Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ประวัติพระอริยะ “หลวงปู่จันทร์โสม กิตฺติกาโร” อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 19 มี.ค.2007, 3:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ประวัติพระอริยะ “หลวงปู่จันทร์โสม กิตฺติกาโร”
วัดป่าจันทรังสี (วัดป่านาสีดา)
ต.กลางใหญ่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี


http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=7712
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 19 มี.ค.2007, 3:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เกร็ดประวัติย่อ หลวงปู่จันทร์โสม กิตติกาโร วัดป่าบ้านนาสีดา อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี (โดย นสพ.คมชัดลึก)

รักษาศีลเป็นการปฏิบัติธรรมอันวิเศษสุด โดย หลวงปู่จันทร์โสม กิตติกาโม เรื่อง จาก คมชัดลึก

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ หลวงปู่สาม อกิญจโน หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หลวงปู่หล้า เขมัปปัตโต หลวงพ่อพุธ ฐานิโย หลวงพ่อสมชาย ฐิตวิริโย ฯลฯ ล้วนแล้วได้เป็น ลูกศิษย์ที่ได้ศึกษาวิชาวิปัสสนากรรมฐานจากหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร

นอกจากนี้แล้วยังมี หลวงปู่จันทร์โสม กิตติกาโม วัดป่าจันทรังสี(วัดป่านาสีดา) อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ผู้ได้เข้ารับใช้ในกิจวัตรประจำของหลวงปู่มั่นเป็นระยะเวลา ๒ พรรษา

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หลวงปู่จันทร์โสม ได้เผยแผ่วิชาวิปัสสนากรรมฐาน ตามแนวทางของหลวงปู่มั่น โดยท่านมักจะพูดกับลูกศิษย์เสมอๆ ว่า

"เมื่อคนเราเกิดมามีวาสนาไม่เหมือนกัน วาสนาที่ว่าก็เกิดจากบุญกุศลที่เราได้ทำกันมา คนที่ยากจนในชาตินี้ก็เพราะชาติที่แล้วทำบุญมาน้อย ลงทุนน้อย พอเกิดมาชาตินี้ทุนก็เลยน้อยตามมา แต่ถ้าใครยากจนในชาตินี้ก็ต้องลงทุน ตั้งใจทำงานอย่างทุ่มเทให้มากโดยไม่ไปโกงใคร ในวันหนึ่งก็จะรวยได้เอง"

และท่านได้อนุญาตให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว "คม ชัด ลึก" ...ดังนี้

หลวงปู่ได้เรียนกับหลวงปู่มั่นช่วงไหนครับ ?

ประมาณปี ๒๕๘๙ อาตมาได้จำพรรษาอยู่ที่บ้านนาสีดา วัดศรีชมชื่น(ปัจจุบันคือวัดป่าบ้านนาสีดา) หลังจากออกพรรษาแล้ว ก็ได้เดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่เทสก์ วัดอรัญญวาสี อ.ท่าบ่อ ซึ่งท่านจำพรรษาอยู่ที่นั่น พอดีกับเวลาที่หลวงปู่เทสก์ จะเดินทางไปเยี่ยมนมัสการหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร หลวงปู่เทสก์ก็ถามว่าอยากจะไปอยู่กับหลวงปู่มั่น ที่บ้านหนองผือหรือเปล่า ถ้าไปก็ไปด้วยกัน จะนำไปฝากท่านให้ หลวงปู่เทสก์ก็ฝากอาตมาไว้กับหลวงปู่มั่น

หลวงปู่มั่นได้สอนอะไรให้บ้างครับ ?

เมื่ออาตมาอยู่กับหลวงปู่มั่นนั้น ก็ไม่ค่อยได้เข้าใกล้ชิดท่านเท่าไรนัก เพราะมีพระอาจารย์วัน อฺตฺตโม และพระอาจารย์ทองคำ ปฏิบัติท่านอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว แต่ในเวลาต่อมาท่านอาจารย์วัน ได้ให้อาตมาเข้าไปช่วยรับเป็นธุระในการทำกิจวัตรประจำวันกับหลวงปู่มั่น จนกว่าหลวงปู่จะเข้าที่พัก

ช่วงเวลาที่อาตมาได้เข้าไปปฏิบัติกิจวัตรให้กับหลวงปู่มั่นนั้น อาตมาก็พยายามระวังจิตมิให้คิดไปในเรื่องอื่นๆ มีแต่ให้น้อมนอบเข้าไปหาหลวงปู่อยู่ตลอดเวลา หลายครั้งที่อาตมาทำอะไรไม่ถูก หลวงปู่มั่น ท่านก็จะบอกว่าวันนี้ท่านโสมทำไม่ถูก วันนี้ทำไม่ถูก อาตมาได้ยินเช่นนั้นก็หยุดทำแล้วนั่งเฉย ให้หมู่เพื่อนปฏิบัติแทนในวันนั้น

วันต่อมาอาตมาก็เข้าไปปฏิบัติท่านอีกครั้งตามปกติ ท่านก็จะปรารภใหม่ว่า วันนี้ทำถูกแล้ว วันนี้ท่านโสมทำถูกแล้ว ซึ่งหลวงปู่มั่น ก็จะพูดแบบนี้อยู่หลายครั้ง หลายครา แต่อาตมาก็ไม่ได้ท้อถอยในกิจวัตรดังกล่าว เพราะอาตมาถือว่าเป็นบุญกุศลอย่างใหญ่หลวง และภาคภูมิใจที่ได้มีโอกาสเข้าใกล้ชิดปฏิบัติหลวงปู่มั่น ทำให้อาตมาได้พิจารณาเห็น ท่านอาจจะทดสอบความอดทนของเราดูก็ได้

นอกจากนี้แล้วหลวงปู่เทสก์ ท่านก็ได้เคยพูดให้อาตมาฟังว่า ในสมัยที่ท่านได้มีโอกาสปฏิบัติอยู่กับหลวงปู่มั่นนั้น ท่านก็ชอบที่จะทดสอบอะไรบ่อยๆ ถ้าใครสามารถอดทนปฏิบัติกับท่านได้จะเป็นการดีมาก อาตมาก็ได้ระลึกเอาคำสอนของหลวงปู่เทสก์นั้นเป็นคติเตือนใจอยู่เสมอๆ ตลอดเวลาที่รับใช้หลวงปู่มั่น

กิจวัตรประจำวันที่หลวงปู่ต้องทำมีอะไรบ้างครับ ?

ตั้งแต่บ่ายโมงของแต่ละวัน จะต้องปัดกวาด บริเวณลานวัดเสร็จแล้ว ก็ช่วยกันตักน้ำใส่ตามกุฏิต่างๆ ทั้งหมด เสร็วแล้วพากันสรงน้ำ ศึกษาธรรมของพระแต่ละรูป ประมาณสองทุ่มจะไปรวมพร้อมกันฟังเทศน์ที่กุฏิของหลวงปู่มั่น พร้อมปฏิบัติภาวนาจนเวลาประมาณห้าทุ่ม ก็จะแยกย้ายกันไปกลับกุฏิของตนเอง ซึ่งกุฏิอาตมาอยู่ไม่ไกลจากกุฏิหลวงปู่มั่นมากนัก พอตีสามอาตมาก็จะเห็นหลวงปู่มั่นลุกขึ้นมาทำวัตรสวดมนต์เสียงดัง อาตมาอยู่ในกุฏิก็ยังได้ยินเสียงท่าน เป็นเวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง เสียงสวดก็ท่านก็จะเงียบลง อาตมาก็เข้าใจว่าท่านก็คงนั่งปฏิบัติภาวนาต่อไป

กระทั่งใกล้รุ่ง พระเณรจะพากันไปปัดกวาดลานวัดเสร็จแล้ว พระแต่ละรูปก็ต้องไปเตรียมบาตรบริขารของตนไป พร้อมที่ศาลาโรงฉัน เมื่อใกล้เวลาบิณฑบาต จากนั้นหลวงปู่มั่นก็จะออกจากห้อง บรรดาลูกศิษย์ก็จะช่วยถือบาตร และเครื่องของใช้ในจำเป็นเกี่ยวกับการฉัน เดินตามไปไว้ที่ศาลา แล้วออกเดินบิณฑบาตตามหลวงปู่มั่น และเมื่อกลับมาจากการบิณฑบาต ก็เริ่มฉันอาหารพร้อมกัน

หลวงปู่มั่นดุไหมครับ ?

หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระที่ไม่ดุหรอก แต่ท่าน จะดุเฉพาะบุคคลที่ทำผิด หรือทำอะไรไม่ถูก ท่านก็จะดุบ้าง แต่ความรู้สึกของอาตมา หลวงปู่มั่นท่านเป็นคนใจดี ที่ผ่านมาเมื่อครั้งรับใช้อยู่กับท่าน อาตมาไม่เคยทำผิดอะไรท่านก็เลยไม่เคยดุ (หัวเราะ)


แล้วหลวงปู่อยู่รับใช้หลวงปู่มั่นนานแค่ไหนครับ ?

อาตมาได้อยู่กับหลวงปู่มั่นเป็นเวลา ๒ พรรษา เมื่อปี ๒๔๙๐ ถึงปี ๒๔๙๑ หลังจากออกพรรษาปี ๒๔๙๑ แล้ว ก็ได้กราบลาหลวงปู่มั่นไปเดินธุดงค์ ไปวิเวกที่บ้านห้วยหวาย กับพระอาจารย์อุ่น ชาคโร ซึ่งเป็นบ้านอยู่กลางป่าดงลึก มีสัตว์ร้ายต่างๆ มากมาย โดยได้ขออนุญาตหลวงปู่มั่น

วันแรกที่เดินทางไปถึงบ้านห้วยหวาย เสือเจ้าถิ่นก็มาส่งเสียงร้องต้อนรับ อาตมาได้ยินแต่เสียง อยู่กับพระอาจารย์อุ่นเรื่อยมา วันไหนเจ้าถิ่นเขาคิดสนุกเขาก็ส่งเสียงร้องให้ได้ยิน แต่บางวันก็เงียบหายไม่ปรากฏอะไร แต่มีอยู่คืนหนึ่งประมาณตีสาม อาตมาได้ยินเขาส่งเสียงร้องอยู่แต่ไกล พยายามฟังอยู่ที่กุฏิ เสียงนั้นก็ยิ่งใกล้เข้ามาๆ คิดในใจว่า คงจะมาทางกุฏิอาตมาแน่นอน เพราะทางอื่นที่จะไปไม่มี

ระหว่างนั้นหลวงปู่กลัวหรือเปล่าครับ ?

อาตมาก็พยายามตั้งสตินั่งสงบนิ่งอยู่บนกุฏิ คอยสังเกตเหตุการณ์ พอใกล้กุฏิอาตมาเข้าจริงๆ เสียงร้องมันกลับเงียบหายไป มันมาหยุดยืนอยู่ห่างจากกุฏิอาตมาประมาณเมตรเศษๆ ได้ยินเสียงลมหายใจของมันดังกรอกหูอาตมาอยู่ จนปรากฏเข้าถึงหัวใจ มันหยุดยืนอยู่สักครู่แล้วเดินรอบกุฏิอาตมา เมื่อมันเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วก็เดินไปกุฏิพระอาจารย์อุ่น จากนั้นมันก็เดินตรงเข้าไปในหมู่บ้าน อาตมาจึงค่อยหายใจสะดวกขึ้น (หัวเราะ) จริงๆ พวกมันเข้ามาเยี่ยมเยียนเราอยู่บ่อยครั้ง แต่มันไม่ได้เปล่งเสียงร้องออกมาเหมือนครั้งนี้

นอกจากเจอเสือป่าแล้วหลวงปู่ยังเจออะไรอีกครับ ?

อาตมาก็ยังได้เจอพวกวิญญาณต่างๆ หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า ผี นั่นแหละ วิญญาณเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำอะไรอาตมาหรอก พวกนี้ก็เป็นวิญญาณจากคนเรานั่นแหละ วิญญาณเหล่านี้ยังไม่ได้ไปเกิดจึงต้องเร่ร่อนไปแบบนี้ ดังนั้น คนเราเมื่อเกิดมาแล้วก็จะต้องทำบุญกันเอาไว้เยอะๆ เมื่อตายไปจะได้ไปเป็นเทวดา หรือนางฟ้า หรือเกิดมาเป็นคนร่ำรวย

หลังจากนั้นหลวงปู่ไปจำพรรษาที่ไหนต่อครับ ?

ช่วงเวลานั้นหลวงปู่เทสก์ ได้เดินทางจากเขาน้อย ท่าแฉลบ จ.จันทบุรี มากราบนมัสการหลวงปู่มั่นที่บ้านหนองผือพอดี พอใกล้เข้าพรรษา หลวงปู่เทสก์ก็ชวยให้ไปจำพรรษาที่เขาน้อยท่าแฉลบด้วยกัน อาตมาจึงได้กราบลาหลวงปู่มั่น เดินทางไปพร้อมกับหลวงปู่เทสก์ในปี ๒๔๙๒ ต่อมาพอออกพรรษา หลวงปู่เทสก์ก็ได้รับข่าวว่าหลวงปู่มั่นอาพาธ ท่านจึงได้เดินทางไปที่ จ.สกลนคร ส่วนตัวอาตมาอยู่จันทบุรี ยังต้องการเที่ยววิเวกไปตามเกาะชายทะเล จนได้ทราบข่าการมรณภาพของหลวงปู่มั่น อาตมาจึงได้เดินทางขึ้นไปร่วมงาน และอยู่ช่วยงานจนเสร็จการถวายเพลิงศพ

วัตถุมงคลจำเป็นหรือสำคัญต่อชีวิตคนเราอย่างไรครับ ?

สำคัญหรือจำเป็นอาตมาคิดว่ามันอยู่ที่ความเชื่อ ความศรัทธา เมื่อใครเชื่อมั่นแล้วก็จะเป็นสิริมงคลกับชีวิต หรือแม้แต่พวกเครื่องรางของขลังมากมายที่คนเราใช้แขวนติดตัวก็เพื่อความขลังต่างๆ นานา นั้นก็เกิดจากความเชื่อความศรัทธา แต่ถ้าคนเราเชื่อมั่นในพระธรรมแล้ว ก็ทำให้เกิดความขลังได้เหมือนกัน ที่ผ่านมาอาตมาก็เห็นบางคนแขวนพระติดตัวไว้มากมายทำไมเขาถึงตาย

แล้วประโยชน์ของวัตถุมงคลอยู่ตรงไหนครับ ?

วัตถุมงคลก็มีประโยชน์ก็อยู่ที่ความเชื่อนั่นแหละ บางคนเกิดอุบัติเหตุไม่เป็นอะไรมันก็เกิดจากความเชื่อความศรัทธา ที่สอนให้รู้ว่าสิ่งใดชั่วไม่ควรทำ จงทำในสิ่งที่ดี ไม่เบียดเบียนใคร ส่วนความเชื่อที่ว่ารอดตายเพราะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยช่วยเหลือนั่น อาตมาอยากให้ลองคิดกันดู การรอดตายนั้น มันเกิดจากอะไร จริงๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านั้น มันก็เกิดจากกรรมของเรานั่นแหละ

อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มีจริงไหมครับ ?

มีจริงซิ เพราะปาฏิหาริย์นั้นที่แท้มันก็เกิดจากอำนาจของเรานั่นแหละ ใครทำจิตให้นิ่ง ให้เป็นสมาธิได้ จิตใจไม่วุ่นวาย ก็ส่งผลทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้ แต่คนเราทุกวันนี้ทำไม่ค่อยได้ เพราะการนั่งสมาธินานๆ หน่อย ก็บ่นเมื่อยกันแล้ว

คนเราจะขจัดกิเลสตัณหาออกไปได้ด้วยวิธีไหนดีครับ ?

ก่อนที่พระพุทธเจ้าท่านจะตรัสรู้ มารมันได้บังเกิดขึ้น แต่พระพุทธเจ้าท่านมีบารมีมาก มารมันจะมาเกิดขึ้นที่ไหนท่านก็ไม่กลัว เรียกว่าต่อสู้มารได้ อันนี้เราเกิดขึ้นมาในโลกนี่เหมือนกัน เราต้องมาฝึกหัดดัดแปลงเรียกว่า มาต่อสู้มารกิเลส กิเลสทั้งหลายทั้งปวงส่วนมากคนมันสู้มารไม่ได้ สู้กิเลสไม่ได้ การที่มาสร้างบุญสร้างกุศลนี้น้อยนัก เพราะกิเลสมันผูกมัดรัดไว้ ไม่ให้มาวัด จะทำบุญทำกุศลก็ดี ไม่อยากให้มา มันไม่รู้ว่ากี่ภพกี่ชาติมาแล้วมันเรียกว่า ผูกมัดรัดรึงไว้แล้วผลที่สุดมันหนาขึ้นใหญ่ขึ้น เราก็สู้มันไม่ได้

เหตุฉะนั้นเราเกิดขึ้นมาก็อาศัยกิเลส เมื่อปราบกิเลสให้ลงไปได้แล้ว ก็เป็นของดีมีคุณค่าขึ้นมาเป็นธรรมดา แต่ก่อนเราเป็นคนธรรมดา เมื่อหากว่าเรามารู้จักฝึกหัดจิตใจของเราแล้ว ก็เหนือคนธรรมดา ใจเป็นพระ ไม่ต้องนุ่งเหลืองห่มเหลืองมันก็เป็นพระได้ คือ ความละความชั่วนั่นเอง ความชั่วมันบังเกิดขึ้นแล้ว เราขัดเกลาอย่างที่ว่ามานั้น มันก็มองเห็นทั้งหน้าทั้งหลัง

แล้วหากคนเรากำลังทำชั่ว เราเองจะรู้ได้อย่างไรครับ ?

ก็เหมือนกับเราขึ้นภูเขาขึ้นไปสูงๆ มองเห็นข้างล่าง มองเห็นชีวิตที่ผ่านมาทุกอย่าง เพราะเราขึ้นสูง อันนี้ก็เป็นชั้นเดียวกับจิตใจของเรา พอมันสูงแล้ว มองชีวิตที่พ้นผ่านมานั้นเกิดขึ้นได้เพราะเหตุอันใด ความชั่วเกิดขึ้นเราก็จะมองเห็นได้ เราก็ปัดเป่าความชั่วออกไปได้ ความดีก็มาบังเกิดขึ้น มองเห็นไปเรื่อยๆ เพราะเหตุฉะนั้น เราจะไปข้างหน้าอดีตก็ดี อนาคตก็ดี เราก็มองเห็นได้ทั้งหมด

ญาติโยมมากราบหลวงปู่มีใครมาขอตัวเลขบ้างไหมครับ ?

ก็มีอยู่เหมือนกัน แต่อาตมาไม่รู้ ก็จะชี้ไปที่เด็กมันหัดเขียนตัวเลข เท่านั้นแหละ เขาก็เอาไปตีเป็นหวย หรือบางครั้งอาตมาพูดอะไรออกไปเขาก็เอาไปตีเป็นหวย ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง (หัวเราะ) คนที่จะถูกไม่ถูกมันก็ขึ้นอยู่กับบุญวาสนาเหมือนกัน ต่อให้เล่นจนล่มจม ถ้าไม่มีบุญวาสนาแล้ว ก็ไม่มีวันถูก

หลวงปู่มีหลักในการปฏิบัติธรรมอย่างไรครับ ?

อาตมาคิดว่าหลักธรรมที่ทุกคนควรมีอย่างยิ่งก็คือ การรักษาศีลนั่นแหละ เป็นการปฏิบัติธรรมอันวิเศษสุด จะนับถือไม่ครบทั้ง ๕ ข้อก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าทำได้ทุกข้อเลยมันก็ยิ่งดี


ชาติภูมิหลวงปู่จันทร์โสม

หลวงปู่จันทร์โสม กิตติกาโร อายุ ๘๒ ปี พรรษาที่ ๖๒ ชื่อเดิม นายจันทร์โสม ปราบพาล เกิดวันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๕ ตรงกับวันจันทร์ แรม ๓ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ ณ ต.กลางใหญ่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี บิดา นายกรม ปราบพาล มารดา นางอาน ปราบพาล มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๖ คน คือ บุญชม ใจหาญ ด.ญ.คำ ปราบพาล ด.ญ.อ่ำ ปราบพาล ด.ญ.ไอ่ ปราบพาล เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก พระจันทร์โสม กิตติกาโร และนายกองแก้ว ปราบพาล

อายุ ๒๑ ปี ได้อุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๕ เวลา ๑๕.๒๓ น. ณ วัดอรัญญวาส ต.ท่าบ่อ อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย โดยมีพระครูวิชัยสังฆกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ซึ่งท่านมีศักดิ์เป็นพี่ชายโยมแม่หลวงปู่จันทร์โสม และได้รับฉายา กิตติกาโร สังกัดธรรมยุตนิกาย

ชีวิตในวัยเด็ก โยมพ่อได้พาไปวัดเป็นประจำ กระทั่งอายุ ๑๐ ขวบ ในปี ๒๔๗๕ ได้ถูกให้เข้ารับการศึกษาประชาบาล ที่วัดบ้านกลางใหญ่ ต.กลางใหญ่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ในระยะแรกที่ไปเรียนหนังสือนั้นก็ไปมาระหว่างวัดกับบ้านตลอดเวลา จนจบประถมการศึกษาปีที่ ๔ เมื่ออายุ ๑๔ ปี หลังจากออกจากโรงเรียนแล้วก็ได้กลับมาอยู่บ้านด้วยเหตุที่วัดไม่มีพระอยู่ประจำ ต่อเมื่อมีพระเณร โดยเฉพาะพระกรรมฐานเดินธุดงค์มาพักก็จะเข้าไปปฏิบัติรับใช้ท่านอยู่ที่วัดเป็นประจำ จนกว่าจะออกเดินทางหาวิเวกไปที่อื่นต่อไป

เมื่ออายุได้ ๑๖ ปี ใน พ.ศ.๒๔๘๑ ได้ไปอยู่ที่ถ้ำพระนาผักหอก อ.บ้านผือ กับอาจารย์วารี เรี่ยวแรง (ขณะนั้นบวชเป็นพระ) ท่านอาจารย์วารี มีแต่พระอยู่ไม่มีเณรรับใช้ จึงจำเป็นต้องไปอยู่รับใช้จนตลอด ๓ เดือนจึงได้กลับบ้าน กระทั่งปี ๒๔๘๒ อายุ ๑๗ ปี โยมพ่อเสียชีวิตลงไม่มีใครช่วยทำนาทำไร่ มีแต่โยมแม่ พี่สาวและพี่เขยเท่านั้น หลวงปู่จันทร์โสม จึงจำเป็นต้องอยู่บ้านช่วยพี่สาวและ พี่เขยทำนาทำไร่เลี้ยงครอบครัว เพราะน้องชายก็ยังเป็นเด็กเล็กทำงานอะไรไม่ได้

ในสมัยที่โยมพ่อยังมีชีวิตอยู่ การทำนาก็ยังต้องอาศัยการจ้างแรงงานช่วยทำทุกปีกว่าจะแล้วเสร็จ ท่านจึงได้ช่วยครอบครัวทำนาอยู่จนอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ และได้พิจารณาถึงความศรัทธาที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนา กับระลึกถึงกุศลเจตนาของโยมพ่อ จึงได้บวชมาจนถึงปัจจุบัน

สอบถามเส้นทางไปวัดป่าจันทรังสีได้ที่โทรศัพท์ ๐-๑๙๑๔-๕๒๘๓, ๐-๑๓๗๗-๒๘๕๙


เรื่อง สุทธิคุณ กองทอง
ภาพ ชาญณรงค์ พรดิลกรัตน์

........................................................................................

รวมภาพหลวงปู่จันทร์โสม กิตติกาโร วัดป่าบ้านนาสีดา อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
โดยทีมงานวัดป่า
http://www.watpa.com/board_detail.asp?board_id=1003
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 19 มี.ค.2007, 3:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

หลวงปู่จันทร์โสม แสงธรรมอีสาน
คอลัมน์ มงคล นสพ. ข่าวสด

ที่บ้านนาสีดา ต.กลางใหญ่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี มีวัดป่าวัดหนึ่งอยู่กลางทุ่งกว้าง ซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นป่าไม้ตะเคียนหนาทึบ บัดนี้ ป่าหายหลังจากรพช.ตัดถนนเข้าไป กลายเป็นหมู่บ้านชาวไร่ชาวนา วัดนี้ชื่อ "วัดป่าจันทรังสี" สาขาวัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ของพระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษย์ หรือหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี สมภารเจ้าวัดคือ "หลวงปู่จันทร์โสม กิตติกาโม" อายุ 80 ปี พรรษา 59

พระเถระสายวิปัสสนากรรมฐาน ศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งยังดำรงชีพเป็นมิ่งขวัญของชาวบ้าน และคณะสงฆ์อรัญวาสี โดยเป็นพระวิปัสสนาจารย์รูปที่ 3 แห่งภาคอีสานเหนือ รองจากพระไตรโลกาจารย์ วัดศรีเมือง และหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญบรรพต

ท่านเกิดในตระกูล "ปราบพลพาล" เมื่อวันจันทร์ที่ 12 มิ.ย. 2465 บุตรของนายกรม และนางอาน มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 6 คน วัยเด็กคลุกคลีอยู่กับวัด เพราะบิดาเป็นมัคนายกวัดบ้านนาสีดา อายุ 10 ขวบ ก็เข้ารับการศึกษาประชาบาลที่วัดบ้านกลางใหญ่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ระยะแรกที่เรียนหนังสือนั้นต้องไปๆ มาๆ ระหว่างวัดกับบ้าน ผลที่สุดได้ไปอยู่วัดเป็นประจำ จนจบชั้นประถม 4 ก็กลับมาอยู่บ้าน ด้วยเหตุที่วัดไม่มีพระอยู่ ต่อมามีพระกรรมฐานเดินรุกขมูลมาพัก จึงเข้าไปปฏิบัติรับใช้อยู่จนกว่าท่านจะออกเดินทางหาวิเวกที่อื่น พออายุ 15 ปี ได้ไปอยู่กับท่านอาจารย์เกตุ ขนฺติโก พี่ชายหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ซึ่งบวชจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าสระวารี อ.บ้านผือ และได้รับการสอนให้เขียนหนังสือขอมาหนึ่งปีผ่านไป ก็ย้ายไปอยู่ถ้ำพระนาผักหอก อ.บ้านผือ กับอาจารย์วารี เรี่ยวแรง

จากนั้นอายุ 17 ปี โยมพ่อเสียชีวิต จึงกลับไปช่วยครอบครัวทำนาทำไร่อยู่จนอายุครบ 20 ปี ก็เข้าอุปสมบท ณ วัดอรัญญวาสี อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2485

ท่านเจ้าคุณพระธรรมไตรโลกาจารย์ (รักษ์ เรวโต) ครั้งดำรงสมณศักดิ์พระครูวิชัยสังฆกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง เป็นพระกรรมวาจาจารย์

หลังพรรษาแรกผ่านพ้น ท่านออกวิเวกไปในที่ต่างๆ อาทิ บ้านน้ำอ้อม อ.วังสะพุง จ.เลย และวัดหนองขาม อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ก่อนที่จะกลับมาเกณฑ์ทหารในปีพ.ศ.2486 ในปีนั้น ได้จำพรรษาที่วัดอรัญญวาสี เข้าเรียนนักธรรมชั้นตรี ปรากฏว่าสอบได้ ทางการจึงยกเว้นไม่ต้องไปเป็นทหารจึงไปพักกับอาจารย์เกตุที่วัดป่าช้าบ้านสว่าง

ปีพ.ศ.2487 กลับมาจำพรรษาที่วัดอรัญญวาสี เรียนนักธรรมโท ออกพรรษาสอบได้แล้วก็ออกรุกขมูลมาตามริมแม่น้ำโขง บุกป่าผ่าดงมาจนถึงวัดพระพุทธบาทคอแก้ง (เวินกุ่ม) ก่อนจะกลับไปบ้านนาสีดาในปีพ.ศ.2488

ปีพ.ศ.2498 จำพรรษาที่วัดศรีชมชื่น (วัดป่าบ้านนาสีดา) เดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ที่วัดอรัญญวาสี อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย และได้รับการฝากให้เป็นศิษย์รับใช้หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตอยู่ปฏิบัติอาจาริยวัตรกับหลวงปู่มั่นเป็นเวลา 2 พรรษา คือ ปีพ.ศ.2490-2491 ก็กราบลาไปเที่ยววิเวกที่บ้านห้วยหวายกับหลวงปู่อุ่น ชาคโร

ปีพ.ศ.2492 กลับมาอยู่กับหลวงปู่เทสก์ และช่วยงานถวายเพลิงศพหลวงปู่มั่นจนเสร็จสิ้น ก็เที่ยววิเวกไปกับหลวงปู่หล้า เขมปัตโต วัดภูจ้อก้อ จ.มุกดาหาร และหลวงปู่อรุณ อุตตโม วัดพระบาทนาสิงห์ อ.โพนพิสัย จ.หนองคายต่อมาได้ติดตามหลวงปู่เทสก์ไปเผยแผ่ธรรมที่ภาคใต้ตั้งแต่ปีพ.ศ.2495-2499 และกลับมาอยู่วัดศรีชมชื่นถึงปีพ.ศ.2514 ย้ายออกมาอยู่บริเวณป่าช้าดงบ้านเลา ซึ่งเป็นสถานที่กว้างขวางร่มรื่นเงียบสงบ ก่อสร้างกุฏิ เสนาสนะต่างๆ โดยลำดับ

โดยตั้งชื่อสถานที่นี้ว่า "วัดป่าบ้านนาสีดา" และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2531

หลวงปู่จันทร์โสมท่านมีศักดิ์เป็นหลานแท้ๆของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี จึงได้รับการอบรมบ่มสอนมาตั้งแต่เด็ก แม้บวชเรียนแล้วก็อยู่ในสายตา คอยแนะนำทางที่ถูกให้ประพฤติปฏิบัติไม่เคยทอดทิ้งจนกระทั่งตัวท่านละสังขารไป

เหตุการณ์สำคัญในชีวิตก็คือ การไปใช้ชีวิตกับหลวงปู่เทสก์นานถึง 8 ปี ในการเผยแผ่พระธรรมและกรรมฐานที่ภูเก็ต สมัยนั้น "พระป่า" ยังไม่แพร่หลาย จึงเกิดปัญหาขัดแย้งจนถึงขับไล่ไสส่งกัน แต่คณะของหลวงปู่เทสก์ก็ต่อสู้แก้ไขจนสถานการณ์ลุล่วงไปด้วยดี

นอกจากนี้ จากการได้อยู่ปรนนิบัติหลวงปู่มั่นอย่างใกล้ชิดถึง 2 ปี จึงได้รับ "ของดี" มาอย่างเต็มๆ ทั้งข้อวัตรปฏิบัติ การสำรวมกาย วาจา ใจปฏิปทาและหลักธรรมนานาของพระอาจารย์ใหญ่ ซึบซาบเข้าในสายเลือดสมัยนั้นการเข้าไปขอสมัครเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องผ่านการกลั่นกรองเป็นขั้นเป็นตอนพระเณรที่ขาดการสำรวมทำอะไรไม่ถูกต้อง จะโดนดุว่าตรงๆ แรงๆ เป็นการถากถางกิเลส คนจิตไม่แกร่ง ไม่ทน จึงพากันถอย

สำหรับหลวงปู่จันทร์โสม ท่านสอบผ่านโดยง่ายดาย เพราะอุปนิสัยเป็นคนที่มีความอดทนสูงมาแต่เยาว์วัย

ปัจจุบันจึงเป็นพระผู้ใหญ่ที่ชาวบ้านชาวเมืองกราบไหว้ยกย่องนับถือในวัตรปฏิบัติและปฏิปทา รวมทั้งการเทศนาสอนธรรมกรรมฐานแก่ญาติโยม ท่านบริหารวัดตามแนวของหลวงปู่เทสก์ ด้วยการสร้างศรัทธาปสาทะให้ญาติโยมรอบวัดเลื่อมใสก่อน ส่วนการปฏิบัติธรรมได้ยึดตามแนวหลวงปู่มั่น


เทศนาหรือบทธรรมของท่าน ส่วนใหญ่จะเน้นในเรื่องหลักปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ภัยในชีวิตประจำวันของผู้คน อาทิ
"คนทุกคนสามารถสร้างคุณงามความดีได้ทุกคน
"แต่ที่เขาไม่อยากทำ เพราะเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง
"อย่าว่าแต่ฆราวาสเลย พระที่บวชในพุทธศาสนา ถ้าเชื่อจริงๆ จังๆ แล้ว ทำอะไรก็ได้ผล
"เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง เรียกว่า สงสัย ลังเล ก็เลยเดินไม่ถูก

"ไม่ว่าสมัยใด ทำเมื่อไหร่ได้เมื่อนั้น" ฯลฯ

ใครก็ตามที่ต้องการปฏิบัติให้จิตสงบ ท่านให้คำแนะนำง่ายๆ ว่า ให้เลือกยึดอนุสติ 10 มาเป็นหลักพิจารณาเพียงหนึ่งอย่าง โดยเลือกให้ถูกกับอุปนิสัยของตนเอง และเลือกข้อที่นำมาปฏิบัติแล้ว เกิดความสลดสังเวช เกิดความเบื่อหน่ายเพื่อที่จะแก้ไขตัวเองได้ ลูกศิษย์ลูกหาที่ได้รับโอสถธรรมจากท่าน สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์ได้มากมาย

ปัจจุบันในวัย 80 ปี หลวงปู่จันทร์โสม ผิวพรรณวรรณะท่านยังผ่องใส สุขภาพพลานามัยแข็งแรงสมกับเป็นพระปฏิบัติ และไม่เคยละเว้นการสอนศีลสอนภาวนาแก่ญาติโยมที่สนใจ โดยจะย้ำถึงอานิสงส์แห่งการภาวนาอยู่เสมอ

"การภาวนา นอกจากให้ผลทางจิตใจแล้ว
"ความเอ็นดู เมตตาสงสารคนอื่นก็เกิดขึ้น
"ที่เราโกรธเกลียดพยาบาทก็หายไป
"เห็นโทษก็สงสารเขา มีธรรมะในใจ
"ความอิจฉาพยาบาทเบียดเบียนก็ไม่เกิดขึ้น อยู่หมู่คณะใดก็ไม่เกิดขึ้น" และ
"ขออย่าประมาท อย่าละทิ้งการภาวนา
"ทำเป็นไม่เป็นก็ช่างเถอะ ขอให้ได้ทำอย่างเดียว นานๆ เข้าก็ติดจิตไปด้วย
"สะสมวันละนิด งานก็ใหญ่ขึ้น ทำให้จิตใจเราสบายเป็นอานิสงส์
"จิตใจสบาย มันก็คลุกคลีทุกสิ่งทุกอย่าง
"มันเดือดร้อน เราภาวนาก็ทำให้จิตใจเย็น" ฯลฯ

ผู้อยากพบแสงสว่างทางใจ หมั่นภาวนาตามมรรคาที่ท่านวางไว้โดยพลัน!!



....................................................................................
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 19 มี.ค.2007, 3:15 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระธรรมเทศนา โดย หลวงปู่จันทร์โสม กิตติกาโม
๒๖ มีนาคม ๒๕๔๓
ณ ศาลากาญจนาภิเษก

**********

มนุษย์กับบุญกุศล

เกิดเป็นมนุษย์ เป็นลาภ เป็นบุญกุศลอันประเสริฐ การได้เกิดมาเป็น
มนุษย์นั้นยากนักหนา เพราะว่าวาสนาบารมียังไม่ถึงที่จะได้มาเป็น
มนุษย์มักต้องไปเกิดอยู่ในภพภูมิที่ต่ำกว่าคือเป็นสัตว์เดรัจฉาน
เปรตอสุรกายหรือสัตว์นรกอยู่นานและมากมายกว่าจะได้หวนมา
เป็นมนุษย์แต่ละครั้ง ยากนักยากหนา

เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว บ้างก็มั่งมีศรีสุข ร่ำรวย ผิวพรรณวรรณะ
ผ่องใส บ้างก็เกิดในตระกูลต่ำทราม วรรณะผิวพรรณไม่ผ่องใส
แล้วแต่บุญกุศลที่สร้างสมอบรมมา ถ้าบุญประกอบ คิดนึกอะไร
ก็จะเป็นได้ตามปรารถนา

มนุษย์มี ๒ แบบ
แบบแรก สะสมวัตถุต่างๆ เพื่อให้กายอยู่เย็นเป็นสุข
แบบสอง สะสมบุญกุศล ทั้งมีสร้างสมมาแต่ปางก่อน
มาชาตินี้ นิสัยปัจจัยก็ตามมาอีก
"ความสะสมบุญนำสุขมาให้" บุญกุศลที่ทำไว้แต่ชาติ
ที่แล้ว ติดตามเรามาอยู่ บุญกุศลเป็นของละเอียด ถ้าบุญกุศล
ไม่รักษา จะไม่สุขเท่า บุญกุศลนั้นจะพร้อมทุกอย่างทั้งสมบัติ
ภายนอกและสมบัติภายใน คนที่เกิดมาร่วมกัน ก็เคยสร้างสม
บุญกุศลมาคล้ายๆ กัน

หากสร้างสมบาปอกุศล ก็จะไม่สมบูรณ์ทั้งกายและใจและ
ทรัพย์สมบัติ เพราะว่าอกุศลที่สร้างไว้แต่ชาติก่อนโน้นก็จะ
มาย่ำยี อกุศลย่ำยี สุขภาพย่ำแย่ การเงินก็ไม่ดี

ถ้าสร้างสมบุญกุศลไว้มากๆ ชาตหน้าชาติต่อไปก็จะดี

หมั่นสะสมบุญกุศลไว้เรื่อยๆ เพราะว่านอกจากในความเป็น
มนุษย์แล้ว ก็จะไม่มีโอกาสได้ทำบุญทำกุศล

มนุษย์สะสมอะไรได้บ้าง

สิ่งที่มนุษย์สะสมได้คือ การทำทาน - การรักษาศีล และ
การเจริญเมตตา ภาวนา

เป็นมนุษย์เท่านั้น ถึงจะมีโอกาสได้ทำทาน ในอัตภาพอื่นไม่มี
โอกาสแล้ว ถ้าเราทำไว้มาก ความปรารถนาที่ดีก็จะสำเร็จสม
ดังหวัง ในเทวโลกมีปริมาณมากกว่าจำนวนมนุษย์ มนุษย์มี
นิดเดียวเพราะกายหยาบ อยู่กันนิดเดียวก็แออัดแล้ว ส่วน
เทพเจ้าแม้จะอยู่เป็นโกฏิๆ ก็ไม่อัดแอกันเพราะท่านมีกายอ่อน
กายละเอียด แต่เทพหรือสัตว์เดรัจฉาน ทำบุญกุศลไม่ได้ มนุษย์
ทำบุญกุศลได้ตามความปรารถนา ทั้งทำทาน รักษาศีลและเจริญ
เมตตา ภาวนา ได้ทั้งสิ้น เทพเจ้านั้นถ้าบังเอิญไปอยู่บนเทวโลก
ในช่วงเวลาที่มีพระพุทธเจ้ามาบังเกิด ก็จะมีโอกาสได้ฟังธรรม
เพราะพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เมื่อตรัสรู้แล้วก็จะเสด็จไปโปรด
พุทธมารดาบนเทวโลก

มนุสสเทโว - ได้มาจากความเป็นมนุษย์ ต้องสร้างความเป็นมนุษย์
ให้เป็นเทโวคือเป็นมนุษย์เทวดาเสียก่อน

มนุสสเปโต - คือมนุษย์ที่ไม่มีโอกาสได้สร้างบุญกุศล มีแต่ความ
ทุกข์ยากตลอดเวลา

ดังนั้น เร่งสร้างกุศลดีกว่า อย่าให้กาลเวลาล่วงไปๆ

ความเป็นมนุษย์ทำได้ทุกอย่าง อย่าให้เสียเวลาที่เกิดเป็นคน
เป็นมนุษย์

มีสามี ภรรยา สองคนอุ้มลูกน้อยเดินทางไป ทั้งสามอดอาหาร
มาหลายวัน เดินทางไปได้สามวันพบนายโคบาลเอาอาหาร
ให้สุนัขกิน คนที่เป็นสามีคิดว่าสุนัขนี้กินดีกว่าตน คิดว่าเกิด
เป็นสุนัขก็ดีพอดีอาหารไม่ย่อย ผู้เป็นสามีตายลงก็ไปเกิดเป็น
สุนัขตัวผู้ในท้องแม่หมาตัวที่ตนเห็นนั่นเอง ใกล้บ้านนายโคบาล
มีพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งท่านพำนักอยู่ สุนัขตัวผู้ตัวนี้เติบโต
ไปพร้อมกับมีหน้าที่เดินตามนายโคบาลเพื่อนิมนต์พระปัจเจก
พุทธเจ้ามาฉันภัตตาหาร เดินตามนายโคบาลไปๆ มาๆ วันละ
หลายๆ เที่ยว เป็นวัน เป็นเดือน บางวันก็ถูกใช้ให้ไปตาม
พระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยการไปเห่าเรียก (นิมนต์) ให้พระปัจเจก
พุทธเจ้าเดินตามมาฉันอาหารก็มี อยู่มาวันหนึ่งมีคนเอาผ้ามา
บังสุกุล พระปัจเจกพุทธเจ้าจึงบอกกับนายโคบาลว่าตั้งแต่
วันนี้จะไม่อยู่แล้วเพราะจะต้องไปตัดผ้าเนื่องจากจีวรเก่าขาด
แล้ว นายโคบาลนิมนต์ไว้ว่าเมื่อเสร็จแล้วก็นิมนต์ท่านกลับมา
อีก สุนัขตัวนี้ก็ได้ยินด้วย แล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าก็เหาะไป
แล้วไม่กลับมา สุนัขเกิดความห่วงใยพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก
จนอกแตกตาย ไปเกิดในเทวโลก และอานิสงส์ที่เห่าหอนคอย
นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้านี้เอง ก็ทำให้เมื่อไปจุติบนเทวโลก
แม้จะพูดเพียงเสียงกระซิบก็จะเสียงดังได้ยินไปทั่วเทวโลก
จนได้ชื่อว่า "โอชกะเทวบุตร" (คือ ผู้มีเสียงดัง) เพราะอานิสงส์
นั้น เมื่อสิ้นอายุขัย ก็ลงมาเกิดในโลกมนุษย์ เป็นเศรษฐีชื่อ
โอชกะเศรษฐิ ต่อมาก็ลามารดาบิดาไปบวชและได้สำเร็จ
เป็นพระอรหันต์ในชาตินั้นเอง

ดังนั้น สร้างสมบุญกุศลไว้ให้เยอะๆ ขนาดเป็นเพียงสุนัขที่
ให้ทาน รักษาศีลและเจริญภาวนาไม่เป็น ยังเป็นขนาดนี้
เพราะ "การได้เห็นสมณะแล้วเกิดความยินดี ก็เป็นบุญกุศล"

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ก็มาสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าใน
โลกมนุษย์ ในอัตภาพที่เป็นมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่มีที่อื่นๆ ไม่มี
ในอัตภาพอื่น


*ขอบคุณ ข่าวสด คมชัดลึก ลานธรรม สำหรับข้อมูลต่างๆ ที่เอามาให้อ่านกัน
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 19 เม.ย.2007, 2:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ...
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง