ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
30 มิ.ย.2007, 3:13 pm |
|
คนเราจะมีกุศลได้
ต้องภาวนาให้ใจใสสะอาดออกมาจากดวงใจ
จะมีเมตตา ปรารถนาดีต่อทุกคน
จะไม่อิจฉาริษยาแต่ประการใด
นี่ก็เป็นทานอันสำคัญ
ที่เราพยายามเสียสละความชั่วออกจากตัวได้...
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
30 มิ.ย.2007, 3:14 pm |
|
อาตมาปฏิบัติมาทุกอย่างแล้ว ก็มาสรุปได้ข้อนี้เอง
คือ สติสัมปชัญญะ
อย่าลืมว่า ไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา
ข้อปฏิบัติสรุปเหลือ ๒
คือ แก่นแท้พระพุทธศาสนา คือ สติสัมปชัญญะ ไม่ลดละภาวนา
มีสติเข้าไว้ทุกอิริยาบถ มีสัมปชัญญะรู้ตัวรู้ทั่ว รู้นอก รู้ใน
รู้ตาชั่งขึ้นมาดู เอาตราชูขึ้นมาชั่ง
รู้อย่างนี้จึงจะเรียกว่ารู้ตัว รู้ทั่ว รู้การแก้ปัญหา
เหลือ ๒ ประการคือ แก่นแท้ คือ ธรรมะ อยู่ตรงนี้แน่ ๆ
ไม่ใช่อยู่ที่อื่น แล้วก็ทำได้
รู้ตัว รู้ทั่ว รู้นอก รู้ใน รู้จิตใจของเรา รู้จิตใจของคนอื่นได้
มันก็ออกในรูปแบบเหลือ หนึ่ง คือ ความไม่ประมาท
ซึ่งเป็นหลักพระพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าบอกว่า ทำอะไรอย่าทำให้เป็นเหตุแห่งความประมาท
จะตายได้ จะเสียดาย
จะขาดเหตุขาดผลขาดต้นขาดปลายอย่างนี้เป็นต้น
อยู่ตรงนี้นะ นี่หลักแก่นแท้พระพุทธศาสนาก็ได้มาจากทางสายเอก
ก็จะจับจุดได้ว่า เอกตรงไหน เอกที่เดินทางสายเอเชีย ไม่มีหนาม
รถยนต์ของท่านจะไม่ชอกช้ำ
ถ้าท่านเดินสายจัตวาก็เดินโขลกเขลก มีหนาม มีหลุม มีบ่อ
ท่านจะเลือกเดินอย่างไร นี่เหตุผลของทางสายเอก
จงเลือกเดินทางสายเอก ทางสายเอก
ทางบกก็แห้งตลอด ทางน้ำก็เรือแล่นได้เลย
ไม่มีหาดไม่มีตอ ก็เรียกว่า ทางสายเอก
แต่เดินทางสายเอกหรือทางอะไรก็ตาม
ถ้าท่านขาดสติ สัมปชัญญะ มีความประมาทอยู่ในจิตใจของท่าน
ท่านก็ไม่พบหลักพระพุทธศาสนาในตัวท่าน
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
30 มิ.ย.2007, 3:15 pm |
|
ปัญญาที่รอบรู้เหตุผล คือ ปัญญาช่วยตัวเองได้
สามารถจะขจัดปัดเป่าความชั่วจากตัวได้
แล้วกิเลสที่เกิดขึ้นแก่ตัวเรา สามารถยับยั้งได้ทันเวลา
ไม่ใช่ปัญญารู้ว่าต้องค้าขายอย่างนั้นได้กำไร
อย่างนี้ได้กำไร ไม่ใช่อย่างนั้นแน่
ปัญญาที่เราประสบมาจากการวิปัสสนานี้ มันบอกกันไม่ได้
และให้กันไม่ได้ด้วย มันเป็นพรสวรรค์ของใครของมัน
บางท่านที่เป็นวิทยากรก็มีเทคนิคอีกอย่างหนึ่ง
บางท่านก็มีอีกอย่างหนึ่งสามารถแก้ปัญหาในส่วนนั้นได้
ปัญญาของวิปัสสนานี้เราจะรู้ได้ คนนี้มีทุกข์เราจะแก้ทุกข์ให้เขาอย่างไร
เราจะพูดตามวาระจิตเหมือนพระพุทธเจ้าไปทรงโปรดกับสัตว์ทั้งหลาย
รู้วาระจิตของคน อย่างนั้นแก้ไขได้ตามขั้นตอน
แต่ปัญญาที่เกิดขึ้นไม่ใช่ปัญญาในเรื่องทำมาหากินโดยเฉพาะ
แต่มันเป็นผลพลอยได้อันหนึ่ง เช่น ปัญญารอบรู้ในสังขาร
รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในตัวเรา แก้ปัญหาได้เดี๋ยวนี้
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
30 มิ.ย.2007, 3:16 pm |
|
การเจริญกรรมฐานที่วัดอัมพวัน ต้องการฐานนี้
ถ้าท่านตั้งสติดี นำตัวเองตามดูตัวเอง คือ สัมปชัญญะ
ให้ตัวกำหนดนี่เป็นตัวนำ ให้หนอเป็นตัวตาม
คิดหนอ.... หนอนี่รั้งจิต
รั้งจิตให้รู้ตัว เรียกว่าตัวตาม
ต้องจำให้ได้ บางทีถามตอบไม่ได้เลย
ไม่รู้อะไรเป็นตัวนำตัวตาม
เรานำตัวเองก่อนแล้วตามไปดูตัวเอง
คือ สัมปชัญญะปัพพะ
รู้ตัว รู้ทั่ว รู้นอก รู้ใน รู้กาลเวลา รู้กาลเทศะ
รู้จักเด็ก รู้จักผู้ใหญ่ รู้จักการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ รู้กตัญญ
รู้เหตุ รู้ผล รู้ข้างต้น รู้ชนปลาย รู้เกิด รู้ดับ รู้คุณ รู้โทษ
รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์ และไม่เป็นประโยชน์
ต้องรู้อย่างนี้ ถึงจะเป็นมนุษยชาติ มนุษยชน
เดี๋ยวนี้เป็นมนุษย์ครบไหม
ขอเรียนถามท่านทั้งหลายที่มาบวชนี่ต้องถามมนุสโสสิ
เป็นมนุษย์หรือเปล่า อามะ ภันเต เป็นมนุษย์แต่ไม่ครบ
ร่างกายเป็นมนุษย์ จิตใจยังเลว
นิรยะจิตและใจยังเป็นเปรต
จิตใจยังเป็นเดรัจฉานหนอ
จิตใจก็ยังเป็นมนุษย์ไม่ได้
จึงต้องบวช บวชก็คือ ต้องเรียนชีวิต
ปฏิบัติกรรมฐาน ต้องการจะเข้าใจชีวิตของตนเอง
จะได้อ่านตัวออก จะได้บอกตัวได้
จะได้ใช้ตัวเป็น จะได้เห็นตัวตาย
จะได้คลายทิฏฐิ จะได้ดำริชอบ
จะได้ประกอบกุศล ท่านจะได้ผลอนันต์เป็นหลักฐานสำคัญ
ทั้งนำทั้งตาม โปรดทำความเข้าใจตัวเอง
ว่าตัวสัมปชัญญะ เป็นตัวตรวจ ตัวตามดูว่าทำนี่มันถูกหรือทำผิด
ตัวสตินี่เป็นตัวนำจิต ให้ระลึกเสมอว่าจะทำอะไร
ให้จิตมันรู้ว่าจะทำอะไร คือ ตัวนำ ตัวตาม ก็คือ ตัวสัมปชัญญะ
บางคนถามตอบไม่ได้เลยแล้วจะไปสวรรค์หรือ
แค่ตามดูมนุษย์ยังไม่เป็นมนุษย์แท้
ยังไม่มนุสโสสิเป็นมนุษย์หรือ อามะ ภันเต
เป็นมนุษย์เจ้าค่ะ ถึงจะให้เรียนให้บวช
คนที่เป็นเดรัจฉานร่างกายเป็นมนุษย์
พูดไม่รู้เรื่อง มันไปขวางคนโน้น ไปขวางคนนี้ตลอดเลย
แล้วจะรู้เรื่องอะไร ต้องมีตัวนำ ตัวตาม ตัวเหตุ ตัวผล
ตัวชั่ง ตัวดู ตัวรู้แห่งปัญญา
การเจริญกรรมฐาน ต้องการจะทราบตัวนี้
ทราบตัวเข้าใจของธรรมะ
ถ้าเราไม่เข้าใจตัวเองแล้วจะไปเข้าใจคนอื่นเขาได้อย่างไร
เข้าใจคนอื่นไม่ได้เลย อย่างนี้เป็นต้น
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
30 มิ.ย.2007, 3:23 pm |
|
บารมีชั้นประถม คือ ความเพียร
จะไปพูดแต่ความเพียรทุกครั้งได้หรือ สมาธิมีหลายชั้น
ความเพียรชั้นประถม วิริเยน ทุกขมจฺเจติ
บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร
ถ้าไม่มีความเพียรล่วงทุกข์ไม่ได้
แต่ขึ้นชั้นสูงแล้ว
ขึ้นชั้นมัธยม บารมีคือ การสะสม
สะสมบารมีสร้างความดีในจุดมุ่งหมายของตน
ขึ้นมหาวิทยาลัย บารมีแปลว่าอะไร แปลว่า ไม่กลัว
บารมีแปลว่า กล้า จะต้องทำงานต่อไป
ไม่กลัวใครทั้งนั้น นี่ชั้นสูง มันต้องตีความแยกประเภทไป
เดี๋ยวนี้พระสอนรวมไปหมดแล้ว ไปสวรรค์นิพพาน
มันต้องได้หลายอย่าง เช่น
สติปัฏฐาน ๔
นี่เราเจอพระท่านในป่ารำลึกชาติได้
สองรำลึกถึงบุพการีได้
สามรำลึกชาติครั้งอดีตได้
สี่รู้กฎแห่งกรรมที่ตนทำกันไว้
ห้าแก้ไขปัญหาใหญ่
เท่านี้เหลือกิน เหลือกินเลย
ไม่ใช่อย่างเดียว และไม่ใช่ขอขมาที่เราทำ
หนอนี่ของพระพุทธเจ้าแท้
หนอนี่แปลจากคำว่า วะตะ เป็นภาษาบาลี
อนิจจา วะตะ สังขารา สังขารไม่เที่ยงหนอ
อัญญาสิ วะตะโภ โกณฑัญโญ โกณฑัญญะเห็นดวงธรรมแล้วหนอ
ที่นี่วุ่นวายหนอ คือ ยสกุลบุตร เป็นคำหนอ...
หนอตัวนี้รั้งสติดีมาก ให้อยู่กับจิต
รั้งจิตให้อยู่กับสติให้ได้
เช่น แสงนีออน บัลลาต สตาร์ทเตอร์
แล้วจะให้หนอติดสตาร์ทเตอร์ทำให้ไฟติด
ถ้าไม่มีสตาร์ทเตอร์เอาออกเสีย ไม่ติดหรอก
เป็นสื่อสำคัญมาก คือ สตาร์ทเตอร์
หนอนี่เป็นสื่อให้สติอยู่กับจิต
เรียกว่า หนอ... โอ้หนอ โกรธหนอ... เสียใจหนอ...
หนอที่ทำให้เป็นกรมประชาสัมพันธ์
สื่อสารประสานงาน ให้จิตกับสติอยู่ด้วยกันให้เกิดปัญญา
เปิดสวิตช์ปั๊บ สตาร์ทรถปั๊บ ๆๆๆๆ ทำให้ไฟติด
ต้องตีความให้ละเอียด เดี๋ยวนี้พระสอนให้ไปสวรรค์นิพพานหมด
นั่งบวชชีพราหมณ์ไปสวรรค์
ไปนิพพานมานั่งคุยกันตามบ้าน ใช้ได้หรือ ไร้ปัญญา
นี่บารมีชั้นประถม บารมีชั้นมัธยม มีความเพียรในทางดี
บางคนชั้นประถม ต้องความเพียรอย่างดีก่อน
หนูตั้งใจเรียนหนังสือ ขยัน แปลว่า บารมี แปลว่า ความเพียร
แต่ขึ้นมัธยม แล้วไม่ใช่อย่างนั้นแปลว่าอีกอย่างหนึ่งเพิ่ม
เพิ่มแปลว่า สร้างบารมีในทางดี สร้างความดี
ขยันสร้างความดี ขยันทำดี ไม่ใช่ขยันทำชั่ว
บารมีชั้นมหาวิทยาลัย ฉันกล้าที่จะสร้างความดี
ไม่กลัวใคร ไม่กลัวใครนินทา
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
30 มิ.ย.2007, 3:24 pm |
|
จะเป็นคนดี ปฏิบัติข้อเดียวคือ ละความชั่ว
ละความชั่วไม่ได้...ดีไม่ได้แน่นอน
เอาแต่ความชั่วใส่ตัวตลอดรายการ เลยมีทิฐิ
คนชั่วคนดีมันต้องทะเลาะกัน
คนชั่วมันทำดีไม่ได้ คนดีทำชั่วไม่ได้หรอกนะ ดูตรงนี้อย่าไปว่ากัน
แต่การนินทามันเรื่องธรรมดา มันเรื่องของคนที่ชอบ
พระพุทธเจ้านั้น ใครจะด่าจะว่าท่านก็ไม่ถือ
เพราะคนเรารู้ไม่จริง เขาถึงด่าเรา
เราสอนให้เขาเป็นคนดี เขากลับมาด่าเรา
เพราะเขารู้ไม่จริง เป็นอย่างนี้
แล้วจะเอาอะไรมาเป็นหลักก็หามีไม่...
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
30 มิ.ย.2007, 3:24 pm |
|
บริวารมา...เพราะน้ำใจดี
บริวารหนี...เพราะน้ำใจลด
บริวารหมด...เพราะน้ำใจแห้ง
บริวารกลั่นแกล้ง...เพราะไม่ยุติธรรม
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
30 มิ.ย.2007, 3:25 pm |
|
โยมเอาใจใส่ตัวเอง รักตัวเองให้มาก สงสารตัวเองให้มาก
จะได้ช่วยตัวเองให้มาก
อย่าสงสารคนอื่นมากกว่าตัวเองเลย
รักนวลสงวนตัว อย่าให้เสียหายได้ไหม
ไม่มีใครช่วยเราแล้ว
อัตตาหิ อัตโน นาโถ ตนเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของตน
ตนเตือนตนของตนให้พ้นผิด
ตนเตือนจิตได้ใครจะเหมือน
ตนเตือนตนของตนไม่ได้ใครจะเตือน
ตนแชเชือนใครจะไปเตือนให้เสียเวลา
ไม่ช่วยตัวเอง...แล้วใครจะช่วย
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
30 มิ.ย.2007, 3:30 pm |
|
การดำเนินชีวิตนั้นให้เดินสายกลาง
ถ้าพูดตามสมัยใหม่ต้องพูดว่า
ทำอะไรเอาปัจจุบัน อดีตอย่ารื้อฟื้น
กิจที่ชอบทำเดี๋ยวนี้ให้เสร็จ นี่คือสายกลาง
เรามีหน้าที่อะไรทำให้เสร็จ
อาตมาอายุ ๗๓ แล้ว อยู่ถึงตี ๓ ทุกวันฉันข้าวคำสองคำก็พอแล้ว
คนผัดวันประกันพรุ่งใช้ไม่ได้
หรือมีนิสัยไม่ดี ๔ ประการนี้ก็ทำให้ขาดคุณภาพชีวิต คือ
ขี้เกียจ
ขี้โกง
ขี้อิจฉา
ขี้ริษยา
พระพุทธเจ้าพบธรรมะ เพราะทรงเดินทางสายกลาง
ก่อนหน้านั้นปัญจวัคคีย์ทิ้งพระองค์ไป
เพราะคิดว่าพระพุทธเจ้าไม่เคร่งครัด ไม่ตั้งพระทัยจริง
ที่พระองค์ทรงสำเร็จจนทรงเป็นศาสดาเอกของโลก
เพราะทรงฝืนใจ คนเราถ้าฝืนใจไม่ได้ก็ดีไม่ได้
เพราะฉะนั้นสรุปใจความ เข้าวัดให้ได้ ๓ วัด ไม่ใช่แค่ไปวัด
อย่างไปวัดอัมพวันนะ อย่าไปให้มันเสียค่ารถ มันไกล
ถ้าไปแล้วต้องได้ ๓ วัดต่อไปนี้คือ
๑. วัตถุธรรม
๒. วัดอารมณ์
๓. วัดจิตของเรา
วัตถุธรรม
คือ ให้ท่านมีธรรมะ ธรรมะมี ๔ ข้อ
๑. ธรรมชาติ การเกิด แก่ เจ็บ การพลัดพรากจากกัน
๒. ความมีเหตุผล
๓. กฎแห่งกรรม คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
๔. การฝืนใจ ไม่ปล่อยไปตามอารมณ์ซึ่งยากมาก
ตามใจตนเสียคนหมด ดีไม่ได้เลย
วัดอารมณ์
ถ้าอารมณ์ไม่ดี คนใจดีก็กลายเป็นคนใจดำ
ใจสูงก็กลายเป็นคนใจต่ำ
คนไว้ใจได้ก็กลายเป็นคนโลเล
คนมีเสน่ห์ก็กลายเป็นคนน่าชัง
คนพูดน่าฟังก็กลายเป็นคนพูดไม่เข้าหูคน
อารมณ์ไม่ดีจะเสียหมด เพราะขาดสตินั่นเอง
พระพุทธเจ้าให้วิชาแก้ปัญหาชีวิต คือ วิชากรรมฐาน
แปลว่าการกระทำให้ฐานะดี
ทำให้จิตเดินทางสู่ที่หมายแห่งความสำเร็จของชีวิต
แก้ปัญหาชีวิตได้ทุกประการ
แล้วก็สวดพาหุงมหากา สวดให้มีสติ
สวดให้เกิดปัญญา จะได้แก้ไขปัญหาสมปรารถนา
สวดให้เท่าอายุเป็นการต่ออายุได้
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ช่วยตัวเอง
ช่วยแม่ช่วยพ่อ ช่วยส่วนรวม ช่วยสังคม
และต้องสอนตัวเองอย่าถือทิฐิ
คนเรามักมีทิฐิ ไม่เชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่ นี่คือโมหะ
ทำให้ไม่มีปัญญา ทำให้ไม่มีสติที่จะแผ่เมตตาให้ใคร
ถ้าอารมณ์ดีปลอดโปร่ง ไม่มีอะไรมาเจือปน
เมตตาไม่เจือปนโทสะ ไม่อิจฉาใคร
ก็แผ่เมตตาได้ ไม่จำเป็นต้องไปห้องพระ
ความรักความเมตตาคือความผูกพันแห่งความดี
ท้ายที่สุด ขอฝากให้คิดเพื่อเพื่อนมนุษย์ว่า
สิ่งที่มนุษย์ต้องการมี ๑๐ ประการ
๑. ความรัก
๒. ความนิยมชมชอบ
๓. ความเลื่อมใสศรัทธา
๔. ความมีไมตรีจิตมิตรภาพ
๕. ความเอาใจใส่
๖. ความเคารพนับถือ
๗. ความเมตตา
๘. ความเห็นอกเห็นใจกัน
๙. ความเป็นกันเอง ไม่ถือตัว
๑๐. ความเป็นธรรมชาติ ไม่ฟู่ฟ่า
ไม่หรูหรา ไปเรียบ ๆ สวยเสมอต้นเสมอปลาย
และหากรักจะก้าวหน้าต้องมีคุณธรรมต่อไปนี้
ก็จะสมปรารถนาทุกประการคือ
ขยันเอาการ งานสะอาด ฉลาดรอบคอบ
ชอบระวัง ตั้งใจตรง ทรงศีลธรรม
นำทางถูก ปลูกสติ ดำริชอบ
ประกอบกุศล ได้ผลอนันต์ เป็นหลักฐานสำคัญ
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
30 มิ.ย.2007, 3:31 pm |
|
ขอฝากพี่น้องไว้ทุกคนว่า
มีลูกก็ต้องอบรมสั่งสอนให้เขาเป็นคนดี ให้การศึกษา
เกิดมาทั้งทีเอาดีไม่ได ้เกิดมาทำไม
นกไม่มีขน คนไม่มีความรู้ บินไม่ได้ ไปไม่รอด
ถ้ามีลูกหลายคนก็ขอบิณฑบาตให้เป็นหมอสักคนได้ไหม
เพื่อจะได้คอยช่วยเพื่อนมนุษย์ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
30 มิ.ย.2007, 3:31 pm |
|
ปากไม่พูด จิตไม่คิด เป็นสมาธิภาวนา
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
30 มิ.ย.2007, 3:32 pm |
|
พระพุทธเจ้าสอนให้เราพึ่งตนเอง ช่วยตนเอง ให้สอนตัวเอง
สองมือเรานี้พึ่งฝีมือเราเอง หมายถึง มือข้างหนึ่งมี ๕ นิ้ว
แต่มือข้างหนึ่งแต่ละนิ้วหมายถึง
๑. จริงต่อการงาน
๒. จริงต่อหน้าที่
๓. จริงต่อวาจา
๔. จริงต่อบุคคล
๕. จริงต่อความดี
มืออีกข้างหนึ่ง แต่ละนิ้วมีความหมายดังนี้
๑. ภูมิรู้
๒. ภูมิธรรม
๓. ภูมิฐาน
๔. ภูมิปัญญา
๕. ภูมิปัจจุบัน
พึ่งตัวเองได้เลย ทำเท่านี้เอง
ไม่ต้องไปใช้ฝีมือของคนอื่น ใช้ฝีมือของเราก็อยู่ได้...
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
30 มิ.ย.2007, 3:34 pm |
|
ถ้าสติกับจิตอยู่ด้วยกัน จะมีปัญญาและสามารถแก้ไขปัญหาได้ในปัจจุบันนั้น
ให้ทำจนเคยชิน พอเคยชินแล้ว
พอเห็นใครมันเกิดรู้โดยอัตโนมัติ
โดยไม่ต้องภาวนาว่า เห็นหนอ
พอเห็นตั้งแต่ศรีษะลงปลายเท้า ปลายเท้าถึงศรีษะ
แล้วจะมาบอกเราที่ลิ้นปี่ ว่านิสัยคนนี้เป็นอย่างไร
เวลากินข้าวคนไม่ดี กับคนดี
กินข้าวร่วมกันได้ ทำงานร่วมกันได้
แต่จะเอาจิตไปรวมกับคนเลวนั้นไม่ได้
กินข้าวรวมกันได้หมายความว่า แต่ละคน ต่างคนต่างเติมกันเองได้
เราก็อย่าไปเติมรสแบบเขา เราก็เติมรสแบบของเรา
คบกันได้ แต่จะมาผสมกันไม่ได้
คนที่ฉลาดจะใช้คนได้ทุกประเภท
คนดื้อบางทีเราพูดด้วยปัญญาใช้งานได้ดี
ถ้าเราไปดุด่าใครเขาจะไปชอบ ต้องให้ไพเราะ
คนหัวดื้อหัวแข็ง ต้องพยายามยกย่องให้เกียรติเขา
หนักเข้าเดี๋ยวเขาก็อ่อนตาม
เหมือนเช่น พระพุทธเจ้า ยักษ์จะทำร้ายพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าก็เฉยจะทำอะไรก็ทำไป
แต่ท่านมีเมตตาอย่างเดียว ทำให้ยักษ์ต้องอ่อนน้อม
จึงตั้งนะโม ตัสสะ ภควะโต อ่อนน้อมต่อพระพุทธเจ้า
ทำกัมมัฏฐานอย่าไปหวังผลนิพพาน
บางแห่งหวังแต่ญาณต่างๆ ทำกัมมัฏฐานให้รู้ ๓ อย่าง ก็พอ คือ
๑. ระลึกชาติของชีวิต
๒. รู้กฎแห่งกรรม จากการกระทำของตัวเอง
๓. แก้ปัญหาชีวิตได้ และรู้จักพอ
ดังนั้นสรุปรายการ กัมมัฏฐานดีที่สุด ทำให้สื่อสารงานเดิน
ดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง และก็ไม่บ่นไม่จู้จี้
คนที่บ่นจู้จี้ ลูกไม่มาหลานจะไม่มาสู่ แล้วจะหว้าเหว่
ถ้าลูกมาหา หลานมาสู่ทำให้อากงอาม้า อายุยืน อิ่มอกอิ่มใจ
ดังนั้นให้ทำลมหายใจให้ยาวๆ จะทำให้ไม่โมโห
คนที่โมโหเก่งจะมีอายุไม่ยืน โรคแทรกซ้อน
ถ้าอารมณ์ดี จะอายุยืน โรคไม่แทรกซ้อน
ซึ่งข้อเท็จจริงฐานะในทางจิตใจไม่มีตัวตนให้จับต้องได้
อารมณ์ดี หรือไม่ดี มันไม่มีหลักฐานอะไรยืนยัน
แต่ถ้าเราฝึกไปเรื่อยมันก็จะมีหลักฐานยืนยัน
จะอยู่คงที่และทำให้เกิดปัญญา
ปัญญาตัวนี้จะไปแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าได้ ในปัจจุบันได้
ไม่ต้องไปคิดแก้ปัญหาในวันรุ่งขึ้น
ทำได้เลยเพราะมีตัวกำหนด
ตัวกำหนดนี้เป็นตัวตั้งสติ ให้เรารู้ว่าสติเสียไปแล้ว สติตกไปแล้ว
และเมื่อสติขาดไปแล้ว มันจะคิดเรื่อยเปื่อยไม่มีหลัก ไม่มีกฎไม่มีเกณฑ์
ทำอะไรไม่ระเบียบ กลายเป็นคนไม่มีหลักฐานไป
บางครั้งเกิดปิติขึ้นมาก็ต้องกำหนดรู้หนอๆ ที่ลิ้นปี่
เดี๋ยวก็รู้จริงขึ้นมา ส่วนรู้ปลอมก็จะหายไป
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
30 มิ.ย.2007, 3:35 pm |
|
อดทนได้ รอได้ ช้าได้ ดีได้
อดทนได้ นิ่งได้ รอได้ ช้าได้ ดีได้
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
30 มิ.ย.2007, 3:36 pm |
|
เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันต้องหวัง
เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
30 มิ.ย.2007, 3:36 pm |
|
การพูดที่ไม่ได้คิด เหมือนกับการยิงที่ไม่ได้เล็ง
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
30 มิ.ย.2007, 3:37 pm |
|
การทำผิด...เป็นวิสัยมนุษย์
การให้อภัย...เป็นวิสัยพระ
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
30 มิ.ย.2007, 3:38 pm |
|
นาฬิกาทุกเรือนเวลาเท่ากันหมด ไม่มีเวลาเหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่ากันเลย
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า นาฬิกาผูกที่ข้อมือของโยม
เดินตรงเหมือนกันทุกเรือนไหม
จะทราบได้อย่างไรว่า นาฬิกาของเราตรง หรือไม่ตรง
ร้อยคนไม่ตรงกันสักคน ไม่เคยเทียบกับคนอื่นเขาเลยหรือ
ดูแต่ของตัวเองอย่างนั้นหรือ
นาฬิกาของอาตมาคืนหนึ่งเทียบหลายครั้ง
เทียบกับกองอุตุนิยมวิทยา เทียบกับกรมประชาสัมพันธ์
แต่นำไปใช้ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสไม่ได้
ต้องมีสองเรือน เรือนที่ใช้ในประเทศไทยไม่ตรงกับประเทศอื่น
บ้านเดียวกันนาฬิกาก็ยังไม่ตรงกัน
ถ้าเราเทียบนาฬิกาด้วยกันให้ตรงเวลาเหมือนกันแล้ว
จะเป็นระเบียบเดียวกัน นัดเวลาก็จะมาตามนัด
ผู้ที่มาเจริญกรรมฐาน ต้องการมาเทียบนาฬิกาชีวิต
ชีวิตนี้คือเวลา เวลาคือชีวิต
เวลาเท่านั้นเป็นผู้ตัดสินชีวิต
...ชีวิตหมดไปแล้ว ๑ วินาที...เรียกคืนไม่ได้...
ใครผู้ใดหนอจะใช้เวลาแม้แต่วินาทีเดียว
...ให้คุ้มค่าและดีกว่ากัน...
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
30 พ.ย.2007, 11:27 am |
|
ที่อาตมาพูดอยู่เป็นประจำก็ต้องให้มีความสามัคคีปองดอง
เหมือนอย่าง เชือกกำลังจะขาด
เราต้องหย่อนเชือกก่อน อย่าไปดึงให้มันขาด
ต้องพูดอย่างไร
บางคนไปแก้ปัญหาโดยการพูด ซะตรง...มันก็จะเสียเลย
ต้องมีกุศโลบายในการพูด
กุศโลบายในการแก้ปัญหา
กุศโลบายในการให้เขาชื่นใจ
|
|
|
|
|
|
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
30 พ.ย.2007, 11:29 am |
|
การนั่งสมาธิบำเพ็ญจิตภาวนา ช่วยท่านได้เยอะเลย...แต่มันทำยาก
ถ้าท่านทำจริงๆ แล้วคิดอะไรมันก็ได้ เรียกว่า
แก้วสารพัดนึกของชีวิต ชีวิตที่มีแก่นสาร
สมาธินี้ ถ้าพูดโดยเหตุผล มีอยู่ด้วยกัน ๔ ประการ
๑. ทำสมาธิเพื่อให้เกิดความสงบสุขในปัจจุบัน ไม่ใช่ต้องการสุขในชาติหน้า
๒. ทำสมาธิเพื่ออบรมจิตให้เกิดแสงสว่าง ต้องการให้เกิดปัญญา
๓. ทำสมาธิเพื่อควบคุมให้สติกับสัมปชัญญะอยู่กับจิต ให้ได้
๔. ทำสมาธิเพื่อทำลายอาสวะกิเลส ให้เบาบางลงไป
|
|
|
|
|
|
|