ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
jojam
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 27 พ.ค. 2004
ตอบ: 62
|
ตอบเมื่อ:
07 ก.ค.2007, 10:53 pm |
  |
ยังอ่อนหัดอยู่นะ คิดจะทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง จะจับจะทำอะไร ก็มัวแต่จะถอดใจ ก็มันไปคิด ปรุงไปไม่ทัน ไม่รู้ ระลึกไม่ได้ จังหวะมันไม่พอดีไม่สงบ
*- มันหลงไปเหมือนๆ ตะเกียงที่มีแสงจะหริบหรี่-*
คนที่ถือตะเกียงที่แสงไฟไม่ดับย่อมไม่มี แต่ผู้ที่ใช้ตะเกียงย่อมทราบดีถึงเหตุ ถึงผล ว่าเหตุใดถึงต้อง คอยหมั่นเติม น้ำมันเชื้อ ภายในตะเกียง
*-มันเป็นพันธะ แม้สิ่งนั้นมีดี มีทรามมาเก่าก่อน ก็พึ่งทราบ-*
ดังที่กล่าวมาแล้ว ไฟที่ดับดูเป็นสิ่งที่หน้ากลัวการจ่ายพันธะดูเป็นสิ่งที่หน้าเบื่อ เบื้องหน้า ที่มืดครื้ม เป็นอย่างไรหากถอดใจ สิ้นหวังที่จะหาหนทางที่ถูกบดบัง
*-เปลวไฟย่อมหริบหรี่ แต่หากยังไม่สิ้นควันก็ยังไม่สิ้นไฟ-* |
|
|
|
   |
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ค.2007, 12:48 am |
  |
กราบสวัสดี คุณjojam
คนเราลืมตาดูโลกขึ้นมาก่อนจะหัดยืนได้ เป็นทารกไร้เดียงสาก็ตัองหัดคลาน โตมาหน่อยก็ตั้งไข่ล้มต้มไข่กิน หัดก้าวขาเดินไปล้มไปบ้างก็ลุกขึ้นมาเดินใหม่ ยิ่งเจริญวัยขึ้นมาการก้าวเดินแต่ละก้าวที่เดินไปมันก็เริ่มมั่นคงและโอกาสพลาดที่ล้มเหมือนทารกก็หาได้น้อยมาก แต่ว่าเส้นทางที่เราเลือกเดินนี่มันไม่ได้เป็นถนนลาดยางมะตอยราบเรียบสม่ำเสมอไปตลอดทั้งเส้น มันก็มีถนนดินโคลน ลูกรัง หินกรวดบ้าง ก็ต้องเดินอย่างระมัดระวัง เดินบ่อยๆเข้ามันก็จับจังหวะได้พอดีถ้าเดินอย่างมีสติ ไม่ว่าถนนเส้นไหนจะขึ้นเขา ลงห้วย มันไม่พลาด
มันหลงไปบ้างก็ย้อนกลับมาใหม่ ถ้าไม่มีหลงซะเลยก็จะไม่ทราบว่าเส้นทางที่ไม่หลงนั้นเป็นอย่างไร ใครบ้างเกิดมาไม่เคยคิด ไม่เคยปรุง แต่เมื่อรู้ว่าอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นมันได้รับผลมาจากความคิดที่ปรุงแต่งจากตัวเราทำให้ทุกข์เกิดขึ้นต่างๆนาๆ แล้วจะไปวนเวียนซ้ำซากอยู่กับความคิดให้ทุกข์ซ้ำซ้อนทำร้ายตัวเองอยู่ทำไม หยุดคิดได้เมื่อไหร่ก็สว่างได้โดยไม่ต้องถือตะเกียงคอยเติมน้ำมัน
ตะเกียงดับ ไฟดับ ควันยังมี ประเดี๋ยวก็จางหายไป จะมืดหรือสว่างก็ไม่มีความหมาย อยู่ได้โดยไม่ทุกข์เพราะมันไม่มีพันธะต้องมาหาตะเกียง ต่อเนื่องไปเป็นพันธะที่ต้องหาน้ำมันมาเติม พร้อมเชื้อไฟเพื่อจุดให้เกิดแสงสว่างอีก ลองนั่งท่ามกลางราตรีโดยไร้เชื้อไฟใดๆจะพบความจริงแท้สว่าง สงบ เย็นที่หาได้จากสมมติแห่งเวลาที่ไหลเรื่อยมาทางโลกบัญญัติว่า "มืด"
ธรรมะสวัสดี
มณี ปัทมะ ตารา
 |
|
|
|
   |
 |
jojam
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 27 พ.ค. 2004
ตอบ: 62
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ค.2007, 2:16 pm |
  |
นี่ๆ รู้ไหมว่าตอนที่ลำบากหนักๆ มันได้เรียนรู้อะไรดีๆ มันได้ฝึก ทั้งกาย ทั้งใจ เปรียบไปก็เหมือน ฝึกขี่ม้า ฝึกซ้อมม้าให้ได้งาน ทนได้ที่ ไม่ปล่อยตามใจ ไม่เหมือนที่เคยๆ
*-ยามออกขี่ก็ไม่ติดขัด เผชิญอุปสรรค์ ก็ไม่หวั่นไหว ตื่นกลัว-* |
|
แก้ไขล่าสุดโดย jojam เมื่อ 12 ก.ค.2007, 1:55 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
   |
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ค.2007, 3:14 pm |
  |
สาธุค่ะ เห็นทุกข์เห็นธรรม อย่างไรก็ไม่หวั่นไหว บ่อยเข้าก็ละก็วางได้โดยอัตโนมัติ
เจริญในธรรม
มณี ปัทมะ ตารา
 |
|
|
|
   |
 |
jojam
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 27 พ.ค. 2004
ตอบ: 62
|
ตอบเมื่อ:
12 ก.ค.2007, 1:36 pm |
  |
โลกนี้แท้จริงไม่มีคนอ่อนแอ มีแต่คนที่ขาดกำลังใจ รู้ไหมว่าขณะที่กำลัง
หลงสับสน กับความคิดที่บั่นทอน ดังผู้หลงทางในป่ารกดงชัก ตัวเองนั้นแหละ ที่ไม่รู้ตัว
กลับเลือกไปเอง
*-เสพอารมณ์ ติดในบ่วง ติดห่วงความคิด ทอนสิ้นกำลัง-* |
|
|
|
   |
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
12 ก.ค.2007, 5:05 pm |
  |
"ผู้สร้างฉากความคิด ให้ผู้อื่นหลงคิดตามไปตามฉาก ย่อมเหมือนปลาที่ติดร่างแห โดยหารู้ไม่ว่ากำลังติดกับดักความคิดตนเองในที่สุด"
ธรรมะสวัสดี
มณี ปัทมะ ตารา
 |
|
|
|
   |
 |
jojam
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 27 พ.ค. 2004
ตอบ: 62
|
ตอบเมื่อ:
13 ก.ค.2007, 5:57 pm |
  |
ผู้หนึ่งผู้ใดที่มีความตื่นตัวอยู่มีสติอยู่ คล่องตัวอยู่ ผู้นั้น ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความเพียร หากแต่ผู้นั้น
ก็อาจไม่รู้ อาจไม่ยอมรับ ที่จะแก้ไขทาง แม้มีผู้ที่เห็นโทษแล้ว ได้แนะนำแล้ว
*-ติดกรรมได้ใช้ก่อนจึงรู้ ติดความเห็นผิดได้ผู้แนะนำจึงทราบ-*
นักโทษใดที่ถูกตีตรวน ได้สำนึกในเหตุที่ได้ทำ แล้วได้น้อมมาแก้ไข
ระมัดระวังจากภายในที่ถูกโจทย์ไว้ ผู้ที่ติดในโทษนั้น ย่อมวางเบื่อหน่าย ความคิดเดิม
เรียกได้ว่า รู้ขึ้นแล้ว
*-เฝ้าระวังในวิถีทาง ย่อมไม่แก้ที่ภายนอก ย่อมได้ปัญญาในทางเจริญ-* |
|
|
|
   |
 |
Story Note
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2007
ตอบ: 97
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ค.2007, 6:02 pm |
  |
O^_^O
*-เฝ้าระวังในวิถีทาง ย่อมไม่แก้ที่ภายนอก ย่อมได้ปัญญาในทางเจริญ-*
สาธุค่ะ |
|
|
|
  |
 |
Story Note
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2007
ตอบ: 97
|
ตอบเมื่อ:
01 ส.ค. 2007, 5:37 pm |
  |
O^_^O
ถาม K. Jojam ค่ะ...
ผู้ที่รักษา จิตของตน มิให้ต้องโอนเอน...กับเฝ้าระวัง มิให้ จิตต้องกลอุบายแห่งกิเลส
ระหว่างรักษา กับระวัง สิ่งไหนสำคัญกว่าค่ะ...
"^_^" |
|
|
|
  |
 |
jojam
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 27 พ.ค. 2004
ตอบ: 62
|
ตอบเมื่อ:
03 ส.ค. 2007, 12:01 pm |
  |
ผู้ที่รักษา จิตของตน มิให้ต้องโอนเอน...กับเฝ้าระวัง มิให้ จิตต้องกลอุบายแห่งกิเลส
ระหว่างรักษา กับระวัง สิ่งไหนสำคัญกว่าค่ะ...
------------------------------------------------------------------------------------------
หากมีคนตาพร่ามัว สะดุดล้ม ก็ ควร ที่จะรักษาที่แผล รักษาตา / รู้จักแก้ รู้จักละ รู้จักกัน อกุศล ก่อน ... (สิ่งที่มันบังตา มันเล็ก เหมือน ฝุ่นที่เข้าตา มันเล็ก เราจีงไม่สนใจกัน)
เริ่มจากตรงนี้นะ เรียนรู้จากตรงนี้ ที่ใจ เรียนรู้ จากข้างใน การที่เรียนรู้จากข้างนอกมาข้างใน
มันเป็นการถือ การถือนี้ เป็น "ข้องกับความปรุง" เริ่มมา จะเป็น สมุทัย หรือจะเป็น มรรค
มันจะ ถือ หรือ จะไม่ถือ จะเป็น "วิราคะ" ได้หรือไม่ จะต้องกลอุบาย หรือ ?
ผู้ที่โอนเอน จะด้วย รู้ หรือ ไม่รู้ อันนี้ ไม่ใช่ที่สำคัญ แต่เป็น ทางที่ไปนั้น เป็น สมุทัย หรือ ไม่?
ผู้ที่ฝึกให้จิตไม่หวั่น มัวทำบาปทำกรรม ไม่สะดุงเกรงกลัวบาป แบบนี้ก็ไม่ใช่ มรรค
ผู้ที่เพียรปฏิบัติภาวนา ย่อม "ไม่ข้องกับความปรุง" ย่อม เรียนรู้จากภายใน
ย่อม แยกไม่หลง มัวเมา ไม่เห็น รัก ที่ก่อ โศก เป็น มรรค ไม่เห็น เมตตา กรุณา เป็น สมุทัย
รู้ใน อริยสัจ4 แจ่มชัด
*ขอหมู่ศัตรูเราจงฟังธรรมกถานี้ ศัตรูเราทั้งหลายพึงคบสัตบุรุษผู้ชี้ทางเทอญ*
ปล. ความเพียรชอบ 4 นั้นมี
เพียรละอกุศลที่มี1 ระวังอกุศล1 เพียรเจริญกุศล1 เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้ว1
(เดิมกระทู้นี้ โพสต์ มาเพื่อเก็บข้อความ จากไดอะรี่ ที่เขียนไว้ จึง ไม่มีอะไร แค่โพสต์เก็บ...) |
|
|
|
   |
 |
|