p.somchai
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 22 พ.ย. 2007
ตอบ: 48
ที่อยู่ (จังหวัด): ชลบุรี
|
ตอบเมื่อ:
15 ม.ค. 2008, 7:15 am |
  |
ปัญหาของผู้ไม่เคยฝึกมโนมยิทธิมาก่อน
--------------------------------------------------------------------------------
หลวงพ่อตอบปัญหาการฝึกมโนมยิทธิ
โดยพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี
ฉบับพิเศษ เล่มที่ ๒
เรื่อง.....ปัญหาสำหรับผู้ที่ไม่เคยฝึกมโนมยิทธิมาก่อน
ควรอ่านด้วยความตั้งใจ แล้วท่านจะเข้าใจ และนำไปปฏิบัติได้ ไม่มากก็น้อย อย่างน้อยก็ได้น้อมนำคุณพระศรีรัตนตรัยเข้ามาใส่ตัว
ระลึกเป็น พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ เป็นอารมณ์เพื่อยังความไม่ประมาทในการดำเนินชีวิตที่เกิดมาเป็น "มนุษย์"
หลวงพ่อ
"คำว่า มโนมยิทธิ แปลว่า มีฤทธิ์ทางใจ มโนมยิทธินี่เป็นการเตรียมอภิญญา จะเรียกวิชชาสามตรงๆก็เข้มเกินไป จะเรียกอภิญญา
ก็ยังอ่อนอยู่ เป็นการเตรียมอภิญญา เตรียมเพื่อรับอภิญญาหก
วิชชาสามจริงๆ ไปไม่ได้แต่เห็นได้ นั่งอยู่ตรงนี้ สามารถเห็นเทวดา เห็นพรหม เห็นพระอริยะ สามารถคุยกันได้ นั่งอยู่
ตรงนี้สามารถคุยกับเปรตได้ คุยกับอสุรกายได้ คุยกับพวกสัตว์นรกได้ แต่ก็นั่งอยู่ตรงนี้เอง
ที่นี้สำหรับมโนมยิทธินี่ก็เป็นอภิญญาทางใจส่วนหนึ่ง ต้องถือว่าเป็นกึ่งหนึ่งของอภิญญา เพราะว่าสามารถเอาจิตไป
เอากายในไป ทว่าถ้าเป็นอภิญญาจริงๆ เขายกตัวไปเลย จะไปสวรรค์ไปพรหมเขาเอาตัวไปเลย นั่นต้องใช้กำลังเข้มแข็งกว่า สูงกว่า
แต่ว่ากันโดยผลก็มีผลเสมอกัน เพราะว่าไปเห็นมาเหมือนกัน
ผู้ถาม
หลวงพ่อคะ ถ้าดิฉันต้องการฝึกบ้าง ต้องใช้เวลากี่วันคะ......?....
หลวงพ่อ
ก็สุดแล้วแต่คุณจะทำได้ ถ้าคนทำได้เร็วไม่ถึงวันก็ได้ อันนี้จริงๆนะ ถ้าทำได้เร็วใช้กำลังใจถูกต้อง โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้หญิงนี่จะได้
เร็วมาก เพราะพวกผู้หญิงนี่ไม่ค่อยสงสัย เพราะตัวสงสัยเป็นนิวรณ์ ส่วนใหญ่จริงๆ พวกผู้หญิงนี่มักจะเป็นได้วันแรก นี่พูดถึงส่วน
ใหญ่นะ แต่พลาดมาวันที่ ๒ ที่ ๓ ก็มี ใช้เวลาไม่มากหรอก เราไม่ต้องนับเดือน ไม่ต้องนับปีกัน
ถ้าคุณจะฝึก คุณต้องไปซ้อมกำลังใจเสียก่อน ถ้าซ้อมกำลังใจให้ทรงตัวมาวันแรกก็ได้ มันอยู่ที่ความเข้าใจ คือ ไม่ต้อง
ทำอะไรมาก ทรงอารมณ์ไว้เฉยๆ หายใจเข้านึกว่า นะมะ หายใจออกนึกว่า พะทะ ไม่ต้องทำให้มันเครียดหรอก ให้มันชินเท่านั้นเอง
คำว่า "ชิน" หมายความว่าถ้าให้เราภาวนาอย่างนี้เมื่อไรเราภาวนาได้ ไม่ต้องไปนั่งเครียดทั้งวันทั้งคืน ซ้อมให้ทรงตัวนะ
ผู้ถาม
หลวงพ่อคะ อย่างเรามีความศรัทธา จะฝึกมโนมยิทธิเรามีความจำเป็นไหมคะ ที่เราจะต้องรู้รายละเอียดในความหมายของคำ
ภาวนา นะ มะ พะ ทะ
หลวงพ่อ
ก็ไม่ต้องไปละ อยู่ที่เดิมน่ะ ถ้าฉลาดแบบนั้นไปไหนไม่ได้ เขาให้ภาวนาเพื่อเป็นกำลังของสมาธิเท่านั้น เขาไม่ต้องใช้ปัญญา
ปัญญาเขาใช้ส่วนอื่น ถ้าขืนฉลาดแบบนั้นก็อยู่ที่เดิม
การเจริญพระกรรมฐาน เขาต้องไปตามจุด ต้องเฉพาะกิจ ที่เขาจะสอนให้แจกแจงนั่นต้องปฏิบัติในธาตุ ๔ เขาเรียกว่า
จตุธาตุววัตถาน ๔ แต่อันนี้ไม่ใช่ เขาต้องการภาวนาเพื่อกำลังของจิต เพื่อให้จิตเป็นทิพย์ ชื่อเหมือนกัน แต่ใช้กิจต่างกัน
อย่างกับทัพพีเขาใช้คนหม้อข้าว เป็นทัพพีสำหรับหุงข้าว ถ้าเขาไม่มีช้อน เอามาตักข้าวเข้าปาก นี่มันกลายเป็นช้อนไป
ใช่ไหม......นี่ก็เหมือนกัน ต้องใช้เฉพาะกิจของเขา ถ้าเรื่อยเปื่อยไปก็พัง รับรองได้เลยถ้าเรื่อยเปื่อยไป นอกรีตนอกรอย อีกแสนชาติ
ก็ไม่ได้ ต้องฉลาดพอดี ไม่ใช่ฉลาดเกิดพอดี กิจอันนี้เขาทำเพื่ออะไร
ถ้าเราจะแจงเป็นธาตุ ๔ ก็ไม่ใช่ลักษณะนี้ นั่นต้องหวลเข้าไปหา สุกขวิปัสสโก ไม่ใช่ ฉฬภิญโญ หมวดแต่ละหมวด
ของกรรมฐาน ปฏิบัติไม่เหมือนกัน
ผู้ถาม
หลวงพ่อคะ บางคนเขาภาวนาว่า "พุทโธ" แต่ว่าทำไมเขาไปได้คะ...?...
หลวงพ่อ
ถ้าเขาไปได้แล้วอะไรก็ได้ ให้มันสตาร์ทติดเสียก่อน ถ้าไปได้แล้วจริงๆ ไม่ต้องภาวนา นึกปั๊บมันถึงเลยกำลังเขาพอเข้าใจไหม.......
คือว่าคำภาวนาที่เราใช้กันหนัก เพราะเรายังไม่คล่อง แบบเขียนหนังสือน่ะ อ่านหนังสือวันแรก สองวัน สามวัน เขียน
ตัว ก.ไม่ได้ ถ้าเขียนคล่องแล้ว นึกเมื่อไรเขียนได้เลย ใครเขาพูดก็เขียนได้เลยเหมือนกัน ถ้าคล่องจริงๆ ไม่ต้องภาวนา
พอนึกปั๊บมันถึงทันที
ผู้ถาม
หลวงพ่อคะ บทสตาร์ทนี่ ต้อง " นะ มะ พะ ทะ อย่างเดียวหรือคะ สัมมาอรหัง ได้ไหมคะ "
หลวงพ่อ
เอาแล้ว หาเรื่องตกร่องอีกแล้ว มันมีหลายสิบบท ไม่ใช่บทเดียว แต่ว่าบทนี่เท่านั้น ขณะที่ไปอยู่จึงจะคุยกับคนข้างๆได้ นอกนั้น
เค้าไปเงียบ จบจุดแล้วจึงมาเล่าสู่กันฟัง
ฉันคิดว่า ถ้าไปกันเงียบ ๆ ชาวบ้านเขาจะหาว่าโกหก ฉันจะตัดตัวนี้ คือปัจจุบันเห็นแล้วคุยได้เลย ถามทางโน้นก็บอก
ทางนี้ได้ทันที เขาต้องการอย่างนี้
ฉันยังจำคำแนะนำของหลวงพ่อปานได้ เมื่อก่อนฉันจะบวช ฉันบวชนี่ฉันไม่ได้บวชตามประเพณีกับเขาบวชเพื่อพิสูจน์
พระศาสนา พระศาสนาว่า สวรรค์มีจริง นรกมีจริง ฉันจะไปเที่ยว
หลวงพ่อปานท่านบอกความต้องการของแกน้อยเกินไป ข้าต้องการมากกว่านั้น แต่ว่าแกบวชแล้วแกต้องรับคำสอนอย่าง
คนโง่นะ
"อย่างคนโง่" ก็หมายความว่า ท่านบอกตรงนี้ จุดไหนก็ไป แคนั้นแหล่ะ เดี๋ยวก็ถึง อันนี้ถูกต้อง เพราะท่านรู้จักทาง ท่านก็นำ
ตรง ถ้าเราฉลาดเกินไป ก็เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาอีก
ฉันอยู่กับหลวงพ่อปานเดือนเดียว ฉันได้หมด เพราะฉันยอมโง่ อย่างลูกสาวของฉันนี่มันฉลาดมากเกินไป อย่างนี้เขา
เรียกว่า"ฉลาดหมาไม่กิน" ใช่หรือเปล่า.....
ผู้ถาม
ใช่ค่ะ
หลวงพ่อ
"ถ้าหมากิน เอ็งหมดไปนานแล้ว"
หลวงพ่อพูดให้กำลังใจว่า
หลวงพ่อ
"ค่อยๆทำไปนะ ไม่ต้องใช่เวลาให้มาก ไม่ต้องไปใช้เวลาที่สงัดนั่งเล่นทำอะไรเล่นก็ตาม นึกอะไรได้ก็ภาวนา หายใจเข้า นึก "นะมะ" หายใจออก
นึก "พะทะ" สองสามครั้งก็ได้ ถ้ามันฝืนขึ้นมาก็เลิกกัน ต้องการให้อารมณ์ชินอย่างเดียว เวลาเขาฝึกจะได้ไม่แย่งกัน ให้แยกกันเสียให้ขาด
ยามปกติเราต้องการความสุข เราภาวนา "พุทโธ" ของเราไป แต่บางขณะเช่นเวลานี้ ฉันต้องการ "นะ มะ พะ ทะ" ไม่ยอมให้ "พุทโธ"
มาแย่ง ไม่กี่วันหรอกอย่างมากก็ ๒-๓วัน
ถ้าลองจนชินแล้ว เราต้องการภาวนา "นะ มะ พะ ทะ" ก็ให้อยู่แค่ "นะ มะ พะ ทะ" พุทโธให้แยกไป ถ้าเราต้องการภาวนา "พุทโธ"
ก็ "พุทโธ" ไปตามปกติ อันนี้ก็ใช้ได้
ค่อยๆทำไปนะ อยู่ที่ความเข้าใจตัวเดียว ใครจะคุมหรือไม่คุมไม่สำคัญ ต้องภาวนาถูกต้องตามแบบเขา ไม่งั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่วางแบบ
ไว้ซิ ถ้าภาวนาอย่างไรก็ได้ พระพุทธเจ้าจะวางแบบไว้ทำไม สอนเสียอย่างเดียวก็พอใช่ไหม.....?
"พุทโธ" น่ะ เป็นสายของสุกขวิปัสสโกเขา สายสุกขวิปัสสโกไปไหนไม่ได้ ได้แต่ตัดกิเลส สายเตวิชโชก็มีคำภาวนาตั้งหลายสิบแบบ
แต่ถ้า "นะ มะ พะ ทะ" เป็นการเตรียมเพื่ออภิญญา จึงไปได้กรรมฐานไม่ใช่ว่าทำอย่างเดียว แบบจริงๆ มี๔๐แบบ ถ้าเราจะใช่อะไรก็ใช้แบบที่ถูกต้อง
ไม่งั้นไปไม่ได้
ผู้ถาม
"สมมุติว่าหนูฝึก "พุทโธ" หลวงพ่อจะฉุดหนูไปได้ไหมคะ.....?
หลวงพ่อ
"ได้ ฉุดลงใต้ถุนไป ไม่มีทางจะฉุดได้อย่างไง พระพุทธเจ้าท่านยังไม่ฉุดใคร หลวงพ่อจะไปฉุดเอ็งเข้า ดีไม่ดีเขาจะมาตีเอาตาย โทษหนักเสียด้วย
โทษถึงประหารชีวิต
เรื่องอื่นยังพอทำเนา บรรเทาโทษได้ แต่ว่าเรื่องนี้ประหารชีวิตกันเลยนะ หนอยแน่...ไม่ได้หรอกไอ้หนู ต้องฝึกเองแล้ว
ทำไมภาวนา "นะ มะ พะ ทะ " ไม่ได้.....?
ผู้ถาม
"รู้สึกว่ามันเหนื่อยคะ"
หลวงพ่อ
"แล้วที่ด่าชาวบ้านทำไมทำได้ล่ะ"
ผู้ถาม
"หนูไม่เคยด่าใครคะ ครั้งเดียวไม่เคยค่ะ..."
หลวงพ่อ
"น่ากลัวไปล่อหลายเที่ยว"
ผู้ถาม
( หัวเราะ )
หลวงพ่อ
"ไอ้นี่ต้องคิดซิวา "พุทโธ" เหมือนนั่งอยู่กับบ้าน ถ้าเราจะไปอเมริกา เดินไปมันก็ไม่ไหว ก็ต้องขึ้นเครื่องบินไป แบบ "นะ มะ พะ ทะ"
เขาฝึกเพื่อหาเครื่องบินไป
การฝึกในพระพุทธศาสนา เขามีตั้ง ๔ ประเภท ถ้าแบบใหญ่ จริงๆมี ๔๐ แบบ แบบย่อยอีกนับพัน อย่าง "นะ มะ พะ ทะ"
เป็นส่วนหนึ่งของอภิญญา แต่ก็ยังไม่เข้าถึงอภิญญาจริง ต้องถือว่าเตรียมเพื่ออภิญญา นี่เขาจำกัดนะ
แต่ว่าการปฏิบัติแบบนี้เขามีหลายสิบแบบนะ ถ้าเป็นแบบเก่า คนข้างๆ ถามไม่ได้ ฉันก็ไม่อยากสอนใคร ฝึกแบบนี้ถ้าไปได้
คนข้าง ๆ สามารถถามได้ตลอดเวลา ไปถึงไหน ๆ เล่าได้ตลอดเวลา ถ้านอกจากนี้ไปก็นั่งเงียบอยู่คนเดียว เลิกแล้วกลับมาจึงเล่าสู่กันฟัง
อย่างนี้ฉันว่าของเก่านั้นของดี แต่ว่าพวกที่เขามีความสงสัยก็จะคิดว่าพวกนี้มาโกหก จึงไปหาแบบนี้มา แบบนี้ก็ไม่ได้สร้างเอง
เป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกัน คนข้างๆ สามารถถามได้ เวลานี้ไปถึงไหน แล้วจะบอกได้ตลอดเวลา หาอย่างนี้มา ๒๓ ปี กว่าจะพบตำรา
ไม่ใช่ค้นคว้าเองนะ ทราบอยู่ว่าพระพุทธเจ้าท่านมี
แต่ตำราที่เราจะฝึกเราไม่พบ กว่าจะพบก็สิ้นเวลาบวชไป ๒๓ ปี แต่ว่าวิธีอื่นน่ะทำได้ ถ้าเพื่อส่วนตัวนี่ทำได้ตั้งแต่พรรษาต้น
แต่ว่าเราจะรู้เราก็ต้องรู้คนเดียว เลิกมาแล้วจึงมาเล่าสู่กันฟัง ทีนี้สำหรับคนรับฟังก็จะหาว่าโกหก
อย่างสมมุติว่า พ่อเขาตาย แม่เขาตาย เขาถามว่าพ่อแม่เขาอยู่ที่ไหน ตามผีนี่ตามง่ายกว่าตามคน ต้องการจะพบใครมันพบทันที
ถ้าเราจะเอาให้แน่นอนเมื่อพบแล้วก็ให้เขาแสดงตัว
เวลาที่เป็นมนุษย์รูปร่างเป็นอย่างไร แสดงให้ดูซิ เวลาป่วยยังไง ผอมหรืออ้วน อาการป่วยที่คนพอจะรู้ได้ขอให้บอก พวกที่เขาถาม
เขารู้ว่าเคยป่วยแบบไหน เขาอาจจะไม่รู้ทั้งหมดรู้จุดใดจุดหนึ่งนะ เขาจะบอกให้ฟัง
ถ้าถามถึงโรค มีอยู่หลายราย เขาบอกว่าที่หมอหรือพยาบาลบอกว่าตายด้วยโรคนั้นๆ จริงๆ มันไม่ใช่ เขาตายอีกโรคหนึ่ง แต่พยาบาล
เขาเข้าใจว่าโรคนั้น
นี่เราต้องถามอาการที่คนอื่นจะรู้ เขาทำท่าให้ดูเสร็จเรียบร้อย แล้วก็บอกคนข้าง ๆ ว่า พบแล้วเวลาที่มีชีวิตอยู่ รูปร่างเป็นอย่างนี้ ใช่ไหม...
และอาการที่จะตายจริงๆ มีลักษณะแบบนี้ใช่ไหม...คนนี้สมัยมีชีวิตอยู่เป็นคนใจดี หรือชอบหัวเราะ หน้าบึ้งขึงจอ อะไรก็ตาม ถามเขา เขาบอกตาม
ความจริงทั้งหมด
คงเข้าใจแล้วนะสำหรับท่านที่ยังมีความสงสัยในคำภาวนาและการฝึกแบบนี้ แต่ก็คงจะสงสัยอย่างอื่นอีก จึงขอนำปัญหาและคำตอบ
ให้คลายสงสัยเสีย
ผู้ถาม
หลวงพ่อคะ ถ้าหากฝึกมโนมยิทธิสามารถขึ้นไปข้างบนได้แล้ว จะหลงวกวนอยู่บนนั้นไหมคะ....
หลวงพ่อ
"แหม อีหนูเอ๊ย อยากให้หลงจริง ๆ ถ้ามันไปติดอยู่วิมานใด วิมานหนึ่ง แหม....ดีจริง ๆ
ผู้ถาม
( หัวเราะ ) ไม่หลงใช่ไหมคะ......?
หลวงพ่อ
"ไม่หลงหรอก"
ผู้ถาม
"แล้วครูเขาแนะนำว่าไปที่วิมาน วิมานอยู่ที่ไหนคะ.....??"
หลวงพ่อ
"ถ้าเราไปถึงนิพพานได้ วิมานบนพระนิพพานก็ต้องมี เมื่อไปถึงนิพพานได้เขาจะบอก ๒ จุด เพราะว่าครูไม่มีเวลาสอนมาก ถ้าเราขึ้นไปบนสวรรค์
ดูวิมานของเรามีไหม......ถ้าไม่มีก็ไปดูวิมานของเราที่พรหมมีไหม.....ถ้าไม่มีก็เหลืออยู่แห่งเดียวที่นิพพาน แสดงว่าชาตินี้ตายแล้วไปนิพพานแน่
ถ้าหากว่าวิมานที่สวรรค์ยังมีอยู่ หรือยังมีอยู่ที่พรหมและวิมานที่นิพพานมีอยู่ แสดงว่าจิตเราจับวิปัสสนาญาณได้เล็กน้อย แต่มันหมอง
มันไม่แจ่มใส แต่วิมานเราอยู่จุดที่แน่นอนอันนี้แจ่มใส
ถ้าวิปัสสนาเราดีพอ จิตเราเข้าถึงโคตรภูญาณ วิมานข้างล่างนี่หายหมด มันจะเหลือหลังดียวข้างบน ถ้าเหลือหลังเดียวข้างบน
ตายแล้วมันไม่มีที่อยู่ ต้องไปอยู่หลังนั้นแหล่ะ
ถ้าพอถึงนิพพานแล้วยังถามว่าไปไหนอีก ถ้าอารมณ์ใจยังพอใจในการเที่ยวก็แสดงว่ากิเลสยังหนาอยู่ ถ้าเที่ยวไป ๆ ไม่ช้ามันจะเบื่อเที่ยว
จิตมันจะรักอารมณ์อยู่จุดหนึ่ง คือมันขึ้นไปนิพพานมันก็ไม่อยากจะขึ้น มันอยากตัดขันธ์ ๕ สบาย ๆ อารมณ์จิตเป็นสุข
แต่ก็มีเกณฑ์บังคับว่า นิพพานต้องไปทุกวัน เพื่อให้จิตมันจับเป็นเอกัคคตารมณ์ แปลว่าจิตมันเป็นหนึ่งเดียว ต้องการอย่างเดียวคือ
นิพพานให้มีความผูกพัน
แล้วไปนิพพานไปที่ไหน....?
นิพพานมี ๒ จุด ที่เราจะไปก็คือ ที่ประทับพระพุทธเจ้าและวิมานของเรา ถ้าเราไม่เห็นพระพุทธเจ้า เรานึกถึงท่าน ท่านจะมาทันที คือว่าจิต
อย่าปล่อยพระพุทธเจ้า ให้จิตมันเกาะไว้เป็นอารมณ์ ที่นี้ตายแล้วก็มาที่นี่แหล่ะ
เรื่องของชีวิตมันจะตายเมื่อไรก็ช่าง คืออย่าไปคิดว่ามันจะอยู่อีก ๒ ปี ตื่นขึ้นมาเราคิดว่าเราจะตาย วันนี้มันถึงจะถูกอันนี้ มรณานุสสติกรรม
ฐานใช่ไหม......ถ้าวันนี้มันจะตายมันจะไปไหน ตื่นขึ้นมาปั๊บเราคิดว่าเราจะตายวันนี้ จิตพุ่งปรู๊ดขึ้นนิพพานเลย ขึ้นไปแล้วสัก ๒-๓ นาทีก็ช่าง ให้
อารมณ์มันสดชื่น พิจารณาขันธ์ ๕ เท่านั้นแหล่ะ
ถ้าจิตตอนเช้าเราจับเป็นอารมณ์ไว้ แล้วกลางวันเราก็ไม่ได้นึกถึงนิพพาน มัวนั่งคุยกับเพื่อนบ้าง ทะเลาะกับเพื่อนบ้าง ขัดคอกับเพื่อนบ้าง
หลบหน้าเจ้าหนี้บ้าง ตามเรื่องตามวาระ บังเอิญตายวันนั้นมันก็ไปนิพพาน เพราะตอนเช้าเราตั้งอารมณ์ไว้แล้วใช่ไหม......
คืออารมณ์ตอนเช้า เวลาจิตมันสบายตั้งอารมณ์ไว้เลย ตั้งอารมณ์ไว้ก็อย่าตั้งไว้เฉย ๆ ไปเลย ไปนั่งอยู่ข้างหน้าพระพุทธเจ้าให้จิตมันชื่นใจ
เวลานั่งข้างหน้าพระพุทธเจ้ามันสบายใจใช่ไหม...... ท่านสวย ท่านสว่าง ดูแล้วไม่อิ่มไม่เบื่อ อารมณ์มันก็มีความสุข คิดว่าที่นี่เป็นที่ที่เราจะมาในเมื่อ
ขันธ์ ๕ มันพัง ให้ทำแบบนี้นะ
ผู้ถาม
แล้วอย่างสมมุติว่า คนที่เขาฝึกได้แล้ว เขาไปได้ เขาก็เห็นวิมานของเขา แสดงว่าเขามีวิมานอยู่ ถ้าหากเราอยู่อย่างนี้ เราทำแต่ความดี เราจะมีวิมาน
ไหมคะ.....??
หลวงพ่อ
เราก็มีบ้านอยู่
ผู้ถาม
หนูอย่างมีวิมานคะ
หลวงพ่อ
ไปสร้างกุฏิสักหลังซิ
ผู้ถาม
มีจริง ๆหรือคะ
หลวงพ่อ
วิมานน่ะ เขามีด้วยกันทุกคน ถ้าเราทำความดี แต่ว่าเราจะสามารถไปเห็นวิมานของเราหรือไม่ อย่างการก่อสร้าง วิหารทาน สร้างโบสถ์ สร้างกุฏิ
สร้างส้วม สร้างศาลา อะไรก็ตามเถอะ เราเอาเงินไปร่วม กับเขาด้วยความตั้งใจจริง วิมานจะปรากฏเลย เราจะรู้หรือไม่รู้ อยู่ที่การฝึกจิตอย่างที่เขา
ฝึก " นะ มะ พะ ทะ " กัน
เอาละ สำหรับปัญหาผู้ยังๆไม่เคยฝึกก็มีท่านี้ ต่อไปนี้เป็นปัญหาของผู้ฝึกใหม่ ๆ
( โปรดติดตามกระทู้ต่อไปนะครับ ) |
|
_________________ หนทางหมื่นลี้ ย่อมมีก้าวแรก |
|