Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 วิญญาณระทมทุกข์...ในรถคันนั้น อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 19 พ.ค.2007, 6:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

นาย ก.จอดรถไว้โดยไม่ล็อครถให้ดี
จึงโดนโขมย.....


นาย ก. รับทราบว่ารถหาย จึงเป็นทุกข์ขึ้น.....


วิญญาณจึงระทมทุกข์.....

พระพุทธเจ้าอธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างไร
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 19 พ.ค.2007, 6:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คำว่า"วิญญาณ"นี้ อย่าเพิ่ง ไปคิดถึง ผี ที่สิงในรถหลังเกิดอุบัติเหตุตายโหงอะไรน่ะครับ ยิ้มเห็นฟัน

วิญญาณนี้ คือ การรับรู้ผ่านทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
แต่รวมแล้ว ก็ลงมาที่ใจ
พระบาลีท่านเรียกว่า วิญญาณหก

พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ครับว่า
รับรู้อย่างไรแล้วเป็นทุกข์ และ
รับรู้อย่างไรแล้วไม่เป็นทุกข์

วิญญาณระทมทุกข์ก็คือ ว่ารับรู้แล้วเป็นทุกข์นั่นเอง ยิ้ม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 19 พ.ค.2007, 6:22 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คือว่า ได้มีโอกาสไปฟังท่านผู้รู้ท่านกล่าวไว้ในเรื่องนี้
เลยมาเล่าต่ออีกทีน่ะครับ


รถของฉันหาย ฉันจึงเป็นทุกข์....
สังเกตุดีๆ มีคำว่ารถ"ของฉัน"หาย....ฉันจึงทุกข์
ถ้ารถของใครก็ไม่รู้ที่เราไม่รู้จักหาย ฉันไม่ทุกข์
นี่ เรียกว่า รูปูปาทานนักขันโธ คือ ทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่นว่ารูปภายนอก(รถ)เป็น"ของฉัน"

ร่างกายของฉันป่วย ฉันจึงเป็นทุกข์.....
สังเกตุดีๆ มีคำว่าร่างกาย"ของฉัน"ป่วย....ฉันจึงทุกข์
ถ้าร่างกายของใครก็ไม่รู้ที่เราไม่รู้จักป่วย ฉันไม่ทุกข์
นี่ เรียกว่า รูปูปาทานนักขันโธ คือ ทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่นว่ารูปภายใน(ร่างกาย)เป็น"ของฉัน"

ฉันปวดท้อง ฉันจึงเป็นทุกข์
สังเกตุดีๆ มีคำว่า"ฉัน"ปวดท้อง หรือ มีการปวดท้อง(เวทนา)ที่เป็น"ของฉัน"....ฉันจึงทุกข์
ถ้าท้องของใครก็ไม่รู้ที่เราไม่รู้จักปวด ฉันไม่ทุกข์
นี่ เรียกว่า เวทนูปาทานนักขันโธ คือ ทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่นว่าเวทนาภายใน(การปวดท้อง)เป็นของฉัน

ลูกของฉันปวดท้อง ฉันจึงเป็นทุกข์
สังเกตุดีๆ มีคำว่าลูก"ของฉัน"ปวดท้อง หรือ มีการปวดท้อง(เวทนา)ที่เป็น"ของลูกฉัน"....ฉันจึงทุกข์
ถ้าท้องของใครก็ไม่รู้ที่เราไม่รู้จักปวด ฉันไม่ทุกข์
นี่ เรียกว่า เวทนูปาทานนักขันโธ คือ ทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่นว่าเวทนาภายนอก(การปวดท้อง)เป็นของลูกฉัน

สัญญา สังขาร วิญญาณ.... ก็เป็นในลักษณะเดียวกัน

คือ ยึดมั่น-ถือมั่น ว่า ขันธ์๕(ทั้งภายใน-ภายนอก) เป็น "เรา"หรือ"ของเรา"
นี่เรียกว่า อุปาทานขันธ์๕.... คือ ขันธ์๕ที่ยังมีอาสวะอันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน

มีพระพุทธวจนะที่ตรัสในลักษณะที่ว่า
อุปาทาน กับอุปาทานขันธ์๕ หาใช่สิ่งเดียวกันไม่..... แต่อุปาทานอื่นจะนอกจากอุปาทานขันธ์๕ก็หามีไม่
และ กล่าวโดยย่อ อุปาทานขันธ์๕เป็นทุกข์

คือ ตราบใด ที่ยังมีอุปาทานอยู่ .....ตราบนั้นทุกข์จะยังไม่ดับ

อุปาทานดับ ก็คือ จิตหลุดพ้น ไม่ยึดมั่นถือมั่นในรูปนามขันธ์๕ทั้งหลายว่าเป็นเรา หรือของเรา..... นั่นคือ ที่สุดแห่งทุกข์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 19 พ.ค.2007, 6:23 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ในพระสูตรที่ตรัสถึงปฏิจจสมุปบาท
กล่าวถึงว่าทุกข์เกิดอย่างไร(สมุทัยวาร)
และทุกข์ดับอย่างไร(นิโรธวาร)

พูดให้รวบรัดสุด คือ
เมื่อความไม่รู้ตามจริงในไตรลักษณ์ดับลง(อวิชชาดับ หรือ วิชชาเกิด) จิตจะไม่ปรุงแต่งไปในทางที่เกิดทุกข์(เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ)......
เมื่อจิตไม่ปรุงแต่งไปในทางที่จะเกิดทุกข์(สังขารดับ) จิตจะรับรู้โดยไม่ไปสู่ความทุกข์(ตรงกับที่ว่า สังขารดับ วิญญาณจึงดับ)
และจะไม่ไปสู่ขั้นตอนของการยึดมั่นถือมั่นในรูปนามขันธ์๕(ไม่เกิดอุปาทาน)ใน ที่สุด......

ขั้นตอนเหล่านี้มันผ่านมาทาง อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สาฬยตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน .....

เมื่อมีอุปาทาน ก็จะมีอุปาทานขันธ์๕ คือ ยึดมั่นถือมั่นว่าขันธ์๕เป็นเรา-ของเรา....
และนี่คือ การเกิดของทุกข์

เวลาถ้าจะยุติวงจรของทุกข์นี้ จิตต้องมีสติ.... เมื่อมีสติ จิตก็จะเกิดสมาธิ และปัญญา ตามมา
เมื่อเกิดปัญญา รู้เห็นตามเป็นจริงแล้ว วงจรทุกข์ก็จะดับลง
นี่คือ ทฤษฎี ในการดับทุกข์

แต่เวลาจะปฏิบัติ ต้องใช้ มหาสติปัฏฐานสูตรเป็นแนวปฏิบัติ


มหาสติปัฏฐานสูตร กล่าวลงในรายละเอียดมากที่สุดแล้ว ว่าจะปฏิบัติเช่นไร จึงจะล่วงโศกไปได้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
thada
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 28 พ.ค. 2006
ตอบ: 1

ตอบตอบเมื่อ: 22 พ.ค.2007, 10:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปรบมือ

ขอบคุณมากครับ ได้อาศัยทั้งโจทย์ และคำตอบมาเตือนตนเอง

ว่าแต่ท่านที่ตอบทำไมจึงเป็น "บัวใต้น้ำ" ครับ เศร้า

ผมว่าน่าจะบานตั้งนานแล้ว ปรบมือ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 22 พ.ค.2007, 10:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

thada พิมพ์ว่า:
ปรบมือ

ขอบคุณมากครับ ได้อาศัยทั้งโจทย์ และคำตอบมาเตือนตนเอง

ว่าแต่ท่านที่ตอบทำไมจึงเป็น "บัวใต้น้ำ" ครับ เศร้า

ผมว่าน่าจะบานตั้งนานแล้ว ปรบมือ


ผมมันประเภท "บัวเต่าถุย" ยิ้มเห็นฟัน

ขนาดเต่ามันหลงกินเข้าไป แล้วรีบถุยออกมาแทบไม่ทัน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง