Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 กรณีฆ่า 35 ศพ....จิตหวาดระแวง มุมมองชาวพุทธ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 23 เม.ย.2007, 6:55 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จากข่าวอันน่าสลดใจ ที่นักศึกษาใช้ปืน 2 กระบอกบุกซัลโวฆ่าเพื่อนทั้งหมด 32 คน...รวมตนเอง 1..... และพ่อแม่ของตนที่ฆ่าตัวตามอีก 2

ได้มีโอกาสฟังท่านผู้รู้วิเคราะห์ให้ฟัง มีประเด็นน่าสนใจเกี่ยวกับความระแวงดังนี้

ความระแวงนั้น ก็คือ การระวังที่มากเกินไป
ระวังมากเกินไป เลยกลายเป็นระแวง


พอจะแบ่งคร่าวๆ ให้คนทั่วไปเข้าใจง่ายๆ เป็น
1. ความระแวงที่มีเป็นครั้งคราวในคนปกติ
2. ความระแวงที่มากเกินปกติ เริ่มเป็นภาวะทางจิตที่ผิดปกติแบบหวาดระแวง (paranoid personality disorder)
3. ความหวาดระแวง ในโรคจิต เช่น
3.1 โรคจิตหลงผิดแบบหวาดระแวง (paranoid delusion หรือ paranoid persecutary delusional disorder)
3.2 โรคจิตเภทแบบหวาดระแวง (paranoid schizophrenia)

ลองดูตัวอย่างง่ายๆ น่ะครับ

1. ความระแวงที่มีเป็นครั้งคราวในคนปกติ เช่น ภรรยาเห็นสามีกลับบ้านดึก เลยระแวงว่าจะแอบไปมีเมียน้อย แต่พอทราบความจริงว่าสามีทำงานจริงก็หายระแวง

ระแวงแบบนี้ เป็นครั้งคราว ไม่บ่อย.....สมเหตุสมผล

2. ความระแวงที่มากเกินปกติ เริ่มเป็นภาวะทางจิตที่ผิดปกติแบบหวาดระแวง (paranoid personality disorder) เช่น คนๆ หนึ่ง จะคอยหวาดระแวงในเรื่องต่างๆ เช่น กลัวคู่ครองนอกใจ กลัวเจ้านายเล่นงาน กลัวเพื่อนๆ นินทา ฯลฯ

ระแวงแบบนี้ เป็นบ่อย......แต่ก็ยังสมเหตุ สมผลอยู่

3.1 โรคจิตหลงผิดแบบหวาดระแวง( paranoid delusion หรือ paranoid persecutary delusional disorder) กรณีเช่นนี้ ดูเผินๆ เหมือนคนปกติ แต่ว่าเขาจะมีความฝังใจที่ผิดๆ ในด้านระแวงกับบางคน หรือบางเรื่อง เช่น มีผป.ที่ถูกจับส่งตำรวจเพราะทำร้ายเพื่อนร่วมงาน ด้วยเขาคิดเอาเองว่า เพื่อนร่วมงานวางแผนกลั่นแกล้งเขา....

หรือสามีไปมีเมียน้อย แล้วระแวงว่าเมียหลวงวางแผนฆ่า ตนเองเลยเตรียมอาวุธและเครื่องป้องกันตัวพร้อมรบ คือ ยังพอสมเหตุสมผลอยู่บ้าง.....แต่เรื่องอื่นๆ เขาจะปกติ และมีประสิทธิภาพในการทำงานค่อนข้างดี

3.2 โรคจิตเภทแบบหวาดระแวง (paranoid schizophrenia)
แบบนี้ จะทำร้ายผู้อื่นรุนแรงมาก.....อาจจะมีอาการประสาทหลอนร่วมด้วย เช่น คิดว่าตนเองถูกตรึงกางเขน เป็นผู้ไถ่บาป ถูกคนอื่นรุมนินทา ถูกคนอื่นรุมเหยียดหยาม ฯลฯ หน้าที่การงานจะเสียหายมาก และอันตรายต่อผู้อื่นมาก

ออกตัวนิดน่ะครับ

ผมไม่ใช่จิตแพทย์โดยตรง เพียงแต่เคยทำงานด้านนี้มาบ้างในอดีต เพราะสมัยก่อน ไม่มีจิตแพทย์ไปประจำในจังหวัดที่ผมทำงานอยู่.....ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ แนะนำคุยกับจิตแพทย์โดยตรงดีกว่า

ปัญหาอันหนึ่งของคนที่เป็นโรคจิตหวาดระแวงคือว่า

จะไม่รู้ตนเองว่าตนเองกำลังหลงผิดอยู่.....คนอื่นอาจจะรู้สึกแล้ว ว่า เอา นายหมอนี่ระแวงเกินเหตุไปไกลลิบ แต่เจ้าตัวเขาจะไม่สามารถตระหนักได้ว่า เขากำลังระแวงอยู่

คนอื่นบอกอย่างไร ก็จะไม่ยอมเชื่อ
ส่วนมากเลยจบด้วยการทำร้ายผู้อื่น

คือ ช่วงนี้ เห็นกระทู้หลายๆ กระทู้ ที่มองโลกในแง่ร้ายเกินไป แล้วเลยอดโพสเรื่องนี้ไม่ได้

ไม่เชื่อว่ามีคนดีเหลืออยู่แล้วในประเทศไทย
ทำไม....ถึงมีแต่คนคอยมุ่งร้าย (อาฆาตพยาบาท) ตนเอง


ลองสำรวจความคิดของตนดูหน่อยน่ะครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 23 เม.ย.2007, 6:56 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ในฐานะที่เป็นชาวพุทธ ผมเชื่อเรื่อง สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม

กรรมที่ทำให้คนเรามีอาการทางจิตประสาทในรูปแบบต่างๆนั้น มาจากทั้งกรรมเก่าจากอดีตชาติ และกรรมใหม่ในภพชาตินี้

ลองดูสาเหตุที่ทางนักจิตวิทยาเขาประมวลสาเหตุของอาการทางจิตประสาทในรูปแบบต่างๆดูน่ะครับ มันเป็นหลายสาเหตุสนับสนุนกัน(multifactorial)
1.จากพันธุกรรมที่ผ่านมาทางยีนส์
2.จากการเลี้ยงดูในวัยเด็ก
3.จากการตอบสนองต่อปัญหาความเครียดต่างๆโดยกลไกทางจิตที่ผิดๆ
4.จากความผิดปกติโครงสร้างของสมอง เช่น การเจ็บป่วย อุบัติเหตุ
ๆลๆ



ในทางพุทธนั้น

กรรมเก่า ก็น่าจะเป็น ข้อ1และข้อ2
คือกรรมลิขิตให้คนนั้นๆต้องมาเกิดในครอบครัวที่มียีนส์ผิดปกติ..... มีโรคจิตประสาทหลายชนิดที่ทราบแล้วว่ามียีนส์ผิดปกติ
กรรมลิขิตให้ ต้องมาเจอกับพ่อแม่ที่ใช้อารมณ์ ไม่ใส่ใจภาวะทางจิตของลูก
นึกถึงคำพระที่ว่า กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปฏิสะระโณ

ส่วนกรรมในภพชาตินี้ ก็น่าจะเป็นข้อ3และข้อ4
คือว่า ไม่รู้จักหลักธรรม ไม่รู้จักปล่อยวาง.....เพ่งโทษออกภายนอก ชอบโทษคนอื่น

เป็นเหตุให้ระแวงง่าย.....
เมื่อไม่ระวัง...... จากระแวงแบบคนทั่วไป ก็จะพัฒนาเป็นบุคคลิกภาพทางจิตที่ผิดปกติ
ถ้ายังไม่รู้ตัวอีก ก็จะกลายเป็นโรคจิตล่ะครับ


ดังนั้น อย่ามองโลกในแง่ร้าย

และต้องมีสติ คอยรู้สึกตัวอยู่เสมอๆ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 23 เม.ย.2007, 6:57 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ย้อนกลับไปเรื่องระแวงต่อน่ะครับ....


คือ ถ้าระแวงมากๆ จะหลุดออกจากโลกของความจริง(out of reality)...... คือ ไม่รู้ตัวเองว่ากำลังหลงผิดอยู่(poor insight)..... ใครเตือนอย่างไร ก็ไม่เชื่อ

ยกตัวอย่างให้ดูน่ะครับ

ผป.ชายวัยกลางคนถูกตำรวจจับกุมเพราะทำร้ายลูกน้องในงาน
ผป.เป็นเจ้าของภัตตาคารแห่งหนึ่ง มีอาการระแวงว่า พ่อครัวที่ตนจ้างมาจะฮุบกิจของตนไปเป็นของพ่อครัวเอง
เขาเชื่อว่า พ่อครัวแกล้งใช้เนื้อเน่าทำอาหารให้ลูกค้า แกล้งทำให้เครื่องปรับอากาศมีปัญหา สุดท้ายก็เลยลงมือทำร้ายพ่อครัว
คนในครอบครัวของเขาเองพยายามเตือนเขาว่า พ่อครัวไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย แต่เขาไม่เชื่อ.... ผป.แบบนี้ เรียกว่า จิตหลงผิดแบบหวาดระแวง
คือ ยังพอจะมีเหตุผลในการหลงผิดอยู่บ้าง และหน้าที่การงานโดยรวมแล้วไม่เสียหายมาก
และถ้าไม่ไปคุยในเรื่องที่เขาหลงผิดอยู่ เขาก็จะเหมือนคนปกติทั่วไป(คือ จะระแวงเฉพาะเรื่อง เฉพาะคน)

แต่ในกรณีของเกาหลี35ศพนี้ น่าจะเป็นโรคจิตเภทแบบหวาดระแวงแล้ว
เพราะมีอาการประสาทหลอน และ หลงตนว่ามีความสำคัญมาก ...... กระทำรุนแรงสุดขั้ว
ผป.แบบนี้จะดูไม่ยาก เพราะอาจจะแสดงอาการหวาดกลัวให้เราเห็นได้จากภายนอก
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 23 เม.ย.2007, 6:59 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรื่องของการเป็นโรคทางจิตประสาทขั้นรุนแรงไปแล้ว ก็คงต้องรับการรักษากับจิตแพทย์....
เวลาสมองเพี้ยนมากๆแล้ว คงจำเป็นต้องรับยาที่ไปช่วยปรับดุลย์ของสารเคมีในสมอง
บางครั้ง อาจถึงขั้นต้องใช้ไฟฟ้าช็อต เพื่อให้ไฟฟ้าช่วยเซ็ตการทำงานของสมองเสียใหม่



แต่ในฐานะที่ผมเป็นชาวพุทธ
ผมอยากเสนอว่าพระพุทธองค์ท่านทรงมอบสิ่งวิเศษที่สุดที่จะช่วยให้จิตใจผ่องแผ้วไว้ให้เรา..... นั่นคือพระธรรมคำสอนที่ทำให้ใจพ้นทุกข์
เรียกว่า ป้องกันไม่ให้เป็นโรคจิตประสาทได้ หรือถ้าเป็นแล้วก็จะบรรเทาเบาบางลง(ผถ้าไม่สุดขั้วจริงๆ)

โดยเฉพาะ มหาสติปัฏฐานสูตร ......


ในพระสูตรที่ตรัสถึงปฏิจจสมุปบาท กล่าวถึงว่าทุกข์เกิดอย่างไร(สมุทัยวาร) และทุกข์ดับอย่างไร(นิโรธวาร)
พูดให้รวบรัดสุด คือ เมื่อความไม่รู้ตามจริงในไตรลักษณ์ดับลง(อวิชชาดับ หรือ วิชชาเกิด) จิตจะไม่ปรุงแต่งไปในทางที่เกิดทุกข์(เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ)...... และจะไม่ไปสู่ขั้นตอนของการยึดมั่นถือมั่นในรูปนามขันธ์๕(ไม่เกิดอุปาทาน)ในที่สุด......
ขั้นตอนเหล่านี้มันผ่านมาทาง อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สาฬยตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน .....
เมื่อมีอุปาทาน ก็จะมีอุปาทานขันธ์๕ คือ ยึดมั่นถือมั่นว่าขันธ์๕เป็นเรา-ของเรา....
และนี่คือ การเกิดของทุกข์
เวลาถ้าจะยุติวงจรของทุกข์นี้ จิตต้องมีสติ.... เมื่อมีสติ จิตก็จะเกิดสมาธิ และปัญญา ตามมา
เมื่อเกิดปัญญา รู้เห็นตามเป็นจริงแล้ว วงจรทุกข์ก็จะดับลง


นี่คือ ทฤษฎี ในการดับทุกข์

แต่เวลาจะปฏิบัติ ต้องใช้มหาสติปัฏฐานสูตรเป็นแนวปฏิบัติ

เราไม่ใช้หลักการมาปฏิบัติ แต่เราปฏิบัติตามหลักการ
เราใช้วิธีการมาปฏิบัติ

มหาสติปัฏฐานสูตร กล่าวลงในรายละเอียดมากที่สุดแล้ว ว่าจะปฏิบัติเช่นไร จึงจะล่วงโศกไปได้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 23 เม.ย.2007, 7:01 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ประเด็นเพิ่มเติม ที่

http://larndham.net/index.php?showtopic=25853&st=0
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ไม้อ่อน
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2007
ตอบ: 62

ตอบตอบเมื่อ: 23 เม.ย.2007, 8:30 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ
 

_________________
Image
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 23 เม.ย.2007, 3:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อนุโมทนาด้วยครับ

สาธุ ตามความเห็นของผม ผมว่า กรรมของเขาน่าจะเป็นข้อที่ 3.จากการตอบสนองต่อปัญหาความเครียดต่างๆ โดยกลไกทางจิตที่ผิดๆ และขอเสริมว่าเป็นการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมด้วยครับ

เพราะผมได้ยินมาว่า พี่คนที่ก่อเหตุฆ่านั้น เขาได้เล่นเกมส์เรทรุนแรงเกมส์หนึ่ง เป็นเกมส์ที่ผู้เล่นจะสามรถทำอะไรก็ได้ในโลกแห่งความเป็นจริง สถานที่จริงที่ถูกจำลองมา ซึ่งมีอิทธิพลมากในหมู่เด็กและวัยรุ่นขณะนี้ จนทำให้เขาเกิดอยากทำขึ้นมาจริงๆ

ส่วนปัญหาโรคจิตนั้น มันมาจากปมที่ปลูกฝังมาครอบงำกันมากลายเป็นความกลัว

เห็นกันไหมว่า เมื่อจิตเผลอคิดเรื่องน่าเกลียดน่ากลัว ที่ฝังจำมาจากอดีต เช่นเรื่องผีสางนางไม้ สัตว์ร้าย การลงโทษลงทันฑ์ ความเจ็บป่วยทุกข์ทรมาน หรือแม้แต่เรื่องความตายดับ ซึ่งต่างล้วนแต่ป็นเรื่องบอกเล่าขู่หลอกฝังใจ สมัยอ่อนเยาว์วัยไร้เดียงสาด้วยกันทั้งนั้น และไม่ว่าจะเป็นเจตนาดีหรือเจตนาร้ายก็ตามที แต่ผลลัพธ์ก็คือ จิตได้ถูกปลูกฝังเชื่อแห่ง ความหวาดกลัว เข้าไว้ อยู่ภายในซอกหลืบของจิตใต้สำนึก โดยไม่รู้ตัวกันเลย! เป็นเมล็ดพันธ์แห่ง ความกลัวที่พร้อมจะพัฒนา งอกงามแตกราก แตกรากเงากิ่งก้านสาขา เข้าครอบงำเนื้อนาดินแห่งจิตใจเผ่าพันธ์มนุษย์เรื่อยมา ชนิดไร้วิธีกำจัดให้หมดสิ้นไปกันเลย

ดังนั้นสังคมมนุษย์ ซึ่งก็คือระบบความสัมพันธ์ของความคิดนึกรู้สึกขอวผู้คนทั้งหมด จึงต้องกลายเป็นสังคมแห่งความระแวงหวาดกลัวไปโดยปริยาย การกระทำใดใดภายใต้อิทธิพลแห่งความกลัว ก็ต้องอึมครึมไปด้วยความมืดบอดบิดเบือน ความจำกัดคับแคบ ความดื้อรั้นดึงดัน เห็นแก่เฉพาะตนฝ่ายเดียวเสมอไป ซึ่งมันก็เป็นวิถีแห่งความอิจฉาริษยา ความขัดแย้งแย่งชิง ที่นำไปสู่ความรุนแรงและการทำลายล่างล่มสลายอยู่ในตัวมันเอง อันเป็นวิถีแห่งทุกข์โศกมิใช่หรือ? พอจะมองเห็นการเชื่อมโยงเหตุการณ์เลวร้ายอำมหิตต่างๆที่เกิดขึ้นอยู่เฉพาะในสังคม ระแวงกลัวของมนษย์กันบ้างไหมครับ?

นอกจากนี้แล้วพวกเรามักสรุปกันเอาเองด้วยความคิดง่ายๆ ตามๆกันมาว่า มนุษย์ย่อมต้องพึ่งพาอาศัยใช้ประโยชน์จากภาวะความกลัวเกรง เพื่อช่วยหลบรีกลี้ภัยอันตรายต่างๆอีงทั้งยังเป็นเป็นเคื่องมือในการบังคับชักจูงหมู่ผู้คนหรือแม้แต่จิตใจตนเอง ให้ประพฤติปฏิบัติตัวอยู่ในกรอบขอบวง ของคุณธรรมความถูกต้องดีงาม ที่ความคิด อีกนั้นแหละ เป้นตัวกำหนดให้ค่าสถาปนาขึ้นในสังคมมนุษย์นี้ เพื่อหวังให้เกิดนำมาซึ่งสันติภาวะ สุขสงบเย็น ตามที่ความคิด คาดหวังประมาณไว้อีกเช่นกัน

ดูช่างเป็นแนวคิด ปรัชญา อุดมคติ ความเชื่อ อันเลิศหรูสูงส่งสมเหตุสมผลยิ่งนัก ซึ่งได้ถูกโฆษนาบอกสอนชวนให้ใฝ่ฝันหา ชวนให้เชื่อยึดถือ ชวนให้ใช้ความพยายามประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อบรรลุเข้าถึงเสียจริงๆ มิใช่หรือ ไม่รู้ว่าพวกเราจะหยั่งเห็น จะกล้าเผชิญมองดู สภาวะที่เกิดปรากฏตัวอยู่จริงในสังคมมนุษย์เรา กันไหมว่า มันได้กลับตาลปัตร กลายเป็นสังคมไร้ระเบียบวุ่นวายสับสน สังคมแตกแยกขัดแย้ง สังคมบิดเบือนฉ้อฉลสับปลับ สังคมมุ่งร้ายทำลายล้าง บนความคิดเห็นแก่ตัว โดยไม่รู้สึกตัวกันเลย ตลอดเรื่อยมาในจิตใจของพวกเราทุกคนนั้นแหละ! ครับ...

แต่พวกเราก็ยังที่จะเชื่อยึดถือปฏิบัติศัทธาตามๆกันมา เป็นพันเป็นหมื่นปีกันแล้ว กระมัง? จนศาสนาลัทธิปรัชญาคำสอน กฏหมายวินัยสังคมจารัตประเพณีพิธีกรรม ทั้งหน้าเก่าและโฉมใหม่ จะท่วมทับโลกกันอยู่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าพวกเราจะพอแยกแยะความแตกต่าง ได้ไหม? ระหว่างสัญชาตญาณระวังป้องกันภัยที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ให้ไว้ในจิตใจของสิ่งมีชีวิตทั่วไปและสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ตั้งแต่แรกเกิด กับ ความระแหวงกลัว ที่ถูกบอกสอนครอบงำขึ้นบนจิตใจในภายหลัง โดยกระบวนการปรุงแต่งทางความคิด ของมนุษย์เอง เคยสังเกตตรวจสอบดูความจริงของสองสถาวะนี้กันหรือยัง? คิดว่าท่านนักธรรมทั้งหลายคงพอเข้าใจ

น่าขำไหมครับ ที่เรามีความเจริญที่สุดในมวลสรรพสัตว์จนบางที่จิตเราต่อให้ทุกข์แค่ไหนก็อยากได้มันมาเก็บไว้ในอ้อมแขนแห่งตัณหาตลอดกาล

ตระหนักรู้กันบ้างไหม? ว่าชีวิตนี้จะเคลื่อนไหวพูดจาหรือกระทำการ อย่างหนึ่งอย่างใดนั้น จิตมักตกอยู่ในเงามืดบอดของความกลัว อยู่เกือบตลอดเวลา อาทิ เกรงกลัวสิ่งหรือผู้คนที่มีอำนาจเหนือกว่า กลัวถูกลงโทษตำหนิติเตียน กลัวการผิดวาดคาดหวัง กลัวเสียผลประโยชน์ กลัวการไม่ยอมรับ กลัวการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ กลัวการตายดับพลัดพราก แลอื่นอีกร้อยแปดพันเก้าของความกลัว ซึ่งต่างล้วนเป็นความกลัวที่เกิดขึ้นและดำรงตัวอยู่ชั่วขณะ เมื่อความคิด เคลื่อนไหวตัวออกมาปฏิบัติการทำงาน ภายใต้อิทธิพลกำหนดครอบงำ จากสิ่งรู้แล้ว ในอดีตกาลทั้งสิ้น เป็นมโนภาพลักษณ์เก่า แก่ตายซาก แข็งนิ่งคงที่สุดโต่ง และเป็นมายาทวิภาวะ แบ่งอแยกระหว่างมโนภาพ ตัวฉัน ผู้รับรู้ กับมโนภาพของวสิ่งทีน่ากลัว ในมิติวิถีของความคิดนั้นเอง

แต่พอมาดูมาสังเกตวิถีชีวิตของสัตว์อื่นๆ คงจะพบเห็นได้เองว่า จิตใจของพวกกเขานั้นปราศจากไร้ซึ่งอำนาจอำมหิตจากภาวะความกลัว ในรูปแบบความคิด ปรัชญา ความเชื่อ คำสอนต่างๆ โดยสิ้นเชิง นี่! ใช้เป็นเวรกรรมที่แท้จริงของเผ่าพันธ์มนุษย์หรือไม่ ?


ฉะนั้นจงมาดูกันเถิดครับ มาดูสภาวะความจริงของความระแวงกลัวที่ไหลเลื่อนเคลื่อนตัวอยู่ตลอด ที่เกิดขึ้น แล้วทรงตัวอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ดับไป เป็นประสบการณ์ตรงกัน ไม่ใช่วิธีที่พวกเราเคยรู้เคยทำกันมาเมื่อยามกลัว คือ การหันไปพึ่งสิ่งอื่น คนอื่นที่ไว้ใจ เครื่องรางของครังศักดิ์สิทธิ์ สิ่งสนุกสนานบันเทิงเริงรมณ์ทั้งหลาย พิธีกรรมอันสูงส่งทั้งหลาย หรือแม้อุดมคติคำสอนอันดูแล้วน่าเชื่อถือทั้งหลาย ซึ่งก็เหมือนกับว่าเราได้รบหนีมันมาตลอด ตองตกเป็นเบี้ยล่างให้กับมันอยู่ตลอด ไม่เคยรับรู้เผชิญหน้ากับมันตรงๆเลย อย่างนี่จะเรียกว่า ปฏิบัติตามพุทธวิถีกันดีแล้วหรือครับ

May the Dhamma be with you. ขอธรรมจงสถิตอยู่กับท่าน
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 06 พ.ค.2007, 3:46 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คนดีที่ว่ามีลักษณะอย่างไร แบบค่านิยมของคนสมัยใหม่ หรือ แบบจารีตประเพณีธรรม

คนดีแบบจารีตประเพณีธรรม มีอยู่ แต่ ยังไม่มากพอ

คนดีแบบจารีตประเพณีธรรม ยังมีอำนาจในสังคมได้ไม่เต็มที่

การมีอำนาจในสังคมได้อย่างเต็มที่ คือ สามารถชี้ขาว ชี้ดำ และจัดการทุกเรื่องได้อย่างเด็ดขาด ปัญหานั้นไม่การเกิดขึ้นมาอีก ปัญหานั้นมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอีกได้ยาก

กระทู้บางเรื่องมีจุดประสงค์ไม่เหมือนกันครับ

สาธุ ขอบคุณท่านนักธรรมผู้ให้ความรู้
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 06 พ.ค.2007, 3:51 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พิมพ์ผิดครับ ขอแก้เป็น

การมีอำนาจในสังคมได้อย่างเต็มที่ คือ สามารถชี้ขาว ชี้ดำ และจัดการทุกเรื่องได้อย่างเด็ดขาด ปัญหานั้นไม่มีการเกิดขึ้นมาอีก ปัญหานั้นมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอีกได้ยาก

สาธุ
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง