|
|
|
 |
ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
นายกสมาคมเกย์(หล่อ)ไทย
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 13 เม.ย. 2007
ตอบ: 11
|
ตอบเมื่อ:
21 พ.ค.2007, 11:25 pm |
  |
ไอน์สไตน์ถาม พระพุทธเจ้าตอบ ?
คอลัมน์ ตะวันตก-ตะวันออก
โดย สาโรจน์ มณีรัตน์
ต้องยอมรับกันว่าองค์ความรู้ที่ "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" เป็นผู้สร้าง ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีสัมพันธภาพ E = MC2, กลศาสตร์ควอนตัม และทฤษฎีเอกภาพ ล้วนสร้างคุณประโยชน์ และโทษต่อมวลมนุษยชาติอย่างช่วยไม่ได้
เพราะในเวลาต่อมา นักฟิสิกส์ นักวิทยาศาสตร์ และนักคณิตศาสตร์หลายคนได้พยายามถอดรหัสในสิ่งที่ "ไอน์สไตน์" คิด จนเกิดเป็นอาวุธร้ายที่ประหัตประหารมนุษย์โลกไปจนจบสิ้น
กล่าวกันว่า ในช่วงบั้นปลายของชีวิต ขณะที่ "ไอน์สไตน์" นอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลปรินซ์ตัน รัฐนิวเจอร์ซี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะหาคำตอบให้ได้ว่ามีสมการทางคณิตศาสตร์ใดบ้าง ที่สามารถอ่านใจของพระเจ้าได้บ้าง
เพราะเขารู้สึกฉงน สนใจว่าทำไมพระเจ้าถึงสร้างโลกได้ และทำไมพระเจ้าถึงได้สร้างงานศิลปะอันมากมายบนโลกใบนี้
แต่ที่สุดเขาก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ ?
แต่กระนั้น ก็มีผู้บันทึกเป็นเอกสารคำพูด ที่ "ไอน์สไตน์" พูดไว้ก่อนตาย และ "ศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ์ กรีน" ผู้เขียนหนังสือ "ไอน์สไตน์ถาม พระพุทธเจ้าตอบ" นำมาพิมพ์ไว้ อันเป็นคำพูดที่แสดงถึงการยอมรับในพุทธศาสนาของ "ไอน์สไตน์" ว่าแท้จริงแล้ว พุทธศาสนาอาจเป็นศาสนาหนึ่งที่อยู่เหนือพระเจ้าส่วนตัว ก็เป็นไปได้
"ศาสนาในอนาคตจะเป็นศาสนาที่เนื่องกับจักรวาล ควรอยู่เหนือพระเจ้าส่วนตัว หลีกเลี่ยงลัทธิ กฎเกณฑ์ที่ไร้ข้อพิสูจน์ ควรครอบคลุมทั้งเรื่องธรรมชาติ และจิตวิญญาณ ควรตั้งอยู่บนรากฐานของศาสนา ที่เกิดจากประสบการณ์ของทุกสิ่งที่สร้างเอกภาพอันมีความหมาย"
"ซึ่งพระพุทธศาสนา ดูเหมือนจะมีสิ่งเหล่านี้อยู่ ศาสนาพุทธน่าจะเป็นศาสนาที่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ของยุคสมัยได้"
ซึ่งไม่มีใครรู้ว่า ทำไม "ไอน์สไตน์" ถึงได้กล่าวเช่นนี้ ?
แต่ก็มีผู้ที่จะเดาออกได้อย่างหนึ่งว่า ตลอดชีวิตที่ "ไอน์สไตน์" พยายามคิดค้นสมการทางคณิตศาสตร์ จนพบเรื่องของกลศาสตร์ควอนตัม เขาแทบไม่รู้สึกดีใจ หรือยี่หระในเรื่องนี้เท่าใดนัก
มิหนำซ้ำ ยังดูถูกดูแคลนด้วย เพราะเขาคิดว่าเรื่องของกลศาสตร์ควอนตัม ไม่ต่างอะไรกับการโยนลูกเต๋า ซึ่งใครๆ ก็สามารถโยนได้
แม้แต่พระเจ้า
เหตุนี้เอง จึงทำให้เขาพยายามที่จะหาสมการทางคณิตศาสตร์อื่นๆ ขึ้นมาทดแทน ยิ่งเฉพาะสมการในการสร้างโลกของพระเจ้า
"ข้าพเจ้าต้องการรู้ว่าพระเจ้าสร้างโลกนี้อย่างไร ข้าพเจ้าไม่ได้สนใจปรากฏการณ์นั้นนี้ว่ามันเป็นของธาตุนั้น หรือธาตุนี้ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงรายละเอียดเท่านั้น ข้าพเจ้าต้องการความรู้ ความคิดของพระเจ้าต่างหาก"
แต่เขาก็ไม่มีโอกาสได้รู้
เพราะเขาพยายามที่จะฝืนธรรมชาติ
พยายามที่จะฝืนความเป็นจริงที่มีอยู่บนโลกใบนี้
ในทางกลับกัน พระพุทธเจ้า กลับดำเนินชีวิตไปอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ อย่างเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล
และพยายามที่จะค้นหาต้นเหตุแห่งการดับทุกข์
เพราะความทุกข์ เป็นมูลเหตุใหญ่ที่ทำให้มนุษย์แปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นความอยากได้ใคร่ดี กิเลส ตัณหา รวมไปถึงความยึดถือในตัวตนของตน
อันเป็นบ่อเกิดที่ทำให้มนุษยชาติแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นซึ่งกันและกัน
ดังนั้น ถ้าหากมนุษยชาติเข้าใจ และค้นพบต้นเหตุแห่งการดับทุกข์ เขาก็จะไม่เป็นคนที่ทะยานอยาก ไม่เป็นคนที่แสวงหาอำนาจให้แก่ตน
ที่สำคัญ ยังเป็นคนที่เข้าใจคน เข้าใจโลก และเข้าใจมวลมนุษยชาติด้วย
ดังพุทธวจนะ ที่พระพุทธเจ้าบรรยายลักษณะของพระนิพพาน อันเป็นจุดปกติของจักรวาล ซึ่งอ้างจากหนังสือ "ไอน์สไตน์ถาม พระพุทธเจ้าตอบ" ซึ่งมี "ศุภวรรณ" เป็นผู้เขียน คือดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ในอายนะนั้น ไม่ใช่ดิน น้ำ ลม ไฟ
"ไม่ใช่อากาสานัญจายตนะ วิญญา ณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่ใช่โลกนี้ ไม่ใช่โลกหน้า ไม่ใช่พระจันทร์ ไม่ใช่พระอาทิตย์ ไม่ใช่การมา ไม่ใช่การไป ไม่ใช่การตั้งอยู่ ไม่ใช่การจุติ ไม่ใช่การเกิดขึ้น ไม่ใช่เป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ความเป็นไป ไม่ใช่อารมณ์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นคือที่สุดแห่งทุกข์"
เพราะฉะนั้น พระนิพพานจึงเป็นกรอบหลักการที่กว้างขวาง มีคุณลักษณะสมบูรณ์ที่พึ่งพาได้ ไม่มีความโคลงเคลงเหมือน กลศาสตร์ควอนตัมที่ "ไอน์สไตน์" หมิ่นประมาท และยอมรับไม่ได้
ที่สำคัญ พระนิพพานยังครอบคลุมทุกเรื่องของจักรวาล และสามารถใช้เป็นพื้นฐานของทุกทฤษฎี ซึ่งคุณลักษณะเช่นนี้คือทฤษฎีเอกภาพที่ "ไอน์สไตน์" ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อศึกษา
แต่พระพุทธเจ้ากลับค้นพบในคืนวันที่พระองค์ท่านทรงตรัสรู้ คือราว 2,593 ปีก่อนพุทธกาล
ที่ไม่เพียงจะทำให้นักฟิสิกส์ นักวิทยาศาสตร์ และนักคณิตศาสตร์หลายคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หาก "ไอน์สไตน์" เข้าใจหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
เข้าใจถึงคำว่าพระนิพพาน
ดีไม่ดี "ไอน์สไตน์" อาจจะค้นพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากกว่าทฤษฎีสัมพันธภาพก็เป็นไปได้ แต่กระนั้นก็ยังไม่โชคร้ายไปเสียทีเดียว เพราะต่อจากนั้น สิ่งที่ "ไอน์สไตน์" พูดถึงพุทธศาสนา ก็ทำให้นักฟิสิกส์ นักวิทยาศาสตร์ และนักคณิตศาสตร์ในระยะหลังๆ พยายามค้นหาสัจธรรมจากพุทธศาสนามากขึ้น
จนทำให้สูตรทางฟิสิกส์ วิทยาศาสตร์ และสมการทางคณิตศาสตร์แปรเปลี่ยนไปอิงเหตุและผลมากขึ้น
อิงความจริงที่พิสูจน์ได้มากขึ้น
ฉะนั้น จะเห็นว่าหลักคิด วิธีคิด และการแสวงหาเหตุและผล แห่งความเป็นไปตามกฎธรรมชาติ แท้จริงแล้วไม่ได้อยู่นอกจักรวาลเลย
หากอยู่ในภาวะแห่งความเป็นธรรมชาติทั้งสิ้น
ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับมนุษย์เหล่านั้นจะถอดรหัสลับจากธรรมชาติออกหรือเปล่า และเมื่อถอดรหัสลับออกแล้ว เขาจะนำไปใช้ประโยชน์อย่างไร
สร้างสรรค์ หรือทำลาย
สร้างคุณค่า หรือไม่สร้างคุณค่า
ก็ขึ้นอยู่กับมนุษย์ผู้นั้นแล้ว
"ไอน์สไตน์" ก็เช่นเดียวกัน เมื่อตอนที่เขาค้นพบทฤษฎีสัมพันธภาพ E = MC2 เขาก็คิดว่าสิ่งที่เขาค้นพบยิ่งใหญ่
สิ่งที่เขาค้นพบน่าจะมีประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ
แต่สุดท้าย สิ่งที่เขาค้นพบกลับทำลายมวลมนุษยชาติอย่างย่อยยับ ที่สำคัญ ยังทำให้ "ไอน์สไตน์" ไม่เพียงเป็นคนบาปในคราบนักบุญ หากยังทำให้ชีวิตของเขาส่วนหนึ่งมีรอยมลทินแปดเปื้อนด้วย
แต่สำหรับพระพุทธเจ้า
คงไม่ต้องเอ่ยอันใด เพราะทุกอย่างได้พิสูจน์ให้โลก และมวลมนุษยชาติที่นับถือศาสนาพุทธ และศาสนาอื่นๆ คงประจักษ์ชัดแล้วว่าหลักคำสอนของศาสนาพุทธเป็นเช่นใด
หาไม่เช่นนั้นคงไม่ยืนยาวมากว่า 2,593 ปีเช่นนี้ ? |
|
แก้ไขล่าสุดโดย นายกสมาคมเกย์(หล่อ)ไทย เมื่อ 21 พ.ค.2007, 11:32 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
  |
 |
นายกสมาคมเกย์(หล่อ)ไทย
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 13 เม.ย. 2007
ตอบ: 11
|
ตอบเมื่อ:
21 พ.ค.2007, 11:30 pm |
  |
E=mc^2ติดอาวุธให้ธรรมะ แล้วพุทธานุภาพจะปรากฏ
มีหลายท่านเข้าใจว่า ธรรมะกับวิทยาศาสตร์เป็นคนละเรื่องกัน
แต่ตามความเห็นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคิดว่า เป็นคนละเรื่องเดียวกัน เพียงแต่วิทยาศาสตร์สมัยนี้ ยังไม่ละเอียดอ่อนเพียงพอที่จะเข้าถึงหรืออธิบายธรรมะได้
ในเมื่อธรรมะคือสภาวะความจริงของธรรมชาติ หากเราจะพูดเรื่องนี้ในกรอบของเซต (set) แล้ว วิทยาศาสตร์เป็นเพียงเซตย่อย (subset) ของเซตใหญ่ ที่เรียกว่าธรรมะนั่นเอง (24 January 2007, Dayvil)
ปริศนาคำพูดของอัลเบิร์ต ไอสไตล์ กล่าวถึงพระพุทธศาสนาก่อนเสียชีวิต ถึงแม้อัลเบิร์ต ไอสไตล์ ได้จากโลกนี้ไปโดยที่เขายังไม่สามารถค้นพบตำตอบตามที่เขากำลังต้องการก็ตาม แต่ไอสไตล์ได้ทิ้งคำพูดที่เป็นปริศนาที่สำคัญมากให้กับมนุษยชาติ ในช่วงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของเขา อัลเบิร์ตได้เริ่มสงสัยแล้วว่า พระพุทธศาสนา อาจจะเป็นศาสนาที่ให้คำตอบต่อคำถามที่เขากำลังพยายามค้นหา ในช่วง 1 ปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิตนั้น มหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน ได้ตีพิมพ์งานเขียนชิ้นหนึ่งของเขาชื่อเรื่อง The Human Side ซึ่งนักฟิสิกส์ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลผู้นี้ ได้กล่าวทิ้งท้ายให้เป็นปริศนาแห่งโลกอนาคตว่า
The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend a personal God and avoid dogmas and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things, natural and spiritual, as a meaningful unity. Buddhism answers this description. If there is any religion that would cope with modern scientific needs, it would be Buddhism.
(May 19th, 1939, Albert Einsteins speech on Science and Religion in Princeton, New Jersey, U.S.A.)
ศาสนาในอนาคต จะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน และควรจะเว้นคำสอนแบบสิทธันต์ (คือเป็นแบบสำเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว) และแบบเทววิทยา(คือพึ่งเทวดาเป็นหลักใหญ่) ศาสนานั้น เมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนสามัญสำนึกทางศาสนา ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ต่อสิ่งทั้งปวง คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวมที่มีความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้....ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุ บัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์ ชาวเยอรมัน ผู้เสนอทฤษฏีสัมพันธภาพ ศาสนาเดียวที่จะเหลืออยู่ในโลกอนาคต ก็คือ ศาสนาที่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการตามกฎของธรรมชาติ เหมือนกับที่ไอสน์ไตน์เขาพูดไว้ว่า
ศาสนาที่เหลืออยู่ในโลก ก็คือศาสนาที่สามารถเผชิญกับความต้องการของโลกแห่งยุคปัจจุบัน
แต่......กว่าจะถึงเวลานั้นเกรงว่า............โลกจะไม่เหลือผู้คนให้นับถือศาสนา
วิกฤติคุณธรรมกำลังกลายเป็นวิกฤติโลก !!!!
- สหรัฐฯ และรัสเซียมีหัวรบพร้อมใช้มากกว่า 26,000 หัวรบเก็บไว้ รวมถึงการเพิ่มสมรรถนะยูเรเนียมและพลูโตเนียม และข้อเสนอให้มีการทำลายนิวเคลียร์ทั่วโลกล้วนได้รับการปฏิเสธ
- หลายประเทศต่างกำลังพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกาหลีเหนือ,ปากีสถานและอิหร่าน
นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกได้ร่วมกันขยับ นาฬิกาโลกาวินาศ (Doomsday Clock)
ให้เหลือเพียง 5 นาที เพราะนอกจากปัญหาวิกฤตินิวเคลียร์แล้วเรายังต้องเผชิญกับปัญหาวิกฤติอื่นๆซึ่ง ร้ายแรงและสามารถทำลายโลกได้เช่นกัน เช่น
- วิกฤตปัญหาโลกร้อน
- เทคโนโลยีที่ทำให้เกิดมลพิษ
- การเติบโตของนาโนเทคโนโลยี
- ความก้าวหน้าทางด้านพันธุกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ
- สงครามศาสนาและการก่อการร้ายด้วยอาวุธชีวภาพ
ฮอว์กิงมาร่วมการขยับเข็มนาฬิกาที่จัดขึ้นในราชบัณฑิตยสมาคมอังกฤษ
สตีเฟน ฮอว์กิง (Stephen W. Hawking) นักฟิสิกดาราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์คนสำคัญของโลก มาร่วมพีธีการขยับเข็มนาฬิกาครั้งนี้ด้วย โดยให้สัมภาษณ์ผ่านเครื่องสังเคราะห์เสียงว่า แค่วิกฤติโลกร้อนก็ทำร้ายโลกไปมากกว่าครึ่ง ยิ่งกว่าการก่อการร้าย เพราะก่อการร้ายอาจจะฆ่าผู้คนได้ทีละร้อยละพัน แต่โลกร้อนทำลายได้เป็นล้านๆ ชีวิต พวกเราควรทำสงครามกับโลกร้อน มากกว่าสงครามกับผู้ก่อการร้าย
ผลกระทบโดยตรงจากภาวะโลกร้อน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าในรอบ ๔๐ ปี อุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นเพียง ๐.๖ หรือ ๑ องศาเซลเซียส ได้ส่งผลต่อระดับความรุนแรงของภัยธรรมชาติเพิ่มขึ้น ๔-๕ เท่าตัว
แต่...น่าแปลกไหมที่ประเทศมหาอำนาจ ต่างปฏิเสธ การกำจัดหรือลดจำนวนอาวุธนิวเคลียร์แม้กระทั่งสนธิสัญญาเกียวโต ว่าด้วยการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซอื่นๆที่จะทำให้โลกเกิดสภาวะเรือนกระจก ที่ญี่ปุ่นเป็นผู้ริเริ่ม ก็ถูกสหรัฐฉีกทิ้ง โดยให้เหตุผลว่า การเก็บภาษีคาร์บอนจะทำให้สร้างความเสียหายต่อสภาพเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมยืนกรานให้ประเทศที่ก่อมลพิษอย่างจีนและอินเดีย เห็นชอบในข้อตกลงนี้เสียก่อน ทั้งๆ ที่ตนเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซมากเป็นอันดับหนึ่ง......ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา
กรรมที่เป็นภัยพิบัตร้ายแรงอย่างเช่นพายุแคททาลีน่า
และภัยจากกลุ่มผู้ก่อการร้าย รวมทั้งกรรมที่ก่อร่วมกันทั้งโลก
กำลังจะแสดงผลภายในไม่ช้านี้
ติดอาวุธให้ธรรมะ เอาชนะด้วยคมธรรม
พิฆาตกรรม กระสุนธรรม ทะลวงใจ
รุกฆาตไป โดยระเบิดธรรม(ระบำเถิด)
ทำหมันการเกิด ดับความไม่รู้
เป็นยอดนักสู้ พลีชีพมาร ในหัวใจ.....กันเถอะนะ ^ ^
วิกฤติคุณธรรมกำลังกลายเป็นวิกฤติโลก ไม่ว่าวิกฤตินิวเคลียร์หรือวิกฤติไหนๆ ใครจะเป็นผู้ก่อก็ตาม แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะต้องได้รับผลกระทบด้วยกันทั้งโลก เรามาร่วมต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายและวิกฤติเหล่านี้ด้วยการก่อการดี ธรรมะเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องมือที่จะแก้ปัญหาที่มนุษย์ก่อขึ้นได้ทุก ทุกข์ปัญหา ติดเขี้ยวเล็บและอาวุธให้ธรรมะ แล้วพุทธานุภาพจะปรากฏ
ที่มา :
http://www.updiary.com/sub_story.php?&usr=dday&dt=2007-01-06&nav=next |
|
|
|
  |
 |
|
|
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่ คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลงคะแนน คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้ คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
|
| | |