Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 การเจริญวิราคะคืออะไร อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
วุฒิชัย
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2007
ตอบ: 8
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2007, 11:01 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ได้ยินเค้าคุยกันครับ
เจริญวิราคะ อยากรู้ว่าคืออะไร
 

_________________
ร่างกายเคลื่อนไหว ใจสงบนิ่ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailYahoo MessengerMSN Messenger
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2007, 4:33 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ธรรมานุปัสสนา ๔ ชั้น
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร


การปฏิบัติอบรมจิตมีสติปัฏฐานตั้งสติพิจารณากายเวทนาจิตธรรมเป็นหลัก และในการปฏิบัตินั้นแม้จับข้ออานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นหลัก ขั้นของการปฏิบัติก็จะดำเนินขึ้นไปเองเป็นกายานุปัสสนา เป็นเวทนานุปัสสนา เป็นจิตตานุปัสสนา และเป็นธรรมานุปัสสนา ซึ่งได้แสดงมาโดยลำดับ

เมื่อถึงขั้นจิตตานุปัสสนาจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ หายใจเข้าหายใจออก และปลอดนิวรณ์ เพราะมีสติเปลื้องจิตออกจากนิวรณ์ได้ จิตจึงเป็นสมาธิ และเป็นอุเบกขาคือเข้าเพ่งอยู่กับความสงบ จับอยู่กับความสงบที่ไม่หวั่นไหว หรือไม่เอียงไปข้างยินดี ไม่เอียงไปข้างยินร้าย เป็นจิตที่บริสุทธิ์ผ่องใส เมื่อเป็นดั่งนี้ก็เป็นอันว่าเต็มขั้นของจิตตานุปัสสนา ก็ตรัสสอนให้น้อมจิตพิจารณาธรรม ตามดู คือพิจารณาให้เห็นอนิจจะไม่เที่ยง

และตามดูให้เห็นวิราคะคือความสำรอกจิตจากความติดใจยินดีได้เพราะเห็นอนิจจะคือไม่เที่ยง ตามดูคือพิจารณาให้เห็นนิโรธคือความดับ ดับทุกข์ ดับความก่อทุกข์ ตามดูคือพิจารณาให้เห็นความสละคืน คือความวางสิ่งที่ยึดถือไว้ เป็นผู้ปล่อยวางได้ จึงเป็นผู้ไม่มีภาระ เป็นผู้เบา

และในข้อนี้ก็จัดเข้าในข้อธรรมานุปัสสนา ตั้งสติตามดู คือพิจารณาธรรม ดังที่ได้ตรัสสอนเอาไว้ว่า อนิจจานุปัสสนา ตามดูให้รู้ให้เห็นอนิจจะคือไม่เที่ยง วิราคานุปัสสนา ตามดูคือพิจารณาให้รู้ให้เห็นวิราคะความสำรอกจิตได้จากความติดใจยินดี นิโรธานุปัสสนา ตามดูคือพิจารณาให้รู้ให้เห็นนิโรธคือความดับ ปฏินิสสัคคานุปัสสนา ตามดูคือพิจารณาให้รู้ให้เห็นความสละคืน คือปล่อยวางสิ่งที่ยึดถือ เหมือนอย่างสละคืนไปแก่ธรรมชาติธรรมดา

ทั้ง ๔ นี้เป็นธรรมานุปัสสนาตามดูคือพิจารณาให้รู้ให้เห็นธรรม และธรรมที่พิจารณาให้รู้ให้เห็นนี้ก็รวมเข้าในรูปธรรมนามธรรมคือกายใจนี้เอง รูปธรรมนามธรรมนี้โดยตรงก็หมายถึงกายใจ อันเป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่ง ซึ่งเป็นวิบากขันธ์ ขันธ์ที่เป็นวิบากของกรรมเก่า นับแต่ชนกกรรม กรรมที่ให้เกิดมาเป็นรูปเป็นนาม อันเป็นที่ตั้งแห่งสมมติบัญญัติว่าเป็นบุคคล ตัวตนเราเขานี้ ซึ่งเป็นวิบากขันธ์ และก็หมายถึงปฏิบัติขันธ์ คือขันธ์ที่ใช้ปฏิบัติ ว่าถึงการปฏิบัติธรรมะ ก็การปฏิบัติอบรมสติอบรมปัญญา หรือปฏิบัติสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ดังที่ปฏิบัติกันอยู่ ซึ่งก็เป็นตัวสติตัวปัญญาที่ปฏิบัติให้มีขึ้น แม้สติปัญญาที่เป็นธรรมปฏิบัตินี้ก็เป็นปฏิบัติขันธ์ กองปฏิบัติ ก็รวมเข้าเป็นรูปเป็นนามในฝ่ายปฏิบัติ

ฉะนั้น แม้สติปัญญาก็เป็นรูปเป็นนาม ตัวรูปนามนี่เป็นวิบาก ขันธ์เองก็เป็นรูปเป็นนาม เพราะฉะนั้นก็จับพิจารณารูปธรรมนามธรรม เอารูปธรรมนามธรรมที่เป็นตัววิบากขันธ์ก่อน สติปัญญานั้นก็รวมอยู่ในรูปธรรมนามธรรมนั้นแหละ แต่ว่าจับเอาตัววิบากขันธ์ขึ้นก่อน

สังขตลักษณะ

รูปธรรมนามธรรมนี้เป็นสังขารคือส่วนผสมปรุงแต่ง เพราะฉะนั้น จึงเป็นอนิจจะคือไม่เที่ยง อันหมายความว่าไม่ตั้งอยู่ยั่งยืน ต้องเกิดดับ ดังที่ได้ตรัสแสดง สังขตลักษณะ คือลักษณะของสิ่งที่ผสมปรุงแต่งเป็นสังขารดังกล่าวนั้น ว่ามีความเกิดขึ้นปรากฏ มีความเสื่อมไปปรากฏ เมื่อตั้งอยู่ก็มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นปรากฏ กล่าวสั้นก็คือว่าเป็นสิ่งที่ต้องเกิดต้องดับ ระหว่างเกิดดับก็ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปไม่มีหยุด ลักษณะดังกล่าวมานี้เรียกว่าอนิจจะคือไม่เที่ยง

และแม้ว่าจะยกขึ้นมากล่าวเพียงข้อเดียวว่าไม่เที่ยง ก็ย่อมรวมทุกขลักษณะ ลักษณะที่เป็นทุกข์ อนัตตลักขณะ ลักษณะที่เป็นอนัตตาอยู่ด้วย เพราะว่าเมื่อเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงดังกล่าวนั้นจึงไม่ตั้งอยู่คงที่ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปอยู่ ต้องเกิดดับอยู่ จึงเป็นอันว่าต้องถูกความเกิดความดับบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา ลักษณะที่ไม่ตั้งอยู่คงที่ และต้องถูกความเกิดความดับบีบคั้นอยู่ดั่งนี้ เรียกว่าทุกข์ จึงบังคับให้เป็นไปตามปรารถนามิได้

ลักษณะที่บังคับให้เป็นไปตามปรารถนามิได้ดั่งนี้ เป็นอนัตตา มิใช่อัตตาตัวตน เพราะหากว่าจะเป็นอัตตาตัวตนจริงแล้วไซร้ ก็จะต้องบังคับให้เป็นไปตามปรารถนาได้ เมื่อบังคับไม่ได้ก็ไม่เป็นอัตตาตัวตน และเมื่อรวมเข้าแล้วก็เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่ง ความปรุงแต่งปรากฏขึ้นทีแรกก็เป็นเกิด ความปรุงแต่งนั้นต้องแตกสลายในที่สุดก็เป็นดับ ระหว่างเกิดดับก็แปรเปลี่ยนไปโดยลำดับ ไม่มีที่จะตั้งอยู่คงที่

เช่นเดียวกับเวลาไม่มีตั้งอยู่คงที่ ต้องแปรเปลี่ยนไปอยู่ทุกขณะ ที่บุคคลแบ่งกัน ใช้พูดกันสั้นที่สุดก็เป็นวินาที แต่อันที่จริงนั้นวินาทีก็จะแบ่งให้ละเอียดลงไปได้อีก ก็เป็นอันว่าเวลานั้นต้องเปลี่ยนไปอยู่ทุกขณะแม้ละเอียดที่สุด ไม่มีที่จะหยุดนิ่ง สังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งก็ต้องเปลี่ยนไปตามเวลาดังกล่าวนั้น เพราะฉะนั้นจึงได้มีพระพุทธภาษิตที่ตรัสเอาไว้อันแปลความว่า กาลเวลาย่อมกินสรรพสัตว์กับทั้งตัวเอง ดั่งนี้

อนิจจลักขณะ

เพราะฉะนั้น รูปธรรมนามธรรมอันเป็นที่ตั้งของสมมติบัญญัติว่าตัวเราของเรา หรือสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา จึงเป็นสิ่งที่เป็นอนิจจะคือไม่เที่ยงดังกล่าวนั้น พิจารณาให้รู้ให้เห็นความไม่เที่ยงอันเรียกว่าอนิจจตา ความเป็นของไม่เที่ยง เมื่ออนิจจตาปรากฏขึ้นแก่ความรู้ความเห็นก็เป็น อนิจจานุปัสสนา และเป็น อนิจจะวิปัสสนา อนิจจานุปัสสนานั้น นับตั้งแต่สติที่ปฏิบัติจับกำหนดนามรูปที่เป็นไปอยู่ในปัจจุบัน อันกล่าวได้ว่าเป็นปัจจุบันธรรม และเมื่อคอยตามดูให้รู้ให้เห็นลักษณะที่ไม่เที่ยงของนามรูป ก็ย่อมจะเห็นย่อมจะรู้แจ่มแจ้งไปโดยลำดับ มุ่งเอาลักษณะที่เห็นแจ้งรู้จริงเรียกว่าวิปัสสนา เป็นผลที่สืบเนื่องมาจากอนุปัสสนา

คือทีแรกต้องตามดูก่อนเพราะว่า อันรูปธรรมนามธรรมนั้นแสดงความไม่เที่ยงของตัวเองอยู่ทุกขณะ ใครจะรู้หรือใครจะไม่รู้ก็ตามรูปธรรมนามธรรมก็ต้องเป็นอย่างนี้ แสดงความไม่เที่ยงของตัวเอง แต่ว่าผู้ต้องการที่จะรู้จะเห็นก็ต้องคอยตามดู ตามดูรูปธรรมนามธรรมที่เป็นไปอยู่ของตัวเอง

ข้อสำคัญนั้นก็คือรูปธรรมนามธรรมที่เป็นปัจจุบันธรรม และเมื่อตามดูอยู่ดั่งนี้ก็จะรู้จะเห็นแจ่มแจ้งขึ้นได้โดยลำดับ เห็นแจ้งรู้จริงที่ได้ขึ้นโดยลำดับนี้เป็นวิปัสสนา ก็เป็นอันว่าเป็นวิปัสสนาในอนิจจลักขณะ หรือในอนิจจธรรม ธรรมะที่เป็นอนิจจะคือไม่เที่ยง

และแม้ว่าในการปฏิบัติทีแรกจะจับพิจารณาในอดีต คือถึงรูปธรรมนามธรรมที่เป็นวิบากขันธ์ของตัวเองพิจารณา ดั่งนี้ก็ได้ (เริ่ม ๑๑/๑) แต่ว่าเมื่อได้ฝึกพิจารณาในอดีตและในอนาคต เห็นช่องทางความเป็นจริงดั่งนั้น ก็จับพิจารณาในปัจจุบันที่จิต และอารมณ์ของจิต อันอาศัยอายตนะ ตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจ รับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ และธรรมะคือเรื่องราวเป็นอารมณ์เข้ามาสู่จิตใจ

ความเกิดดับที่เป็นปัจจุบัน

ยกตัวอย่างเช่นสัททารมณ์ อารมณ์คือเสียง เมื่อหูกับเสียงประจวบกันเกิดความรู้เสียง เสียงก็เข้ามาเป็นอารมณ์ เป็นสัททารมณ์ อารมณ์คือเสียง และเสียงที่เข้ามานี้ก็เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ อย่างเสียงของถ้อยคำที่แสดงธรรม ซึ่งเป็นถ้อยคำแต่ละคำ แต่ละคำ คำที่หนึ่งเข้ามาก็เกิด ผ่านไปก็ดับ คำที่สองก็เกิดดับ จึงถึงคำที่สาม เกิดดับ จึงถึงคำที่สี่เป็นต้น จิตย่อมรับอารมณ์ได้คราวละหนึ่งเท่านั้น แต่เสียงแต่ละคำนั้นก็เป็นอารมณ์อันหนึ่งๆ เสียงสิบคำก็เป็นสิบอารมณ์ เพราะฉะนั้นอารมณ์แรกๆ ก็ต้องดับไปๆ จึงรับอารมณ์หลังๆ ที่เป็นอารมณ์ปัจจุบัน เพราะฉะนั้นก็คอยจับดูความผ่านเข้ามาของเสียง และความผ่านไปของเสียง ก็เป็นเกิดดับ เป็นเกิดดับแต่ละคำของเสียงที่ได้ยินนั้น ถ้าเป็นถ้อยคำ

เพราะฉะนั้นเมื่อจับดูรูปธรรมนามธรรมที่เป็นปัจจุบันดั่งนี้ ก็จะมองเห็นความเกิดดับที่เป็นปัจจุบัน และก็พิจารณาว่าในอดีตก็เป็นเช่นเดียวกัน ในอนาคตก็จะเป็นเช่นเดียวกัน ก็เป็นอันว่าเป็นสิ่งที่เกิดดับอยู่ทุกขณะ ขณะที่เป็นอดีตก็เกิดดับ ขณะที่เป็นอนาคตก็เกิดดับ ขณะที่เป็นปัจจุบันก็เกิดดับ เพราะฉะนั้นสังขารกับกาลเวลาจึงต้องประกอบกัน จับกาลเวลาขึ้นมาดูสังขารให้เห็นความเกิดดับ หรือว่าจับสังขารขึ้นดูกาลเวลาให้เห็นความเกิดดับ ก็ใช้ได้

วิราคะ

เมื่อเห็นแจ้งรู้จริงขึ้นมาเป็นวิปัสสนาได้เพียงใด ก็ย่อมจะเป็นเหตุสำรอกจิต จากความติดใจยินดี ตลอดถึงจากความยินร้าย อันเนื่องมาจากความยึดถือได้ ลักษณะที่สำรอกจิตได้จากความติดใจยินดี หรือจากความยินร้ายดั่งนี้เป็นวิราคะ ก็ตามดูให้รู้ให้เห็นวิราคะที่ปรากฏขึ้น อันเป็นผลของความรู้แจ้งเห็นจริง ในลักษณะหรือในธรรมะที่ไม่เที่ยงดังกล่าวนั้น

และเมื่อได้ตามดูให้รู้ให้เห็นวิราคะดังกล่าวได้ ก็จะทำให้ปรากฏเป็นความดับ ดับทุกข์ ดับเหตุก่อทุกข์คือตัณหา คือจิตใจที่มีทุกข์เช่นความโศกเป็นต้น ความโศกนั้นก็จะหายไป ดับโศกได้ จิตใจที่เคยดิ้นรนไปต่างๆ ก็จะดับความดิ้นรนลงได้เป็นความสงบ ก็ตามดูให้รู้ให้เห็นตัวความดับดังกล่าวนี้

เมื่อเห็นแจ้งรู้จริงขึ้นได้เพียงใด ก็จะปรากฏเป็นความสละคืน คือจะมองเห็นความปล่อยวางลงได้ เคยยึดถืออะไรในสิ่งที่เป็นที่รักก็ดี ยึดถืออะไรในสิ่งที่เป็นที่เกลียดชังก็ดี อันเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ต่างๆ เช่นความโศกเป็นต้น เพราะความพลัดพรากก็ดี หรือให้เกิดความตื่นเต้นยินดีเพราะได้รับก็ดี ก็จะปล่อยวางลงได้บรรดาสิ่งที่ยึดถือไว้นั้น เมื่อปล่อยวางลงไปได้ทุกข์ต่างๆ ก็ดับไปหมด และจะมองเห็นความปล่อยวางนั้น เหมือนกำอะไรไว้ ยึดอะไรไว้ ก็ปล่อย ก็ส่งคืนแก่เจ้าของเขาไป คือแก่ธรรมชาติธรรมดา

บุคคลเรานั้นเมื่อไม่ตามดูตามรู้ให้เห็นอนิจจะคือไม่เที่ยง อันเป็นตัวธรรมดา ย่อมจะมีความยึดถือต่างๆ อยู่เป็นอันมาก จิตจะดิ้นรนไปต่างๆ

จะมีความทุกข์ร้อนไปต่างๆ จะมีความยึดถือต่างๆ น้อยหรือมาก แต่ว่าเมื่อมาหัดปฏิบัติให้เห็นอนิจจะคือไม่เที่ยงในรูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย จะทำให้จิตใจนี้สำรอกความติดใจยินดีเพลิดเพลิน ตลอดจนถึงความยินร้ายลงได้เป็นวิราคะ เมื่อเป็นวิราคะก็จะเป็นนิโรธะคือความดับ ดับทุกข์ร้อน ดับความดิ้นรนของจิตใจ และจะปรากฏเป็นความปล่อยวาง เป็นความสละคืน เป็นอันว่าวางเรื่องต่างๆ ที่ยึดถือไว้ หมดเรื่องกันทีหนึ่ง ก็หมดทุกข์

เพราะฉะนั้นหลักปฏิบัติเหล่านี้จึงเป็นหลักปฏิบัติสำคัญ อันนับเข้าในธรรมานุปัสสนา ผู้ปฏิบัติสติปัฏฐานแม้จะจับตั้งต้นด้วยอานาปานสติเท่านั้น แต่เมื่อปฏิบัติให้เข้าหลักตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนแล้ว ภูมิปฏิบัติก็จะสูงขึ้นไปโดยลำดับ เป็นกายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธรรมานุปัสสนาโดยลำดับ ต้องถึงธรรมานุปัสสนานี้จึงจะพบกับความดับกิเลส และความพ้นทุกข์ได้ ตามควรแก่ความปฏิบัติ

ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป

http://www.dharma-gateway.com/
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
RARM
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2007, 8:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เอาง่ายๆนะน้อง
เจริญวิราคะคือการเจริญวิปัสสนาเช่น เห็นความคิดของเราเอง เกิด-ดับ หรือ เห็นไตรลักษณะญานของความคิด คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาแค่นี้ก็ค่อยๆสำรอกกิเลสออกแล้วละน้องเอ๋ย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง