Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 มรณุปฺปตฺติจตุกฺก (อาจารย์บุญมี เมธางกูร) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
kerpam
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 01 ก.พ. 2008
ตอบ: 14

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.พ.2008, 1:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

มรณุปฺปตฺติจตุกฺก
โดย อาจารย์บุญมี เมธางกูร


ในพระพุทธศาสนาจะได้แสดงถึงกาลมรณะ อันหมายถึงคราวที่จะต้องตาย และอกาลมรณะ ได้แก่ตายลงไปโดยที่ยังไม่ถึงเวลาก็จริง ก็มิได้กล่าวไว้เฉยๆหากแต่ได้ให้เหตุผลข้อเท็จจริงไว้พร้อมบริบูรณ์

ซึ่งจำเป็นต้องศึกษาเรื่อง มรณุปฺปตฺติจตุกฺกจึงจะเข้าใจได้
มรณุปฺปตฺติจตุกฺก แยกออกแล้วได้ ๓ บท คือ
มรณ + อุปฺปตฺติ+ จตุก
มรณ = ความตาย
อุปฺปตฺติ = ความเกิดขึ้น
จตุกฺก = มี ๔
แปลว่า การเกิดขึ้นของความตายมี ๔ อย่าง
เหตุที่จะให้ความตายเกิดขึ้น ๔ อย่าง นั้น ก็คือ..
๑. อายุกฺขยมรณ เพราะสิ้นอายุ
๒. กมฺมกฺขยมรณ เพราะสิ้นกรรม
๓. อุภยกฺขยมรณ เพราะสิ้นอายุ และ สิ้นกรรม
๔. อุปจฺเฉทกมรณ เพราะประสบอุบัติเหตุทั้งๆที่กรรมยังไม่สิ้น

ถ้าจะเปรียบเทียบการตายของสัตว์ทั้งหลายแล้ว ก็เหมือนกับโคมไฟ ที่ได้จุดไว้ตามบ้านเรือน

โคมไฟดังกล่าวนี้ย่อมจะต้องดับลงได้ด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ เพราะหมดไส้ไฟจึงดับอย่างหนึ่ง , เพราะหมดน้ำมันไฟก็ย่อมจะดับอย่างหนึ่ง , เพราะหมดทั้งไส้ทั้งน้ำมันทั้งสองอย่างไฟจึงดับอย่างหนึ่ง และเพราะโดนลมพัดหรืออะไรทับ ไฟจึงดับอีกอย่างหนึ่ง รวมเป็น ๔ ประการด้วยกัน

๑. อายุกฺขยมรณ
“อายูโนขยํ = อายุกฺขยํ” = ความสิ้นแห่งอายุขัย ชื่อว่า อายุกฺขย
“อายกฺขเยน มรณํ = อายุกฺขยมรณํ” ความตายเพราะสิ้นอายุขัย..ชื่อว่าอายุกฺขยมรณะ

ตามธรรมดาสัตว์ทั้งหลายย่อมจะต้องมีอายุขัยของตน.. ไม่ว่าจะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน.. เปรต ....อสูรกาย... มนุษย์.. หรือเทวดาก็ตาม...
เช่น สัตว์เดรัจฉาน มีนก หนู สุนัข แมว ช้าง ม้า ปลาวาฬ เป็นต้น ย่อมจะมีขอบเขตสูงสุดของอายุ แม้จะมีบางพวกอายุมากก็จะเกินขัยสูงสุดไปไม่มากนัก

นก สุนัข แมว ก็จะมีอายุประมาณ ๑๐ ถึง ๑๕ ปี
เต่ามีอายุประมาณ ๑๐๐ ถึง ๒๐๐ ปี เป็นต้น
สำหรับมนุษย์นั้น เมื่อ ๒๕๐๐ ปีเศษมาแล้ว มีขัยอายุสูงสุด ๑๐๐ หรือ ๑๐๐ ปีเป็นอายุขัย แต่ในปัจจุบันนี้ ขัยอายุของมนุษย์ลดลงเหลือเพียง ๗๕ ปีเท่านั้นเอง

อายุของมนุษย์จะสั้นหรือยาวก็ตาม.. ย่อมจะต้องอาศัยอำนาจของกรรมที่ได้ทำมาตั้งแต่ในอดีตเป็นส่วนสำคัญ

ด้วยเหตุดังนี้ ผู้ที่มีอายุยืนหรืออายุน้อย จึงเกิดขึ้นมาจากสาเหตุ และเหตุนั้นก็คือ การมีศีล เว้นจากการฆ่าสัตว์ หรือเว้นจากการเบียดเบียนในชีวิตผู้อื่น และการทำบุญให้ทานเจือจานให้ชีวิตของผู้อื่นได้ยืนยาวออกไป หรือช่วยให้ผู้อื่นรอดจากความตาย.. เช่นการรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยความมีน้ำใจ ทำให้อายุยืนยาว

และการที่ได้เบียดเบียนชีวิตซึ่งกันและกันที่เกิดขึ้นในอดีตชาติ ทำให้อายุถดถอยสั้นลง มีคนหลายคนบ่นว่า ญาติมิตรของเขาไม่ได้ทำบาปอะไรมาเลย ไม่ได้เบียดเบียนไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาก่อน แต่เหตุไฉนจึงได้ป่วยเจ็บออดแอด และถึงแก่ความตายในเมื่ออายุยังไม่สมควร

ผู้ที่เข้าใจดังนี้ก็มีมากเหมือนกัน แต่ความคิดเห็นดังนี้ไม่เป็นการถูกต้องตามสภาวธรรม.. เพราะกรรมปัจจุบันในชาตินี้ เป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม เป็นชวนะดวงที่ ๑ มีกำลังอ่อน ย่อมจะให้ผลได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
กรรมที่ทำในอดีตชาติต่างหากที่เข้ามาให้ผลและไม่จำเป็นด้วยว่าต้องเป็นชาติที่แล้วมาเท่านั้น อาจเป็นชาติในๆเข้าไปก็ได้

การให้ผลของกรรมนั้น มีความละเอียดลออทั้งซับซ้อนมากอยู่
ดังนั้นจึงได้เป็นเหตุให้ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนพระอภิธรรมมาให้พอเข้าใจ คิดไปว่าผลของกรรมในชาตินี้ให้ผลได้มากจริงๆ แล้วก็ยกตัวอย่างที่เป็นจริงที่มองเห็นผู้ประพฤติปฏิบัติความชั่วร้ายในปัจจุบัน แล้วก็ได้รับผลในปัจจุบันขึ้นมาอ้าง

เช่น ผู้ร้ายจี้หรือปล้นต้องได้รับโทษถูกจับกุมคุมขัง แต่ผู้ที่มิได้ถูกจับกุมคุมขังก็มี แต่มิได้คิด ผู้คดโกงมามากแล้วก็ล่มจม....... แต่ผู้ร่ำรวยมากมีความสุขมากก็มิได้เอ่ยถึง ผู้ฆ่าสัตว์มามากต้องอาวุธสิ้นชีวิต โดยมิได้คิดถึงผู้ที่ทำลงไปแล้วแต่ไม่มีผลอะไรเลยก็มีอยู่ โดยทอดทิ้งกุศลกรรมอันเป็นตัวการสำคัญที่เขาได้ทำมาในอดีตเสียสิ้น

ความจริงอำนาจของกรรมของบุคคลผู้ซึ่งเบียดเบียนทำให้ชีวิตของสัตว์ต้องตกล่วงไปในอดีตชาติย่อมจะสนับสนุนให้ผู้นั้นมีชีวิตไม่ยืนยาว

และบุคคลซึ่งมีความเมตตา กรุณา เอื้อเฟื้อเจือจานผู้อื่น หรือช่วยให้ชีวิตของผู้อื่นรอดและปลอดภัยในอดีตชาติย่อมจะมาเป็นกำลังอุดหนุนให้บุคคลนั้นมีอายุยืนยาว.. เรื่องนี้มองเห็นได้ยากจะต้องศึกษาเรื่องของกรรมจากพระอภิธรรมปิฎกจนมีความเข้าใจจึงจะหายสงสัยได้

ด้วยเหตุดังนี้เอง ..ในสมัยใดมนุษย์มีอายุขัยลดน้อยถอยลง ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ในสมัยนั้นได้เคยเบียดเบียนทำชีวิตของสัตว์ทั้งหลายให้ตกล่วงไปเป็นอันมากในอดีตชาติ

คำว่า”อายุ” ในที่นี้มุ่งหมายเอาอายุขัย ซึ่งเป็นการกำหนดขอบเขตของชีวิต
ในสมัยพุทธกาลเมื่อ ๒๕๐๐ ปีเศษมาแล้ว มนุษย์มีอายุขัย ๑๐๐ ปีพอดี แต่เพราะเหตุที่มนุษย์เบียดเบียนกันมากขึ้น รบราฆ่าฟันกันตายมาก ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตกันได้อย่างง่ายดาย

ฉะนั้น เมื่อพ่อแม่ผู้เป็นสถานที่ก่อกำเนิดชีวิตหรือบุคคลในโลก ได้กระทำการเบียดเบียนผู้อื่นเป็นอันมาก และผู้มาเกิดนั้นชีวิตก็จะไม่มีความยืนยาวอย่างแน่นอน

ผู้ที่เบียดเบียนผู้อื่นน้อย ผู้ที่มีศีลมาแต่อดีตมาก ควรจะมีอายุเกินกว่า ๑๐๐ ปีจึงมาเกิดในสมัยนี้ได้ยาก

มนุษย์ในสมัยนี้มีความเฉลียวฉลาด มีความรอบรู้สารพัด รู้จักในเรื่องของโภชนาการว่าบริโภคอะไรบ้างจึงจะดี บริโภคอย่างไรจึงจะเป็นคุณค่าแก่ร่างกายได้มากที่สุด อาหารอะไรบ้างมีวิตามิน มีโปรตีนสูง มีเกลือแร่ที่เหมาะสมกับร่างกาย แล้วก็ยังสอนกันต่อไปอีกว่า ควรบริโภคอะไรบ้างในจำนวนน้ำหนักเท่าใด มีแคลอรี่เท่าใดต่อน้ำหนักของร่างกาย

มนุษย์ในสมัยนี้มีความรู้ในวิชาการทางการแพทย์ รู้จักรักษาโรคได้สารพัดอย่าง ..รู้จักผ่าตัดช่วยคนไข้เอาไว้ได้สารพัดวิธี.. เปลี่ยนร่างกายบางส่วนออกไปแล้วใส่เข้าไปใหม่ก็ได้ หยูกยาสำหรับรักษาโรคภัยไข้เจ็บก็ผลิตกันขึ้นมาจนนับจำนวนไม่ถ้วนชนิด ล้วนแต่มีประสิทธิภาพทั้งนั้น แต่อย่างไรก็ดีแม้มนุษย์จะได้เพียรพยายามอย่างยิ่งยวด ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอาไว้ได้มากก็จริง กรรมที่ได้กระทำในปัจจุบันได้มาช่วยสนับสนุนให้อายุยืนยาวบ้างก็ตาม แต่มนุษย์ก็หาได้มีความสามารถทำให้ขัยของอายุของตนเองไม่ลดลงไปได้ไม่ แม้เพียงแต่ให้ทรงอยู่กับที่เท่านั้นก็ทำไม่ได้ เพราะบัดนี้อายุขัยของมนุษย์เหลือเพียง ๗๕ ปีเท่านั้นเอง

ในสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก ผม (อาจารย์บุญมี เมธางกูร) เห็นคนอายุ ๑๐๐ ปีเศษหลายคน บางคนอายุ ๑๐๕ ปียังพายเรือเก่ง ขึ้นต้นไม้สูงๆก็ได้ แต่ในปัจจุบันนี้ ผมมองไม่เห็นคนอายุเกิน ๑๐๐ ปีเลย

นอกจากจะอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ ซึ่งมีจำนวนน้อยเหลือเกิน มนุษย์มีความพากเพียรพยายาม ที่จะหาหนทางต่ออายุของตนให้ยืนยาวออกไปมากๆเหมือนคนโบราณ คือมีอายุถึง ๑๐๐ ปี หรือว่ากว่านั้นขึ้นไปอีก ความพยายามของมนุษย์ก็มีผลอยู่บ้าง (กรรมปัจจุบัน) แต่จะให้ผลสมบูรณ์จริงๆก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะมิใช่แต่เรื่องการปฏิบัติต่อกาย ปฏิบัติต่อจิตใจและดินฟ้าอากาศหรือสิ่งแวดล้อมเท่านั้นที่จะทำให้อายุยืนยาว

หากแต่เป็นเรื่องของกรรมในอดีตร่วมด้วย ในอดีตชาติ ชอบเบียดเบียนชอบฆ่าแล้วเหตุไฉนอายุจะยืนยาว

ในสมัยพุทธกาลขัยอายุของมนุษย์ ๑๐๐ ปี เมื่อมนุษย์รบราฆ่าฟันเบียดเบียนกันอยู่เรื่อยๆ อายุก็ลดลงไป ๑ ปี ต่อ ๑๐๐ ปี

ดังนั้นเวลานี้เป็นปีพ.ศ. ๒๕๐๐ การเบียดเบียนกันก็หนักยิ่งขึ้น อายุจึงได้ลดลงไป ๒๕ ปี คงเหลือ ๗๕ ปีเท่านั้นเป็นอายุขัย ถ้าไม่หยุดการเบียดเบียนกันต่อไป อายุของมนุษย์ก็จะลดลงต่อไปอีก

แม้เราจะเห็นคนอายุเกิน ๗๕ ปี เกินอายุขัยไปก็จริง เราก็เห็นได้ไม่มากนัก ยิ่งคนอายุ ๙๐ปี เศษด้วยแล้วก็ยิ่งจะหาได้ยากขึ้นไปอีก เพราะผู้มีจิตใจชอบเบียดเบียนกันมาเกิดแล้วจะมีอายุขัยเกิน ๗๕ ปีไปมากๆได้อย่างไร ในอดีตชาติมีแต่ความปรารถนาที่จะให้สัตว์ตาย ให้สัตว์เจ็บปวด ให้สัตว์อายุสั้นตายก่อนเวลาอันสมควร ความปรารถนาเหล่านี้ก็จะเก็บประทับเอาไว้ภายในจิตใจ เมื่อมาเกิดใหม่ในชาตินี้ แล้วจะไม่ให้ตายเร็วไม่ให้เจ็บปวดมาก ไม่ให้อายุสั้นจะได้หรือ ปรารถนาอะไรก็จะได้อย่างนั้น ขอให้กำลังของความปรารถนา คือ ทำการเบียดเบียนสัตว์มากๆ และขอให้เวลายาวนานพอสมควรเท่านั้น ผลก็จะปรากฏขึ้นได้อย่างแน่นอน

อายุกขยมรณะ ก็หมายถึง ..ผู้ที่มีอายุมากพอสมควรแล้ว ร่างกายแก่ชราเต็มที่ไม่สามารถที่จะทรงอยู่ได้อีกต่อไป ความตายจึงได้บังเกิดขึ้น จึงได้เรียกว่า อายุกขยมรณะ แปลว่า ความตายเกิดขึ้นเพราะสิ้นอายุ

และบุคคลผู้ตายโดยอายุกขยมรณะนี้.. เป็นผู้ที่ได้เบียดเบียนสัตว์ ทำลายชีวิตสัตว์มาไม่มากนักในอดีตชาติ

บุคคลผู้ตายดังกล่าวนี้ ....เรียกว่าถึงคราวตายแล้ว ความตายได้บังเกิดขึ้นมาเพราะร่างกายแก่เฒ่าทรุดโทรมจนอยู่ไม่ได้อีกต่อไป เป็นกาลมรณะถึงคราวถึงที่แล้วที่จะต้องตาย เปรียบเหมือนดวงประทีบโคมไฟที่น้ำมันก็ยังอยู่ แต่ไส้หมดไปเสียแล้ว

กมฺมกฺขยมรณ

กมฺมกฺขยมรณ มีแสดงวจนัตถะว่า
“กมฺมสฺ ขโย = กมฺมกฺขโย”
ความสิ้นสุดแห่งกรรม ชื่อว่า กัมมักขยะ
“กมฺมกฺขเยน มรณํ = กมฺมกฺขยมรณํ ”
ความตายเพราะสิ้นสุดแห่กรรม ..ชื่อว่ากัมมักขยมรณะ
การตายเพราะความสิ้นสุดแห่งกรรม.. ชื่อว่า กัมมักขยมรณะ

บางคนเกิดขึ้นมาแล้วมีอายุน้อยเหลือเกิน.... เพราะเกิดมาได้เพียงวันเดียว หรือ ๕ ปี ๑๐ปีเท่านั้นก็ตายแล้ว

แต่บางคนอายุยิ่งน้อยไปอีกเพราะตายเสียก่อนที่จะได้เห็นเดือนเห็นตะวัน
ในเรื่องของกรรมนั้นมีอำนาจหลายอย่าง กรรมบางอย่างทำให้รูปผันแปรเปลี่ยนแปลงเป็นรูปใหม่ไปก็ได้

ในทางธรรมะตั้งชื่อให้ว่ากรรมชรูป กรรมบางอย่างมีอำนาจช่วยอุดหนุนหรือส่งเสริมให้เกิดการปฏิสนธิในภพใหม่ชาติใหม่ ในทางธรรมะตั้งชื่อให้ว่าชนกกรรม กรรมบางอย่างมีหน้าที่ช่วยสนับสนุนรูปนามที่เกิดจากชนกกรรมให้ตั้งอยู่ในภพนั้นๆได้ เรียกชื่อว่า อุปถัมภกกรรม และกรรมบางอย่างเข้าไปตัดรอนวิบากและกรรมชรูปที่เกิดจากชนกกรรม คือทำให้ชีวิตต้องดับสูญสิ้นลง ในทางธรรมะมีชื่อว่า อุปฆาตกรรม

กรรมทุกๆอย่างล้วนมีอำนาจทั้งนั้น มีความสามารถที่จะให้บังเกิดผลได้เสมอ ถ้ามันมีกำลังเพียงพอ

แต่ที่มันยังไม่ได้แสดงผลขึ้นมาก็เพราะกรรมอื่นที่มีกำลังมากกว่ากำลังให้ผลอยู่ ยังไม่ได้เปิดช่องโอกาสให้เท่านั้นเอง จึงสงบอยู่

ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายก็คือ... เมื่อมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นเป็นการใหญ่ จิตใจก็ย่อมจะตั้งมั่นไม่ได้ เพราะเรื่องที่ทะเลาะกันเหล่านั้นมีกำลังมาก เรื่องนั้นๆจึงได้มากระทบจิตใจทำให้เกิดความครุ่นคิดเคียดแค้น หรือเศร้าหมอง ปิดบังขวางกั้นอารมณ์ทั้งหลายให้หมดโอกาส หรือมีโอกาสน้อยที่จะเกิดได้ และเกิดได้นานๆ

แม้จะมีเรื่องเร้าร้อนอยู่ภายในจิตใจมากมายก็ตาม แต่ถ้ามีอารมณ์ที่แรงๆเข้ามากระทบ เรื่องเร่าร้อนเหล่านั้นก็จะสะดุดหยุดลงชั่วคราว

เช่นเมื่อมีคนมาคุยถึงเรื่องที่มีความสนใจ หรือมีคนมาพูดตลกคะนองทำให้เกิดความขบขัน หรือว่าเกิดถูกล๊อตเตอรี่รางวัลใหญ่ขึ้นมา อำนาจของอารมณ์ที่แรงกว่าเข้ามากระทบ จึงทำให้ความเร่าร้อนคนุ่นเคืองที่คุกรุนอยู่ในใจระงัยลงได้ชั่วครู่ชั่วยาม

ทั้งนี้ย่อมเป็นการแสดงว่า อำนาจของอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นมา ซึ่งก็คือ “กรรม” นั่นเอง ต้องต่อสู้กันเองอยู่เสมอ ถ้าใครมีอำนาจมากก็มีความสามารถยึดครองเอาไว้ได้นาน ถ้าอำนาจลดลง ก็ถูกกรรมอันอื่นที่เหนือกว่าเข้ามาตัดรอนแล้วแสดง

ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็เหมือนกัน
เมื่อชนกกรรมนำเกิดขึ้นมาในภพชาติแล้ว จะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉานก็ตาม ชนกกรรมนำให้เกิดก็หมดหน้าที่ลง รูปนามที่เกิดขึ้นมาแล้วนี้ก็จะได้รับการอุดหนุนบำรุงต่อไปให้รูปนามชนกกรรมนำให้เกิด ยังคงอยู่ได้ในภพนั้นๆต่อไป กรรมดังกล่าวนี้เรียกว่า อุปถัมภกกรรม

และถ้าอุปถัมภกกรรมอันเป็นกรรมที่ได้ทำมาแล้วในอดีตหมดอำนาจลง ไม่สามารถที่จะอุปถัมภ์ค้ำจุนได้อีกต่อไปแล้ว บุคคลนั้นก็จะถึงซึ่งความตาย การสิ้นสุดของกรรมที่ปกปักรักษานี้แหละเรียกว่า กัมมักขยะ

คือตายลงไปเพราะสิ้นกรรมที่จะอุปถัมภ์ค้ำชู อาจจะมีอายุอยู่ไม่กี่นาที ไม่กี่วันหรืออาจจะมีอายุมากก็ได้
ความตายดังกล่าวนี้
เปรียบเหมือนดวงประทีบที่ต้องดับลงไปเพราะหมดกรรม

อุภยกฺขยมรณ
อุภยกฺขยมรณ มีวจนัตถะแสดงว่า...
“อุภเยสํ ขโย = อุภยกฺขโย”
ความสิ้นสุดแห่งอายุและกรรมทั้ง ๒ ชื่อว่าอุภยักขยะ
“ อุภยกฺขเยน มรณํ = อุภยกฺขยมรณํ.”
การตายเพราะสิ้นสุดแห่งอายุและกรรมทั้ง ๒ ชื่อว่า อุภยักขยมรณะ

อุภยักขยมรณะ หมายถึงผู้ตายมีอายุยืนยาวไปถึงอายุขัย คือ ๗๕ ปี หรือกว่า ซึ่งเราเรียกว่า แก่มากแล้ว

และพร้อมๆกันนี้เองกุศลชนกกรรมหรืออกุศลชนกกรรมที่นำเกิด ก็พอดีหมดความสามารถลงด้วย

อุปถัมภกรรมที่จะรักษาให้ชีวิตยังคงยืนยาวต่อไปอีกหมดอำนาจลงแล้วคืออายุก็แก่มากแล้ว กรรมที่จะปกปักรักษาก็หมดลงด้วย เหมือนกับประทีปโคมไฟที่ดับลงไปเพราะหมดทั้งไส้และหมดทั้งน้ำมันเป็นการหมดลงทั้งสองอย่าง

อุปจฺเฉทกมรณ

อุปจฺเฉทกมรณ มีวจนัตถะแสดงว่า... “อุปจฺฉินทตีติ = อุปจฺเฉทกํ”
กรรมอันใดย่อมเข้าไปตัดวิบากและกรรมชรูปที่เกิดมาจากชนกกรรม ฉะนั้นกรรมนั้นชื่อว่า อุปเฉทกะ ได้แก่ อกุศลกรรม ๑๒ ประเภท มหากุศล ๘ ประเภท และอรหัตตมรรคกรรม ๑ ประเภท

“อุปจฺเฉทกมมุนา มรณํ = อุปจฺเฉทกมรณํ ความตายเพราะกรรมเข้าไปตัดวิบากและกรรมชรูป ชื่อว่า อุปัจเฉทกมรณะ

ความตายในประเภทอุปัจเฉทกมรณะนี้เป็นการตายโดยมีอำนาจของกรรมที่มีกำลังมากได้มาตัดรอน จะเป็นกุศลหรืออกุศลเข้ามาตัดรอนก็ได้

ความตายชนิดนี้ อายุก็ยังไม่มากถึงอายุขัย และอำนาจของกรรมที่ปกปักรักษาก็ยังมิได้หมดไป คือทั้งอายุและทั้งกรรมก็มิได้มาทำให้ให้ชีวิตต้องสิ้นสุดลง แต่ด้วยอำนาจของกรรมที่ได้ทำมาแล้วในภพก่อนหรือในภพนี้เข้ามาบั่นรอนให้บุคคลนั้นต้องตายลงไป

ซึ่งเปรียบเหมือนประทีปโคมไฟที่ไส้ก็ยังอยู่ ทั้งน้ำมันก็ยังไม่หมดแต่ถูกลมถูกน้ำ หรือถูกของอะไรทับลงไปไฟจึงได้ดับ ความตายชนิดนี้ ชื่อว่าอุปัจเฉทกมรณะ

ความตายโดย อายุกขยมรณะ สิ้นอายุ , กรรมมักขยะมรณะ สิ้นกรรม , อุภยักขยมรณะ สิ้นอายุ สิ้นทั้งกรรม ทั้งสามอย่างนี้เป็นกาลมรณะ เป็นการตายที่ถึงคราว ถึงเวลา ถึงที่ที่จะต้องตายแล้ว

ส่วนอุปัจเฉทกมรณะ ตายโดยอุบัติเหตุนั้น ชื่อว่าอกาลมรณะ เป็นการตายที่ยังไม่ถึงคราว ไม่ถึงเวลา ยังไม่ถึงที่ แต่เหตุไฉนเล่า คนเราจึงได้ตายลงไปในเมื่อยังไม่ถึงคราวถึงเวลาที่จะต้องตาย

ทั้งๆที่อายุขัยก็ยังไม่สิ้นลงไป อำนาจของชนกกรรมก็ยังไม่หมด ความตายที่เกิดขึ้นนี้ก็เนื่องมาแต่อำนาจของกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมมที่ได้ทำมาแล้วในภพก่อนหรือในภพนี้ แต่มีกำลังมากเข้ามาตัดรอนให้ผู้นั้นต้องตายลง ..
ความตายดังกล่าวนี้..เป็นการตายที่ยังไม่ถึงคราว.. ไม่ถึงเวลา... และมีเหตุอันเป็นปัจจุบันเป็นเรื่องสำคัญ

ความตายดังกล่าว จึงเว้นจากอดีตกรรม มาเป็นผู้อุดหนุนเสียหาได้ไม่และจะทอดทิ้งกรรมในปัจจุบันเสียก็มิได้เหมือนกัน


ดังพระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ในสังยุตตพระบาลีว่า..
“อิธ มหาราชา โย ปุพฺเพ ปเร ชิฆจฺฉาย มาเรติ โส พหูนิ วสฺสสตส
หสฺสานิ ชิฆจฺฉาย ปิฬิโต ฉาโต ฯลฯ ชิฆจฺฉาเยว มรติ ทหโรปิ มชฺฌิโมปิ มหลฺลโกปิ”

“ดูกรมหาราชา ในโลกนี้ ผู้ใดทำให้คนอื่นตายลงด้วยการอดข้าว ผู้นั้นแม้ยังอยู่ในวัยเด็กก็ตาม วัยหนุ่มสาวก็ตาม วัยแก่ก็ตาม ย่อมได้รับการเบียดเบียนด้วยการอดข้าว แล้วตายลงด้วยการหิวข้าวนั่นเอง เป็นดังนี้ตลอดแสนชาติ”
และผู้ที่ทำให้คนอื่นตายลงด้วยการอดน้ำ ให้งูกัด วางยาพิษ เอาไฟเผา ถ่วงน้ำ ฆ่าโดยใช้อาวุธ.. เหล่านี้เป็นต้น ผู้นั้นก็ย่อมตายลงด้วยการอดน้ำ ให้งูกัด วางยาพิษ เอาไฟเผา ถ่วงน้ำ ฆ่าโดยใช้อาวุธเช่นเดียวกัน

และย่อมแสดงให้เห็นว่า อกาลมรณะเหล่านี้ จะเว้นเสียจากอดีตกรรมไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ท่านอาจารย์ทั้งหลายที่ทรงคุณวุฒิ จึงลงความเห็นว่า ความตายที่เป็น อกาลมรณะเหล่านี้ เป็นความตายเพราะอุปัจเฉทกรรม

เพราะเหตุแห่งกรรมที่ได้กระทำมาแล้วแต่ในอดีต มีความสามารถเข้ามาทำให้บังเกิดผลได้มากมาย

ดังนี้เราจึงต้องหมั่นทำกรรมในปัจจุบันเอาไว้ให้ดีที่สุด เพราะถ้ากรรมไม่ดีเข้ามาให้ผลมากอยู่แล้ว กระทำกรรมที่ไม่ดีลงในปัจจุบันลงไปอีก ก็มีโอกาสที่จะถึงแก่ชีวิตได้โดยง่าย และเป็นอุปัจเฉทกรรม

บางท่านโหราศาสตร์ทำนายทายทักว่า ในขณะนี้เคราะห์ร้ายมากเหลือเกิน ชีวิตเหมือนเกลียวเส้นด้าย เวลานี้ยังอยู่อีกเส้นเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ขาด ถ้าโหราศาสตร์ทำนายทายทักถูกต้องก็หมายความว่า อกุศลกรรมที่ได้เคยทำมากำลังให้ผลมากอยู่ สมมุติว่าให้ผล ๙๐ ส่วนใน ๑๐๐ ส่วน

ถ้าท่านผู้นี้ตกอยู่ในความประมาท ประพฤติตนในทางเสียหาย เช่นชอบเสพสุรายาเมาอยู่เสมอ ชอบเล่นการพนันหามรุ่งหามค่ำ ชอบเที่ยวกลางคืนจนเป็นเหตุให้สุขภาพกายและจิตใจเสียหาย

หรือเป็นคนมีแต่ความประมาท ขึ้นรถลงเรือก็มิได้ระแวดระวัง ทั้งป่วยเจ็บก็มิได้รักษา ไม่ไปหาหมอหรือไม่กินหยูกกินยา อ้างว่าถึงที่แล้วก็ต้องตายเอง หรืออ้างว่าแล้วแต่บุญแต่กรรม หรือพูดว่ามันเป็นเองก็ต้องหายเอง ดังนี้แล้ว กรรมได้แก่ความประมาทที่ทำอยู่ในปัจจุบันก็ได้โอกาสเข้ามาซ้ำเติมซึ่งไม่ต้องมากอะไรนักเพียงแค่ ๑๐ เท่านั้นก็พอ บุคคลนั้นก็จะถึงแก่ความตาย

และความตายอันนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะอาศัยกรรมในปัจจุบันนั่นเองเป็นตัวเข้าไปตัดรอน แต่ก็มีกรรมในอดีตเข้ามาร่วมเป็นตัวอุดหนุนด้วยมากมายเหลือเกิน

ถ้ากรรมในอดีตที่เคยเบียดเบียนหรือฆ่าผู้อื่นมิได้มี กรรมในปัจจุบันก็ให้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่ได้ และอุปัจเฉทกรรมก็จะไม่เกิดขึ้นมา

ด้วยเหตุนี้เราจึงได้เห็นบุคคลเป็นอันมากที่น่าจะต้องตายแต่กลับรอดมาได้ราวกับปาฏิหาริย์

เมื่อเราไม่ทราบว่าอดีตกรรมของเราในขณะนี้จะเป็นไปในทางดีหรือร้ายเราต้องทำดีเอาไว้เสมอไม่ประมาท

ท่านทั้งหลายก็จะเห็นได้ว่าชีวิตนี้ช่างน่าพิศวงเพียงใด บางคนมีความตายอย่างเหลือเกิน ระแวดระวังชีวิตของตนเองอย่างที่สุด แต่ก็เจอะเอาความตายเข้าโดยง่าย

แต่บางคน เช่นคนแก่เฒ่า หรือเจ็บป่วย ทุกข์ทรมานอยากจะให้มันตายไปเสียเร็วๆก็ไม่เห็นตายสักที .....ทั้งนี้ก็เพราะความตายนั้นขึ้นอยู่กับกรรมทั้งในอดีตและปัจจุบันนั่นเอง

อุปัจเฉทกมรณะนี้ บางคนก็ว่าเป็นการตายเพราะอุบัติเหตุ ...ก็แน่ละอาจจะตายเพราะอุบัติเหตุที่ประชาชนส่วนมากพากันเข้าใจ เช่น ตกรถ หรือรถคว่ำ หรือตกต้นไม้ หรือถูกอาวุธมีคมแต่อุบัติเหตุนี้อาจจะตายอยู่บนบ้านหรืออยู่บนเตียงนอนเฉยๆก็ได้ เพราะเกิดจากความประมาทของตนหรือของผู้อื่นที่เข้ามาซ้ำเติมอีกเล็กน้อยจึงได้ถึงแก่ความตาย

เราย่อมทราบแน่แก่ใจแล้วว่า... สรรพสิ่งสารพัดทั้งปวงไม่ว่าจะมีชีวิตหรือมิได้มีชีวิตก็ตามที่อยู่ในโลกนี้ทั้งสิ้น ย่อมจะต้องมีอันเป็นไปย่อมจะต้องพลัดพรากจากกันอย่างแน่นอน

บางทีเราก็จากเขาและสิ่งต่างๆไปก่อน บางที่เขาหรือสิ่งต่างๆก็จากเราไปก่อน เราจะเศร้าเสียใจกันไปทำไมกับสิ่งที่ใครๆก็บังคับบัญชาไม่ได้ เราจะไปคิดกังวลให้วุ่นวายไปทำไมกับสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอนที่ใครๆก็หลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้การสูญเสียครั้งใหญ่คือความตาย แม้จะครุ่นคิดเสียใจเพียงใดหรือจะทำอย่างไรมันก็ไม่พ้นไปได้

ผู้ไม่มีความประมาทจึงเพียรพยายามเอาความตายของคนทั้งหลายมาเป็นเครื่องระลึก แล้วเตรียมเครื่องเดินทางไกลเอาไว้ให้พร้อมเสียเนิ่นๆ
เพราะหาไม่แล้ว เมื่อถึงเวลาเดินทางซึ่งอาจจะโดยฉับพลันแล้วจะเตรียมตัวไม่ทัน จะเตรียมตัวเตรียมใจอย่างไรก็ดีทั้งนั้น ถ้าเป็นเรื่องของผลบุญ
แต่การเตรียมปัญญาซึ่งได้แก่มีความเห็นอันถูกต้องในเรื่องของชีวิตโดยการศึกษาเล่าเรียนละปฏิบัติในหนทางพ้นทุกข์ ก็จะเป็นการเตรียมตัวที่ประเสริฐ ซึ่งมีน้อยท่านักที่ได้เตรียมเอาไว้อย่างพรักพร้อม

http://www.abhidhamonline.org/Ajan/BM/where.doc
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง