ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 23 เม.ย. 2007
ตอบ: 3
|
ตอบเมื่อ:
23 เม.ย.2007, 8:36 pm |
  |
เมื่ออาทิตย์ก่อนมีหนังเกี่ยวกับการยอมถูกทรมาณของพระเยซูเข้าฉายที่ประเทศอังกฤษ เป็นประสบการณ์ดูหนังที่แปลกมาก เพราะหลังจากหนังจบก็มีแต่ความเงียบและทุกคนเดินออกจากโรงอย่างสงบ พอออกมาฝรั่งตาน้ำข้าวก็ตาแดงก่ำน้ำตาคลอกันเป็นแถว ไม่เว้นแม้กระทั้งตัวผู้เขียนเอง ถึงแม้ว่าจะเป็นชาวพุทธก็ตาม และเป็นที่น่าขันก็คือเพื่อนชาวพุทธที่ไปด้วย ร้องให้อาการหนักกว่าฝรั่งเสียอีก เอาเป็นว่าคงไม่เล่าเรื่องทั้งหมด เพราะเดี๋ยวถ้าเกิดหนังเรื่องนี้ได้มาฉายในเมืองไทย จะพากันดูไม่สนุกเสียเปล่าๆ
พระเยซูทรงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่า หนึ่งในหมู่เพื่อนของพระองค์คือยูดาสจะทรยศพระองค์และนำความตายมาสู่พระองค์ และยังทรงรู้อีกว่าเพื่อนของพระองค์ (ปีเตอร์) ที่เคยสาบานว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขและยอมตายถวายชีวิตจะปฏิเสธในวันที่พระองค์ถูกจับทรมาณ และเมื่อวันที่พระองค์จะต้องถูกจับได้มาถึง พระองค์ทรงต่อสู้อย่างหนักกับกิเลสในใจของพระองค์นั่นคือความกลัวในสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ จนในที่สุดพระองค์ก็ทรงชนะความกลัวอันนั้นลงได้ จึงยอมให้ทหารจับพระองค์ไป พวกนักบวชยิวใส่ร้ายพระเยซูว่า เป็นผู้แอบอ้างว่าเป็นพระเมไซยา จึงจับตัวพระเยซูไปให้ทหารโรมันประหารชีวิต แต่เนื่องจาก เจ้าเมืองโรมันทราบว่าพระเยซูไม่ใช่บุคคลธรรมดา พยายามไม่ฆ่าพระเยซูแต่ก็โดนหมู่ประชาชนที่บ้าคลั่งเนื่องจากโดนปลุดระดมจากนักบวช กดดันให้ประหารชีวิตพระเยซู เจ้าเมืองโรมันก็จับพระเยซูไป ทรมาณ เพื่อให้ประชาชนเห็นใจ จะได้ไว้ชีวิตพระเยซู
ในฉากทรมาณนี้ ยาวนานมาก และ เรียกได้ว่าเลือดท่วมจอ แรกๆทหารเอาไม้หวายเฆี่ยน ผู้เขียนก็ยังพอทน หลังๆ พอทหารเริ่มเปลี่ยนเอาเครื่องทรมาณที่โหดร้ายกว่ามาใช้ ผู้เขียนดูหนังไป ก็ เริ่มน้ำตาไหล ความเจ็บปวดที่หนังถ่ายทอดออกมาเริ่มถูกซึมซับเข้าไปในจิตใจ ตลอดเวลาที่พระเยซูทนรับความเจ็บปวดจากการทรมาณแต่ละครั้ง นอกเหนือจากการต่อสู้ทนกับความเจ็บปวดทางกายแล้ว พระองค์ก็ยังทรงต่อสู้กับกิเลสในใจของพระองค์นั่นคือความอ่อนแอและการปฏิเสธสิ่งที่พระองค์นับถือ ไปด้วยพร้อมๆ กัน ความเจ็บปวดทางกายที่เพิ่มขึ้นจากเครื่องทรมาณแต่ละประเภทไปกระตุ้นเร่งให้ความอดทนและการยอมรับพระเจ้าใจจิตใจของพระองค์ให้ลดน้อยถอยลงไป และ จากจุดนั้น จนไปถึง การที่พระองค์ถูกตรึงกางเขน พระองค์ดูเสมือนเป็นผู้แพ้ในสายตาของ นักบวชชาวยิวที่ใส่ร้าย แต่สิ่งที่พระองค์ชนะนั้นคือกิเลสในใจของพระองค์ พระองค์ตายโดยไม่โกรธแม้กระทั้งคนที่ทำร้ายพระองค์ แถมยังอวยพรให้เสียอีก
ในขณะที่ผู้เขียนดูหนังในช่วงทรมาณนั้น น้ำตาก็ไหลออกมา เพราะช่วงแรกก็มีอารมณ์ร่วมไปกับหนังแบบถึงใจเลยทีเดียวจึงทำร้องให้ ทันใดนั้นก็มีความรู้ตัวเกิดขึ้น ว่า สังขารทั้งปวงที่ปรุงอยู่ข้างหน้านั่นไม่เที่ยง เวทนาที่เกิดอยู่ข้างในก็ไม่เที่ยง ผู้เขียนจึงหยุดร้อง และดูหนังต่อด้วยความรู้ตัวที่เพิ่มขึ้น เมื่อหนังจบ ผู้เขียนจึงออกมาด้วยน้ำตาแห่งความชื่นชมมากกว่าน้ำตาแห่งความสงสาร
สุดท้ายผู้เขียนจึงมาคิดว่า พระเยซูก็เป็นบุคคลที่น่ายกย่อง เพราะได้บำเพ็ญบารมีตามทางเดินของพระโพธิสัตว์โดยแท้ หากพวกเราศรัทธาในพระพุทธองค์ เหมือนกับที่พระเยซูเชื่อในพระเจ้า สู้กับกิเลสของกิเลสโดยไม่หวั่นแม้ความตายหรือความทุกข์ทรมาณ พวกเราก็คงได้บรรลุมรรคผลนิพพานแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงขออารธนาพระสูตรมาดังนี้
“....บุคคลใดมีเพียงความเชื่อ เพียงความรักเราบุคคลนั้นทั้งหมดเป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า”
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็นของตื้น เปิดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว ภิกษุเหล่าใด เป็นพระอรหันต์ มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจที่จำต้องทำ ทำเสร็จแล้ว มีภาระ ปลงลงแล้ว ลุถึงประโยชน์ของตนแล้ว มีสัญโญชน์ในภพหมดสิ้นแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุเหล่านั้นย่อมไม่มีวัฏฏะ เพื่อจะบัญญัติต่อไป.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็นของตื้น เปิดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว ภิกษุเหล่าใดละโอรัมภาคิยสัญโญชน์ทั้ง ๕ ประการ ได้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมดเป็นโอปปาติกะ ปรินิพพานในโลกนั้น มีการไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
ดูกรภิกษุทั้งหลายในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็นของตื้น เปิดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว ภิกษุเหล่าใดละสัญโญชน์ ๓ ประการได้แล้ว กับมีราคะโทสะและโมหะบางเบา ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด เป็นพระสกทาคามี มาสู่โลกนี้คราวเดียวเท่านั้น จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็นของตื้น เปิดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว ภิกษุเหล่าใดละสัญโญชน์ ๓ ประการได้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด เป็นพระโสดาบัน ผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็น ธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีปัญญาเครื่องตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรา กล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็นของตื้นเปิดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว ภิกษุเหล่าใด ผู้เป็นธัมมานุสารี เป็นสัทธานุสารี ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด มีปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ดีเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เบื้องของตื้น เปิดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว บุคคลเหล่าใด มีเพียงความเชื่อ เพียงความรักในเรา บุคคลเหล่านั้นทั้งหมด เป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น มีใจชื่นชมเพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล.
จบ อลคัททูปมสูตรที่ ๒
อลคัททูปมสูตร มู. ม. (๒๘๘)
ตบ. ๑๒ : ๒๘๑ ตม. ๑๒ : ๒๓๐
ตอ. MLS. I : ๑๒๘ |
|
|
|
  |
 |
เศษพุทธทาส
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 08 เม.ย. 2007
ตอบ: 121
|
ตอบเมื่อ:
24 เม.ย.2007, 3:05 pm |
  |
แล้วพี่ดูยังครับ |
|
_________________ ทำวันนี้ให้ดีและต้องรู้ไว้ว่า ทำดีเพื่อดี ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ อุปสรรคไม่มี บารมีไม่เกิด |
|
  |
 |
ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 23 เม.ย. 2007
ตอบ: 3
|
ตอบเมื่อ:
24 เม.ย.2007, 4:24 pm |
  |
|
  |
 |
ชัยพร พอกพูล
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2006
ตอบ: 73
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
|
ตอบเมื่อ:
24 เม.ย.2007, 6:39 pm |
  |
เอ่อ คือผมปัญญายังตื้นเขินอยู่น่ะครับ ถ้าผมตีความเป็นภาษาพูดจะเป็นดังนี้หรือเปล่าครับ
ผู้ที่มีเพียงความเชื่อในตัวพระพุทธองค์จะส่งผลเพียงให้เขาเหล่านั้นเมื่อตายแล้วจะไปเกิดในสวรรค์แต่ไม่อาจถึงซึ่งมรรคผลนิพพานได้ ถูกต้องไหมครับ ชี้แนะด้วยครับ |
|
_________________ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม |
|
   |
 |
ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 23 เม.ย. 2007
ตอบ: 3
|
ตอบเมื่อ:
24 เม.ย.2007, 8:56 pm |
  |
พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่า บุคคลที่จับชายจีวรเรายังไม่ได้ชื่อว่าอยู่ใกล้เรา บุคคลที่ปฏิบัติตามพระธรรมนั่นแหล่ะได้ชื่อว่าอยู่ใกล้เรา |
|
|
|
  |
 |
แก้ว
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
11 พ.ค.2007, 10:35 am |
  |
|
|
 |
|