๑. ตามชาดกที่ว่า บุตรชายของตระกูลฟ้อนรําไปทูลถามพระพุทธเจ้า
ว่าจะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นไหน เพราะร้องรําทําเพลงทําให้ผู้ชมมีความสุข
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า ไปนรก เพราะผู้คนมีโลภะ คือความเพลิดเพลิน
มีโมหะ คือความหลงอยู่แล้ว ยังไปร้องเพลงให้เขาเพลิดเพลินหนักเข้าไปอีก
ทราบอย่างนี้แล้วมาพิจารณาดูนักดนตรีระดับโลก
ที่ตั้งแต่เด็กมาฝึกฝนดนตรี จนอายุเกือบ ๔๐ กว่าจะมีชื่อเสียง
ทั้งชีวิตคร่ำเคร่งอยู่กับการฝึกฝนดนตรี
ดูๆ ก็เป็นชีวิตที่น่าชื่นชม คือ ตั้งใจแน่วแน่ และประสบความสําเร็จในที่สุด
แต่ต้องไปตกนรก ทั้งๆ ที่ก็เป็นคนดีต่อสังคมมาตลอดอย่างนั้นหรือคะ
ข้อความที่ถามนี้ ปรากฏในตาลปุตตสูตร สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
พระไตรปิฎกเล่ม ๑๘ ข้อ ๕๘๙-๕๙๒
มีบุตรนักฟ้อน ซึ่งตัวเขาก็เป็นนักฟ้อนด้วย
มาทูลถามพระพุทธเจ้าว่า เขามีอาชีพเป็นนักฟ้อน
คติสัมปรายภพเขาจะเป็นอย่างไร
พระพุทธเจ้าตรัสห้ามไม่ให้ถามถึง ๒ ครั้ง แต่เขาก็ยังถามอยู่เป็นครั้งที่ ๓
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า เขาต้องไปนรกชื่อปหาสะ
เขาร้องไห้และทูลว่า เขาได้ฟังมาจากบรรพชนว่า
อาชีพนักฟ้อน ตายแล้วไปเกิดเป็นเทพพวกปหาสะ (แปลว่าร่าเริง สนุกสนาน)
พระพุทธเจ้าตรัสให้เหตุผลว่ามนุษย์โดยทั่วไปมากไปด้วยราคะ โทสะ โมหะ อยู่แล้ว
การกระทําของท่านไปเพิ่มพูนราคะ โทสะ โมหะ เข้าอีก จะไม่ไปอบายได้อย่างไร
ที่เขาร้องไห้นั้น เขากราบทูลว่า
เพราะเสียใจที่อาจารย์ของนักฟ้อนเก่าๆ หลอกลวงว่า
ผู้มีอาชีพทางนี้ ตายแล้วไปเกิด เป็นเทพพวกปหาสะ
เขาชมเชยธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า แล้วขอถึงพระรัตนตรัย
ออกบวชในสํานักของพระผู้มีพระภาค
ต่อมาได้บําเพ็ญเพียรจนสําเร็จเป็นพระอรหันต์
ที่ตอนนี้ตอบตามที่พระพุทธเจ้าตรัส
ผมเข้าใจเป็นส่วนตัวว่า ถ้าเขามีความดีอย่างอื่น อาจไม่ไปนรกก็ได้
แต่ถ้า ไม่มีความดีอย่างอื่นช่วยไว้ คงจะต้องตกนรกหรือกําเนิดสัตว์เดรัจฉาน
ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในท้ายพระสูตรนี้
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
26 ก.พ.2008, 5:26 pm |
|
อาชีพที่ทำให้คนเพลิดเพลินเป็นบาปไหม
๒๒. ต่อเนื่องจากข้อ ๒๑ ยังมีอาชีพอีกมากมายในสังคม
เช่น เสริมสวย ทําอาหาร เป็นต้น ก็ล้วนทําให้คนเพลิดเพลินทั้งนั้น
อย่างนี้การเป็นคนดีก็ไม่พอสําหรับชีวิตใช่ไหมคะ
๒ เรื่องนี้ไม่มีพระสูตรอ้างอิง
การทําอาหาร เป็นสิ่งที่เนื่องด้วยปัจจัย ๔ จัดว่า เป็นสิ่งจําเป็น
ตามข้อความในพระไตรปิฎกที่ว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นอยู่ได้ด้วยอาหาร
สพฺเพ สตฺตา อาหารฏฐิติกา การปรุงอาหารจึงเป็นสิ่งจําเป็น
ไม่ว่าที่ร้านค้า หรือในครอบครัว
ผู้บริโภคต้องสํารวมเอาเอง ที่เรียกว่า สํารวมลิ้น และกินแต่พอประมาณ
ส่วนเรื่องเสริมสวยนั้นไม่ต้องเสริมก็ได้ เพียงแต่ทําให้เรียบร้อย
เช่น ผมยาวก็ไปตัดออกเสียบ้าง
แต่ถ้ามุ่งเสริมสวยจริงๆ แบบที่เขามุ่งกันอยู่ ก็น่า เป็นห่วงเหมือนกัน
นอกจากจะสิ้นเปลืองทรัพย์ของตนเอง โดยไม่จําเป็นแล้ว
ยังจะทําให้ผู้อื่นหลงใหลเพลิดเพลิน
ตนเองก็หลงใหลเพลิดเพลินไปกับการเสริมสวยนั้น
น่าจะใกล้เคียงกับเรื่องนักฟ้อน
ด้วยเหตุนี้ ศีลในระดับขัดเกลาจิตใจเช่น ศีล ๘ ข้อที่ ๗ ว่า
เว้นจากการดูฟ้อนรํา ขับร้อง ประโคมดนตรี
และเว้นจากการประดับตกแต่งร่างกายด้วยดอกไม้
ของหอม เครื่องลูบไล้ ซึ่งเป็นไปเพื่อความสวยงาม
โดยนัยนี้จะเห็นว่า ท่านสอนให้อยู่ตามธรรมชาติ
ดูแลรักษาร่างกายให้สะอาดก็เพียงพอแล้ว
ลองคิดดูว่า ถ้าคนไปสังคมของเราทําได้อย่างนี้จะประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก
ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม บางคนใช้น้ำหอมแพงลิบลิ่ว
ซึ่งจะต้องซื้อจากต่างประเทศ เสียดุลการค้ามากมาย
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
26 ก.พ.2008, 5:29 pm |
|
กินบุญเก่า
๒๓. ถ้าคนหนึ่งเขารู้สึกว่า ชีวิตอยู่ดีมีสุขอยู่แล้ว ไม่เห็นทุกข์อะไร
จะศึกษาธรรมะหรือทรมานตนเองด้วยการนั่งสมาธินานๆ ตื่นแต่ดึก ฯลฯ ทําไม
เราจําเป็นต้องไปชักจูงเขาไหมคะ หรือปล่อยให้เขาเสวยบุญเก่าไป
ปล่อยเขาไปก็ได้ แต่ถ้าแนะนําได้
ก็ควรจะแนะนําให้เขาทําความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ไม่ให้สันโดษในกุศลธรรม
ไม่ถอยกลับในความเพียร ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้
ถ้าเขามัวกินบุญเก่าแล้วไม่ทําใหม่ เมื่อบุญเก่าสิ้นไปเขาจะทําอย่างไร
เขารู้ได้อย่างไรว่า บุญเก่าเขามีเท่าไหร่ อาจจวนหมดแล้วก็ได้
ไม่เหมือนเงินที่เราฝากไว้ในธนาคาร
เราเปิดสมุดบัญชีดูก็รู้ว่าเหลือจํานวนเท่าไร
ขอให้ระลึกถึงพระพุทธพจน์ที่ว่า เมื่อบุญสิ้นไป ทุกอย่างก็พินาศหมด
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
26 ก.พ.2008, 5:33 pm |
|
บาป-บุญของใคร
๒๔. คนที่เป็นครูตั้งใจสอนลูกศิษย์ดี
หวังดีกับลูกศิษย์ แต่ลูกศิษย์เอาความรู้ไปใช้ในทางไม่ดี
อย่างนี้ถือเป็นกรรมแยกกัน คือ ครูได้กรรมดี
ลูกศิษย์ทําไม่ดีก็กรรมไม่ดีได้วิบากไม่ดี
ไม่ได้ต่อเนื่องว่าเป็นบาปของครู ถูกไหมคะ
ถูกต้องแล้ว เราต้องรู้จักตัดตอน
เปรียบเหมือนเราให้มีดไปทําครัว
แต่เขาเอาไปแทงกัน ก็เป็นเรื่องของเขา เราไม่มีส่วนแห่งบาป
แต่ถ้าเขาเอาไปทําครัว เป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลาย
เรามีส่วนแห่งบุญด้วย เพราะการตั้งใจของเราเป็นบุญ
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
26 ก.พ.2008, 5:36 pm |
|
ไม่จัดงานศพให้บุพการี
๒๕. ถ้าบุคคลไม่จัดงานศพให้บุพการี ถือว่าไม่กตัญญูหรือเปล่าคะ
ถ้าตอนยังมีชีวิตอยู่ก็ได้ดูแลกันเสมอมา ไม่ได้ทอดทิ้ง
ถ้าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้ดูแลเต็มที่แล้ว
เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีอย่างดีแล้ว
การไม่จัดงานศพให้ดูหรูหราใหญ่โต ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร
เคยทราบมาว่า มีพระเถระบางรูป เมื่อโยมหญิงท่านป่วย
ท่านไปเยี่ยมทุกวัน และเทศนาธรรมให้ฟัง
แต่พอโยมท่านเสียชีวิตแล้ว ท่านก็วางเฉย
ไม่จัดงานศพอย่างที่คนทั้งหลายเขาจัดกัน
ปล่อยให้ญาติๆ เขาทํากันไป
แต่พระภิกษุทั้งหลายในจังหวัดนั้น ช่วยกันจัดงานให้ใหญ่โตขึ้น
ให้เหตุผลว่า ไม่ใช่เป็นโยมของพระเถระรูปนั้นเพียงผู้เดียว
แต่เป็นโยมของพระทั้งหลายจํานวนมาก ในฐานะเป็นโยมอุปการะ
มีพระเถระอีกรูปหนึ่งเป็นพระราชาคณะชั้นธรรม อยู่ในกรุงเทพฯ
ท่านทําพินัยกรรมไว้ว่า เมื่อท่านสิ้นชีวิตแล้ว
ไม่ต้องทําบุญอุทิศให้ เพราะท่านทํามาเองมากแล้ว
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.พ.2008, 5:39 pm |
|
การตอบแทนคุณพ่อแม่
๒๖.ในตําราบอกว่า การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่
ต้องทําให้พ่อแม่เป็นสัมมาทิฐิ มีจิตใจพัฒนาธรรมะ
ถ้ายังก็ถือว่ายังไม่ได้ตอบแทนคุณ
แต่พ่อแม่ก็ใช่ว่าจะพัฒนาธรรมะได้ทุกคน
อย่างนี้ลูกก็จะเหมือนไม่ได้ตอบแทนคุณหรือคะ
การให้ปัจจัย ๔ คือ อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย
และยารักษาโรคให้เพียงพอแก่ความต้องการ
ก็เป็นการตอบแทนชั้นหนึ่งแล้ว
แต่ถ้าได้ทําให้พ่อแม่ดํารงอยู่ในคุณธรรม
คือ ศรัทธา, ศีล, จาคะ และปัญญาเข้าด้วยก็จะดียิ่งขึ้น
เพราะทําให้พ่อแม่มีที่พึ่งทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
ทําให้พ่อแม่มีคุณธรรมประจําใจ เป็นที่พึ่งแก่ลูกหลานได้ด้วย
|
|
แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 17 พ.ค.2008, 3:23 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.พ.2008, 5:41 pm |
|
ศีลขาดแล้วสมาทานใหม่
๒๗. การที่บอกว่าศีลขาดแล้วสมาทานใหม่ได้เรื่อยๆ
คิดว่าน่าจะทําให้เราลดความระวังลงมากกว่าเพิ่มความระวังขึ้น
อาจารย์มีความเห็นว่าอย่างไร
การสมาทานใหม่ก็คือการตั้งใจใหม่ นับว่าดีกว่าไม่ตั้งใจ
แม้ไม่ต้องสมาทานกับพระ เพียงแต่ตั้งใจเอาเองก็สําเร็จประโยชน์เท่ากัน
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.พ.2008, 5:29 pm |
|
วิถีทางของคนที่ไม่ได้พบศาสนาพุทธ
๒๘. ถ้าชนใดที่ไม่ได้พบศาสนาพุทธ
เขาจะต้องมีวิถีทางเดียวกับเราชาวพุทธไหมคะ
เป็นสวรรค์นรกเดียวกันไหมคะ
คุณธรรมเป็นสมบัติส่วนกลาง
ใครประพฤติในคุณธรรมนั้นๆ ก็ย่อมได้รับผลของคุณธรรมนั้น
ไม่เลือก ว่าเขาจะเป็นชนชาติใด นับถือศาสนาใด
เหมือนอาหาร ที่มีประโยชน์ ใครกินก็เป็นประโยชน์แก่คนนั้น
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.พ.2008, 5:33 pm |
|
บาปหรือไม่บาป
๒๙. ถ้าศาสนาอื่นบอกว่าสิ่งนี้ไม่บาป
แต่ศาสนาพุทธบอกว่าสิ่งนี้บาป สิ่งนี้จะบาปหรือไม่บาป
บาปบุญเป็นความจริงสากล ที่เรียกในภาษาปรัชญาว่า Objective Truth
ใครจะบัญญัติว่าบาปหรือไม่บาป
สิ่งใดเป็นบาปก็คงเป็นบาปอยู่ในตัวเอง เรียกว่า Truth In Itself เป็นจริงในตัว
เหมือนไฟมีธรรมชาติร้อน ใครจับเข้าก็ร้อนเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ข้อบัญญัติทางศาสนา
เป็นไปตามสติปัญญาของศาสดาในศาสนานั้นๆ
ว่า ใครเข้าถึงความจริงได้แค่ไหน แต่ความจริงก็คงยืนตัวอยู่อย่างนั้น
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.พ.2008, 5:35 pm |
|
บุพเพสันนิวาส
๓๐. บุพเพสันนิวาสมีจริงหรือไม่
บุพเพสันนิวาสมีจริง ทรรศนะคติทางพระพุทธศาสนา
แสดงไว้ว่า ความรักเมื่อจะเกิดย่อมเกิดเพราะเหตุ ๒ อย่าง
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ๑) บุพเพสันนิวาส ๒) การเกื้อกูลกันในปัจจุบัน
บางทีบุพเพสันนิวาสชักนํามาให้เกื้อกูลกันในปัจจุบัน
ก็เลยได้รวมเป็น ๒ อย่าง ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา
มีเรื่องเล่าไว้มากมายที่แสดงถึงบุพเพสันนิวาส
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
29 ก.พ.2008, 5:38 pm |
|
อนุโมทนาบุญที่เกิดจากใจ
๓๑. การอนุโมทนาบุญกับผู้อื่น
จะฝึกฝนอย่างใดให้ความรู้สึกนั้น บังเกิดขึ้นจากใจจริงๆ ได้
ให้สร้างความรู้สึกอยู่เนืองๆ ว่าความดีไม่ว่าเป็นของเราหรือเป็นของผู้อื่น
ไม่ว่าที่เราทําหรือที่คนอื่นทําเป็นสิ่งน่ารัก น่าถนอม
ถ้ามีความรู้สึกอย่างนี้อยู่ เราก็จะอนุโมทนาบุญที่ผู้อื่นทําได้จริงๆ
เป็นปัตตานุโมทนามัย แปลว่า บุญที่ได้จากการอนุโมทนาส่วนบุญ
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
13 มี.ค.2008, 1:40 pm |
|
สัมภเวสี
๓๒. สัมภเวสี คืออะไร
คือผู้ที่ยังแสวงหาภพ (สัมภว+เวสี = สัมภเวสี)
หมายถึง ผู้ที่ยังท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏ ยกเว้นพระอรหันต์
แล้วนอกนั้น เป็นสัมภเวสีทั้งหมด
คนส่วนมากเข้าใจผิดคิดว่า วิญญาณที่เที่ยวเร่ร่อนยังไม่เกิด
ที่จริงสัตว์ทั้งหลายเมื่อตายลงก็ไปเกิดเลย
คือ จุติกับปฏิสนธิอยู่ติดกันไม่มีระหว่าง เรียกว่าไม่มีอันตรภพ
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
13 มี.ค.2008, 1:46 pm |
|
พระภูมิเจ้าที่
๓๓. พระภูมิเจ้าที่คือใคร มีอิทธิพลต่อที่หรือบ้านบริเวณนั้นจริงหรือไม่
เราควรปฏิบัติตัวอย่างไรต่อท่าน
พระภูมิมาจากความเชื่อที่ว่ามี ภุมมเทวดา คือ เทวดาประจําพื้นที่
เมื่อมนุษย์เราจะไปสร้างบ้านสร้างเรือนที่ไหน
ก็คิดว่าไปทับที่ของภุมมเทวดา ซึ่งท่านอาศัยอยู่ก่อน
จึงได้มีการตั้งศาลพระภูมิเพื่อให้พระภูมิได้อยู่ที่นั่น
แล้วมีการบูชาสักการะด้วยข้าวน้ำและผลไม้ เป็นต้น
บูชาด้วยพวงมาลัยก็มี
ขอให้ช่วยคุ้มครองรักษาให้อยู่เย็นเป็นสุข
แต่ถ้าคนประพฤติไม่ดี ทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ อยู่เสมอแล้ว
พระภูมิก็ช่วยอะไรไม่ได้
แต่ถ้าเป็นคนดีประพฤติแต่กุศลกรรม
แม้ พระภูมิไม่ต้องช่วย บุญกุศลก็จะช่วยเอง
ไม่มีกําลังใดเสมอด้วยกําลังกรรม
ถ้าคนในบ้านเห็นพร้อมกันว่า ไม่จําเป็นต้องตั้งศาลพระภูมิ
จะไม่ตั้งก็ได้ ขอให้ประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรม ศีลธรรมจะคุ้มครองเอง
ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
รุกขเทวดาก็ตาม ภุมมเทวดาก็ตามย่อมเคารพ อ่อนน้อมต่อผู้มีธรรม
มนุษย์ที่มีธรรมย่อมเป็นเทพอยู่ในตัว เรียกว่ามนุษยเทพ หรือมนุสสเทโว
เรียกว่า เป็นเทวดาโดยไม่ต้องรอเมื่อตายแล้วจึงค่อยเป็น
ถ้ามีคุณธรรมสูงขึ้นไปอีกจนถึงเป็นพระอริยเจ้าระดับสูงสุดคือ เป็นพระอรหันต์
ท่านเรียกว่า วิสุทธิเทพ เหนือกว่าเทพอื่นๆ ทั้งหมด
ในเนมิราชชาดก ท่านเล่าไว้ว่า พระเจ้าเนมิราชเป็นผู้มีคุณธรรมสูง
เป็นอาจารย์ของคนเป็นอันมาก
คนเหล่านั้นตั้งอยู่ในคุณธรรมที่พระเจ้าเนมิราชสั่งสอนแล้ว
ไปเกิดเป็นเทวดาจํานวนมาก โดยเฉพาะที่ชั้นดาวดึงส์
เทวดาเหล่านั้นยังเคารพพระเจ้าเนมิราชในฐานะเป็นอาจารย์อยู่
นี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์ที่มีคุณธรรมดี
ได้รับการเคารพนับถือจากเทพยดาเป็นอันมาก
ถ้าท่านผู้เช่นนั้นเดือดร้อนในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เทวดา ก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย
และเทวดาก็พยายามช่วยเหลือ
คุ้มครอง รักษา พระพุทธพจน์ตรัสไว้ว่า
ผู้ที่ใช้ทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่คนหมู่มาก
เทวดาย่อมรักษา ผู้นั้น และธรรมก็คุ้มครองด้วย
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
13 มี.ค.2008, 1:50 pm |
|
ผีมีจริงหรือไม่?
๓๔. ผีมีจริงหรือไม่
มีจริง อาจเป็นเทวดาบ้าง เปรตบ้าง อสุรกายบ้าง พวกนรกบ้าง
แต่คนไทยรวมเรียกว่า “ผี” เรื่อง “ผี” นี้สังเกตว่า มีทุกชาติทุกภาษา
แสดงว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในโลก
ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม
การปฏิบัติต่อผีก็คือ ทําบุญอุทิศให้ หรือแผ่เมตตา
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
13 มี.ค.2008, 1:55 pm |
|
การเจิมเป็นสิริมงคลจริงหรือ?
๓๕. การเจิมรถ เจิมบ้าน เป็นสิริมงคลนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่
ขึ้นอยู่กับคุณธรรมของผู้เจิมหรือไม่
พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระพรหมมังคลาจารย์ (ท่านปัญญานันทภิกขุ)
แห่งวัดชลประทานรังสฤษดิ์ ได้สอนไว้ว่าให้เจิมที่คนขับว่า
จงระวัง จงระวัง อย่าประมาท
รถมันชนกันเองไม่ได้ ต้องมีคนขับไปชนกัน
ถ้าเป็นบ้านก็น่าจะเจิมที่เจ้าของบ้านว่า
จงสามัคคีกัน จงเข้าใจกัน จงอย่าทะเลาะกัน
เพราะว่าตัวบ้านไม่มีชีวิตไม่มีจิตใจ ไม่รับรู้อะไร
จะอยู่เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ก็เพราะคนที่อยู่ในบ้านนั่นแหละ
ทําขึ้น เข้าใจอย่างนี้ก็จะได้ปฏิบัติตนให้ถูกต้อง
ไม่ต้องกังวลเรื่องเจิมหรือไม่ได้เจิมบ้าน
บางท่านเจิมด้วยอักษร ๓ ตัว คือ อะ, อุ, มะ
อะ หมายถึง อรหัง สัมมา สัมพุทโธ
อุ หมายถึง อุตตมธรรม
กล่าวคือ โลกุตตรธรรม ๙ ได้แก่ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑
มะ หมายถึง มหาสงฆ์ ได้แก่ พระอริยสงฆ์
หมายความว่า ให้เราระลึกถึงพระรัตนตรัยนั่นเอง
การเจิม ไม่ว่าเจิมอะไร นอกจากเป็นขวัญ เป็นกําลังใจ
แล้วก็ไม่มีความหมายอะไรอื่น
เพราะฉะนั้น จะเจิมหรือไม่เจิมก็ได้
รถที่ชนกันอยู่โครมๆ ทุกวันนั้น ล้วนแต่เจิมแล้วทั้งสิ้น
รถที่ไม่ได้เจิม แต่เจ้าของขับอย่างระมัดระวัง ไม่เคยชนเลยก็มี
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
13 มี.ค.2008, 2:02 pm |
|
สวดภาณยักษ์
๓๖. สวดภาณยักษ์คืออะไร เป็นสิ่งจําเป็นต่อชาวพุทธหรือไม่
เรื่องการสวดภาณยักษ์ขอตอบตามพระไตรปิฎก ดังนี้
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฎ เมืองราชคฤห์
ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เข้าไปเฝ้าท้าวมหาราชทั้ง ๔ คือ
๑. ท้าวธตรฐ ประจําทิศบูรพา มีพวกคนธรรพ์ (รุกขเทวดา) เป็นบริวาร
๒. ท้าววิรุฬหก ประจําทิศทักษิณ มีพวกกุมภัณฑ์เป็นบริวาร
๓. ท้าววิรุฬปักษ์ ประจําทิศประจิม มีพวกนาคเป็นบริวาร
๔. ท้าวเวสวัณหรือท้าวกุเวร ประจําทิศอุดร
มีพวกยักษ์เป็นบริวาร ท่านเหล่านี้เป็นเทวดาในชั้นจาตุมหาราชิก
ซึ่งเป็นชั้นต่ำที่สุดในสวรรค์ชั้นกามาวจร ๖ ชั้นภุมมเทวดาก็จัดอยู่ในชั้นนี้
ท้าวเวสวัณได้กราบทูลว่า
บริวารของท่านที่เลื่อมใสพระพุทธองค์และภิกษุสงฆ์ก็มี
ที่ไม่เลื่อมใสก็มีมาก เพราะพระพุทธองค์ทรงสอนให้รักษาศีล ๕
ซึ่งพวกยักษ์ไม่ชอบรักษา
สาวกของพระพุทธองค์บางพวกชอบอยู่ในเสนาสนะอันสงัด มีเสียงน้อย
ยักษ์ชั้นสูงบางพวกก็ชอบอยู่ในที่เช่นนี้เหมือนกัน
พวกเขามิได้เลื่อมใสในคําสอนของพระผู้มีพระภาค ขอพระองค์ทรงทราบ
การรักษาชื่ออาฏานาฏิยะ เพื่อให้ภิกษุ ภิกษุณี
อุบาสก อุบาสิกา ของพระองค์เล่าเรียน ท่องบ่น สาธยาย
เพื่อคุ้มครองตนเองให้ปลอดภัยจากยักษ์เหล่านั้น
ยักษ์เหล่านั้นเมื่อได้ฟังอารักขาชื่อ อาฏานาฏิยะนี้แล้ว
จักยําเกรงไม่อาจเบียดเบียนสาวกของพระองค์ได้
สาวกของพระองค์จักได้อยู่สุขสบายในป่าเช่นนั้น
พระพุทธองค์ทรงรับคําของท้าวเวสวัณด้วยอาการดุษณี
ท้าวเวสวัณจึงกราบทูลมนต์สําหรับอารักขา ซึ่งชื่อ อาฏานาฏิยะ
ใจความสําคัญคือ การกล่าวนอบน้อมพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์
มีพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น
มีพระสมณโคดม สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์สุดท้าย
และกล่าวถึงการที่ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เคารพนอบน้อมต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระพุทธองค์ทรงให้ภิกษุทั้งหลายเรียนอาฏานาฏิยสูตรนี้แล้วท่องบนสาธยาย
อยู่ที่ใดย่อมได้รับการคุ้มครอง อารักขา พวกอมนุษย์ไม่เบียดเบียน
เพราะยักษ์ นาค กุมภัณฑ์ คนธรรพ์ หรือพวกพ้องคนใดก็ตามเบียดเบียน
บีบคั้นผู้ซึ่งสาธยาย อารักขานี้ย่อมได้รับเทวทัณฑ์จากเทพผู้ใหญ่
ไม่สามารถเข้าสมาคมกับพวกของตนได้ เป็นการลงโทษเหมือนเนรเทศโจร
อาฏานาฏิยสูตรนี้แสดงหลักการคุ้มครองตนในที่มีภัยด้วย
คุณธรรมที่เรียกว่า การอารักขาโดยธรรม
ธรรมที่ว่านี้ คือความเคารพอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ ผู้มีคุณธรรม
เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้ง ๗ พระองค
และยังกล่าวถึงท่านผู้ใหญ่ของพวกยักษ์ นาค คนธรรพ์ และกุมภัณฑ์อีกด้วย
แม้จะไม่ถึงกับอ่อนน้อมแต่เป็นการเอ่ยชื่อถึง
(คล้ายร้านอาหารหรือร้านขายยา ที่นิยมเอารูปนายตํารวจใหญ่
มาติดไว้ในร้าน เพื่อป้องกันตํารวจผู้น้อยรังแกหรือพวกนักเลงในถิ่นนั้นรังแก)
อนึ่ง อายุ วรรณะ (ผิวพรรณ) สุขและกําลัง
ย่อมเจริญแก่ ผู้มีปกติอภิวาทอ่อนน้อมเป็นนิตย์ต่อผู้ใหญ่ ผู้ที่ควรเคารพ
(อภิวาทนสีลิสฺส นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน
จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณฺโร สุขํพลํ)
ความเคารพอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นมงคลถึง ๒ ในมงคล ๓๘ ประการ
นําสิริมงคลมาสู่ตนเป็นที่สบายใจของผู้เข้าใกล้
ไม่ขวางหูขวางตาผู้อื่น (คําพูดไม่ขวางหู กิริยาไม่ขวางตา)
ตรงกันข้ามเป็นที่สบายหู สบายตาของผู้สมาคมใกล้ชิด
เป็นที่ตั้งแห่งความเมตตา เอ็นดู ชื่นสุขและชื่นชูใจ
ชื่อว่าได้รับการคุ้มครองให้ปลอดภัย
นอกจากนี้คุณธรรมอีกหลายอย่าง ย่อมมีอยู่ในใจของผู้เคารพอ่อนน้อม
และยังเป็นบ่อเกิดแห่งคุณธรรมอื่นๆ อีกหลายประการ
เช่น ไม่ต้องทะเลาะวิวาท หรือกระทบกระทั่งกับใครๆ
จึงชื่อว่าเป็นการคุ้มครองตน คุ้มครองผู้อื่นไปพร้อมๆ กัน
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
13 มี.ค.2008, 2:07 pm |
|
ตักบาตรเทโว
๓๗. การตักบาตรเทโวคืออะไร
ปกติพระสงฆ์ต้องรับอาหารสดเพียงเท่าในบาตร เก็บไว้มื้ออื่นก็ไม่ได้
การตักบาตรเทโวจะทําให้พระอาบัติหรือไม่
การตักบาตรเทโว ย่อมาจากคําว่า เทโวโรหณะ แปลว่า ลงจากเทวโลก
ตํานานเกี่ยวกับเรื่องที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปจําพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
เมื่อออกพรรษาแล้วเสด็จลงจากเทวโลก มาที่เมืองสังกัสส์
ซึ่งพระสารีบุตรอยู่ที่นั่นในเวลานั้น
ชาวบ้านมาชุมนุมกันมากเพื่อถวายอาหารบิณฑบาตแด่พระพุทธองค์
ตํานานนี้ให้เกิดประเพณีตักบาตรเทโวฯ
ถ้าวัดอยู่บนภูเขา พระก็จะลงจากภูเขา ทํานองว่า ลงจากชั้นดาวดึงส์
วัดที่อยู่ราบกับพื้น พระก็เดินมารับบิณฑบาตอย่างธรรมดา
เป็นการทําบุญเนื่องในโอกาสออกพรรษาของชาวบ้าน เรื่องตักบาตรเทโวก็มีเท่านี้
การตักบาตรเทโวจะทําให้พระเป็นอาบัติหรือไม่ ขึ้นอยู่กับของที่นํามาใส่บาตร
ถ้าเป็นอาหารกระป๋องพระก็ต้องฉันในวันนั้น เช้าถึงเพล
ที่เหลือต้องสละให้สามเณร หรือเด็กวัด
เพราะอาหารที่รับบิณฑบาตมา จะเก็บไว้ฉันในวันรุ่งขึ้นไม่ได้
ถ้าสามเณร หรือเด็กเข้าใจเรื่องนี้จะนํามาถวายในวันรุ่งขึ้นก็ได้
เพราะเป็นสิทธิของสามเณรหรือเด็กแล้ว
ส่วนข้าวสารนั้นรับประเคนไม่ได้อยู่แล้ว
ถ้าจะถวายข้าวสารแก่พระก็ให้นําไปถวายที่วัด
โดยวางไว้ข้างหน้าท่านโดยไม่ต้องประเคน
บอกให้รู้ว่าเราถวายท่าน ท่านก็จะกล่าวอนุโมทนา
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
13 มี.ค.2008, 2:10 pm |
|
ใส่บาตรการค้า
๓๘. การที่แม่ค้ารับอาหารที่คนตักบาตรแล้วไปขายใหม่ แม่ค้าจะบาปไหม
ไม่บาป แต่ไม่สมควรทํา ทั้งพระและแม่ค้าไม่ควรทําอย่างนี้
ทําให้การรับบิณฑบาตเป็นการค้าไปด้วย
การตักบาตร การรับบิณฑบาต ควรจะทําไปด้วยความกรุณาและบริสุทธิ์ใจ
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
13 มี.ค.2008, 2:13 pm |
|
ตักบาตรต้องถวายน้ำไหม
๓๙. เวลาตักบาตรต้องถวายน้ำดื่มหรือไม่
ถ้ารู้ว่าพระท่านขาดแคลนน้ำ จัดถวายไปด้วยก็ได้
โดยปกติไม่ขาดแคลนน้ำ ขาดแต่อาหาร
ฉะนั้นถวายแต่อาหารก็น่าจะพอ ไม่ทําให้บาตรท่านรุงรังไปด้วยน้ำ
ทําให้รับอาหารไม่ได้เต็มที่เพราะขวดน้ำไปขวางอยู่เต็มบาตร
|
|
|
|
|
|
|