ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
18 ก.ย. 2007, 8:43 pm |
  |
กิเลส มีความหมายว่า "สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง, ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์" (พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับพระธรรมปิฎก )
แต่แท้ที่จริงแล้ว กิเลสอาจทำให้จิตใจร่าเริงมีความสุข สบายอกสบายใจก็มี เพราะกิเลสนั้น แบ่งเป็นอย่างหนา อย่างบาง
ศาสนา ในทางที่เป็นจริงแล้ว ไม่ได้สอนให้มนุษย์ละจากสังคม คือไม่สอนให้ละจากสิ่งที่ทำให้เกิดกิเลสทั้งมวล แต่สอนให้คนรู้จักการขจัดกิเลส รู้จักขจัดอาสวะที่เกิดขึ้นในใจ เพราะทุกคนล้วนย่อมต้องเกี่ยวข้องกับกิเลสอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความเจริญที่เกิดขึ้นกับเราในทางศาสนาที่แท้จริง จะไม่มุ่งสอนคนให้ละทิ้งซึ่งความเจริญทั้งหลายเหล่านั้น ไม่สอนให้คนหยุดคิดหยุดทำเพราะเห็นว่าเป็นกิเลส แต่จะสอนให้คนหรือมนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสันติ หรือสอนให้มนุษย์รู้จักขจัดหรือควบคุมความคิดหรือการกระทำอันจักทำให้เกิดความทุกข์ และหรือสอนให้มนุษย์ได้เกิดความรู้ความเข้าใจใน 1.ต้นตอแห่งกิเลส 2.สิ่งที่ทำให้เกิดกิเลส 3.สิ่งที่ทำให้กิเลสหมดไป และ 4.วิถีทางที่จะขจัดกิเลสหรือป้องกันกิเลส
คุณจะมีบ้าน มีรถ มีภรรยา มีลูก มีงานทำ ย่อมไม่ถือว่าเป็นกิเลส เพราะตัวกิเลสนั้น เกิดขึ้นในใจของคุณ เกิดขึ้นจากการที่คุณได้สัมผัสทางอายตนะทั้งหลาย การที่คุณมีสิ่งของทั้งเครื่องอุปโภคบริโภค ไม่ได้หมายความว่าคุณทำไปเพราะมีกิเลส หากคุณรู้จักขจัดกิเลสเหล่านั้นได้ การขจัดกิเลสอย่างง่ายที่สุดสำหรับปุถุชนคนทั่วๆไป ก็คือความคิด เช่น เราอยากได้สิ่งของจำเป็นที่จำเป็นต้องใช้ ยกตัวอย่างเสื้อผ้า ถ้าเราคิดแบบมีกิเลสก็ต้องซื้อเสื้อผ้าดีดีราคาค่อนข้างสูง เพื่อจะได้อวด แต่ถ้าเราคิดว่าแบบไม่มีกิเลสเลยหรือมีกิเลสน้อยกิเลสบาง ก็คิดเพียงว่าซื้อเพื่อห่อหุ้มร่างกาย เอาแบบราคาถูกพอใส่ได้ตามฐานะ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งอย่างนี้เป็นต้น
ความเจริญทางนวัตกรรมต่างๆ ล้วนเป็นเครื่องดิ้นรน ให้หลุดพ้นจากความทุกข์สำหรับมนุษย์ได้ นวัตกรรมต่างๆเหล่านั้น หาใช่เกิดจากกิเลส แต่เกิดจากธรรมะในตัวผู้คิดค้นและประดิษฐ์นี้คิดในทางศาสนา
แต่ถ้าคิดในทางการค้า เขาเหล่านั้นประดิษฐ์ คิดค้นขึ้นมาเพื่อความร่ำรวย ก็เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง หากทำให้เกิดทุกข์เกิดความเศร้ามองในจิตใจ นั่นแหละคือกิเลสอย่างแท้จริง |
|
|
|
  |
 |
bad&good
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 06 ส.ค. 2007
ตอบ: 115
|
ตอบเมื่อ:
19 ก.ย. 2007, 10:09 pm |
  |
อ่านแล้วน่าเวียนหัว น่าเวียนหัว จริงหนอ
การแปลตามตัวอักษร ตามพจนานุกรม ไม่อาจเข้าใจได้ เหมือนกับผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรม
เพราะการตีความ ไม่ตีความโดยรวมทั้งหมดของคำแปล แปลเพียงบางคำ บางประโยค ไม่แปลทั้งหมด จึงไม่ชัดแจ้ง
จึงไม่แปลกหนัก ที่ต้องเขียนหนังสือเป็นเล่มหนา เพื่อให้เข้าใจความหมายของคำว่า "กิเลส"
สิ่งทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์ ล้วนแต่เป็นทั้งสุขและทุกข์ คือ ยังยินดี และไม่ยินดี ความทุกข์บางคนก็ว่า สุข เป็นพวกชอบใช้ความรุนแรง หรือพวกชอบให้ผู้อื่นทำต่อเขาอย่างรุนแรง (เป็นเรื่องน่าแปลก) แต่นั่นแล ก็เป็นทุกข์
ประโยคบางประโยคของท่าน Bhuddha นำเสนอ เช่น
1.คุณจะมีบ้าน มีรถ มีภรรยา มีลูก มีงานทำ ย่อมไม่ถือว่าเป็นกิเลส เพราะตัวกิเลสนั้น เกิดขึ้นในใจของคุณ เกิดขึ้นจากการที่คุณได้สัมผัสทางอายตนะทั้งหลาย การที่คุณมีสิ่งของทั้งเครื่องอุปโภคบริโภค ไม่ได้หมายความว่าคุณทำไปเพราะมีกิเลส หากคุณรู้จักขจัดกิเลสเหล่านั้นได้ การขจัดกิเลสอย่างง่ายที่สุดสำหรับปุถุชนคนทั่วๆไป ก็คือความคิด เช่น เราอยากได้สิ่งของจำเป็นที่จำเป็นต้องใช้
ถามว่า แล้วเหตุใดเล่า พระพุทธเจ้าจึงสละทางโลก ถือพรหมจรรย์
แล้วเหตุใดเล่า พระพุทธเจ้าจึงสละทางโลก มีเครื่องมือเครื่องใช้เพียง 8 อย่าง
แล้วท่านจะทราบอย่างไรเล่า ว่า คนมีเงินสด 70,000 ล้าน จะไม่มีกิเลส
แล้วท่านจะทราบอย่างไรเล่า ว่า คนมีบ้าน รถ เรือ ภรรยา ลูก 10 คน ทำงานมีเงินเดือน จะไม่มีกิเลส
2.ความเจริญทางนวัตกรรมต่างๆ ล้วนเป็นเครื่องดิ้นรน ให้หลุดพ้นจากความทุกข์สำหรับมนุษย์ได้ นวัตกรรมต่างๆเหล่านั้น หาใช่เกิดจากกิเลส แต่เกิดจากธรรมะในตัวผู้คิดค้นและประดิษฐ์นี้คิดในทางศาสนา
แต่ถ้าคิดในทางการค้า เขาเหล่านั้นประดิษฐ์ คิดค้นขึ้นมาเพื่อความร่ำรวย ก็เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง หากทำให้เกิดทุกข์เกิดความเศร้ามองในจิตใจ นั่นแหละคือกิเลสอย่างแท้จริง
ถามว่า แล้วเหตุใดเล่า พระพุทธเจ้าจึงสั่งสอนแต่เรื่อง จิตรู้ จิตตื่น จิตเบิกบาน (จิตนิยม) มากกว่า วัตถุนิยม (นวัตกรรมต่าง ๆ)
แล้วเหตุแห่งการรอคอย รอใช้งาน นวัตกรรมใหม่ ๆ มิใช่ กิเลส หรือไร
แล้วชาติหน้า พบนวัตกรรม ที่ดีกว่า ท่านจะเกิดใหม่ ใช่หรือไม่ สิ่งนั้นมิใช่ กิเลส หรือไร |
|
_________________ อริยมรรคมีองค์ 8 คือ สูตรสำเร็จแห่งการดับทุกข์ |
|
  |
 |
bad&good
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 06 ส.ค. 2007
ตอบ: 115
|
ตอบเมื่อ:
20 ก.ย. 2007, 7:59 pm |
  |
ในคน คนเดียวกัน ความสุขบางครั้งกลับกลายเป็นความทุกข์ก็ได้ เช่น
1.สวมสร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท มีความสุขมาก แต่เมื่อถูกชิงทรัพย์ กรรโชกทรัพย์ ถูกฆ่าเพื่อเอาสร้อยคอทองคำนั้น ก็กลับบอกกับตัวเองว่า ไม่น่าเลย ไม่น่าใส่ทอง ชวนให้คนเลวมาทำอย่างนี้กับเราเลย ที่ตายไปแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ด้วยว่าเงินเพียง 20,000 (บนคอ) ก็ทำให้ตายได้เช่นกัน ความสุขจึงกลับกลายเป็นความทุกข์
2.การแก่งแย่งชิง ยศ อำนาจ กัน เพื่อให้ได้เป็น ผู้ว่าฯ แต่พอหมดสมัยลงทั้ง 2 สมัย ก็เริ่มไม่อยากแก่งแย่งเป็น ผู้ว่าฯ ในสมัยที่ 4 ทั้ง ๆ ที่เดิมเห็นว่า เป็นความสุข บัดนี้ได้ลิ้มรสแล้ว ว่า ไม่สุข ทุกข์ ๆ สุข ๆ ไม่เป็นดีกว่า
ส่วนผู้ว่าฯ ที่เลว ที่ทุจริต ก็เสียชื่อ เสียเสียง จนรู้ตัวว่า ทำต่อไป คงเป็นทุกข์ คงไม่สุข
กิเลส แฝงอยู่ใน ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ เสื่อมสรรเสริญ เสื่อมสุข
กิเลส แฝงอยู่ในสิ่ง สิ่งเดียวกัน มีขึ้นมีลง มีดีขึ้นมีเลวลง มีทั้งเสื่อมก่อนท่าน และเสื่อมหลังท่าน(ท่านจึงไม่รู้สึกทุกข์) ทั้ง นามธรรม รูปธรรม เป็นเครื่องเศร้าหมองทั้งสิ้น ทำให้จิตขุ่นมัวในไม่ช้า ทั้งสิ้น |
|
_________________ อริยมรรคมีองค์ 8 คือ สูตรสำเร็จแห่งการดับทุกข์ |
|
  |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
21 ก.ย. 2007, 2:38 pm |
  |
คุณไม่รู้อยู่แล้วว่ากิเลสเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าพอรู้อยู่บ้าง และสามารถแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับกิเลส ให้กับคุณ และทุกท่านได้
ก่อนอื่นคุณต้องทำความเข้าใจก่อนว่า กิเลสนั้น มีทั้ง อย่างหนา อย่างบาง หรือ อย่างหยาบ อย่างละเอียด ซึ่งย่อมเกิดขึ้นในแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความรู้ ความเข้าใจ
และคุณต้องทำความเข้าใจอีกอย่างหนึ่งว่า คำว่า"กิเลส"นั้น มีใช้ในเฉพาะศาสนาพุทธเท่านั้น ศาสนาอื่น ก็เรียกเป็นอย่างอื่นในที่นี้ไม่ยกตัวอย่างให้เพราะจำไม่ค่อยได้ว่าศาสนาอื่นมีว่าอย่างไรบ้าง
กิเลส ในทางศาสนาพุทธ นั้นก็คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ซึ่งแบ่งเป็นกิเลสในระดับปุถุชน และกิเลสในระดับพระอริยะ และ แบ่งเป็น การขจัดอาสวะแห่งกิเลสให้สิ้น ในระดับปุถุชน ,กับ การขจัดอาสวะแห่งกิเลสให้สิ้นในระดับพระอริยะบุคคล
ในที่นี้จะกล่าวเพียงกิเลส และการขจัดอาสวะแห่งกิเลสให้สิ้นในระดับปุถุชน
ยกตัวอย่างเช่น
ก่อนที่คุณจะซี้อเสื้อราคาแพงที่คุณว่านั้น คุณจะต้องได้สัมผัสทางอายตนะทั้งหลาย เช่น ได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น ได้พบ แล้วคุณก็จะเกิด ความอยากได้ หากคุณยังไม่มีเงินซื้อ ความอยากของคุณก็จะทวีขึ้น ขณะที่คุณเกิดความอยากได้นั้น นั่นคือกิเลสอย่างบาง หรืออย่างละเอียด พอคุณทวีความอยากได้เพิ่มขึ้น ก็เป็นกิเลสอย่างหนา หรืออย่างหยาบ ความอยากได้เสื้อที่ทวีความรุนแรงขึ้น ก็จะส่งผลกระทบต่อสมอง และจิตใจของคุณ ความเศร้าหมองก็เริ่มเกิดขึ้นแล้วขอรับ อันนี้จะอธิบายเป็นตัวอักษรก็ใช่ที่ หากบุคคลใดเคยอยากได้สิ่งของแต่มีเงินไม่พอซื้อ และเกิดความอยากได้มากขึ้นทวีขึ้นจะรู้ดีว่า สภาพสมองและจิตใจเป็นอย่างไร แต่ก็ขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจ รวมไปถึงสมาธิที่ได้รับการขัดเกลามา เมื่อคุณมีกิเลสมากคือ ความอยากได้เสื้อมาก คุณก็จะดิ้นรนขจัดอาสวะแห่งกิเลสให้สิ้น โดยการหาเงินมาซื้อ หรืออาจมีพฤติกรรมใดใดก็แล้วแต่ เพื่อให้ได้มาซึ่งเสื้อ นั้นเป็นการขจัดอาสวะแห่งกิเลสให้สิ้นในแง่ของปุถุชน วิธีการหนึ่ง (นี้เป็นการยกตัวอย่างเพียงวิธีการเดียว ยังมีวิธีการอื่นอีก)
ที่นี้เมื่อคุณได้เสื้อราคาหลายพันอย่างคุณว่ามาแล้ว คุณก็ต้องใส่ถ้าคุณอยากให้ใครได้รู้ว่าเสื้อที่คุณใส่มีราคาแพง กิเลสอย่างบาง หรืออย่างละเอียดก็เริ่มเกิดขึ้นในตัวคุณแล้ว หากคุณไม่สามารถบอกกับใครได้ว่าเสื้อของคุณราคาแพงแต่คุณก็อยากจะบอก ทวีรุนแรงขึ้น กิเลสอย่างหนา หรืออย่างหยาบก็เริ่มเกิดขึ้น ถ้าคุณได้อวด หรือได้บอกให้ใครได้รู้ว่าเสื้อที่คุณใส่ราคาหลายพัน ไปแล้ว ความอยากที่จะบอกของคุณก็จะถูกขจัดออกไป คือการขจัดอาสวะแห่งกิเลสให้สิ้นได้ในระดับหนึ่ง อย่างนี้เป็นต้น
ข้าพเจ้าอาจจะตอบไม่ตรงกับข้อสงสัยที่คุณถาม แต่ก็เป็นบรรทัดฐานที่สามารถ สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง หากคุณคิดพิจารณาโดยรอบ |
|
|
|
  |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
21 ก.ย. 2007, 2:54 pm |
  |
อนึ่งสิ่งที่คุณกล่าวมาทั้งหมดในข้อแสดงความคิดเห็นของคุณแล้วสรุปได้ใจความว่า คุณมองเหรียญเพียงด้านเดียว อีกทั้งยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในศาสนาโดยเฉพาะพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
ศาสนาทุกศาสนา ไม่ได้สอนให้บุคคลหลีกหนีสิ่งที่ทำให้เกิดกิเลส แต่ศาสนาสอนให้บุคคลรู้จัก เข้าใจ ในสิ่งที่ทำให้เกิดกิเลสทั้งหลายเหล่านั้น
คุณอย่าเอา บุคคลใดใดในศาสนามาอ้างถึงเลย เพราะบุคคลเหล่านั้นไม่มีตัวตนในยุคสมัยนี้แล้ว
ยุคสมัยนี้ก็ต้องเป็นไปตามยุคสมัยนี้ อย่าเอายุคสมัยก่อนๆนั้นมากล่าวถึง เพราะยุคสมัยนี้ บุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกับสิ่งที่ทำให้เกิดกิเลส อีกทั้งยังเป็นตัวทำให้เกิดกิเลสอีกด้วย ไม่ได้เป็นลูกพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ใช่ร่ำรวยมีทรัพย์ศฤงคาร อีกทั้งความทันสมัย ทั้งเทคโนโลยี่และ วิชาการก็มากมาย
ถึงอย่างไรก็ตาม คุณก็ควรได้ทำความเข้าใจไว้ว่า ศาสนา ในที่นี้หมายเอาพุทธศาสนา ไม่ได้สอนให้บุคคลหลีกหนีหรือหลบหนีสิ่งที่ทำให้เกิดกิเลส ไม่ได้สอนให้คนปลีกวิเวก แต่สอนให้บุคคลรู้จัก และเข้าใจในสิ่งที่ทำให้เกิดกิเลส
และคุณควรอ่านข้อแสดงความคิดเห็น ในตอนก่อนนั้นด้วยก็จะเกิดความเข้าใจ และมีความรู้ ยิ่งๆขึ้นไป
ขอให้เจริญในธรรม |
|
|
|
  |
 |
bad&good
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 06 ส.ค. 2007
ตอบ: 115
|
ตอบเมื่อ:
21 ก.ย. 2007, 10:15 pm |
  |
จากการอ่านความเห็นของท่านแล้ว
ดูเหมือนว่า ท่านไม่ใช่ คนไทย หรือไม่ ภาษาไทย ไม่แข็งแรง
ข้าพเจ้ายอมรับว่า ข้าพเจ้ามองเห็นเหรียญไม่ครบด้าน อยากจะบอกว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่พระอรหันต์ จึงมองไม่เห็นรายละเอียดของกิเลส ทั้งหมดทั้งสิ้น
แต่ไม่อยากให้ท่าน ด่วนสรุปข้าพเจ้า หรือผู้อื่น ว่าเป็นคนเช่นไร เพียงแค่อ่านความคิดเห็นไม่ถึง 1 หน้า
ทำไม ท่านจึงไม่ชึ้แนะ สอนสั่ง ให้มากกว่านี้ ให้งดงามในเบื้องต้น ให้เข้าใจกิเลสในขั้นกลาง ให้เข้าใจกิเลสอย่างละเอียดในที่สุด
ข้าพเจ้าขอบอกว่า ข้าพเจ้าสวมใส่เสื้อผ้าตัวละ 75 - 250 บาท ไม่ใช่ ตรา ยี่ห้อ ที่ดีเลิศเลย ไม่ได้สนใจกับสิ่งนั้นเลย ไม่มีรถ ไม่ได้ซื้อบ้านเป็นของตนเอง ไม่ได้กินอาหารราคาแพง ไม่ได้กินอาหารมียี่ห้อเลิศ พฤติกรรมซับซ้อน คร่ำเคร่ง อยากได้ ในการซื้อทรัพย์เช่นนั้น ไม่มี เพราะไม่มีเงินมากพอ
กิเลสอย่างหนา อย่างบาง ที่ท่านกล่าวเช่นนั้น ข้าพเจ้าเชื่อว่า ไม่มี ท่านต้องการสอนอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่
................................................................................
ความไม่ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นอย่างสิ้นเชิง ถือว่า มีกิเลสเช่นกัน (โกรธเคือง เล็ก ๆ ) ซึ่งเป็นเรื่องไม่แปลก ที่ทุกคนต้องเชื่อฟัง ยอมรับความเห็นทุกเรื่องของผู้อื่น
...............................................................................
เท่าที่ อ่านความเห็นข้าพเจ้า ในหัวข้อนี้ ยังไม่ได้กล่าวอ้างถึงผู้ใด เว้นแต่พระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบุคคลที่ข้าพเจ้า นับถือมากที่สุด อภิวาทมากที่สุด แล้วเหตุใดเล่าที่จะไม่ให้กล่าวถึง เสมือนหนึ่งเรานับถือผู้ใดผู้หนึ่ง แม้นจะตายไปแล้วหรือยังคงมีชีวิตอยู่ ก็เป็นเรื่องที่ควรกล่าวถึง พูดถึง ข้าพเจ้าเชื่อว่า ท่านก็คงเป็นเช่นกัน คงไม่อวด อุตรี อวดอ้างเป็นความคิดเห็น สร้างทฤษฎีความรู้ขึ้นมาเอง
ชาวไทยพุทธทั้งหลาย ต่างทราบกันดีว่า พระพุทธเจ้า คือ สิ่งเบื้องสูง แม้นชื่อของตนเอง ก็ไม่ควรตั้งชื่อเหมือนท่าน ไม่ว่าชื่อจริง หรือชื่อเล่น
..................................................................................
การเรียนรู้กิเลส หรือศาสนาพุทธ สามารถเรียนรู้ได้ทุกรูปแบบ สามารถหาอ่านได้ในพระไตรปิฎกก็ได้ จากคำสอนของพระสงฆ์ก็ได้ และเป็นเรื่องไม่แปลก ที่จะยกตัวอย่างถึงบุคคลที่ตายแล้ว(ถ้าไม่กลัวญาติเสียหน้า) หรือยังคงมีชีวิตอยู่ก็ได้(ถ้าไม่กลัวผู้นั้นเสียหน้า) เป้าหมายแท้ คือ ต้องการผู้ศรัทธา หยุด ละ ลด เลิก กิเลส ไม่ได้ให้จำชื่อใคร ทั้งสิ้น ไม่ได้ให้ไปสอบวิชานั้นให้ผ่าน การจำชื่อได้ ก็ดี ก็จะได้รำลึกไว้เป็นตัวอย่าง เป็นอุทาหรณ์ ไม่เช่นนั้นผู้เล่าเรื่อง จะกล่าวแต่ว่า ผู้นั้น ผู้นี้ (มีอยู่เพียง 2 คนในโลก)
.......................................................................................
การเรียนรู้ กิเลส นอกจากตำราแล้ว ก็เรียนรู้ได้ จะเรียก อย่างหนา อย่างบาง อย่างหยาบ อย่างละเอียดก็ได้ อย่างพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ก็ได้ มีเป็น 10 ชั้น เรียกชื่อต่างกัน ซึ่งความหมายลึกซึ้งกว่าที่คุณกล่าวไว้ (ไม่ขออธิบาย เกรงว่าข้าพเจ้าอธิบายไม่ได้มาก)
......................................................................................
การเรียนรู้กิเลส ไปทำไม
รู้แล้ว ให้เลิก ละ หยุด ทำมัน
เหมือนพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ สอนไว้ ว่า รู้ว่าไม่ดีแล้ว อย่าไปทำ (สิ่งนั้นไม่เรียกว่าหนีกิเลส หยุดกิเลส หรือ)
รู้แล้วว่า ฆ่าคนไม่ดี จะฆ่าอีกหรือ จะลองฆ่าคนอีกหรือ จะได้รู้ว่าจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อไปอีกหรือไม่ เข่นนั้นหรือ
รู้แล้วว่า ขโมยเงิน200,000บาท แล้วไม่ดี จะลอง อีกหรือ จะได้รู้ว่าจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อไปอีกหรือไม่ เข่นนั้นหรือ
รู้แล้วว่า มี ภรรยาน้อย แล้วไม่ดี จะลองมีสักคน อีกหรือ จะได้รู้ว่าจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อไปอีกหรือไม่ เข่นนั้นหรือ
รู้แล้วว่า เสพยาเฮโรอีน แล้วไม่ดี จะลอง อีกหรือ จะได้รู้ว่าจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อไปอีกหรือไม่ เข่นนั้นหรือ
เรื่องบางเรื่อง มันเป็นเรื่องพื้นฐาน ไม่ต้องลอง ก็ทราบแล้ว จงหลีก จงเลิก ไม่ต้องเสียเวลาไปเฝ้ามองมัน ลองดูกับมัน ตัวอย่างจากผู้อื่นมีกล่าวไว้แล้วในพระธรรม เช่นนี้ มันดื้อ มันก็ต้องรับผลจากการกระทำนั้นไป
สอนง่าย ๆ เช่นนี้ ก็ยังมีคนไปทำเช่นนั้นเลย ท่าน
..........................................................................
กิเลส อาจทราบได้จากมุมมองอื่น ก็ได้ เช่น โลกธรรม 8 ทำให้เกิดกิเลสก็ได้
เช่น อยากมีทรัพย์ ก็ทำมาหากิน ให้ได้ทรัพย์ ขโมยบ้าง ปล้นบ้าง
มีทรัพย์มาก ก็เป็นทุกข์ กลัวมันหาย ต้องเฝ้า ต้องเก็บ ต้องวางระบบการรับ-การจ่าย
อยากให้คนสรรเสริญ เช่น กำลังตอบกระทู้ แบบนี้ เพราะอยากให้ผู้อื่นอ่าน ผู้อื่นชม โอ้อวด
ไม่อยากให้คนอื่นด่า ไม่อยากให้ผู้อื่นไม่ยอมรับความคิดเห็นของตน ก็ทุกข์ ก็โกรธ นี่แลคือ กิเลส
...............................................................................
กิเลส เกิด เพราะ ขันธ์5 คือ
1.จิต รับรู้ว่า มีรูป มีนาม มีวิชาการ คือ รับรู้ว่า มันคือไอ้นั่น ไอ้นี่
2.จิต ทำความรู้จักกับรูปนั้น นามนั้น วิชาการ นั้น ทำความรู้กับมัน รู้สึกกับมัน
3.จิต จึงเริ่มจำได้ กับ รูปนั้น นามนั้น วิชาการนั้น รู้ดีทีเดียวว่ามันมีดี-เลว อย่างไร มีประโยชน์อย่างไร ใช้งานมันได้อย่างไร สร้างอย่างไร สอนอย่างไร บังคับอย่างไร (เก่งเรื่องHow to)
4.จิต (สังขาร) ปรุงแต่ง ปรับปรุง พัฒนา รูปนั้น นามนั้น วิชาการนั้น ให้ดีกว่าเก่า หรือเลวกว่าเก่า
5.จิตวิญญาณ จึงฝังลึกลงรากของตนเอง จนคิดไปว่า ตนเองนี่แหละ เก่งที่สุด มีความรู้ดี-เลวอย่างไร มากที่สุด มี ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มากมาย รอบกาย ไม่อยากตาย ถ้าตาย ก็อยากเกิดใหม่ มามีสิ่งเหล่านี้ต่อไป เพราะรู้ว่าตนเองเก่ง ตนเองเอาตัวรอดได้
ขั้นตอนเหล่านี้ คือ การพัฒนาให้เกิดกิเลส ขั้นหยาบ ถึง ขั้นละเอียดสูงสุด จิตวิญญาณฝังแน่นในจิต ใครสอนให้เลิกกิเลส เหล่านั้น คงห้ามกันไม่ได้ (ปล่อยให้มันเป็นไป ไม่มีใครช่วยได้)
.......................................................................
เรื่องของกิเลส โดยแท้แล้ว อยู่ติดกับจิต โดยตลอด
การเรียนรู้กิเลส จึงเรียนโดยติดตามพฤติกรรม ดี เลว จากจิตของตนเอง
ร่างกาย ตายไป กิเลสก็ยังไม่ตาย เพราะมันติดอยู่กับจิตวิญญาณ
แต่การเรียนรู้กิเลส เท่านั้น ไม่ได้ประโยชน์อะไร
เหมือนกับ รู้แล้วว่า มีสีดำ ทาติดอยู่ที่ร่างกาย แต่ได้แต่บอกชาวบ้าน ว่า ฉันเปื้อนสีดำ สีดำมันติดตัวฉัน
เออ ข้าพเจ้าทราบดีแล้ว เห็นแล้ว ทำไมไม่ล้าง ไม่ทำความสะอาดล่ะ ร่างกายจะได้สะอาด
จิต ล้าง ละ เลิก กิเลส เป็น
จิต หยุด กิเลส ได้ (ทำไม่เป็น ก็ถามพระสงฆ์ ถามพระถาม)
นั้นแล คือ ความพ้นทุกข์
อย่าได้เฝ้ามอง ดูกิเลส แต่เพียงอย่างเดียว ............................................................................................ |
|
_________________ อริยมรรคมีองค์ 8 คือ สูตรสำเร็จแห่งการดับทุกข์ |
|
  |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
22 ก.ย. 2007, 8:49 pm |
  |
คุณเอ๋ย คุณกล่าวมา นับเป็นการเสวนาที่ออกรสชาติได้ดีทีเดียว แต่ขอคิดเห็นของคุณ ข้าพเจ้าสามารถสรุปได้เลยว่า "คุณยังมีความเข้าใจในทางศาสนาน้อยมาก คุณหลงตัวเอง คิดว่า การที่คุณไม่มีอะไร เป็นของตัวเองนั้น เป็นการไม่มีกิเลส เวลาคุณหิว คุณคิดว่าคุณมีกิเลสไหมละ ลองพิจารณาให้ดี ขณะคุณอยากนอนหลับ คุณเกิดกิเลสไหมละ แต่ถ้าคุณฝืนไว้ ไม่ยอมนอน เป็นกิเลสไหมละ
คุณเป็น ผู้ศรัทธาในพระพุทธเจ้า เขาเรียกว่า อะไรนะ "พุทธะ" อย่างนั้นหรือ "พุทธะ"หมายถึงอะไรละ ลองคิดพิจารณาดู
ถ้าคุณไม่รู้ว่ากิเลสคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร อย่างใดเป็นกิเลสอย่างละเอียดหรืออย่างบาง อย่างใดเป็นกิเลสอย่างหยาบหรืออย่างหนา คุณก็ไม่มีทางขจัดกิเลสได้อย่างหมดจด มีแต่ความหลงคิดว่าตัวเองไม่มีกิเลส คุณเข้าใจไหม
แล้วคุณควรกลับไปอ่านกระทู้ความคิดเห็นของข้าพเจ้าให้ดี และต้องอ่านโดยพิจารณษบริบทของภาษา คุณเข้าใจไหมคำว่า"บริบทของภาษา" ถ้าคุณไม่เข้าใจบริบทของภาษาคุณก็จะเกิดการหลงผิดเข้าใจผิดคิดว่าข้าพเจ้าตำหนิติเตียนคุณ
ส่วนตัวอย่างที่คุณยกมา มันคนละอย่างกับที่ข้าพเจ้ายกตัวอย่างให้เห็น คุณเอาปลายเหตุมากล่าว คุณรู้ไหมว่า ความคิดของคุณนั่นแหละทึ่เป็นกิเลส เป็นความหลง
คุณไปยกตัวอย่างว่า รู้ว่า ขโมยเงิน200,000บาท แล้วไม่ดี จะลอง อีกหรือ จะได้รู้ว่าจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อไปอีกหรือไม่ เข่นนั้นหรือ
ยกตัวอย่างไม่ถูกแล้ว ก่อนที่จะขโมยเงินนะคุณทำไมไม่ยกตัวอย่างว่า อยากได้เงินของคนอื่น 200000 บาทคืออยากจะขโมย เป็นความคิดที่ไม่ดี เป็นกิเลสอย่างบางแล้วนะ ถ้าคุณยังคิดอยากได้อยู่โดยพยายาม หาหนทางใดใดก็ตาม ก็เป็นกิเลสอย่างหนา ต่อจากนั้น คุณก็ยังอยากจะขโมยเงินของผู้อื่นอีก ก็จะกลายเป็นพฤติกรรม หรือ แปรเปลี่ยน เป็นประพฤติ หรือการกระทำ กิเลสก็หนาขึ้นไปอีก
ถ้าคุณประพฤติ หรือกระทำ ลักขโมยเงิน มาได้ กิเลสก็จะถูกขจัดไป นี้เป็นการขจัดอาสวะในทางปุถุชน
แต่เนื่องจากการประพฤติ หรือการกระทำ ลักขโมย หรืออื่นใดอันไม่ถูกต้องตามศีลธรรม และกฎหมาย กฎเกณฑ์กติกา ของสังคม เป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับคนในสังคม และเป็นค่านิยมที่บุคคลที่มีศาสนาไม่ทำกันอย่างแน่นอน จึงเป็นการยกตัวอย่างให้เห็นเพียงเรื่องของกิเลส ไม่ใช่เรื่องของการประพฤติหรือการกระทำ คุณเข้าใจไหม
ข้าพเจ้าว่า ระดับคุณ น่าจะเป็นบัวอยู่ในดินมากกว่านะ
อีกประการหนึ่ง ความเข้าใจของคุณยังล้าสมัย ไม่เข้าถึงยุคสมัย และความเป็นจริงทางสรีระร่างกายของมนุษย์ ข้าพเจ้าไม่ใช่บุคคลที่จะมาอวดอุตริฯ คือสอนหรือเขียนสิ่งที่ไม่มีในตน หรือตนทำไม่ได้
สิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนสิ่งที่ข้าพเจ้าข้าพเจ้าทำได้ทั้งนั้นแหละนะคุณ
แต่ในเวบฯนี้ ไม่สามารถเขียนอะไรที่มันทันยุคทันสมัยได้ เดี๋ยวเขาก็จะลบ หรือห้ามเข้ามาอีก
เวบมาสเตอร์เขาก็รู้ว่าข้าพเจ้าเป็นใคร เพียงแต่เขาคงไว้น้ำใจ แก่ข้าพเจ้าเท่านั้น |
|
|
|
  |
 |
bad&good
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 06 ส.ค. 2007
ตอบ: 115
|
ตอบเมื่อ:
22 ก.ย. 2007, 9:31 pm |
  |
ข้าพเจ้าเชื่อว่า เรากำลังคุยในเรื่องเดียวกัน
เพียงแต่ การเขียนภาษาไทย ไม่อยู่ใน คลื่นความรู้สึกเดียวกัน
.......................................................
"พุทธะ" แปลว่า "รู้"
ซึ่ง"รู้" ในที่นี้ ไม่ใช่รู้ อย่างธรรมดา
รู้อย่างพระพุทธเจ้า คือ เป็นเรื่องที่สูงส่ง ที่พระองค์สามารถค้นพบได้ด้วยพระองค์เอง ไม่มีใครค้นพบมาก่อน
ซึ่งหลังจากนั้น พระองค์มีความเมตตา ทรงเผยแผ่ ให้ผู้อื่น "รู้ตาม" เช่นเดียวกับ พระองค์
..................................................................
การพยายามอธิบาย คำว่า "กิเลส" ในลักษณะ เป็นจังหวะ ขั้นที่ 1 2 3 4 5 ถึง 100 คงไม่จำเป็น
..................................................
ข้าพเจ้า ทราบดีว่า แค่คิดอยากจะทำสิ่งที่ชั่ว ก็ผิดแล้ว เป็นกิเลส เช่นกัน
แต่เพื่อการอธิบาย อย่างง่าย คนไทย อ่านแล้วเข้าใจเบื้องต้น ข้าพเจ้าก็รู้สึกเพียงพอแล้ว คงไม่กล่าวลงลึกขนาดนั้น ว่า แม้นคิดจะขโมย ไม่ควรคิด มากกว่านั้น ถ้าเป็นพระสงฆ์ แม้นมีผู้ให้เงินให้ทอง ก็ต้องไม่รับเงินไม่รับทอง (ซึ่งพระสงฆ์ระดับนั้น ต้องเคร่งต่อศีล เคร่งต่อสิ่งที่ท่านตั้งปณิธานไว้ ความมัวหมองในเรื่อง จับเงิน จับทอง ของมีค่า สำหรับพระสงฆ์องค์นั้น คงไม่มี คงไม่ถูกกล่าวขาน ในทางที่เลวทราม และเชื่อว่าพระสงฆ์รูปนั้น คงไม่คาดหวังให้สรรเสริญจากผู้ศรัทธา แต่อย่างใด)
..............................................
ท่านจะกำหนดให้ข้าพเจ้า เป็นอย่างไร บัวระดับไหน ก็แล้วแต่ท่านเถิด
ข้าพเจ้าขอยุติการสนทนา ในหัวข้อนี้
............................................
การแสดงความเห็น หรือ ธรรมะที่ดีงาม ไม่มีคำว่าล้าสมัย มีแต่ทันสมัย เพราะ พุทธธรรม เป็นความดีงาม อย่างไม่จำกัดกาล สามารถทำให้ท่านเป็น ผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบาน ได้ทุกเมื่อ
ดังนั้น ท่านอย่าได้กังวล ว่า Web Master จะลบข้อความ ของท่านทิ้งไป ถ้าข้อความท่านเป็นสิ่งที่ดีงาม แสดงภาษาไทย อ่านได้อย่างรู้เรื่อง อ่านแล้วได้ความหมาย ซึ่งผ่านการตรวจอ่านจากท่านอย่างรอบคอบแล้ว (ถ้าพิมพ์ลงใน MS Word แล้วให้คนไทยรอบข้างท่าน อ่าน อ่านได้ใจความแล้ว ค่อย copy paste นำเสนอในหน้าเวบ ก็ยังไม่สาย)
ขออภัยที่ต้องสอนเรื่องเช่นนี้
จาก บัวใต้ดิน ชั้นที่ 5 (ขอเคืองเล็ก ๆ)
.......................................... |
|
_________________ อริยมรรคมีองค์ 8 คือ สูตรสำเร็จแห่งการดับทุกข์ |
|
  |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ย. 2007, 2:26 pm |
  |
ข้าพเจ้าไม่ได้กลัวเขาลบดอกนะคุณ เพราะเขาลบทิ้งไปนับไม่ถ้วนแล้วละคุณ แล้วคุณก็ควรได้ใส่ใจในคำสอนของข้าพเจ้า ในการอ่านภาษาไทย ต้องรู้จักบริบทของภาษา หรือคำแวดล้อมของข้อความ
กิเลสคุณนั้น ยังหนา ชนิดที่เรียกว่า มีแต่สีดำในตัวคุณ นี้ไม่ใช่เป็นการว่าหรือเยาะเย้ยหรือถากถาง แต่กล่าวความจริง ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ กระทู้ของข้าพเจ้าเขียนถึงการเกิดกิเลส และการขจัดกิเลส หรือขจัดอาสวะแห่งกิเลสให้สิ้น ในทางปุถุชนคนทั่วไป เป็นเพียงการยกตัวอย่างให้เห็น มิได้หมายถึงการคิดหรือกระทำสิ่งที่เลวร้ายผิดกฎหมาย คุณควรได้ทำความเข้าใจ และกลับไปอ่านอย่างช้าๆ ใช้สมองสติปัญญาคิดพิจารณาให้ถี่ถ้วน อย่าแสดงตัวอวดโอ้ว่ามีความรู้เลยนะ
ถึงแม้คุณจะอยู่บทบาทใดใดก็ตาม ข้าพเจ้าสามารถสอนคุณได้ทุกบทบาท แต่จะสอนได้ละเอียดมากนัอยเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับประสบการของข้าพเจ้า
ธรรมที่ดีงามของข้าพเจ้าบางครั้งมันก็ไปทำให้ผู้อื่นขายหน้า
และอนึ่งถ้าคุณเกิดความอายขึ้นมา นั่นแหละกิเลสเกิดขึ้นละนะคุณ เพราะความอายเป็นความหลงอย่างละเอียดชนิดหนึ่ง ถ้าไม่มีความคิด ไม่มีความรู้ยับยั้งความอายนั้นไว้ หรือไม่รู้จักวิธีขจัดความอายนั้น ก็อาจจะกลายเป็นพฤติกรรม หรือการกระทำต่างๆ ที่อาจเป็นสิ่งขจัดอาสวะแห่งกิเลสก็ได้ หรือเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ก็ได้ |
|
|
|
  |
 |
bad&good
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 06 ส.ค. 2007
ตอบ: 115
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ย. 2007, 2:46 pm |
  |
 |
|
_________________ อริยมรรคมีองค์ 8 คือ สูตรสำเร็จแห่งการดับทุกข์ |
|
  |
 |
|