Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เราจะนับถือศาสนาและรักษาข้อศีลในศาสนานั้นอย่างไร อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 15 ธ.ค.2007, 9:19 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เราจะนับถือศาสนาและ รักษาข้อศีล ในศาสนา นั้นอย่างไร
การศรัทธาในศาสนา หรือการนับถือศาสนานั้น จะต้องรู้จักศาสนาให้ดีก่อนว่า
ศาสนา ไม่ใช่กฎหมาย
ศาสนา ไม่ใช่ข้อห้าม
ศาสนา เป็นเพียงคำแนะนำ หรือข้อควรปฏิบัติ

ศาสนา เป็นสิ่งที่แนะนำท่านทั้งหลายให้รู้จักการสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน อย่างเป็นสุข
ศาสนา เป็นสิ่งที่สอนให้ท่านทั้งหลาย ได้ขัดเกลากิเลส หรือขัดเกลา
บังคับ ควบคุม สภาพสภาวะจิตใจในรูปแบบต่างๆมิให้เกิดความรุนแรง
กันอาจเกิดเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น

ศาสนา ไม่ใช่กฎหมาย ดังนั้น บรรดาข้อศีล ข้อธรรม ที่มีอยู่
สำหรับ ปุถุชนคนทั่วไปแล้ว
ย่อมไม่มีผลว่าดีหรือไม่ดี คือ ไม่มีผลว่า
ถ้าไม่ทำตามแล้วจะไม่ดีหรือบาป ถ้าทำตามแล้ว
จะดี คือบุญ
แต่ในทางตรงกันข้าม ในการดำรงชีวิตของปุถุชนคนทั่วไปนั้น
หากทำตามข้อศีล ก็ย่อมทำให้สังคมนั้น เกิดความสุขสงบ ทั้งตนเองและผู้อื่น
ถ้าไม่ทำตามข้อศีล ก็ย่อมทำให้สังคมนั้น อาจจะ (ใช้คำว่าอาจจะ)
เกิด ความไม่สงบสุข ทั้งตนเองและผู้อื่นก็เป็นได้
แต่ยังมีข้อยกเว้น สำหรับ พระภิกษุสงฆ์ ฯ ที่มี พระวินัย 227 ข้อ
ซึ่ง พระวินัย เหล่านั้น ก็เป็นเพียงข้อให้พระภิกษุสงฆ์
ได้ใช้เป็นข้อฝึกตนเพื่อความแข็งแกร่งทางจิตใจ
เพื่อความละเอียด ในการคิด และอื่นๆ
หากพระภิกษุสงฆ์ รูปใด ไม่สามารถปฏิบัติตาม ในข้อที่ทำให้ขาดจากความเป็นภิกษุ
ก็ย่อมต้องอาบัติปาราชิก เพราะศาสนา สอนให้บุคคลเป็นผู้รู้ตน มีความรับผิดชอบ
อันนี้ไม่อธิบายในรายละเอียดนะขอรับ
นอกเหนือจากอาบัติปาราชิกแล้ว ก็เป็นเพียงอาบัติธรรมดา
ที่สามารถปลง หรือเข้ากรรม ก็หมดสิ้น นั้นเป็นเพียงการฝึกตน
สำหรับพระภิกษุสงฆ์ ฯ เท่านั้น
มิได้หมายรวมถึง เหล่าฆราวาส หรือปุถุชนคนทั้งหลายที่ศรัทธา
หรือนับถือ ศาสนาอยู่อย่างแน่นอน
เพราะศาสดาแห่งศาสนาย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า มนุษย์นั้นเป็นอย่างไร
มีความคิด และพฤติกรรมเป็นอย่างไร
เพราะหากไม่รู้ ก็ไม่ใช่ศาสดาละนะ เมื่อรู้ธรรมชาติของมนุษย์แล้ว
จึงได้สร้างศีล สำหรับ คฤหัสถ์
ไว้เป็นลำดับขั้น คือ ศีล 5 ศีล 8 และศีล 10 สำหรับ
ศีล 10 นั้น เป็นได้ทั้งศีลของคฤหัสถ์ และเป็นทั้งศีลของสามเณร
เพราะศีล 10 นั้น สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ของบุคคลทั่วไปเหมือนกัน
ศีล สำหรับ คฤหัสถ์ คือ ศีล 5 และศีล 8 นั้น เป็นเพียงข้อฝึกตน ละเว้นมิให้ปฏิบัติ
เพื่อให้เกิดสภาพสภาวะจิตใจที่เรียกว่า ธรรมะในศาสนาขึ้น
ซึ่งในทางที่เป็นจริง สภาพสภาวะจิตใจที่เรียกว่าธรรมะของเขาเหล่านั้น
ก็มีอยู่เองตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ธรรมชาติของมนุษย์
และสิ่งมีชีวิตย่อมมีความโลภ มีความโกรธ มีความหลง
ดังนั้นศาสนาจึงได้สร้างข้อศีลขึ้นไว้เพื่อให้คฤหัสถ์ ฝึกตนโดยการยึดถือข้อศีล
ทั้งหลายไว้
แต่มิได้บัญญัติ ความผิด หากเกิดการไม่ปฏิบัติตามศีล แต่ความรู้สึกผิดหรือถูก
จะเกิดขึ้นในใจของผู้นับถือ หรือยึดถือศีล นี้เป็นหลักความจริง
หากความรู้สึกผิดหรือถูก เมื่อปฏิบัติตามศีล
หรือไม่ปฏิบัติตามข้อศีลเกิดขี้นในใจของบุคคล เขาเหล่านั้นก็จะคิดว่า
บาป คือความไม่ดี หากผิดศีล และคิดว่า บุญ คือความดี หากปฏิบัติตามข้อศีล
แต่ในความจริงแล้ว ไม่มีความผิดใดใด ไม่มีความถูกใดใด เกิดขึ้นเลย
ไม่ว่าจะปฏิบัติตาม หรือไม่ปฏิบัติตามข้อศีล
แต่เนื่องจากธรรมชาติของสรรพสิ่งย่อมต้องการความสงบสุข
ไม่ชอบการทะเลาะเบาะแว้งหรืออยู่กันอย่างไม่สงบสุข ไม่สบายใจ
ดังนั้นศาสนาจึงเกิดขึ้น ศาสนาจึงเป็นเครื่องจรรโลงใจ
ศาสนาจึงเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ของมนุษย์
เพราะมนุษย์เป็นสัตว์โลก ที่มีสมองสติปัญญาดียิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน
จึงจำเป็นต้องมีศาสนาไว้กล่อมเกลา ขัดเกลา อบรม สั่งสอน
หรือคอยช่วยเหลือมิให้เกิดความเลวร้ายในจิตใจของแต่ละบุคคล
มิให้ประพฤติเหมือนเหล่าสัตว์เดรัจฉานบางชนิด ที่คอยแต่จะทำร้ายผู้ที่อ่อนแอกว่า
ให้มีความรักใคร่ต่อมวลมนุษย์ ด้วยกัน และสัตว์อื่นๆ
ความผิดถูกในจิตใจและความผิดถูกตามค่านิยมของสังคมจึงเกิดขึ้นหาก
ไม่ปฏิบัติตาม หรือปฏิบัติตามศีลธรรมในศาสนา

ศาสนา ไม่ได้มีไว้สำหรับแบ่งแยกเชื้อชาติหรือภาษา
ศาสนาไม่ได้มีไว้เพื่อแบ่งแยกผิวพรรณ หรือ ความรู้
แต่ศาสนา มีไว้เพื่อให้ทุกคนหรือทุกท่านได้เข้าใจว่า
ทุกคนล้วนเป็นไปตามสภาพแห่งสังคมสิ่งแวดล้อมนั้นๆ
เมื่อต้องการให้สภาพสังคมสิ่งแวดล้อม
รวมไปถึงสภาพสภาวะจิตใจของตนเองและผู้อื่น
อยู่ในภาวะปกติสุข ศาสนาคือเครื่องมือที่ทำให้
สภาพสังคมสิ่งแวดล้อม สภาพสภาวะจิตใจของตนเองและผู้อื่น
อยู่ในสภาวะปกติสุข ฉะนี้
 


แก้ไขล่าสุดโดย Buddha เมื่อ 17 ธ.ค.2007, 2:54 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 17 ธ.ค.2007, 2:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เนื่องจากในกระทู้นี้ ซ้ำ และมีข้อความที่เขียนไว้ผิด เพราะมึน จึงพยายามจะลบ แต่ไม่รู้ตัวลบหายไปไหน จึงขอแก้ไข กระทู้ด้านบนใหม่ ให้ถือเอากระทู้ด้านล่างนี้แทนขอรับ

การศรัทธาในศาสนา หรือการนับถือศาสนานั้น จะต้องรู้จักศาสนาให้ดีก่อนว่า
ศาสนา ไม่ใช่กฎหมาย
ศาสนา ไม่ใช่ข้อห้าม
ศาสนา เป็นเพียงคำแนะนำ หรือข้อควรปฏิบัติ

ศาสนา เป็นสิ่งที่แนะนำท่านทั้งหลายให้รู้จักการสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน อย่างเป็นสุข
ศาสนา เป็นสิ่งที่สอนให้ท่านทั้งหลาย ได้ขัดเกลากิเลส หรือขัดเกลา
บังคับ ควบคุม สภาพสภาวะจิตใจในรูปแบบต่างๆมิให้เกิดความรุนแรง
กันอาจเกิดเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น

ศาสนา ไม่ใช่กฎหมาย ดังนั้น บรรดาข้อศีล ข้อธรรม ที่มีอยู่
สำหรับ ปุถุชนคนทั่วไปแล้ว
ย่อมไม่มีผลว่าดีหรือไม่ดี คือ ไม่มีผลว่า
ถ้าไม่ทำตามแล้วจะไม่ดีหรือบาป ถ้าทำตามแล้ว
จะดี คือบุญ
แต่ในทางตรงกันข้าม ในการดำรงชีวิตของปุถุชนคนทั่วไปนั้น
หากทำตามข้อศีล ก็ย่อมทำให้สังคมนั้น เกิดความสุขสงบ ทั้งตนเองและผู้อื่น
ถ้าไม่ทำตามข้อศีล ก็ย่อมทำให้สังคมนั้น อาจจะ (ใช้คำว่าอาจจะ)
เกิด ความไม่สงบสุข ทั้งตนเองและผู้อื่นก็เป็นได้
แต่ยังมีข้อยกเว้น สำหรับ พระภิกษุสงฆ์ ฯ ที่มี พระวินัย 227 ข้อ
ซึ่ง พระวินัย เหล่านั้น ก็เป็นเพียงข้อให้พระภิกษุสงฆ์
ได้ใช้เป็นข้อฝึกตนเพื่อความแข็งแกร่งทางจิตใจ
เพื่อความละเอียด ในการคิด และอื่นๆ
หากพระภิกษุสงฆ์ รูปใด ไม่สามารถปฏิบัติตาม ในข้อที่ทำให้ขาดจากความเป็นภิกษุ
ก็ย่อมต้องอาบัติปาราชิก เพราะศาสนา สอนให้บุคคลเป็นผู้รู้ตน มีความรับผิดชอบ
อันนี้ไม่อธิบายในรายละเอียดนะขอรับ
นอกเหนือจากอาบัติปาราชิกแล้ว ก็เป็นเพียงอาบัติธรรมดา
ที่สามารถปลง หรือเข้ากรรม ก็หมดสิ้น นั้นเป็นเพียงการฝึกตน
สำหรับพระภิกษุสงฆ์ ฯ เท่านั้น
มิได้หมายรวมถึง เหล่าฆราวาส หรือปุถุชนคนทั้งหลายที่ศรัทธา
หรือนับถือ ศาสนาอยู่อย่างแน่นอน
เพราะศาสดาแห่งศาสนาย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า มนุษย์นั้นเป็นอย่างไร
มีความคิด และพฤติกรรมเป็นอย่างไร
เพราะหากไม่รู้ ก็ไม่ใช่ศาสดาละนะ เมื่อรู้ธรรมชาติของมนุษย์แล้ว
จึงได้สร้างศีล สำหรับ คฤหัสถ์
ไว้เป็นลำดับขั้น คือ ศีล 5 ศีล 8 และศีล 10 สำหรับ
ศีล 10 นั้น เป็นได้ทั้งศีลของคฤหัสถ์ และเป็นทั้งศีลของสามเณร
เพราะศีล 10 นั้น สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ของบุคคลทั่วไปเหมือนกัน
ศีล สำหรับ คฤหัสถ์ คือ ศีล 5 และศีล 8 นั้น เป็นเพียงข้อฝึกตน ละเว้นมิให้ปฏิบัติ
เพื่อให้เกิดสภาพสภาวะจิตใจที่เรียกว่า ธรรมะในศาสนาขึ้น
ซึ่งในทางที่เป็นจริง สภาพสภาวะจิตใจที่เรียกว่าธรรมะของเขาเหล่านั้น
ก็มีอยู่เองตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ธรรมชาติของมนุษย์
และสิ่งมีชีวิตย่อมมีความโลภ มีความโกรธ มีความหลง
ดังนั้นศาสนาจึงได้สร้างข้อศีลขึ้นไว้เพื่อให้คฤหัสถ์ ฝึกตนโดยการยึดถือข้อศีล
ทั้งหลายไว้
แต่มิได้บัญญัติ ความผิด หากเกิดการไม่ปฏิบัติตามศีล แต่ความรู้สึกผิดหรือถูก
จะเกิดขึ้นในใจของผู้นับถือ หรือยึดถือศีล นี้เป็นหลักความจริง
หากความรู้สึกผิดหรือถูก เมื่อปฏิบัติตามศีล
หรือไม่ปฏิบัติตามข้อศีลเกิดขี้นในใจของบุคคล เขาเหล่านั้นก็จะคิดว่า
บาป คือความไม่ดี หากผิดศีล และคิดว่า บุญ คือความดี หากปฏิบัติตามข้อศีล
แต่ในความจริงแล้ว ไม่มีความผิดใดใด ไม่มีความถูกใดใด เกิดขึ้นเลย
ไม่ว่าจะปฏิบัติตาม หรือไม่ปฏิบัติตามข้อศีล
แต่เนื่องจากธรรมชาติของสรรพสิ่งย่อมต้องการความสงบสุข
ไม่ชอบการทะเลาะเบาะแว้งหรืออยู่กันอย่างไม่สงบสุข ไม่สบายใจ
ดังนั้นศาสนาจึงเกิดขึ้น ศาสนาจึงเป็นเครื่องจรรโลงใจ
ศาสนาจึงเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ของมนุษย์
เพราะมนุษย์เป็นสัตว์โลก ที่มีสมองสติปัญญาดียิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน
จึงจำเป็นต้องมีศาสนาไว้กล่อมเกลา ขัดเกลา อบรม สั่งสอน
หรือคอยช่วยเหลือมิให้เกิดความเลวร้ายในจิตใจของแต่ละบุคคล
มิให้ประพฤติเหมือนเหล่าสัตว์เดรัจฉานบางชนิด ที่คอยแต่จะทำร้ายผู้ที่อ่อนแอกว่า
ให้มีความรักใคร่ต่อมวลมนุษย์ ด้วยกัน และสัตว์อื่นๆ
ความผิดถูกในจิตใจและความผิดถูกตามค่านิยมของสังคมจึงเกิดขึ้นหาก
ไม่ปฏิบัติตาม หรือปฏิบัติตามศีลธรรมในศาสนา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ลุงดำ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 24 พ.ย. 2007
ตอบ: 59

ตอบตอบเมื่อ: 21 ธ.ค.2007, 8:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Buddha พิมพ์ว่า:
เนื่องจากในกระทู้นี้ ซ้ำ และมีข้อความที่เขียนไว้ผิด เพราะมึน จึงพยายามจะลบ แต่ไม่รู้ตัวลบหายไปไหน จึงขอแก้ไข กระทู้ด้านบนใหม่ ให้ถือเอากระทู้ด้านล่างนี้แทนขอรับ

การศรัทธาในศาสนา หรือการนับถือศาสนานั้น จะต้องรู้จักศาสนาให้ดีก่อนว่า
ศาสนา ไม่ใช่กฎหมาย
ศาสนา ไม่ใช่ข้อห้าม
ศาสนา เป็นเพียงคำแนะนำ หรือข้อควรปฏิบัติ

ศาสนา เป็นสิ่งที่แนะนำท่านทั้งหลายให้รู้จักการสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน อย่างเป็นสุข
ศาสนา เป็นสิ่งที่สอนให้ท่านทั้งหลาย ได้ขัดเกลากิเลส หรือขัดเกลา
บังคับ ควบคุม สภาพสภาวะจิตใจในรูปแบบต่างๆมิให้เกิดความรุนแรง
กันอาจเกิดเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น

ศาสนา ไม่ใช่กฎหมาย ดังนั้น บรรดาข้อศีล ข้อธรรม ที่มีอยู่
สำหรับ ปุถุชนคนทั่วไปแล้ว
ย่อมไม่มีผลว่าดีหรือไม่ดี คือ ไม่มีผลว่า
ถ้าไม่ทำตามแล้วจะไม่ดีหรือบาป ถ้าทำตามแล้ว
จะดี คือบุญ
แต่ในทางตรงกันข้าม ในการดำรงชีวิตของปุถุชนคนทั่วไปนั้น
หากทำตามข้อศีล ก็ย่อมทำให้สังคมนั้น เกิดความสุขสงบ ทั้งตนเองและผู้อื่น
ถ้าไม่ทำตามข้อศีล ก็ย่อมทำให้สังคมนั้น อาจจะ (ใช้คำว่าอาจจะ)
เกิด ความไม่สงบสุข ทั้งตนเองและผู้อื่นก็เป็นได้
แต่ยังมีข้อยกเว้น สำหรับ พระภิกษุสงฆ์ ฯ ที่มี พระวินัย 227 ข้อ
ซึ่ง พระวินัย เหล่านั้น ก็เป็นเพียงข้อให้พระภิกษุสงฆ์
ได้ใช้เป็นข้อฝึกตนเพื่อความแข็งแกร่งทางจิตใจ
เพื่อความละเอียด ในการคิด และอื่นๆ
หากพระภิกษุสงฆ์ รูปใด ไม่สามารถปฏิบัติตาม ในข้อที่ทำให้ขาดจากความเป็นภิกษุ
ก็ย่อมต้องอาบัติปาราชิก เพราะศาสนา สอนให้บุคคลเป็นผู้รู้ตน มีความรับผิดชอบ
อันนี้ไม่อธิบายในรายละเอียดนะขอรับ
นอกเหนือจากอาบัติปาราชิกแล้ว ก็เป็นเพียงอาบัติธรรมดา
ที่สามารถปลง หรือเข้ากรรม ก็หมดสิ้น นั้นเป็นเพียงการฝึกตน
สำหรับพระภิกษุสงฆ์ ฯ เท่านั้น
มิได้หมายรวมถึง เหล่าฆราวาส หรือปุถุชนคนทั้งหลายที่ศรัทธา
หรือนับถือ ศาสนาอยู่อย่างแน่นอน
เพราะศาสดาแห่งศาสนาย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า มนุษย์นั้นเป็นอย่างไร
มีความคิด และพฤติกรรมเป็นอย่างไร
เพราะหากไม่รู้ ก็ไม่ใช่ศาสดาละนะ เมื่อรู้ธรรมชาติของมนุษย์แล้ว
จึงได้สร้างศีล สำหรับ คฤหัสถ์
ไว้เป็นลำดับขั้น คือ ศีล 5 ศีล 8 และศีล 10 สำหรับ
ศีล 10 นั้น เป็นได้ทั้งศีลของคฤหัสถ์ และเป็นทั้งศีลของสามเณร
เพราะศีล 10 นั้น สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ของบุคคลทั่วไปเหมือนกัน
ศีล สำหรับ คฤหัสถ์ คือ ศีล 5 และศีล 8 นั้น เป็นเพียงข้อฝึกตน ละเว้นมิให้ปฏิบัติ
เพื่อให้เกิดสภาพสภาวะจิตใจที่เรียกว่า ธรรมะในศาสนาขึ้น
ซึ่งในทางที่เป็นจริง สภาพสภาวะจิตใจที่เรียกว่าธรรมะของเขาเหล่านั้น
ก็มีอยู่เองตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ธรรมชาติของมนุษย์
และสิ่งมีชีวิตย่อมมีความโลภ มีความโกรธ มีความหลง
ดังนั้นศาสนาจึงได้สร้างข้อศีลขึ้นไว้เพื่อให้คฤหัสถ์ ฝึกตนโดยการยึดถือข้อศีล
ทั้งหลายไว้
แต่มิได้บัญญัติ ความผิด หากเกิดการไม่ปฏิบัติตามศีล แต่ความรู้สึกผิดหรือถูก
จะเกิดขึ้นในใจของผู้นับถือ หรือยึดถือศีล นี้เป็นหลักความจริง
หากความรู้สึกผิดหรือถูก เมื่อปฏิบัติตามศีล
หรือไม่ปฏิบัติตามข้อศีลเกิดขี้นในใจของบุคคล เขาเหล่านั้นก็จะคิดว่า
บาป คือความไม่ดี หากผิดศีล และคิดว่า บุญ คือความดี หากปฏิบัติตามข้อศีล
แต่ในความจริงแล้ว ไม่มีความผิดใดใด ไม่มีความถูกใดใด เกิดขึ้นเลย
ไม่ว่าจะปฏิบัติตาม หรือไม่ปฏิบัติตามข้อศีล
แต่เนื่องจากธรรมชาติของสรรพสิ่งย่อมต้องการความสงบสุข
ไม่ชอบการทะเลาะเบาะแว้งหรืออยู่กันอย่างไม่สงบสุข ไม่สบายใจ
ดังนั้นศาสนาจึงเกิดขึ้น ศาสนาจึงเป็นเครื่องจรรโลงใจ
ศาสนาจึงเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ของมนุษย์
เพราะมนุษย์เป็นสัตว์โลก ที่มีสมองสติปัญญาดียิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน
จึงจำเป็นต้องมีศาสนาไว้กล่อมเกลา ขัดเกลา อบรม สั่งสอน
หรือคอยช่วยเหลือมิให้เกิดความเลวร้ายในจิตใจของแต่ละบุคคล
มิให้ประพฤติเหมือนเหล่าสัตว์เดรัจฉานบางชนิด ที่คอยแต่จะทำร้ายผู้ที่อ่อนแอกว่า
ให้มีความรักใคร่ต่อมวลมนุษย์ ด้วยกัน และสัตว์อื่นๆ
ความผิดถูกในจิตใจและความผิดถูกตามค่านิยมของสังคมจึงเกิดขึ้นหาก
ไม่ปฏิบัติตาม หรือปฏิบัติตามศีลธรรมในศาสนา


สวัสดี พ่อBud
บางเรื่อง ลุงมีความเห็นต่างนะ
คนเราจะต้องเป็นผู้คิดว่า อะไรเป็นสิ่งสำคัญ อะไรเป็นสิ่งไม่สำคัญ
สงสัย สงสัย สงสัย
เมื่อเห็นอะไรเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อนั้นจึงเห็นสิ่งนั้น มีคุณค่าอย่างยิ่ง
เมื่อนั้นคนจึงต้องทำตามสิ่งนั้น ยินยอมโดยดี ที่จะทำตามสิ่งนั้น
พูดแบบภาษาชาวบ้าน ทำได้โดยไม่ต้องมีใครบังคับ ทำได้เองโดยไม่ต้องคาดโทษ เอ่อ
รู้อยู่กับใจโดยแยบคายด้วยว่า ทำแล้วจะได้อะไร จะไม่โดนอะไร
สงสัย สงสัย สงสัย
เรื่องของศาสนาพุทธ จึงเป็นเรื่องของคนทำดี อย่างที่สุดในโลก เอ่อ
พวกเขารู้ว่าทำไปแล้วได้อะไร จึงทำ
ดังนั้น ความเข้มข้นในการทำดี จึงมากกว่าคนอื่น

พวกที่ไม่รู้อะไร จึงไม่ทำ เพราะคิดว่าไม่มีใครลงโทษ เลยไม่ทำ
ดังนั้น ความเข้มข้นในการทำดี จึงน้อยกว่าคนกลุ่มแรก อย่างน้อย ไปถึงมาก
อายหน้าแดง อายหน้าแดง อายหน้าแดง
เอ่อ ลองมายกตัวอย่างกันดู เช่น
ไอ้VVV มันฆ่าไก่ทุกวันเลย ตั้งใจฆ่ามาทำอาหารกินทุกวัน
แบบนี้ ผิดกฎหมายหรือไม่
ไม่ผิด ฆ่าเองกินเอง ทุกวัน เอ่อ ตำรวจห้ามจับ จับมัน มันไปผิดอะไร
เอ่อ แต่มันก็สะสม กรรมเลว ๆ ของมันไป เอ่อ

ส่วนศาสนาพุทธ ถือเป็นข้อห้ามไม๊
พระสงฆ์ไทย ตอบแบบไม่ต้องคิดเลย ผิดจริง ๆ เอ่อ

ฆ่าไก่ไม่เท่าไหร่ ลองไปฆ่าหมูทุกวันซิ หน้าตาคนฆ่า นิสัยคนฆ่าเป็นอย่าง ไง อย่าให้พูด น่ากลัว เอ่อ ลุงบอกไม่ถูก เอ่อ

ฆ่าหมูในโรงฆ่าสัตว์ มีหนังสือถูกต้องตามกฎหมายด้วย เอ่อ มันไม่ได้ทำผิดกฎหมาย กฎหมายบอกทำถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ เอ่อ พ่อBudจะไว้ไง เอ่อ

เอาไปฆ่าสักตัวไม๊ เอ่อ ลุงไม่กล้า กลัวบาป สัตว์ใหญ่ด้วย

บาปกรรม แบบนี้ ถือเป็นข้อห้ามของคนนับถือศีล ศาสนาถือเป็นข้อห้าม
ศาสนาถือเป็นเรื่องที่ห้ามทำเด็ดขาด ไม่ใช่เป็นเพียงคำแนะนำ
ต้องบอกว่า ห้ามทำเลย พ่อ
ดังนั้นการที่กล่าวว่า
การศรัทธาในศาสนา หรือการนับถือศาสนานั้น จะต้องรู้จักศาสนาให้ดีก่อนว่า
ศาสนา ไม่ใช่กฎหมาย
ศาสนา ไม่ใช่ข้อห้าม
ศาสนา เป็นเพียงคำแนะนำ หรือข้อควรปฏิบัติ

ศาสนา เป็นสิ่งที่แนะนำท่านทั้งหลายให้รู้จักการสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน อย่างเป็นสุข
ศาสนา เป็นสิ่งที่สอนให้ท่านทั้งหลาย ได้ขัดเกลากิเลส หรือขัดเกลา
บังคับ ควบคุม สภาพสภาวะจิตใจในรูปแบบต่างๆมิให้เกิดความรุนแรง
กันอาจเกิดเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น

ศาสนา ไม่ใช่กฎหมาย ดังนั้น บรรดาข้อศีล ข้อธรรม ที่มีอยู่
สำหรับ ปุถุชนคนทั่วไปแล้ว
ย่อมไม่มีผลว่าดีหรือไม่ดี คือ ไม่มีผลว่า
ถ้าไม่ทำตามแล้วจะไม่ดีหรือบาป ถ้าทำตามแล้ว
จะดี คือบุญ


ความคิดเห็นแบบนี้ ถือว่าไม่ใข่แล้ว ไม่ได้ฆ่าคน แต่ฆ่าสัตว์ก็ผิด เอ่อ
ผิดในที่นี้มันคือ บาปกรรม
บาปกรรม พูดกับปุถุชน บางทีมันก็ไม่เข้าใจ
อย่างตอนนี้ ลุงก็ยังไม่เข้าใจว่า ฆ่าหมู มันบาปกรรม แล้วไอ้ตัวบาปกรรม มันเป็นอย่างไร แต่ความรู้สึกในจิตของลุง ก็รู้สึกว่ามันผิดว่ะ เห็นมันดิ้นตาย ผงาบ ผงาบแบบนั้น มองลุงตาเขียวแบบนั้น ลุงกลัวและสงสารมันว่ะ พูดจริงๆ
ตัวบาปกรรม ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอย่างไร
รู้อยู่อย่างเดียว กฎหมายบอกว่า ลุงไม่ได้ทำผิด แค่นั้นเอง แต่ลุงก็ไม่สบายใจว่ะ ฆ่าแค่หมู ไม่ได้ฆ่าคน ไม่ได้ไปโกรธมันด้วย แต่ก็ฆ่ามัน ด้วยว่าจะกิน หรือทำงานกินเงินเดือน อ่ะ ลุงไม่ผิด ทางกฎหมาย แต่ลุงก็รับไม่ได้ รู้สึกบาป
ร้องไห้ ร้องไห้ ร้องไห้

ลุงเข้าใจว่า ศีล 227 ข้อที่ให้พระสงฆ์ยึดถือปฎิบัติไว้ เพราะว่า ในยุดโน้น ยุคพุทธกาลโน้น ตอนนั้น พระพุทธเจ้า ยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ได้ตั้งกฎ ตั้งศีลอะไร พระสงฆ์บางรูป ไม่เข้าใจในความหมายของกิเลส บางเรื่อง คือ พระตีไม่แตกว่า ทำแบบนี้ผิด ทำแบบนั้นผิด
พระพุทธเจ้า เลยตั้งกฎเลย ว่า แบบนี้ แหละผิดนะลูก แบบนั้น แหละผิดนะลูก อย่าได้ทำ อย่าได้ทำ อย่าได้มีกิเลส ทำแล้วไม่พ้นทุกข์นะ ทำแล้วไม่นิพพานนะ ห้ามทำนะ เอ่อ
พระสงฆ์ยุคนั้นทำผิดอยู่หลายเรื่อง เรื่องใกล้ตัวทั้งนั้น พระพุทธเจ้า เลยตั้งกฎไว้มากถึง 227 ข้อ เอ่อ
พระสงฆ์ก็ทำตามโดยดี
ศีล 227 ข้อ จึงเป็นข้อกฎหมายของพระพุทธเจ้า เลยทีเดียว ทำแล้วคือมีความผิด ทำแล้วไม่พ้นทุกข์นะ ทำแล้วไม่นิพพาน นะ ไม่รู้ด้วยนะ ไม่เชื่อก็อย่ามาบวชนะ ดื้อ ก็ไปนะ ไม่ต้องมาคิดว่าไม่ผิดกฎหมายบ้านเมืองนะ ไปเลยนะ
ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม

ที่นี้มาดูฆราวาส พระพุทธเจ้าก็คงคิดนะว่า อืม จะเริ่มอย่างไงดีนะ ที่จะทำให้คนนับถือ ศรัทธา เป็นคน ทำดี ได้
อ้อ ก็เริ่มจาก ศีล 5 ก็แล้วกัน ถ้าคนมันเริ่มคิดทำดี มากขึ้นได้ ก็ ศีล 8 ก็ศีล 10

ถ้าเข้าใจศีล 5 (ศีลทำดีแบบย่อ)
ถ้าเข้าใจศีล 8 (ศีลทำดีแบบ ดีกว่า ศีล 5)
ถ้าเข้าใจศีล 10 (ศีลทำดีแบบ ดีกว่า ศีล 5 ศีล 8)
ถ้าเข้าใจศีล 227 (ที่สุดของการทำความดี เลย ละเอียด ยิ๊บ) อกุศล ไม่ค่อยเกิดเลย พ้นทุกข์โดยเร็วเลย เอ่อ

ปุถชน คนธรรมดา มันยังอยาก อยู่ กามราคะ ยังมีมาก อยู่ มันทนไม่ได้ ที่จะทำตามศีล 227 บางคนไปบวช เล่น ๆ มันก็ได้เป็นพระ เล่น ๆ มันก็ดีเล่น ๆ ไปไม่กี่วัน เอ่อ เพราะมันบวชไปแบบนั้น จะรีบไปแต่งงาน เอ่อ

กฎหมาย มันจึงเป็นข้อห้าม ที่อ่อนกว่า ศีล 227 ข้อ อย่างมาก
กฎหมาย บางข้อบางตอน อ่อนกว่า ศีล 5 ด้วยซ้ำ
ไม่ทำผิดซึ่งหน้า ยังไม่ผิดเลย เพราะไม่มีใครรู้เห็น เอ่อ
แต่ศีล 5 ถือว่ามันผิดแล้ว เอ่อ

เรื่องแบบนี้ เทวดา รู้ เทพ รู้ ฟ้า ดิน รู้ เอ่อ
เรื่องของเรื่อง คนมันไม่เชื่อ
บาปกรรมเล็ก ๆ มันจึงหน้าด้......... จริง ๆ เอ่อ

ลุงขอพูดแค่นี้แหละว่า ศีล เป็นเรื่องที่สูงกว่า กฎหมาย
ศีลเป็นศาสนาพุทธ ไม่ทำ ไม่ผิดกฎหมาย
ไม่ทำ มันผิดต่อพระพุทธเจ้า มันผิดที่ไม่เชื่อ ไม่นับถือ พระพุทธเจ้า
สวดมนต์ ไหว้พระ ทุกวัน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ไม่คุ้มครอง
เพราะมันไม่รู้เรื่อง ในบาปกรรม ของการผิดศีล
ปุถุชน คนโง่ จึงมีอยู่มาก
 

_________________
ถ้ามีเวลาว่างเกินไป ก็ไปช่วยเขาทำงานบ้าน บ้าง เอ้อ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วิชชา
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 05 พ.ย. 2007
ตอบ: 31
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 22 ธ.ค.2007, 5:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขออนุโมทนาในความเห็นของคุณลุงดำครับ

ตอบได้ดียิ่งด้วยความเป็นผู้เข้าใจจริงในพระพุทธศาสนาครับ
 

_________________
ไม่มี
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวตำแหน่ง AIMYahoo MessengerMSN Messenger
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 23 ธ.ค.2007, 9:37 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดังนั้นศาสนาจึงเกิดขึ้น ศาสนาจึงเป็นเครื่องจรรโลงใจ
ศาสนาจึงเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ของมนุษย์
เพราะมนุษย์เป็นสัตว์โลก ที่มีสมองสติปัญญาดียิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน
จึงจำเป็นต้องมีศาสนาไว้กล่อมเกลา ขัดเกลา อบรม สั่งสอน
หรือคอยช่วยเหลือมิให้เกิดความเลวร้ายในจิตใจของแต่ละบุคคล
มิให้ประพฤติเหมือนเหล่าสัตว์เดรัจฉานบางชนิด ที่คอยแต่จะทำร้ายผู้ที่อ่อนแอกว่า
ให้มีความรักใคร่ต่อมวลมนุษย์ ด้วยกัน และสัตว์อื่นๆ
ความผิดถูกในจิตใจและความผิดถูกตามค่านิยมของสังคมจึงเกิดขึ้นหาก
ไม่ปฏิบัติตาม หรือปฏิบัติตามศีลธรรมในศาสนา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ลุงดำ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 24 พ.ย. 2007
ตอบ: 59

ตอบตอบเมื่อ: 23 ธ.ค.2007, 10:37 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เอ่อ อ้าว อ้าว เอ่อ
ที่แท้ พ่อBud จะมาบอกว่า ก็นี่ไง คำสรุป

ลุงก็ไม่รู้จริง ๆ ว่า พ่อBud คิดอะไรของพ่อBud

เรียงความของวิชาภาษาไทย บทความของวิชาภาษาไทย มันเป็นแบบนี้แหล่ะ
เขียนลำดับเรื่องไม่รู้เรื่อง เล่าเรื่องโดยรวมไม่รู้เรื่อง นำบางประโยคบางวรรคมาผสมทำให้เนื้อเรื่องโดยรวมเสียเป้าหมายของผู้ตั้งใจสื่อสารแก่ผู้อื่นไป ถ้าเป็นคนอ่านส่วนใหญ่ เข้าใจอย่างนั้น
เรียงความนั้นมันก็ต้องเป็นแบบนั้น
การเขียนหนังสือ จึงต้องศึกษาเล่าเรียนวิธีการเขียนให้มาก เหมือนกัน

คิดก่อนเขียน เขียนแล้วอ่าน เขียนแล้วให้คนอื่นอ่านก็ได้ แล้วถามมันว่า เอ่อ คุณรู้สึกอย่างไรกับเรียงความนี้ เอ่อ

บางประโยค บางวรรค บางตอน ถ้าเขียนไม่ดี จาบจ้วง พาดพิงไปถึงผู้อื่น ดี ไม่ดี ติดคุก
เอ่อ

ดังนั้น ทุกเรื่องไม่ต้องรีบเขียนส่งมาให้อ่านก็ได้ เก็บไว้ในในสัก 3 วัน ชั่งใจให้ดี ดี ไม่ดี
คุก ไม่คุก เอ่อ
ดีนะ ที่มันไม่คุก
ยิ้มเห็นฟัน ยิ้มเห็นฟัน ยิ้มเห็นฟัน

คำว่า จรรโลง ลุงแปลไม่ค่อยออก ไปดูดิก มันเขียนว่า ยก พยุง บำรุง
ลุงก็เลยแปล จรรโลงใจว่า ยกระดับจิตใจ พยุงไม่ใจมันแย่ไปกว่านั้น บำรุงจิตใจไม่ให้แย่ไปกว่านั้น พูดให้ไพเราะกว่านี้ ก็ยกพัฒนาจิตใจให้ดีขึ้นกว่าเดิม (แปลตอนสุดท้าย ดูจะเพี้ยนไปหน่อย)

เอ่อ พอไหว พอไหว
จรรโลงใจ รู้สึกมักจะใช้กับพวกนักศิลปะ นักกวี นักดนตรี เอ่อ ฟังเพลงสงบ ๆ มันก็รู้สึกดี รู้สึกจรรโลงใจ เอ่อ
เอา เอา ก็ดี ใจคน จะได้ไม่กลับเป็นใจ ส...... ตายแล้วจะได้ไม่กลับเกิดเป็น สัตว์โลก อีก เอ่อ
สาธุ สาธุ
 

_________________
ถ้ามีเวลาว่างเกินไป ก็ไปช่วยเขาทำงานบ้าน บ้าง เอ้อ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 25 ธ.ค.2007, 1:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เด็กน้อยผู้ใช้ชื่อว่า ลุงดำ หนูนะ ถ้าจะอ่านบทความหรือข้อความใดใดนะ หนูดำต้องหัดใช้วิจารณญาณว่า บทความหรือข้อความนั้น ผู้เขียนเขามีวัตถุประสงค์ในการเขียนเพื่ออะไร ต้องอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วก็พิจารณานะ ว่า เขามีจุดมุ่งหมายในการเขียนเพื่ออะไร หนูอย่าอวดฉลาดจนเกินเหตุนะ หนู นะ
แล้วก็ก่อนนอน อย่าลืม ดื่มนมสด สักเล็กน้อยนะหนูนะ
เวลารับประทานอาหาร ถ้าไม่มีอาหารทะเล ก็ให้ใส่เกลือไอโอดีนสักเล็กน้อยนะหนูนะ บำรุงสมอง นะหนูนะ

Buddha พิมพ์ว่า:
เราจะนับถือศาสนาและ รักษาข้อศีล ในศาสนา นั้นอย่างไร
การศรัทธาในศาสนา หรือการนับถือศาสนานั้น จะต้องรู้จักศาสนาให้ดีก่อนว่า
ศาสนา ไม่ใช่กฎหมาย
ศาสนา ไม่ใช่ข้อห้าม
ศาสนา เป็นเพียงคำแนะนำ หรือข้อควรปฏิบัติ

ศาสนา เป็นสิ่งที่แนะนำท่านทั้งหลายให้รู้จักการสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน อย่างเป็นสุข
ศาสนา เป็นสิ่งที่สอนให้ท่านทั้งหลาย ได้ขัดเกลากิเลส หรือขัดเกลา
บังคับ ควบคุม สภาพสภาวะจิตใจในรูปแบบต่างๆมิให้เกิดความรุนแรง
กันอาจเกิดเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น

ศาสนา ไม่ใช่กฎหมาย ดังนั้น บรรดาข้อศีล ข้อธรรม ที่มีอยู่
สำหรับ ปุถุชนคนทั่วไปแล้ว
ย่อมไม่มีผลว่าดีหรือไม่ดี คือ ไม่มีผลว่า
ถ้าไม่ทำตามแล้วจะไม่ดีหรือบาป ถ้าทำตามแล้ว
จะดี คือบุญ
แต่ในทางตรงกันข้าม ในการดำรงชีวิตของปุถุชนคนทั่วไปนั้น
หากทำตามข้อศีล ก็ย่อมทำให้สังคมนั้น เกิดความสุขสงบ ทั้งตนเองและผู้อื่น
ถ้าไม่ทำตามข้อศีล ก็ย่อมทำให้สังคมนั้น อาจจะ (ใช้คำว่าอาจจะ)
เกิด ความไม่สงบสุข ทั้งตนเองและผู้อื่นก็เป็นได้
แต่ยังมีข้อยกเว้น สำหรับ พระภิกษุสงฆ์ ฯ ที่มี พระวินัย 227 ข้อ
ซึ่ง พระวินัย เหล่านั้น ก็เป็นเพียงข้อให้พระภิกษุสงฆ์
ได้ใช้เป็นข้อฝึกตนเพื่อความแข็งแกร่งทางจิตใจ
เพื่อความละเอียด ในการคิด และอื่นๆ
หากพระภิกษุสงฆ์ รูปใด ไม่สามารถปฏิบัติตาม ในข้อที่ทำให้ขาดจากความเป็นภิกษุ
ก็ย่อมต้องอาบัติปาราชิก เพราะศาสนา สอนให้บุคคลเป็นผู้รู้ตน มีความรับผิดชอบ
อันนี้ไม่อธิบายในรายละเอียดนะขอรับ
นอกเหนือจากอาบัติปาราชิกแล้ว ก็เป็นเพียงอาบัติธรรมดา
ที่สามารถปลง หรือเข้ากรรม ก็หมดสิ้น นั้นเป็นเพียงการฝึกตน
สำหรับพระภิกษุสงฆ์ ฯ เท่านั้น
มิได้หมายรวมถึง เหล่าฆราวาส หรือปุถุชนคนทั้งหลายที่ศรัทธา
หรือนับถือ ศาสนาอยู่อย่างแน่นอน
เพราะศาสดาแห่งศาสนาย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า มนุษย์นั้นเป็นอย่างไร
มีความคิด และพฤติกรรมเป็นอย่างไร
เพราะหากไม่รู้ ก็ไม่ใช่ศาสดาละนะ เมื่อรู้ธรรมชาติของมนุษย์แล้ว
จึงได้สร้างศีล สำหรับ คฤหัสถ์
ไว้เป็นลำดับขั้น คือ ศีล 5 ศีล 8 และศีล 10 สำหรับ
ศีล 10 นั้น เป็นได้ทั้งศีลของคฤหัสถ์ และเป็นทั้งศีลของสามเณร
เพราะศีล 10 นั้น สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ของบุคคลทั่วไปเหมือนกัน
ศีล สำหรับ คฤหัสถ์ คือ ศีล 5 และศีล 8 นั้น เป็นเพียงข้อฝึกตน ละเว้นมิให้ปฏิบัติ
เพื่อให้เกิดสภาพสภาวะจิตใจที่เรียกว่า ธรรมะในศาสนาขึ้น
ซึ่งในทางที่เป็นจริง สภาพสภาวะจิตใจที่เรียกว่าธรรมะของเขาเหล่านั้น
ก็มีอยู่เองตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ธรรมชาติของมนุษย์
และสิ่งมีชีวิตย่อมมีความโลภ มีความโกรธ มีความหลง
ดังนั้นศาสนาจึงได้สร้างข้อศีลขึ้นไว้เพื่อให้คฤหัสถ์ ฝึกตนโดยการยึดถือข้อศีล
ทั้งหลายไว้
แต่มิได้บัญญัติ ความผิด หากเกิดการไม่ปฏิบัติตามศีล แต่ความรู้สึกผิดหรือถูก
จะเกิดขึ้นในใจของผู้นับถือ หรือยึดถือศีล นี้เป็นหลักความจริง
หากความรู้สึกผิดหรือถูก เมื่อปฏิบัติตามศีล
หรือไม่ปฏิบัติตามข้อศีลเกิดขี้นในใจของบุคคล เขาเหล่านั้นก็จะคิดว่า
บาป คือความไม่ดี หากผิดศีล และคิดว่า บุญ คือความดี หากปฏิบัติตามข้อศีล
แต่ในความจริงแล้ว ไม่มีความผิดใดใด ไม่มีความถูกใดใด เกิดขึ้นเลย
ไม่ว่าจะปฏิบัติตาม หรือไม่ปฏิบัติตามข้อศีล
แต่เนื่องจากธรรมชาติของสรรพสิ่งย่อมต้องการความสงบสุข
ไม่ชอบการทะเลาะเบาะแว้งหรืออยู่กันอย่างไม่สงบสุข ไม่สบายใจ
ดังนั้นศาสนาจึงเกิดขึ้น ศาสนาจึงเป็นเครื่องจรรโลงใจ
ศาสนาจึงเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ของมนุษย์
เพราะมนุษย์เป็นสัตว์โลก ที่มีสมองสติปัญญาดียิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน
จึงจำเป็นต้องมีศาสนาไว้กล่อมเกลา ขัดเกลา อบรม สั่งสอน
หรือคอยช่วยเหลือมิให้เกิดความเลวร้ายในจิตใจของแต่ละบุคคล
มิให้ประพฤติเหมือนเหล่าสัตว์เดรัจฉานบางชนิด ที่คอยแต่จะทำร้ายผู้ที่อ่อนแอกว่า
ให้มีความรักใคร่ต่อมวลมนุษย์ ด้วยกัน และสัตว์อื่นๆ
ความผิดถูกในจิตใจและความผิดถูกตามค่านิยมของสังคมจึงเกิดขึ้นหาก
ไม่ปฏิบัติตาม หรือปฏิบัติตามศีลธรรมในศาสนา

ศาสนา ไม่ได้มีไว้สำหรับแบ่งแยกเชื้อชาติหรือภาษา
ศาสนาไม่ได้มีไว้เพื่อแบ่งแยกผิวพรรณ หรือ ความรู้
แต่ศาสนา มีไว้เพื่อให้ทุกคนหรือทุกท่านได้เข้าใจว่า
ทุกคนล้วนเป็นไปตามสภาพแห่งสังคมสิ่งแวดล้อมนั้นๆ
เมื่อต้องการให้สภาพสังคมสิ่งแวดล้อม
รวมไปถึงสภาพสภาวะจิตใจของตนเองและผู้อื่น
อยู่ในภาวะปกติสุข ศาสนาคือเครื่องมือที่ทำให้
สภาพสังคมสิ่งแวดล้อม สภาพสภาวะจิตใจของตนเองและผู้อื่น
อยู่ในสภาวะปกติสุข ฉะนี้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ลุงดำ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 24 พ.ย. 2007
ตอบ: 59

ตอบตอบเมื่อ: 25 ธ.ค.2007, 6:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Buddha พิมพ์ว่า:
เด็กน้อยผู้ใช้ชื่อว่า ลุงดำ หนูนะ ถ้าจะอ่านบทความหรือข้อความใดใดนะ หนูดำต้องหัดใช้วิจารณญาณว่า บทความหรือข้อความนั้น ผู้เขียนเขามีวัตถุประสงค์ในการเขียนเพื่ออะไร ต้องอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วก็พิจารณานะ ว่า เขามีจุดมุ่งหมายในการเขียนเพื่ออะไร หนูอย่าอวดฉลาดจนเกินเหตุนะ หนู นะ
แล้วก็ก่อนนอน อย่าลืม ดื่มนมสด สักเล็กน้อยนะหนูนะ
เวลารับประทานอาหาร ถ้าไม่มีอาหารทะเล ก็ให้ใส่เกลือไอโอดีนสักเล็กน้อยนะหนูนะ บำรุงสมอง นะหนูนะ



อย่าเลย พ่อBud อย่าได้เหลิง
เป็นชายชาติทหาร อกสามศอก อย่าได้กรอก ข้อความ ตลก ให้ลุงอ่านเลย เอ้อ

ภาษาไทยของพ่อBud ไม่แข็งแรง อ่อน ม๊าก มาก

ตอนจบ ตบท้าย ก็ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้มันจะบอกอะไรกับคนไทย เอ้อ

รู้อยู่อย่างเดียว

ศาสนา ไม่ใช่กฎหมาย
ศาสนา ไม่ใช่ข้อห้าม
ศาสนา เป็นเพียงคำแนะนำ หรือข้อควรปฏิบัติ

ใครอ่าน ใครก็เข้าใจอย่างนั้น ไม่ต้องแปล เอ้อ
เขียน ทำไม (ลุงก็รู้ ไม่อยากเล่า เอ้อ พ่อนักรบ)

นี่ถ้าพ่อBud สื่อไม่รู้เรื่อง สื่อไปพาดพิงใครเข้า ถึงตายนะ ติดคุกนะ เอ้อ
ดีนะเขาลบ ความเห็นของพ่อBud ไปหลายอันแล้ว บังเอิญ ลุงอ่านทัน
แล้วยังไปท้า เว็บมาส สะ เต้อร์ เขาอีก ไม่ดีก็ลบนะ พ่อBudไม่กลัว ไม่ว่าอะไร กัน พ่อนักภาษาไทย เอ้อ

เขียนแล้วอ่าน อ่านแล้วคิด คิดให้ดี ถามกับตัวเองว่า อ่านแล้ว ตัวเองรู้เรื่องไม๊ เอ้อ
อ่านเองยังไม่รู้เรื่อง ยังบอกกับตัวเองมึน ยังไม่พอPostใหม่อีก เอ้อ
อะไร ของ พ่อBud เอ้อ
กินนม ดีกว่า จะได้ฉลาด เอ้อ
 

_________________
ถ้ามีเวลาว่างเกินไป ก็ไปช่วยเขาทำงานบ้าน บ้าง เอ้อ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
นวสฤษฏ์
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 06 พ.ย. 2007
ตอบ: 11

ตอบตอบเมื่อ: 25 ธ.ค.2007, 11:19 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ยิ้ม กราบเรียนทุกท่านครับ
เราทั้งหมดต่างทุกข์เพราะ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น หากเราทั้งหมดหยุดทุกอย่าง แล้วค่อยมาคุยกัน คงจะดีกว่าครับ ทุกคนบางครั้งก็หลงตน บางคนก็ผิดพลาด บางคนก็อยากเอาชนะกัน มันมีในทุกคนครับ มากน้อยต่างกันเท่านั้นเอง มันอยู่ที่เราจะสามารถควบคุมมันได้ดี แล้วหรือไม่เท่านั้นเองครับ ทำไมเล่าเราจะมาทะเลาะกัน ทำไมเล่าเราไม่เลิกเถียงกัน ทำไมเล่าเราถึงอยากชิงดีชิงเด่นกัน อ่านแล้วกรุณากำหนดรู้ด้วยครับ เรามาให้อภัยกันเลิกแล้วต่อกัน ทุกอย่างที่เรากระทำมันจะเป็นผลแสดงให้เราเห็นเอง เมื่อเวลาผ่านไปเราก็จะรู้เองครับว่าเราทำอะไรมั้ง เราควรทำหรือไม่ควรทำ
มาจูงมือกันเดินไป มาเป็นเพื่อนกัน ใครล้มก็คอยผยูง ใครพลาดก็คอยชี้แนะ
เพราะเราต่างก็ต้องเคยพบเคยเจอกันมาแล้วทั้งนั้นทั้งในอดีตชาติหรือเมื่อไรก็ตาม เราต่างพยายามปฏิบัติดีเพื่อให้ดีขึ้นไป เราจึงจะต้องช่วยกันทั้งหมดครับ
รักกันดีกว่าครับ กราบขอขมาด้วยครับหากกระทบกระเทือนท่านทั้งหลาย
ผ่านแล้วย่อมผ่านไป อย่าได้ติดใจอะไรครับ ขอให้มีความสุขทุกท่านครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง