Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ที่ตั้งของจิต HEART OR CENTRAL NERVOUS SYSTEM อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ค.2007, 5:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

รวบรวม นานาทรรศนะในเรื่อง “ที่ตั้งของจิตในร่างกาย”จากผู้รู้ทางพุทธศาสนาหลายๆท่าน จากที่ต่างๆ

คือเรื่องนี้ มีความเห็นแตกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

1. กลุ่มที่เชื่อว่า จิตตั้งอยู่ในหัวใจเนื้อ (HEART)
2. กลุ่มเชื่อว่าจิตตั้งอยู่ในระบบประสาทกลาง (CENTRAL NERVOUS SYSTEM)

กลุ่มที่เชื่อว่า จิตตั้งอยู่ในหัวใจเนื้อ (HEART) นี้ ประกอบด้วยกลุ่มผู้ศึกษาพระอภิธรรม และ แพทย์ที่ศึกษาพระอภิธรรม เป็นหลัก

กลุ่มเชื่อว่าจิตตั้งอยู่ในระบบประสาทกลาง (CENTRAL NERVOUS SYSTEM) ประกอบด้วยชาวพุทธทั่วไป แพทย์ที่ไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรม และ ผู้ศึกษาพระอภิธรรมแบบคนรุ่นใหม่เช่น อ.ระวีภาวิไล

………………………………………………………………..

ในประเด็นนี้ ขอเรียงลำดับหลักฐาน และระดับของความเห็นเป็นดังนี้
1.พระไตรปิฎก ได้แก่
1.1 พระสูตร และ พระวินัย
1.2 1.2พระอภิธรรม
2.อรรถกถา ที่เกิดจากอาจารย์รุ่นหลัง อธิบายขยายความข้อ1อีกที
3. ความเห็นบุคคลในยุคปัจจุบัน
4.ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์

ปล. ที่แยก “พระสูตร และ พระวินัย” ออกจาก “พระอภิธรรม”นั้น เพราะในยุคปัจจุบัน ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญพระพุทธศาสนาบางท่าน เช่น ท่านอาจารย์พุทธทาส อ.เสฐียรพงษ์วรรณปก และ ๆลๆ มีความเห็นว่าพระอภิธรรม”อาจจะ”ไม่ใช่สิ่งที่พระพทธเจ้าตรัสไว้โดยตรงก็ได้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ค.2007, 5:23 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จาก 1.1 จากพระสูตรและพระวินัย ยังไม่พบหลักฐานชัดๆ ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ชัดๆว่า จิตตั้งอยู่ในหัวใจ


จาก1.2 จากพระอภิธรรม
พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๗
มหาปัฏฐานปกรณ์ ภาค ๑

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=40&A=422&Z=2809

อัพยากตธรรม อาศัยอัพยากตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย
คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัพยากตวิบาก และอัพยากต-
*กิริยา เกิดขึ้น ขันธ์ ๑ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๓ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป
อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัพยากตวิบาก
เกิดขึ้น ขันธ์ ๑ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๓ เกิดขึ้น ขันธ์ ๒ และกฏัตตารูป อาศัยขันธ์ ๒
เกิดขึ้น หทยวัตถุอาศัยขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทยวัตถุ เกิดขึ้น

คือจาก พระอภิธรรมนี้ กล่าวเพียงว่า “หทยวัตถุอาศัยขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลายอาศัยหทยวัตถุ เกิดขึ้น” แต่ก็ไม่ได้ระบุให้ชัดเจนว่า หทยวัตถุ(ที่ทางนักอภิธรรมเชื่อว่าเป็นที่ตั้งของจิต)นั้น ตั้งอยู่ในส่วนใดของร่างกาย

อีกประการหนึ่ง ถ้ายังจำเรื่อง สูกรมัณฑวะ อาหารที่พระพุทธองค์ทรงเสวยมื้อสุดท้ายได้….. ไทยเราปักใจเชื่อกันว่า เป็นอาหารที่ปรุงจากเนื้อหมูอ่อนมาตั้งนาน จนเมื่อไม่ถึงร้อยปีนี้ เราจึงได้ข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ ว่า อาจจะเป็นเห็ดชนิดหนึ่งที่หมูป่าชอบกิน!!

ดังนั้นคำว่า”หทัยวัตถุ”ในพระอภิธรรม ซึ่งแตกต่างจากคำว่า”หทยัง”(หัวใจเนื้อ)นี้ ก็ต้องระวังว่าอาจจะไม่ใช่ความหมายว่า ตั้งอยู่ในหัวใจเนื้อก็เป็นไปได้……
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ผู้เยี่ยมชม.
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 22 พ.ค. 2007
ตอบ: 95

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ค.2007, 5:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จิตเป็นสิ่งละเอียด ไม่ใช่สิ่งหยาบอย่างรูปกายเนื้อ ถ้ายังบำเพ็ญบุญบารมีไม่ถึงขั้น อภิญญา ก็ไม่สามารถเห็นจิตผู้อื่นได้หรอกครับ แม้จิตของตนเองก็ยังต้องฝึกเองถึงจะรับรู้เองได้ว่ามีอยู่

หทยวัตถุ ที่กล่าวถึง หมายถึง มโน ไหมครับ คือตัวอย่างเช่นว่า ผัสสะเกิด มโนเกิด อุปาทานเกิด ขันธุ์จึงเกิด ทุกข์จึงเกิด

มโนดังว่าคือตัวที่เกิดขึ้นจากการปรุงแต่งซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ แต่ดั้งเดิมมันว่าง ไม่มีการปรุงแต่ง จึงอาจเรียกได้ว่ามี รูปมโน และ อรูปมโน หรือมี หทยวัตถุ และ อทยวัตถุ

ถ้าเป็น มโน ดังตัวอย่างที่ว่าไว้ ขันธุ์ ทั้งมวลทั้งปวงเกิดขึ้นแน่นอนครับ

หทยวัตถุ จึงมีเพราะ ขันธุ์ ขันธุ์ จึงมีเพราะ หทยวัตถุ ดังกล่าวมานี้

สาธุ ผิดถูกประการใดขอความกรุณาช่วยชี้แจงด้วยนะครับ หวังว่าคราวหน้าคงมีความรู้มาแจกให้ศึกษากันอีกนะครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ค.2007, 5:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

2.อรรถกถา ที่เกิดจากอาจารย์รุ่นหลัง อธิบายขยายความข้อ1อีกที

ตรงนี้ เรียกว่า มีการกล่าวแบบชัดเจนว่า จิตตั้งอยู่ในรูปปรมาณู(ตาเปล่ามองไม่เห็น)ที่เรียกว่า หทัยวัตถุ…และหทัยวัตถุ ตั้งอยู่ใน”หทยัง”หรือหัวใจเนื้ออีกที โดยระบุว่าเนื้อหัวใจส่วนที่เป็นที่ตั้งของหทัยวัตถุนั้น มีลักษณะเป็นหลุมขนาดเท่าเมล็ดในดอกบุนนาค

จาก หทยํ (เนื้อหัวใจ)
อรรถกา เล่ม๗๕ พระอภิธรรมปิฎก วิภวังค์ปกรณ์
คำว่า หทยํ คือ เนื้อหัวใจ เนื้อหัวใจนั้น ว่าโดยสี มีสีแดงดังสี
หลังกลีบดอกปทุม. ว่าโดยสัณฐาน มีสัณฐานดังดอกปทุมตูม ที่เขาปลิดกลีบ
ข้างนอกออกแล้วตั้งคว่ำลง ภายนอกเกลี้ยง แต่ภายในเป็นเช่นกับภายในผล
บวบขม เนื้อหัวใจของคนมีปัญญาแย้มบานหน่อยหนึ่ง ของคนผู้ไร้ปัญญา
เป็นดังดอกบัวตูมนั่นแหละ
ก็ภายในของเนื้อหัวใจนั้นเป็นหลุมมีประมาณจุเมล็ดในดอกบุนนาคได้ ในที่ใด โลหิตมีประมาณกึ่งฟายมือขังอยู่ มโนธาตุและมโนวิญญาณธาตุอาศัยที่ใดเป็นไปอยู่ ก็แลโลหิตนั้นๆ ในที่นั้นๆ
ของ
คนมีราคจริตเป็นสีแดง ของคนมีโทสจริตเป็นสีดำ ของคนมีโมห-
จริตเป็นเช่นกับสีน้ำล้างเนื้อ ของคนมีวิตักกจริตเป็นสีเช่นกับน้ำต้ม
ถั่วพู ของคนมีสัทธาจริตเป็นสีดังดอกกรรณิการ์ ของคนมีปัญญา-
จริต ใส ผุดผ่อง ไม่หมองมัว ขาว บริสุทธิ์ ย่อมปรากฏรุ่งเรืองอยู่
ดุจแก้วมณีบริสุทธิ์ที่เจียระไนแล้ว. ว่าโดยทิศ เกิดในทิศเบื้องบน. ว่าโดย
โอกาส ตั้งอยู่ใกล้ท่ามกลางระหว่างถันทั้ง ๒ ในภายในสรีระ. ว่าโดยปริจเฉท
กำหนดโดยส่วนที่เป็นเนื้อหัวใจ. นี้เป็นสภาคปริเฉทของเนื้อหัวใจ ส่วน
วิสภาคปริจเฉท .
(ปล. กลุ่มแพทย์ที่ศึกษาอภิธรรม เชื่อว่า หทัยวัตถุ ตั้งอยู่ที่SA node)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ค.2007, 5:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

3.ความเห็นของบุคคลในยุคปัจจุบัน

ที่น่าสนใจคือ
3.1วิสัชนาโดย คุณดังตฤณ ดังนี้

ปุจฉา
1.จิตเกิดมาจากไหน
2.มีรูปร่างอย่างไร
3.ตั้งอยู่ส่วนใดของร่างกาย
และถ้าจะอ่านในพระไตรปิฎกไม่ทราบว่าอยู่เล่มไหนครับ
รบกวนท่านผู้รู้ช่วยตอบด้วยคัรบ
จากคุณ : jatu599 [ 7 ธ.ค. 2543 / 11:25:45 น. ]
[ IP Address : 203.146.24.17 ]


วิสัชนา
พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงให้ความจริงหรือคำตอบไว้ในลักษณะที่สอดคล้องกับคำถามครับ
คำถามเหล่านี้ต้องการคำตอบเชิงตรง หรือในเชิงวิทยาศาสตร์ ที่มีการกำหนดขอบเขตและตำแหน่ง
คำตอบที่ได้อาจมีความหลากหลายสูง เพราะขึ้นอยู่กับมุมมองและวิธีการพิสูจน์ ทดลอง
นับว่าเป็นการเอาคำตอบโดยทางอ้อม เพราะมีปัจจัยแวดล้อม เช่นความคิด ความเชื่อ
รวมทั้งเครื่องไม้เครื่องมือตรวจสอบพิสูจน์เข้ามาเกี่ยวข้อง

แต่คำตอบของพระพุทธองค์เกี่ยวกับเรื่องของจิตที่เห็นได้
จะเป็นการเอาคำตอบโดยทางตรง
กล่าวคือในสติปัฏฐานสูตรนั้น จะเห็นว่าพระองค์ไม่ให้แสวงหาจิตในลักษณะที่เป็นดวงๆในร่างกาย
ไม่ได้ให้กำหนดอยากรู้ว่าขอบเขต รูปทรง หรือตำแหน่งที่อยู่เป็นแห่งหนตำบลไหน
พระองค์ให้เห็น สภาพ ของจิตสืบหาร่องรอยของจิตจากอาการ หรือสภาวะตรงๆ
เช่นเมื่อเกิดราคะให้รู้ว่า ณ บัดนี้มีราคะเกิดขึ้นในใจเรา
เมื่อเกิดโทสะให้รู้ว่า ณ บัดนี้มีโทสะเกิดขึ้นในใจเรา
เมื่อเกิดโมหะ (เช่นหลงตน) ให้รู้ว่า ณ บัดนี้มีโมหะเกิดขึ้นในใจเรา


จากนั้นค่อยสืบละเอียดไปเรื่อยๆด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลางถึงอาการต่างๆ
ฟุ้งก็รู้ว่าฟุ้ง สงบก็รู้ว่าสงบ แม้แต่หลุดพ้นจากความยึดมั่นขันธ์ 5
ก็สักแต่เห็นเป็นสภาวะหนึ่งๆ ไม่เหลืออาการรอบนอกของจิตที่ถูกยึดเป็นตัวเป็นตนเลย

พอไม่ยึดอะไรแม้แต่ความรู้สึกว่าง ความรู้สึกพ้น ภาวะของจิตที่สูงก็ดี ต่ำก็ดี
ก็เห็นอะไรอีกอย่างหนึ่ง ว่าสิ่งที่เรียกว่า "จิต" นั้น เป็นธรรมชาติรู้
ไม่มีดี ไม่มีชั่ว แต่เป็นต้นแหล่งกำเนิดความดีความชั่ว
ไม่ใช่ตัวตน เพราะคุมให้อยู่ในภาวะใดภาวะหนึ่งถาวรไม่ได้

พระองค์ให้ทราบจิตโดยนัยของความเป็นเช่นนี้เพื่อเกิดความปล่อยวาง
แม้ความยึด ความหวงว่าจิตเองเป็นตัวเป็นตนก็ไม่ใช่
(เพราะจิตในภาวะหลุดพ้นเหนือขันธ์ 5 ก็ถูกระบุ ว่าต้องถูกสักแต่รู้เป็นภาวะหนึ่ง
ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น)

ส่วนการสาธยายรายละเอียดตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับจิตในอภิธรรมนั้น
แปรไปตามความละเอียดพิสดารของการแจกแจงเจตสิก
แม้มีเรื่องคุณสมบัติของจิตอยู่บ้าง ก็ไม่ใช่คำตอบโดยตรงต่อคำถามที่เราตั้งขึ้นมาในเชิงวัตถุครับ

จากคุณ : ดังตฤณ [ 7 ธ.ค. 2543 / 12:18:19 น. ]
[ IP Address : 202.183.228.67 ]
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ค.2007, 5:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

3.2ข้อวินิจฉัยเรื่องหทยรูป

โดย. อาจารย์ระวี ภาวิไล จากหนังสือ อภิธรรมสำหรับคนรุ่นใหม่.
๓๑.๑๐ ข้อวินิจฉัยเรื่องหทยรูป
ในขณะเดียวกันหลักฐานจากวิชาสรีรศาสตร์ และการแพทย์ปัจจุบันบ่งชัดเจนว่า ระบบประสาทกลาง ( Central Nervous System - CNS ) ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่เนื้อเยื่อสมอง ไขสันหลัง และเส้นประสาทที่แผ่กระจายออกไปทั่วร่างกายของมนุษย์สัตว์มีความสัมพันธ์แน่นอนกับความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์สัตว์
โดยที่ความชำรุดเสียหายของส่วนใดก็ตามของ CNS นี้จะมีผลกระทบกระเทือนถึงความรู้สึกนึกคิด และพฤติกรรมในลักษณะที่ตรวจสอบได้ในปฏิบัติการ
ข้อเท็จจริงนี้ทำให้น่าพิจารณา CNS ในบทบาทที่ตั้งของจิตที่เป็นมโนธาตุและมโนวิญญาณธาตุรวม ๗๙ ดวงการที่ CNS แผ่กระจายอยู่ทั่วร่างกายของมนุษย์สัตว์ หมายความว่า ในขณะใดขณะหนึ่ง บางส่วนของ CNS นี้ จะเป็นที่อาศัยเกิดของจิตบางดวง ซึ่งสรุปว่า ตัวหทยวัตถุอาจเลื่อนที่ไปที่ตำแหน่งใดของ CNS ก็ได้

หรือไม่เช่นนั้น CNS ทั้งระบบนั้นเอง คือ หทยวัตถุรูปปรมัตถ์.
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ค.2007, 5:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

4.ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า

4.1 แม้นจะเอาหัวใจจักกรกล เช่น AbioCor ซึ่งเป็นหัวใจจักรกลทั้งดวงเปลี่ยนแทนของเก่า ความจำ และความรู้สึกนึกคิดของผู้ป่วยก็ยังคงเหมือนเดิมทุกประการ….. ซึ่งเป็นการค้านสมมติฐานที่ว่าจิตตั้งอยู่ในหัวใจห้องขวาบนตรงตำแหน่งSA node
ดูรูป AbioCor และการติดตั้งในร่างกายคน


http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Pid=5764

4.2ที่อรรถกถาบรรยายว่า”….. ก็ภายในของเนื้อหัวใจนั้นเป็นหลุมมีประมาณจุเมล็ดในดอกบุนนาคได้…..”นั้น น่าจะตรงกับFOSSA OVALIS มากกว่า SA node

4.3สิ่งที่ไอน์ไสตน์ได้เคยเตือนเอาไว้
"....... ในอดีต ความขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนาได้สร้างความน่าหดหู่มาแล้วหลายครา ตัวอย่างเช่น หากมีชุมชนใดสักแห่งที่เคร่งศาสนาออกมายืนยันว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่บัญญัติไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ลเป็นจริงหมด เมื่อนั้นก็อาจกล่าวได้ว่าศาสนาได้ก้าวล้ำเข้าไปในขอบเขตของวิทยาศาสตร์ และสร้างความขัดแย้งระหว่างความเชื่อทางศาสนากับวิทยาศาสตร์ เหมือนเช่นที่กาลิเลโอและดาร์วินเคยประสบมาก่อน......"


สุดท้ายนี้ ก็ต้อง ไม่ลืม เกสปุตตสูคร หรือกาลามสูตรที่ว่า
“……ท่านทั้งหลาย
อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา
อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำสืบๆ กันมา
อย่าได้ยึดถือโดยตื่นข่าวว่า ได้ยินอย่างนี้
อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา
อย่าได้ยึดถือโดยเดาเอาเอง
อย่าได้ยึดถือโดยคาดคะเน
อย่าได้ยึดถือโดยความตรึกตามอาการ
อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฐิของตัว
อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้
อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา..."
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ค.2007, 5:55 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ประเด็นที่มีผู้สงสัยว่า….
ในเมื่อ ถ้าจิตไม่ได้ตั้งอยู่ในหัวใจแล้ว ทำไมเวลาคนเราเครียด โกรธ หรือ ตกใจสุดขีด ทำไมจึงเจ็บหน้าอกได้ล่ะ??

ข้อนี้ ต้องแยกพูดเป็นสองทางคือ

1.ทำไมการเครียดจึงทำให้ผู้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว(มีพยาธิสภาพที่หัวใจจริงๆ) อาการโรคหัวใจแย่ลง
และ
2.ทำไมการเครียดจึงทำให้ผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคหัวใจ(ไม่มีพยาธิสภาพที่หัวใจเลย) มีอาการเจ็บหน้าอกได้


ประเด็นข้อ1นั้น…. ตรงไปตรงมา พบได้ทุกเมื่อเชื่อวันอยู่แล้ว เกิดจากการที่ในเวลาคนเราเครียดระบบประสาทจะหลั่งสารเคมีหลายชนิด ที่มีผลทำให้หัวใจที่เป็นโรคอยู่แล้วแย่ลง

ประเด็น2 ที่ว่า “ทำไมการเครียดทำให้ผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคหัวใจ(ไม่มีพยาธิสภาพที่หัวใจเลย) มีอาการเจ็บหน้าอกได้”……
มันน่าสงสัย ใช่ไหมครับ ว่าถ้าจิตไม่ได้ตั้งอยู่ในหัวใจแล้ว ทำไมคนเราเวลาเครียดจึงเจ็บอกได้….

ตรงนี้ ต้องเข้าใจเส้นทางเดินของระบบประสาทแถวทรวงอกเสียก่อน
ว่า อวัยวะทั้ง หัวใจ หลอดอาหาร ปอด กล้ามเนื้อทรวงอก ๆลๆ ใช้เส้นทางเดินบางส่วนร่วมกัน และบางส่วนก็ทับซ้อนกัน

ลองอ่าน

http://symptomresearch.nih.gov/chapter_25/sec8/crfs8pg1.htm

บรรยายเส้นทางเดินของประสาทรับความรู้สึกเจ็บปวดของหัวใจ ว่าส่วนหนึ่งผ่านมาทางเส้นประสาทSPINAL NERVE(ที่นำระบบประสาทอัตโนมัติซิมพาเธติกมาสู่หัวใจ)เข่าสู่ระบบประสาทกลางที่รับความรู้สึก….. และอีกส่วนหนึ่งผ่านมาทางเส้นประสาทสมองคู่ที่สิบVAGUS NERVE(ที่นำระบบประสาทอัตโนมัติพาราซิมพาเธติกมาสู่หัวใจ) เข่าสู่ระบบประสาทกลางที่รับความรู้สึก

ทีนี้ ประสาทที่รับความรู้สึกเจ็บปวดของหัวใจนี้ ไม่ได้รับความรู้สึกเฉพาะจากหัวใจเท่านั้น
เส้นประสาทที่รับความรู้สึกเจ็บปวดของหัวใจนี้รับความรู้สึกจากอวัยวะอื่นๆแถวนั้นอีกด้วย เช่น หลอดอาหาร ปอด คอ กราม กล้ามเนื้อทรวงอก ๆลๆ
จะเห็นชัดเจน ในผู้ป่วยที่เป็นโรคของหลอดอาหารส่วนปลาย จะมีอาการเจ็บอกเหมือนเจ็บอกจากโรคหัวใจเปี๊ยบเลย!!!
หรือผู้ป่วยที่มีภาวะลิ่มเลือดไปอุดกั้นเส้นเลือดในปอดอย่างเฉียบพลัน จะมีอาการเจ็บอกเหมือนเจ็บจากโรคหัวใจ …….ทั้งๆที่หัวใจปกติทุกประการ
เพราะเวลาสมองแปลสัญญาณประสาทที่มาจากอวัยวะแถวๆนั้น สมองอาจจะไม่สามารถบอกตำแหน่งที่ชัดเจนได้ว่าอวัยวะที่ทำให้เจ็บอกจริงๆนั้นอยู่ตรงไหน…..
ด้วยเหตุนี้ …….พยาธิสภาพอยู่ที่ปอด หรือ หลอดอาหาร แท้ๆ ดันไปเจ็บเหมือนเจ็บที่หัวใจได้

แล้วท่านอาจจะสงสัยว่า เอ…. แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่คนที่ไม่เป็นโรคหัวใจ เวลาเครียดแล้วเจ็บอกล่ะ….

คำอธิบายก็คือ เหตุผลที่ผมกล่าวมาข้างบนนี้ล่ะครับ

เพราะการที่คนที่ไม่เป็นโรคหัวใจเครียดแล้วเจ็บอกนั้น เกิดจากมีการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อในทรวงอกแล้วมีการกระตุ้นระบบประสาทรับความรู้สึกเจ็บปวดแถวๆนั้นเข้า
ลองอ่าน

http://heartdisease.about.com/cs/coronarydisease/a/CPI.htm

ท่านผู้เขียบบทความเป็นอายุรแพทย์โรคหัวใจที่เชี่ยวชาญคนหนึ่งของอเมริกา….

Anxiety or Panic Disorder
(ภาวะเครียด หรือตื่นตระหนก ทำให้เกิดอาการเจ็บอก)
Cause of pain:
Anxiety or panic attacks are characterized by repeated episodes of intense anxiety and fear that occur without warning and generally without an identifiable cause. Panic attacks are often accompanied by chest pain, most likely caused by muscle contractions in the chest wall.

สรุป คือว่า เวลาคนที่ไม่มีพยาธิสภาพที่หัวใจ เครียดแล้วเจ็บอกนั้นเป็นเพราะว่า มีการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อทรวงอก…..
ลองสังเกตุเวลาเราเครียดดูง่ายๆก็ได้ ว่าเราจะหายใจสั้นลงและตื้น…. ถ้าเครียดมากๆ บางครั้งเผลอกลั้นหายใจไปเลยก็มี….. และนี่นำไปสู่การเกร็งตัวของกล้ามเนื้อทรวงอก จึงเกิดเจ็บอกคล้ายๆโรคหัวใจได้

ดังนั้น ต่อให้เปลี่ยนหัวใจไททาเนียม(ที่ไม่มีหลุม ขนาดเท่าเมล็ดในดอกบุนนาคอันเป็นที่ตั้งของหทัยวัตถุ)เข้าไปแทนหัวใจเนื้อแล้วก็ตาม….. ถ้าไปเผลอสติเครียดมากๆ ก็จะรู้สึกเจ็บอกตรงตำแหน่งหัวใจได้เหมือนกัน

ดังนั้น ตรรกะที่ใช้ว่า
“เพราะเวลาคนเราเครียด จึงเจ็บอกนั้น…..ยืนยันถึงการมีอยู่จริงของหทัยวัตถุในหัวใจ”
จึงมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน มาอธิบายได้ว่า …..ไม่ใช่เช่นนั้น
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ค.2007, 9:15 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอกลับไปตรง ประเด็นที่ตั้งของหทัยวัตถุน่ะครับ



ที่ทางแพทย์ผู้ศึกษาพระอภิธรรมหลายท่านเชื่อว่า หทัยวัตถุ(อันเป็นที่ตั้งของจิตนั้น)ตั้งอยู่ใน SA nodeนั้น.....เพราะท่านดูเทปบันทึกการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจในยุคต้นๆ ซึ่ท่านบอกว่าไม่ได้เปลี่ยนหมดทุกส่วน.....
ซึ่งก็น่าจะเป็นจริงดังที่ท่านพูด
เพราะในยุคต้นๆ การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ จะเหลือเนื้อของหัวใจห้องขวาบนของเดิมเอาไว้ เพื่อเย็บต่อกับหัวใจดวงใหม่. ท่านเลยเชื่อว่าSA node ของผู้ป่วยเดิมยังอยู่ จึงทำให้ผู้ป่วยยังคงมีจิตดวงเดิม

แต่ ณ เวลาปัจจุบัน เทคนิคการผ่าตัด และเทคโนโลยี ได้ก้าวหน้าไปมาก....


ผมไปหารูปการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจในยุคปัจจุบันมาให้ดู
(ดูรูปที่ 2 และ3 ดีๆน่ะครับ....หัวใจห้องบนขวาเป็นของผู้บริจาคทั้งห้อง)

http://www.cts.usc.edu/ht-pg-hearttransplantprocedure.html

ปัจจุบันนี้ เขาเก็บส่วนหัวใจซ้ายบนเอาไว้เพื่อใช้ในการเย็บต่อกับหัวใจใหม่
แต่หัวใจห้องบนขวา โดนเปลี่ยนหมด และส่วนที่ตั้งของ SA nodeก็โดนตัดออกไปด้วย....
จึงน่าจะตัดประเด็นเรื่อง จิตตั้งอยู่ในSAnodeออกไปได้แล้ว


และโดยเฉพาะ ถ้าเป็นหัวใจจักรกล เช่น AbioCor.... โดยดูจากรูป จะตัดเอาหัวใจเดิมออกทั้งหมด และก็มีการเอาส่วนที่ตั้งSA์nodeออกไปด้วยเหมือนกัน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ค.2007, 9:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอนำความเห็นของ"ผู้ที่ศึกษาวิทยาศาสตร์การแพทย์ท่านหนึ่ง ที่ศึกษาพระอภิธรรม".... แต่ ท่านมาเห็นด้วยกับ อ.ระวี ภาวิไล ที่ว่าระบบประสาทกลางน่าจะเป็นที่ตั้งแห่งหทัยวัตถุแล้ว


มาให้เพื่อนสมาชิกอ่านน่ะครับ
(เน้นความเห็นของท่าน ด้วยอักษรสีเขียว)


..........................................................



เพราะที่จริงแล้ว จิตมีเพียง 1 หน่วย(ดวง)เท่านั้น สำหรับ 1 ชีวิตแต่เกิดดับอย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนสภาพเป็นจิตชนิดต่าง ๆ 89 ประเภท สลับกันไปมา ตลอดเวลา

1 ใน 89 ประเภทนั้นคือ ปัญจทวาราวัชชนจิต คือวิถีจิตขณะแรกที่เกิดขึ้น รู้อารมณ์ทั้งห้า(อารมณ์ = สิ่งที่จิตรู้) ซึ่งรู้ทีละอารมณ์เท่านั้น แล้วจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น ฯลฯ จึงเกิดตามมา

หมายถึง ขณะที่ดูทีวี กินมาม่า ที่ส่งกลิ่นหอม จิตเห็น(ภาพทีวี)เกิดขึ้นแล้วดับไป ต่อจากนั้นจิตได้ยิน(เสียงทีวี)เกิดขึ้นแล้วดับไป ต่อจากนั้นก็เป็นจิตได้กลิ่น(หอมของมาม่า)เกิดขึ้นแล้วดับไป แล้วจิตลิ้มรสคือชิวหาวิญญาณจิตเกิดขึ้น(ลิ้มรส)แล้วดับไป แล้วจิตรู้โผฎฐัพพะเกิดขึ้น(รู้สัมผัสเส้นนุ่ม)แล้วดับไป

วนเวียนสลับกันอย่างรวดเร็วมาก จนเหมือนกับได้ยิน ได้เห็น ได้กลิ่น ในเวลาเดียวกัน


..............
และอีก 1 ใน 89 ประเภทนั้นก็คือ มโนทวาราวัชชนจิต คือ วิถีจิตขณะแรกที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางใจ

โดยเมื่อจิตทั้ง 5 (จิตเห็น หรือจิตได้ยิน หรือจิตได้กลิ่น...... ฯลฯ )ดับไป ก็มีจิตรับอารมณ์(สัมปฏิจฉันนจิต)เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ต่อจากนั้นก็มีจิตพิจารณาอารมณ์(สันตีรณจิต)เกิดขึ้นแล้วดับไป แล้วจิตรู้อารมณ์ทางใจ( มโนทวาราวัชชนจิต)จึงเกิดขึ้นแล้วดับไป

แล้วถ้าเป็นจิต ที่กระทำทางให้จิตที่เกิดต่อ มนสิการโดยไม่แยบคายก็เป็นอกุศลจิต ถ้าเป็นจิตที่กระทำทางให้จิตที่เกิดต่อ มนสิการโดยแยบคายก็เป็นกุศลจิต ซึ่งส่วนใหญ่เรามักจะเป็นอย่างแรกกัน

ที่บอกว่าจิตรู้อารมณ์ทั้ง 6 คือทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ นั้น ใน 5 อย่างแรก ก็พอเข้าใจว่าจิตอยู่ที่จักขุปสาท โสตปสาท..... ตามลำดับ


และ.........ๆลๆ

.................


"...ระบบประสาทกลาง (..CNS ) ครอบคลุมตั้งแต่...แผ่กระจายออกไปทั่วร่างกาย... มีความสัมพันธ์กับความรู้สึกนึกคิด และ
..จิตที่เป็นมโนธาตุและมโนวิญญาณธาตุ..หมายความว่า ในขณะใดขณะหนึ่ง บางส่วนของ CNS นี้ จะเป็นที่อาศัยเกิดของจิตบางดวง ซึ่งสรุปว่า ตัวหทยวัตถุอาจเลื่อนที่ไปที่ตำแหน่งใดของ CNS ก็ได้ ..."

เห็นด้วยกับ คห นี้ค่ะ



.........................................


ก็เป็นความเห็นหนึ่ง ของผู้ศึกษาพระอภิธรรม ที่ผมได้มีโอกาสพูดคุย และรับฟังความเห็นของท่านในเรื่องนี้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ค.2007, 9:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ได้มีทางนักอภิธรรมบางท่านเสนอทฤษฎีใหม่เรื่องที่ว่าทำไมเวลผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจแล้ว จิตที่อยู่ในหัวใจไม่ถูกเปลี่ยนไปด้วย โดยเหตุผลที่ว่า


".....จิตได้ย้ายออกจากหัวใจดวงเดิมที่ถูกผ่าตัดออก แล้วมาอยู่ในหัวใจดวงใหม่ที่ใส่เข้าไปแทน คล้ายๆ ปูเสฉวน ......"



ประเด็นเรื่อง การเปลี่ยนหลักการหรือแนวคิดที่ใช้อธิบายเรื่องหทัยวัตถุ นี้
ต้องระมัดระวังน่ะครับ.....

เพราะยิ่งเปลี่ยนบ่อยๆเท่าไร ผู้คนยุคปัจจุบันยิ่งเชื่อถืออรรถกถาน้อยลงเท่านั้น(ไม่เว้นแม้นแต่นักอภิธรรมเองบางส่วน)



จากตอนเริ่มสุด
ที่ทางนักอภิธรรมใช้ประเด็นที่ว่า เป็นไปได้ที่การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจนั้นเหลือบางส่วนของเนื้อหัวใจดวงเดิมไว้ จึงทำให้อาจเป็นไปได้ว่าหทัยวัตถุอาจจะ"ตกค้าง"อยู่ในเนื้อหัวใจส่วนที่ตัดออกไปไม่หมด(มีการพูดถึงเนื้อหัวใจที่เป็นที่ตั้งของSAnodeที่หัวใจห้องขวาบนว่ายังเหลือค้างอยู่ด้วย).....
ผมขออนุญาตตั้งชื่อแนวคิดนี้ว่า หทัยวัตถุตกค้าง .....
ซึ่งผมคิดว่าข้อเท็จจริงที่โลกเขาพิสูจน์ได้แล้ว สามารถหักล้างแนวคิดนี้อย่างสิ้นเชิง


ต่อมา
ก็เหมือนจะเริ่มมีการยอมรับกันขึ้นบ้างว่า แนวคิดหทัยวัตถุตกค้าง ไม่สามารถผ่านด่านการพิสูจน์ในปัจจุบันได้แน่ๆ...... เลยเปลี่ยนมาอธิบายหทัยวัตถุในการเปลี่ยนหัวใจ โดยเปรียบกับปูเสฉวน. ซึ่งฟังๆดูเหมือนกับจะกล่าวว่า ในการเปลี่ยนหัวใจนั้น ที่ไม่เปลี่ยนจิตไปด้วยเป็นเพราะว่า หทัยวัตถุของผู้รับบริจาคหัวใจย้ายจากหัวใจดวงเดิม(ที่ถูกตัดทิ้ง)มาสิงสู่หัวใจดวงใหม่ที่ใส่เข้าไปใหม่!!!.....
ผมขออนุญาตเรียกแนวคิดนี้ว่า หทัยวัตถุสิงสู่แบบปูเสฉวน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ค.2007, 9:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีบางท่านเสนอแนวคิดแย้งผมมาดังนี้
(ใช้สีแดง)


.............................

ขอแย้งตรงที่คุณตรงประเด็นบอกว่าจิตเป็นการทำงานของสมองครับ

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง จะเป็นไปไม่ได้ที่จิตจะส่งกระแสอิทธิพลไปยังจิตดวงใหม่ที่จะปฏิสนธิขึ้น เพราะหากร่างกายตายลง และจิตเป็นการทำงานของสมองเท่านั้น ทุกอย่างก็จะปิดฉากลง ไม่มีอะไรส่งกระแสหรือส่งผลกระทบอะไรได้อีกครับ



..................................


ผมมีความเห็นดังนี้ครับ

"จิตจะส่งกระแสอิทธิพลไปยังจิตดวงใหม่ที่จะปฏิสนธิขึ้น".....เป็นไปได้สิครับ
ไม่ว่า จิตจะตั้งอยู่ในส่วนใดของร่างกายก็ตาม

ประเด็น เรื่อง ที่ตั้งของจิตในร่างกาย กับ เรื่องการเกิดใหม่ เป็นคนล่ะประเด็นกันน่ะครับ.
จะใช้ตรรกะที่ว่า "ถ้าจิตไม่ได้ตั้งอยู่ในหัวใจเสียแล้ว การเกิดใหม่จะมีไม่ได้"นั้น ไม่ได้น่ะครับ......
เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ชัดเจน ว่า ถ้ายังมีเชื้อแห่งการเกิดใหม่อยู่ การเกิดใหม่ก็ยังคงมีอยู่
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ค.2007, 9:39 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีบางท่านเสนอแนวคิดแย้งผมมาดังนี้
(ใช้สีแดง)


.............................


หากสมองเป็นที่อาศัยของจิตแล้ว แสดงว่าขณะปฏิสนธิ สมองยังไม่มี จิต หรือ วิญญาณ ย่อมยังไม่มี


............................


ผมมีความเห็นดังนี้ครับว่า
คงจะใช้ตรรกะเช่นนี้ไม่ได้หรอกน่ะครับ

เพราะขณะปฏิสนธิ หทัยวัตถุที่ทางนักอภิธรรมบางกลุ่ม(ยกเว้นท่านอาจารย์ระวี)เชื่อว่าเป็นที่อยู่ของจิตได้แก่SA nodeนั้น ก็ยังไม่มีเหมือนกัน!!!

และถ้าจะใช้ตรรกะแบบที่ใช้นี้ เราคงต้องกล่าวแบบเดียวกันว่า

"หากSA node(ที่ตั้งแห่งหทัยวัตถุ)เป็นที่อาศัยของจิตแล้ว แสดงว่าขณะปฏิสนธิ SA node(หทัยวัตถุ)ยังไม่มี จิตหรือวิญยาณย่อมยังไม่มี"
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ค.2007, 9:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมอยากเสนอว่า ในเรื่อง หทัยวัตถุ อันเป็นที่ตั้งของจิตนี้

ควรใช้แนวทางที่ท่าน อ.ระวี ภาวิไล กล่าวไว้


อ้างอิง

ซึ่งสรุปว่า ตัวหทยวัตถุอาจเลื่อนที่ไปที่ตำแหน่งใดของ CNS ก็ได้

หรือไม่เช่นนั้น CNS ทั้งระบบนั้นเอง คือ หทยวัตถุรูปปรมัตถ์.



แนวทางของ อ.ระวี ภาวิไล เป็นแนวทางที่น่าสนใจ และจะสามารถยืนยงคงทนต่อการพิสูจน์ได้


แนวทางการศึกษาพระอภิธรรม ที่จะฝ่าด่านการตรวจสอบจากวิทยาการในปัจจุบันไปได้นั้น ต้องมีท่าทีที่
1.เปิดเผย รับฟังวิทยาการที่โลกเขาพิสูจน์แล้วบ้าง
2.ไม่ยึดมั่น-ถือมั่น ในอรรถกถาจนเลยเถิด(ต้องใช้หลักกาลามสูตรมาถ่วงดุลย์อรรถกถาจารย์ด้วยด้วย)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ค.2007, 9:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผู้เยี่ยมชม. พิมพ์ว่า:
จิตเป็นสิ่งละเอียด ไม่ใช่สิ่งหยาบอย่างรูปกายเนื้อ ถ้ายังบำเพ็ญบุญบารมีไม่ถึงขั้น อภิญญา ก็ไม่สามารถเห็นจิตผู้อื่นได้หรอกครับ แม้จิตของตนเองก็ยังต้องฝึกเองถึงจะรับรู้เองได้ว่ามีอยู่

หทยวัตถุ ที่กล่าวถึง หมายถึง มโน ไหมครับ คือตัวอย่างเช่นว่า ผัสสะเกิด มโนเกิด อุปาทานเกิด ขันธุ์จึงเกิด ทุกข์จึงเกิด

มโนดังว่าคือตัวที่เกิดขึ้นจากการปรุงแต่งซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ แต่ดั้งเดิมมันว่าง ไม่มีการปรุงแต่ง จึงอาจเรียกได้ว่ามี รูปมโน และ อรูปมโน หรือมี หทยวัตถุ และ อทยวัตถุ

ถ้าเป็น มโน ดังตัวอย่างที่ว่าไว้ ขันธุ์ ทั้งมวลทั้งปวงเกิดขึ้นแน่นอนครับ

หทยวัตถุ จึงมีเพราะ ขันธุ์ ขันธุ์ จึงมีเพราะ หทยวัตถุ ดังกล่าวมานี้

สาธุ ผิดถูกประการใดขอความกรุณาช่วยชี้แจงด้วยนะครับ หวังว่าคราวหน้าคงมีความรู้มาแจกให้ศึกษากันอีกนะครับ



ขอบคุณครับ

ก็เป็นมุมมองที่น่าสนใจครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ค.2007, 9:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เป็นความเห็นของ คุณระนาด ที่น่าสนใจอีกมุมมองครับ
(ใช้สีแดง)


.........................................


เปลี่ยนหัวใจ เอาหัวใจจักรกลมาใส่แทนหัวใจอันเดิม ก็เปลี่ยนได้แล้ว

เปลี่ยนหัวใจ เอาหัวใจของคนตายมาใส่แทนหัวใจอันเดิม ก็เปลี่ยนได้แล้ว

เปลี่ยนหัวใจและปอดแบบยกออกไปทั้งยวง ก็เปลี่ยนได้แล้ว

ผู้ป่วยที่ได้รับการเปลี่ยนหัวใจ ก็ยังมีจิตเป็นคนเดิม ไม่ใช่จิตของคนให้บริจาคหัวใจ ตรงนี้ก็พิสูจน์กันชัดๆอยู่แล้วว่า " จิตไม่อยู่ที่หัวใจ "

ถ้าอรรถกถาบทไหนกล่าวว่า...จิตอยู่ที่หัวใจ.....
ก็แสดงว่าอรรถกถาเฉพาะบทนั้นๆ กล่าวผิดพลาด แต่ไม่ใช่อรรถกถาทั้งหมดผิดพลาด ซึ่งเราก็ต้องพิจารณาเป็นส่วนๆไป
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ค.2007, 10:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอเพิ่มเติมประเด็น เรื่อง จิต กับ การทำงานของสมอง
(ผมขอเน้นคำว่า"การทำงาน"ของสมองน่ะครับ..... เพราะคงไม่มีใครนำ จิตที่เป็นนามธรรม มาเปรียบเทียบกับ เนื้อมันสมอง ที่เป็นรูปธรรม)



1.จิต กับ การทำงานของสมอง เป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกันอย่างแยกออกได้ยากสำหรับคนทั่วไปหรือภาวะทั่วไป

ที่ต้องพูดถึง"การทำงานของสมอง" เพราะจะได้ความหมายที่ถูกต้องกว่า

ถ้ากล่าวถึงสมองอย่างเดียว จะกลายเป็นเฉพาะโครงสร้างที่ประกอบด้วย เซลล์ประสาท เส้นประสาท ทางเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มเซลล์ประสาท สารสื่อสารระหว่างประสาท.....ซึ่งก็จริงอย่างที่หลายๆท่านกล่าว คือเมื่อคนตายก็เป็นก้อนสมองก้อนหนึ่งที่หยุดทำงานไปแล้ว
แต่ถ้าพูดถึง "การทำงานของสมอง" จะเป็นการมองภาพรวม

2.ชาติ-การเกิดนั้น หมายถึงการเกิดของขันธ์๕
นับทั้งรูป และ นาม..... ไม่ใช่เกิดเฉพาะรูป แต่นามเป็นของเก่าที่ยืนพื้นถ้าเห็นว่านามเป็นของเก่าที่ยืนพื้น "มั่นคงดุจเสาเพนียด" จัดเป็นสัสตทิฏฐิแบบสาติภิกษุ
(แต่ถ้าจะคุยให้ ลุงมี กับ ป้าสีฟัง ก็ใช้คำว่า เวียนว่ายตายเกิดก็ได้.... ขืนคุยกันอย่างที่คุยกันนี้ รับรองว่าคุณลุง-คุณป้าฟังไม่รู้เรื่อง
และอย่าไปกังวลสัสตทิฏฐิมากเกินไป เพราะอุจเฉทิฏฐิเลวร้ายกว่าสัสตทิฏฐิมากนัก
สัสตทิฏฐิปิดกั้นมรรค-ผล ไม่ห้ามมนุษย์โลก และสวรรค์-พรหมโลก
อุจเฉททิฏฐิ ท่านว่าลงนรกลูกเดียว)

เวลาตายจิตดวงสุดท้ายในภพเก่าดับ พร้อมกับมีจิตดวงใหม่เกิดใหม่ในภพใหม่ทันที เปรียบเสมือนการส่งไฟจากตะเกียงดวงเก่าที่กำลังมอดดับลงไปยังตะเกียงดวงใหม่....เพราะเชื้อไฟยังมีอยู่

สิ่งที่ข้ามภพ-ชาติได้ ไม่ใช่จิต....

สิ่งที่ข้ามภพ-ชาติได้ คือ กรรม

คนเราทำกรรม(กัมมภพ)เพราะมีความยึดมั่น-ถือมั่น(อุปาทาน)
พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า เมื่อสิ้นอุปาทานก็ไม่เกิดใหม่(ใน กุตุหลสาลาสูตร)

3.การที่จิตจะแยกจากกายในบางภาวะ เช่น ผู้เข้าสมาบัติขั้นลึก..... เป็นสิ่งที่ต้องประจักษ์ด้วยตนเอง(เรียกว่า ฌานวิสัย) เป็นอจินไตย คือ นึกคาดเดาอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ถ้าไม่ทำได้ด้วยตนเอง

4.มีการผ่าตัดเอาหัวใจเดิมของผู้ป่วยโรคหัวใจโยนทิ้ง แล้วใส่หัวใจจักรกลเข้าไปแทน
ผู้ป่วยก็ยังมีชีวิตอยู่ได้..... ดังนั้น ไม่มีทางเลยที่จิตจะอยู่ในหัวใจ

5.ในยุคปัจจุบัน ครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์..... ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ท่านต้องผ่าตัดต่อมลูกหมาก แพทย์หายาชา-ยาสลบไม่ได้ ท่านกำหนดจิตแล้วให้แพทย์ผ่าตัดกว้านต่อมลูกหมากสดๆ..... ถ้ากำหนดจิตเข้าสมาบัติลึกไม่ได้ รับรองว่าช็อคแน่ๆ

6.ไม่ว่า จิต กับ สมองจะแยกจากกันยากสักเพียงใด
ถ้าปฏิบัติจิตภาวนาถูกตามหลักสติปัฏฐานแล้ว ความสุขของใจก็จะปรากฏขึ้นเป็นพยานแก่ตนเอง

7.อย่ากังวลว่าจะไม่ได้เกิดอีก หากจิตเป็นสมองทั้งหมด.....
เพราะการที่ไม่เกิดอีกนั่นล่ะดีที่สุดเลย

8.เรื่อง ของจิต ที่เป็นส่วนประกอบของขันธ์๕ ที่เป็นบุคคลขึ้นมา....

มีคำกล่าวที่ว่า กรรมจะให้ผลที่อัตตภาพ(ขันธ์๕)..... ดังนั้น กรรมสามารถให้ผลได้ทั้งร่างกาย สมอง และจิต!!!

โรคจิต-โรคประสาทหลายชนิด มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
สิ่งที่ทำให้สัตว์นั้นต้องมาเกิดในครอบครัวที่มียีนส์ที่ผิดปกตินั่น คือ"กรรม"นั้นเอง


9.มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า
การนึกคิดที่ดี(พูดง่ายๆว่า จิตดี)ช่วยทำให้สมองทำงานดีขึ้น
การนึกคิดที่ไม่ดี(จิตไม่ดี) ทำให้สมองทำงานแย่ลง .... ถ้าเป็นมากๆก็เป็นโรคจิต-โรคประสาทได้น่ะครับ
ดังนั้น ....สิ่งที่เราควรพยายามคือว่า ทำอย่างไรอารมณ์จะไม่ขุ่นมัว
เรื่องที่ว่า"จิต กับ สมอง จะแยกกันออกได้ไหม" นั้น เป็นเรื่องรอง
จะแยกออกได้ หรือ แยกออกไม่ได้ ก็ช่างมันเถิด.... ใจไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนก็ใช้ได้แล้ว


10.ทั้งจิต สมอง และๆลๆ .....ล้วนแต่ไม่ใช่เรา หรือ ของเราทั้งสิ้น
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ผู้เยี่ยมชม.
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 22 พ.ค. 2007
ตอบ: 95

ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.ค.2007, 1:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กระทู้ครั้งนี้ดูเป็นวิชาการมากเลยครับ

จิตก็ส่วนหนึ่ง อะตอมก็ส่วนหนึ่ง อย่าเหมารวมกัน เพราะจิตเป็นสิ่งที่ละเอียดกว่าอะตอม อธิบายเป็นธรรมธาตุจะเข้าใจง่ายกว่า เพราะอะตอมกล่าวถึงเพียงวัตถุ แต่ธรรมธาตุกล่าวรวมถึงวัตถุภายนอก และวัตถุในใจ

เรื่องจิตของศาสนาพุทธนั้น กล่าวสั้นโดยรวมได้ว่าเป็นเรื่องของ จิตที่มีผลต่อวัตถุ และ วัตถุที่มีผลต่อจิต ถ้าจิตไม่ฝักใฝ่ขันธุ์ก็ไม่เกิด ถ้าจิตฝักใฝ่ขันธุ์ก็เกิด การเกิดทางพุทธคือการเกิดภายใน หรือ การเกิดในจิต การศึกษาธรรมจึงควรรู้ว่า ธรรมบทนี้ กล่าวถึงเรื่อง เกิดภายใน หรือ เกิดภายนอก ถ้าเกิดภายนอกส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของธรรมธาตุ หรือ อะตอม

การไม่กำหนดตายตัวว่า นี่เป็นต้นกำเนิด นี่เป็นจุดสิ้นสุด จะช่วยให้เข้าใจธรรมของพระพุทธเจ้าได้ดียิ่งขึ้น เพราะทุกสิ่งล้วนอยู่บนเกณฑ์ธรรมที่ว่า สิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด เกณฑ์ธรรมนี้ทำให้ทุกสิ่งล้วนไร้ขอบเขต หากยึดติดแต่อะตอมที่มีอยู่ในภพนี้ ย่อมไม่อาจเข้าใจธรรมธาตุในภพอื่น
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 08 ก.ค.2007, 7:35 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผู้เยี่ยมชม. พิมพ์ว่า:
กระทู้ครั้งนี้ดูเป็นวิชาการมากเลยครับ






กระทู้นี้ ผมต้องจัดแบ่งระดับความน่าเชื่อถือของข้อมูลออกเป็น

1.พระไตรปิฎก ได้แก่
1.1 พระสูตร และ พระวินัย
1.2 พระอภิธรรม
2.อรรถกถา ที่เกิดจากอาจารย์รุ่นหลัง อธิบายขยายความข้อ1อีกที
3. ความเห็นบุคคลในยุคปัจจุบัน
4.ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์

ซึ่งจำเป็นต้องให้มีลักษณะของวิชาการ เพราะผู้ที่อ่านจะได้แยกได้ว่า ที่กำลังกล่าวถึงนั้น มีระดับความน่าเชื่อถือเพียงใด

ประเด็นของหทัยวัตถุ ที่ว่าจิตตั้งอยู่ในหัวใจเนื้อนี้ มีอยู่ในข้อ2 และข้อ3
แต่ไม่มีปรากฏในข้อ1 และ4

ผมถึงมั่นใจว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสสิ่งใดเลยที่ขัดกับความจริงที่โลกวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเขาค้นพบ...... มีแต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คนในยุคปัจจุบันยังพิสูจน์ได้ไม่หมดต่างหาก

ประเด็นของหทัยวัตถุ ที่ว่าจิตตั้งอยู่ในหัวใจเนื้อนี้..... ต้องทำให้ชัดเจนว่า เป็นความเห็นของอรรถกถาจารย์รุ่นหลัง ที่บันทึกไว้ในอรรถกถา ไม่ใช่พระพุทธพจน์โดยตรง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 08 ก.ค.2007, 7:43 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผู้เยี่ยมชม. พิมพ์ว่า:


จิตก็ส่วนหนึ่ง อะตอมก็ส่วนหนึ่ง อย่าเหมารวมกัน เพราะจิตเป็นสิ่งที่ละเอียดกว่าอะตอม




ผมเห็นด้วยครับ

ผมถึงเน้น เปรียบเทียบระหว่าง "จิต "ซึ่งเป็นนามธรรม กับ "การทำงานของสมอง"

คงจะไม่สามารถนำ "จิต" ซึ่งเป็นนามธรรมมาเปรียบเทียบกับ "เนื้อมันสมอง"(มัตถะเก มัตถะลุงคัง)ซึ่งเป็นรูปธรรมได้

อะตอมนั้น ก็คือหน่วยเล็กของสสารซึ่งจัดเป็นรูปอยู่ดี..... จึงไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับจิตซึ่งเป็นนามธรรมได้เช่นกัน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง