อุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ บุญบารมีแผ่ไกลในพุทธภูมิ

ตอบเมื่อ: 19 พ.ย.2007, 11:23 am

อุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ บุญบารมีแผ่ไกลในพุทธภูมิ [17 พ.ย. 50 - 17:53]

โครงการ “อุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ” ในอินเดียและเนปาล เนื่องในวโรกาสแห่งปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา ระหว่างวันที่ 28 ต.ค.-6 พ.ย.ที่ผ่านมา สำเร็จลุล่วงราบรื่นน่าปลื้มปีติเป็นที่สุด

โครงการนี้นำพุทธศาสนิกชนไทย ทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทุกภาคส่วน และผู้มีจิตศรัทธาทั่วไป รวม 89 ท่าน เข้ารับการอุปสมบท ปฏิบัติธรรม รักษาศีล เจริญจิตภาวนา ณ สังเวชนียสถาน 4 ตำบล คือ สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ซึ่งชาวพุทธหวังจะไปนมัสการสักครั้งในชีวิต

เลขมงคล 89 หมายถึง “80 พรรษา” และ “รัชกาลที่ 9”

งานอันยิ่งใหญ่นี้เกิดขึ้นได้ด้วยการผนึกกำลังศรัทธา ทั้งจากกระทรวงการต่างประเทศ ฝ่าย “ราชทูต” คือ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงนิวเดลี นำโดยนายจีระศักดิ์ ธเนศนันท์ เอกอัครราชทูตผู้ริเริ่มโครงการ และฝ่าย “พระธรรมทูต” นำโดย พระเทพโพธิวิเทศ เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา และพระราชรัตนรังษี ประธานสงฆ์วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ รักษาการเจ้าอาวาสวัดไทย-ลุมพินี ผู้เป็นหัวหน้าและรองหัวหน้าพระธรรมทูตสายอินเดีย ไปจนถึงพระครูสรวิชัย เจ้าอาวาสวัดไทยสารนาถในพาราณสี ที่อนุเคราะห์ ที่พักและอาหารให้คณะผู้เข้าร่วมโครงการอย่างดียิ่ง นอกจากนี้ ยังได้ พระนักศึกษาไทยในมหาวิทยาลัยเดลี พาราณสี มคธ กัลกัตตา และอุบาสกอุบาสิกา ทายกทายิกา อีกมากมายที่ร่วมทำงานอย่างสุดกำลัง

คณะอุปสมบทเดินทางด้วยเครื่องบินไปลงที่เมืองกายา รัฐพิหาร เมื่อ 27 ต.ค. เข้าพักที่วัดไทยพุทธคยาและเข้าพิธีบรรพชาที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดไทยพุทธคยา พระอุโบสถแห่งแรกในต่างประเทศ โดยมีพระธรรมสุธี พระเทพโพธิวิเทศ พระเทพรัตนสุธี พระราชรัตนาภรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีพระธรรมวรนายก เป็นพระแสดงธรรมสอนนาค

ด้วยเหตุที่บวชใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ มงคลฉายาของพระนวกะ (พระบวชใหม่) ทั้ง 89 รูป จึงมีคำว่า “โพธิ” ด้วยกันทั้งสิ้น

จากนั้นเดินทางไปนมัสการธรรมเมกขสถูปที่สารนาถ หรือป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ที่เมืองพาราณสี รัฐอุตตระประเทศ สถานที่ทรงแสดงปฐมเทศนา “ธัมมจักกัปปวัตนสูตร” โปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 และเดินทางไกลถึง 14 ชม. ข้ามพรมแดนเข้าเนปาลไป “ลุมพินีวัน” สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ย้อนกลับสู่เมืองกุสินาราในอินเดียไปนมัสการ “มหาปรินิพพานสถูป” สถานที่ปรินิพพาน และ “มกุฎพันธเจดีย์” สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ก่อนเข้าพิธีลาสิกขาที่วัดไทยกุสินาราเฉลิม-ราชย์ เมื่อ 5 พ.ย.

คณะอุปสมบทยังมีโอกาสเยี่ยมชมสถานที่สำคัญอื่นๆอีกมากมาย รวมทั้งขึ้นเขาคิชฌกูฏ ชมถ้ำสุกรขาตา สถานที่พระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวา ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ไปวัดเวฬุวันมหาวิหาร วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา สถานที่พระองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระอรหันตสาวก 1,250 รูป (ต้นกำเนิดวันมาฆบูชา) ชมพิพิธภัณฑ์สารนาถ ไปจนถึงล่องเรือในแม่น้ำคงคา

การเดินทางตามรอยพุทธองค์ ทำให้เกิดความอิ่มเอมในจิตใจ เกิดจินตภาพลึกล้ำว่า ก่อนจะเป็นพระศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ พระพุทธองค์ทรงผ่านอะไรมาบ้าง ทั้งยังทำให้ใคร่ครวญธรรมะได้ดียิ่งขึ้น

ขณะทำวัตรตามจุดต่างๆ คณะอุปสมบทยังสวดภาวนาให้ในหลวงและสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงหายจากพระอาการประชวรด้วยเสมอ และเป็นที่น่าอัศจรรย์ ยิ่งว่า แม้คณะจะเดินทางไกลบนถนนทุรกันดารและใช้ชีวิตลำเค็ญไม่คุ้นเคย แต่ก็ไม่มีใครล้มป่วย ฟ้าดินก็เป็นใจ ไม่มีอุบัติเหตุใดๆมาแผ้วพาน ทำให้คุณหมอธานี จาก รพ.พญาไท ที่ตามไปดูแลแทบไม่มีงานทำไปเลย

ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า งานนี้สำเร็จอย่างสง่างามเพราะอภิมหาบุญญาบารมีของ “ในหลวง” โดยแท้

ด้วยเหตุที่ “อินเดีย” เป็นศูนย์กลางการศึกษาด้านศาสนา มีสังคม-วิถีชีวิตหลากหลาย คณะผู้อุปสมบทจึงมีโอกาสสัมผัสและใคร่ครวญสัจธรรมแห่งชีวิตได้ลึกซึ้ง โดยมีพระสงฆ์ผู้ทรงภูมิความรู้คอยชี้แนะ และมี “ธรรมะ” ของพระพุทธองค์ คอยเทียบเคียงอย่างเป็นเหตุเป็นผลทั้งสิ้น

พระสอนว่า ไปอินเดีย ต้องมองเขาอย่างที่เขาเป็น อย่ามองอย่างที่เราอยากให้เป็น แม้เขาจะอยู่กันอย่างอัตคัดขัดสน สกปรก ขี้เยี่ยวกันข้างทาง อยู่มั่วกันไปทั้ง คนและสัตว์ แต่นั่นคือวิถี ชีวิตซึ่งเขามีความสุขได้ เช่นกัน แสดงว่าความสุขที่แท้อยู่ที่ความพอ คุ้นชินและยอมรับสภาพ ซึ่งสวนทางกับแนวคิดทุนนิยมตะวันตก

ด้านดีอีกอย่าง บ้านเมืองเขาแทบจะปลอดอบายมุข ไม่ดื่มสุรา ไม่กินเนื้อสัตว์ กินแต่พืชผักเป็นหลัก มีเงินน้อยก็อยู่ได้ ส่วนการแบ่งชนชั้นวรรณะ และประเพณีผู้หญิงสู่ขอผู้ชายที่โลกดูหมิ่นถิ่นแคลน ถ้ามองอีกมุม คือการแบ่งบทบาทหน้าที่ของคนอย่างชัดเจน วิถีชีวิตเช่นนี้มีรากเหง้ามาจากศาสนาฮินดูซึ่งบูชาเทพเจ้า

“พระราชรัตนรังษี” ให้ข้อคิดว่า ชาวอินเดียปัจจุบันไม่นับถือศาสนาพุทธ แต่เชื่อถือหลักธรรมในพุทธศาสนา ส่วนชาวไทยส่วนใหญ่แม้จะ “นับถือ” ศาสนาพุทธ แต่ “ไม่เชื่อถือ” ไม่ปฏิบัติตามหลักธรรม ของพุทธศาสนา ประโยชน์ จึงไม่เกิด ปัญหาจึงมีมาก สังคมไทยยุคนี้กำลังเสื่อมทรุด ถ้าไม่ช่วยกันทะนุบำรุง พุทธศาสนาและใช้หลักธรรม นำชีวิตโดยเริ่มที่ตัวเราและครอบครัวก่อน ก็ยากที่จะอยู่อย่างสุขสงบได้

ส่วนพระสงฆ์ผู้สืบทอดศาสนา ก็ต้องพัฒนาตนให้พร้อม ให้ดีให้เก่งให้ สามารถ ให้คนเชื่อถือศรัทธา ให้ได้ มิฉะนั้น จะต้านทานความเลวร้ายไม่ได้ ศาสนจักรและอาณาจักรต้องเกื้อหนุนกัน ธุรกิจและศาสนกิจนั้นไปด้วยกันได้ เพราะธุรกิจเลี้ยงปากท้อง ศาสนาหล่อเลี้ยงจิตใจ

เหล่านี้คือพุทธธรรมอันล้ำค่าที่ผู้เข้าร่วมอุป�สมบท ซึ่งล้วนเป็นกำลังสำคัญในบ้านเมือง ควรนำไปปฏิบัติและขยายต่อเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ

(ป.ล.ผู้ต้องการร่วมสมทบทุนโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ เพื่อทูลเกล้าฯถวายในหลวง บริจาคได้ที่บัญชี 0000156647 ธ.กรุงไทย สำนักงานนานาเหนือ)

http://www.thairath.co.th/news.php?section=agriculture05&content=68448