Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
01 ก.พ.2008, 12:41 pm |
  |
ตอนที่ 3.........
สัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีวิตชอบ คือเว้นจากเลี้ยงชีวิตโดยทางที่ผิด เช่น โกงเขาหลอกลวง สอพลอ บีบบังคับขู่เข็ญ ค้าคน ค้ายาเสพติด ค้ายาพิษ เป็นต้น นั่นก็ย่อมหมายความว่า บุคคล หรือกลุ่ม หรือชุมชน หรือรัฐ ไม่กระทำผิดกฎหมาย ไม่สร้างปัญหาให้กับสังคมหรือชุมชน ไม่กระทำผิดศีลธรรมอันดี การเลี้ยงชีพในทางที่ชอบ หรือสัมมาอาชีวะ จะเป็นพฤติกรรมหรือวงจรที่ต่อเนื่องสัมพันธ์กับ การงานชอบ หรือทำการชอบ หรือสัมมากัมมันตะ เพราะการเลี้ยงชีพในทางที่ชอบย่อมก่อมิให้เกิดความทุกข์ ซึ่งก็ย่อมสัมพันธ์กับมรรคข้ออื่นๆด้วยเช่นกัน อีกทั้งการเลี้ยงชีพชอบ หรือสัมมาอาชีวะนั้น ยังต้องประกอบไปด้วยปัจจัยอันสำคัญประการหนึ่งหรือต้องมีสภาพสภาวะจิตใจอีกรูปแบบหนึ่ง ก็คือ สัมมาวายามะ หรือ ความเพียรชอบ
ความเพียรที่ชอบเป็นสัมมาวายามะ มี ๔ อย่าง คือ ๑.สังวรปธาน เพียรระวังบาปอกุศลที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น ๒.ปหานปธาน เพียรละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ๓.ภาวนาปธาน เพียรเจริญทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ๔.อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ให้เสื่อมไปและให้เพิ่มไพบูลย์ (พจนานุกรมพุทธศาสน์ฉบับเจ้าพระธรรมปิฎก)
ซึ่งหากจะกล่าวเพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายขึ้นแล้ว ความเพียรชอบทั้ง 4 ประการนั้น ก็ต้องประกอบไปด้วย ความคิดชอบ ,ความเห็นชอบ,ระลึกชอบ ,จิตตั้งมั่นชอบ, เจรจาชอบ, การงานชอบหรือทำการชอบ, เลี้ยงชีพชอบ เพราะสิ่งที่ได้กล่าวไปนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเพียร หรือเป็นสิ่งที่สร้างความเพียรชอบให้เกิดขึ้น สามารถขจัดหรือดับกิเลส ดับความทุกข์ หรือดับซึ่ง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้ในระดับหนึ่ง
ที่ได้กล่าวไปในเรื่องของ มรรค อันมีองค์ ๘ โดยแยกเป็นหัวข้อเพื่อง่ายและสะดวกต่อการทำความเข้าใจ แต่ในทางที่เป็นจริง ทุกข้อล้วนเชื่อมโยงสัมพันธ์กันเกิดขึ้นในเวลาที่เกือบจะพร้อมกัน และหมุนวนกันไปเป็นวัฏจักร กล่าวคือเมื่อเกิด ความคิด ย่อมเกิดความเห็น แล้วความระลึกนึกถึงก็จะตามมา ขณะที่เกิดการระลึกนึกถึงนั้น ย่อมมีจิตตั้งมั่น คือมีเพียงอารมณ์เดียวที่เรียกว่าสมาธิ ซึ่งเป็นปัจจัยหรือเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการเจรจาชอบ หรือการติดต่อสื่อสาร เป็นสิ่งหรือเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการกระทำ เป็นปัจจัยหรือเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดหรือการเลี้ยงชีพหรือประกอบอาชีพ และย่อมก่อให้เกิดความเพียร ไปพร้อมกัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หากท่านทั้งหลายได้อ่านข้อความในวรรคสุดท้ายแล้วนั้น จะเห็นได้ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนคำว่า ชอบ ลงท้ายประโยคแห่ง มรรคทั้ง 8 ข้อ ทั้งนี้เพื่อให้แสดงให้เห็นว่า ธรรมชาติหรือกระบวนการของมนุษย์(ในที่นี้หมายเอาเฉพาะมนุษย์) เมื่อได้ประสบ ได้สัมผัส ทางอายตนะทั้งหลายแล้ว ก็จะเกิด กระบวนการ ตามที่ข้าพเจ้าเรียงลำดับไว้(ตามหลักการทางศาสนาพุทธ) คือเมื่อได้ประสบหรือได้สัมผัส กับเหตุการณ์หรือสิ่งใดใดก็ตาม มนุษย์ทุกคนล้วนต้อง เกิดความคิด, เมื่อเกิดความคิดแล้ว สิ่งที่ในทางศาสนาพุทธ(พระสมณะโคดม)เรียกว่า ความเห็น ก็จะเกิดตามมาเป็นกระบวนการต่อจากความคิด
เมื่อเกิดความคิด ,ความเห็นแล้ว สิ่งที่ตามมา ก็คือ การระลึกนึกถึง ความรู้ ประสบการณ์ ต่างๆที่ได้จดจำไว้ในสมองและจิตใจ ก็จะเกิดขึ้น ซึ่ง ในทางกลับกัน การระลึกนึกถึง ความรู้ประสบการณ์ ต่างๆนั้น ย่อมจะเกิดขึ้นในขั้นตอนของ การคิด ก่อนที่จะเกิดความเห็น และ การระลึกนึกถึงนั้น ย่อมประกอบไปด้วย การตั้งจิตมั่น หรือความมีสมาธิ อันนี้ต้องอ่านให้ดีอย่าสับสน เพราะธรรมดาของมนุษย์ ตามหลักศาสนาพุทธ(พระสมณะโคดม) นั้นเกิดมีคำว่า ความเห็น มนุษย์จะเกิดมีความเห็นได้ ก็ต้องมีความคิด และต้องมีความรู้ประสบการณ์ต่างๆ ต้องมีสมาธิในการคิดในการระลึกนึกถึงความรู้ประสบการณ์นั้น แล้วปรุงแต่ง คิด จนกลายเป็นความคิด ยกตัวอย่างเช่น
เมื่อเราได้ประสบได้เห็น ได้ใกล้ชิดที่ที่เขาเล่นการพนันกัน เราย่อมเกิดความคิด ขึ้นมาก่อน อาจจะคิดว่าเล่นพนันได้เงินดี หรืออาจจะคิดว่าเล่นการพนันไม่ดีทำให้เสียทรัพย์ผิดกฎหมาย จากนั้นก็จะเกิดการปรุงแต่งเป็นการระลึกนึกถึงความรู้ประสบการณ์ต่างๆเช่น เล่นการพนันอาจถูกจับ อาจเสียเงิน เมีย ,พ่อ,แม่อาจไม่ชอบ ฯลฯ ความเห็นก็เกิดขึ้น คือ ไม่เล่น หนีให้ไกล อย่างนี้เป็นต้น นี้เป็นอรรถาธิบายอย่างง่ายๆ เพียงตัวอย่างหนึ่ง ซึ่งในทางที่เป็นจริงแล้ว หรือในทางที่เป็นธรรมชาติแล้ว ไม่ต้องสนใจว่ามันจะเป็นความเห็นหรือไม่ใช่ความเห็นก็ได้ ในที่นี้จะไม่กล่าวถึง
จบตอนที่ 3
ตอนที่ 4...........
ต่อจาก การระลึกนึกถึง อันมี จิตตั้งมั่น หรือสมาธิ เป็นปัจจัยประกอบแล้ว ในการปฏิสัมพันธ์ หรือการสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน ย่อมต้องมีการเจรจา หรือมีการติดต่อสื่อสาร ซึ่ง ก็ย่อมเป็นสาเหตุ เป็นปัจจัยประกอบอย่างหนึ่งอันทำให้เกิดการกระทำ หรือการทำการ หรือการงาน ซึ่งย่อมเกี่ยวโยงสัมพันธ์ไปถึง การประกอบอาชีพ และก็ต้องเกี่ยวข้องกับสภาพสภาวะจิตใจที่เรียกว่า ความเพียร หรือความพยายาม หรือความขยันขันแข็ง บวกด้วยความอดทนที่จะทำการหรือประกอบอาชีพ ฯลฯ เพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมาย อย่างนี้เป็นต้น
ข้าพเจ้าเคยบอกไว้ว่า ข้าพเจ้าจะสอนตามหลักพุทธศาสนา(พระสมณะโคดม) ให้สามารถบรรลุโสดาบันได้ ดังนั้นท่านทั้งหลายต้องพิจารณาให้ดีตามที่ได้เขียนไปข้างต้น และต้องพิจารณาถึงหลักธรรมชาติของมนุษย์ด้วยว่า ในโลกนี้ ในสังคมนี้ ไม่ได้มีแต่ตัวเรา ยังมีบุคคลอื่น และผู้ศรัทธาในศาสนาอื่นๆอยู่อีกมาก มากกว่าผู้นับถือพุทธศาสนา(พระสมณะโคดม)เป็นหลายเท่า
เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าจึงได้เขียนธรรมชาติตามแนวทางพุทธศาสนา(พระสมณะโคดม) โดยตัดคำว่าชอบออก ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้คำนึงได้คิดพิจารณาว่า ทุกคนล้วนมีหลักธรรมชาติอย่างนั้น ไม่มีคำว่า ชอบ ต่อท้าย คือเป็นกลาง คือ ทุกคนเมื่อได้ประสบหรือสัมผัสกับเหตุการณ์หรือสิ่งใดใดแล้ว ย่อมต้องเกิดความคิด อาจจะคิดในทางที่ดีก็ได้, อาจจะคิดในทางที่ไม่ดีก็ได้ ,ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะตัวเรา แต่หมายถึงทุกคน ย่อมมีธรรมชาติเป็นอย่างนั้นเหตุเพราะการได้รับการขัดเกลาทางสังคม วัฒนธรรม จารีตประเพณี กรรมพันธุ์ และอื่นๆ (นี้เป็นการยกตัวอย่างเพียงเรื่องเดียว เรื่องอื่นๆหรือข้ออื่นๆในมรรคทั้ง 8 ข้อก็ทำนองเดียวกัน)
เมื่อทุกคนรู้แล้วเข้าใจแล้วว่า มนุษย์ ทั้งหลายที่ทุกท่านได้ปฏิสัมพันธ์ หรือได้มีการสังคมเป็นอยู่ร่วมกันนั้น ย่อมมีอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น คือล้วนย่อมมีความคิด, ย่อมมีความเห็น, ย่อมมีการระลึกนึกถึง, ย่อมมีการตั้งจิตมั่น (สมาธิ)
ย่อมมีการเจรจา, ย่อมมีการกระทำการ หรือการงาน,ย่อมมีการประกอบอาชีพ,และล้วนย่อมมีความเพียร เป็นธรรมชาติ และสิ่งที่ได้กล่าวไปล้วนเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดความทุกข์ คือก่อให้เกิดสภาพที่ทนอยู่ได้ยาก ลำบากกายใจ หรือความรู้สึกไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ไม่ว่าจะเป็นตนเองและผู้อื่น กล่าวคือ ความทุกข์ หรือสภาพที่ทนอยู่ได้ยาก หรือความลำบากกายใจ หรือความไม่สบายใจและกายนั้น อาจเกิดจากการกระทำของตัวเราเอง และอาจเกิดจากการกระทำของผู้อื่น อันเราได้ปฏิสัมพันธ์ด้วย
อีกทั้งยังก่อให้เกิดหรือเป็นปัจจัยทำให้เกิด เหตุให้เกิดทุกข์ หรือสมุทัย ได้แก่ ตัณหา คือความทะยานอยาก เช่น อยากได้นั่นได้นี่ อยากเป็นโน่นเป็นนี่ อยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่ (ข้อ ๒ ในอริยสัจ ๔) ดู ตัณหา
ความทะยานอยาก, ความดิ้นรน, ความปรารถนา, ความเสน่หา มี ๓ คือ ๑.กามตัณหา ความทะยานอยากในกาม อยากได้อารมณ์อันน่ารักใคร่ ๒.ภวตัณหา ความทะยากอยากในภพ อยากเป็นนั่นเป็นนี่ ๓.วิภวตัณหา ความทะยานอยากในวิภพ อยากไม่เป็นนั่นไม่เป็นนี่ อยากพรากพ้นดับสูญไปเสีย
เพราะสมุทัยหรือเหตุให้เกิดทุกข์นั้น ล้วนต้องเกิดจากความคิด,ล้วนต้องเกิดจากความเห็น,ล้วนต้องเกิดจากการระลึก,เกิดจากความตั้งจิตมั่น(สมาธิ),เกิดจากการเจรจา,เกิดจากการทำการหรือการงาน,เกิดจากการประกอบอาชีพ ,และเกิดจากความเพียร อย่างนี้เป็นต้น
เช่นเดียวกัน ในทางที่เป็นเหตุแห่งความดับทุกข์หรือ นิโรธ อันมีความหมายว่า ความดับทุกข์ คือดับตัณหาได้สิ้นเชิง, ภาวะปลอดทุกข์เพราะไม่มีทุกข์ที่จะเกิดขึ้นได้ เหตุแห่งความดับทุกข์ ดับตัณหา ได้นั้น ก็ต้องล้วนมาจาก หรือเกิดจาก ความคิด, ความเห็น ,ระลึก,ตั้งจิตมั่น,เจรจา,การงานหรือการทำการ,อาชีพ,และความเพียร สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยทำให้รู้ให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ นับตั้งแต่ระดับปุถุชนไปจนถึงระดับอริยะบุคคล
แต่ในทางศาสนาพุทธ(พระสมณะโคดม) ได้กำหนดให้ มรรค หรือหนทาที่ให้ถึงความดับทุกข์ คือ ดำริชอบหรือความคิดชอบ , สัมมาทิฎฐิหรือความเห็นชอบ, สัมมาสติหรือระลึกชอบ, สัมมาสมาธิหรือตั้งจิตมั่นชอบ, สัมมาวาจาหรือเจรจาชอบ, สัมมากัมมันตะ หรือการงานชอบ หรือการทำการชอบ, สัมมาอาชีวะหรือการประกอบอาชีพชอบ,และสัมมาวายามะ หรือ ความเพียรชอบ ก็เพราะ หากทุกคนประพฤติตามมรรคทั้ง 8 ข้อเหมือนกันหมดทุกคนทุกชาติ ทุกศาสนาแล้ว สังคมจึงจะสงบสุข ความทุกข์ ก็จะไม่เกิด ขึ้นในสังคมนั้นๆ ความทุกข์ในตัวบุคคลก็จะสามารถขจัดได้ในระดับหนึ่ง
แต่ในทางที่เป็นจริงนั้น ในแต่ละสังคมล้วนย่อมมีผู้สนใจใฝ่ในทางธรรมน้อยบ้าง มากบ้าง ตามแต่สภาพสภาวะการได้รับการขัดเกลาทางสังคมมาดังนั้น หากผู้ศรัทธาในศาสนาพุทธ(สมณะโคดม) ต้องการบรรลุโสดาบัน ตามหลักการที่มีอยู่ ก็ต้องคิดพิจารณา ไปตามแนวทางที่ข้าพเจ้าได้เขียนไปทั้งหมด แต่จะสามารถขจัดอาสวะแห่งกิเลส ได้มากน้อยแค่ไหนนั้นข้าพเจ้าไม่อาจบอกได้ ขึ้นอยู่กับสมองสติปัญญา ความรู้ ความเข้าใจ ของแต่ละบุคคล และที่ได้อรรถาธิบายไปข้างต้นนั้น ก็
เพียงสนองศรัทธา ความเชื่อของผู้ศรัทธาในศาสนาพุทธ(สมณะโคดม) ว่า ถ้าท่านทั้งหลาย ได้ทำความเข้าใจ และฝึกปฏิบัติตามหลัก และวิธีการที่ข้าพเจ้าได้อรรถาธิบายไปทั้งหมด ย่อมต้องบรรลุโสดาบันได้อย่างแน่นอน
จบบริบูรณ์ |
|
|
|