Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ความเหมือนที่แตกต่าง
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
เศษพุทธทาส
บัวใต้น้ำ
เข้าร่วม: 08 เม.ย. 2007
ตอบ: 121
ตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2007, 2:29 pm
ในขณะที่คนกลุ่มหนึ่งในโลก มีความมั่งคั่ง และบริโภคนิยมกันอย่างเต็มที่ หากมองที่เหรียญอีกด้านหนึ่ง อีกมุมโลก ก็อดอยากแร้นแค้นเต็มที่เช่นเดียวกัน เพราะการเน้นบริโภคในปัจจุบัน จะก่อปัญหาอีกมากมายในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน ทุกวันนี้ โลกเราผลิตทรัพยากรได้ 1 ส่วน แต่เราบริโภค 3 ส่วน นี่คืออัตราที่น่ากลัวมาก ในอัตราส่วนนี้ ประเทศที่เน้นบริโภคนิยม จะต้องไปหาทรัพยากรจากต่างประเทศ เพื่อมาเลี้ยงการบริโภคของคนในประเทศตน ซึ่งมักเกิดจากการเบียดเบียนทรัพยากร ของชาติอื่น ดังที่คุณจะเห็นตัวอย่างได้อย่างชัดเจนได้ในปัจจุบันนี้
ซึ่งตรงกับแนวคิด เศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวงซึ่ง ลึกซึ้งมาก และมองถึงอนาคตของโลกอย่างแท้จริง เพราะถ้าเราไม่รู้จักพอเพียง และเน้นบริโภคแบบทุนนิยมสุดโต่งแบบนี้ ดี แต่ดีเดี๋ยวเดียว ก็ล่ม เหมือนตึกที่สูงแต่ไม่มีเสาเข็ม เพราะรากฐานจริงๆแล้วมันอยู่ได้ไม่นาน เพราะต้องเบียดเบียนคนอื่นตลอดเวลา เราอาจสบาย แต่ลูกหลานเราจะอยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีเหลือพอให้อยู่ และก็ต้องแก่งแย่ง เบียดเบียนกัน ซักวันต้องมีสงครามแน่นอน หากประเทศไทยรู้จักพอ นั่นแหละความสุขที่แท้จริง ระยะยาว เป็นความสุขแบบยั่งยืน ไม่ใช่ฟู่ฟ่า แต่เดี๋ยวก็ล่ม เหมือนฟองสบู่เมื่อก่อน เรื่องนี้อาจเข้าใจยากสักหน่อย แต่หากมองยาวๆ แล้วจะเข้าใจ ตรงกับหลักพุทธคือ ความสุขแบบยั่งยืน คือทางสายกลาง ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป ไม่บ้ารวยเบียดเบียน โกงคนอื่นมากไป และก็ไม่ทำอะไรเลย จนไม่มีอะไรจะกิน ทางสายกลาง มีกินมีใช้ ขยันหน่อยก็รวยหน่อย ไม่ได้ห้ามรวย ไม่ได้ห้ามหรู แต่รวยตามอัตรภาพ และไม่เบียดเบียนคนอื่น
เศรษฐกิจพอเพียง แท้จริงแล้ว แปลเป็นอังกฤษว่า Sufficient Economy ไม่ใช่ Enough Economy (ซึ่งหลายคนเข้าใจผิด) ซึ่งอาจแปลอีกอย่างว่า พอเพียงเพราะสมดุล ไม่ได้แปลว่า พอแล้วไม่เอาอีกแล้ว แต่สมดุลย์แบบพอเพียง คือมากกว่านี้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรมากมาย น้อยกว่านี้ก็ไม่ดี Sufficient คือ พอดี แบบสมดุลย์ คือดีที่สุด และระบบนี้เสถียรที่สุด เครื่องจักรหากเราเร่งมากไป ก็ร้อน ใช้ได้ไม่นาน หากไม่ใช้เลยก็ไม่ดี หากจะให้ดีต้องวิ่งที่จุด สมดุลย์ นั่นแหละดีที่สุด ตอนนี้ ฝรั่งเอง ก็เข้าใจเรื่องนี้เช่นเดียวกัน หากมองอนาคตแล้ว ไม่มีอะไรดีไปกว่า Sufficient Economy เลยจริงๆ เพราะประเทศที่มี GDP สูงๆ แทนที่จะมีความสุขมาก กลับเป็นประเทศที่มีปัญหามาก ประเทศที่มีความสุขมาก กลับเป็นประเทศที่มีคุณภาพชีวิตสูงมากกว่า เน้นที่เงินและการบริโภค ผมอยากบอกว่า ผมภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนไทย และมีในหลวงซึ่งทรงมีพระอัจฉริยะภาพสูงส่งยิ่งครับ
เรามีในหลวงเรายังขนาดนี้ ถ้าไม่มีจะขนาดไหน เราลองดูพวกคนที่อยู่ในแทบอัฟริกากันสิครับ พวกเรามีเตียงนอนอันแสนนุ่ม นอนเตียงคนหรือสองคน มีห้องส่วนตัวอยู่กัน หาของมาตกแต่งห้องกันจนเลิศหรูอย่างสุขใจ แต่พวกเขานอนกันกลางดิน หรือถ้ามีห้องก็นอนเบียดอัดเรียงกัน ผู้ใหญ่ไม่เท่าไร แต่เด็กนี่สิ เด็กตัวเล็กๆน่ะครับ อย่าว่าแต่ฟูกเลยครับ ผ้าปูพื้นสักพื้นก็ไม่มี พวกเขาไม่ต้องการอากาศหายใจหรอครับ แล้วเด็กๆเหล่านั้นพวกเขาไม่ปวดหลังกันหรอ?
เรามีห้องเรียนที่ได้มาตรฐาน กันแดด กันฝนได้ มีโตะ เก้าอี้ครบ อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆพร้อมทุกอย่าง มีพัดลม และหลายที่ก็ติดแอร์กันเลย แถมมีคุณครูที่หลายคนจบมาจากที่ดีๆอีก แต่พวกเขาต้องเรียนตากแดดตากฝน ไม่มีห้อง จะมีก็แต่เพียงซากอิฐเก่าๆที่พอจะดูเป็นห้องบ้างนิดหน่อยก็เท่านั้น บางคนก็นั่งลงบนดิน บางคนก็นั่งอยู่บนขอบกำแพง หนังสือเรียนก็ไม่มี สมุดหรือครับ พื้นทรายไง ดินสอล่ะ ก็นิ้วนั้นแหละ ยางลบล่ะ ก็มืออีก แล้วคุณครูของเขาก็จบมาจากที่ที่พวกเขากำลังสอนเด็กเหล่านั้นอยู่นั้นไง แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ ไม่เบื่อการเรียนกันบ้างหรอครับ?
เรามีอาหารกินอย่างเพรียบพร้อมบริบูรณ์ มีคุณค่า มีคุณภาพตามที่ร่างกายต้องการ จะกินตอนไหนก็ได้ จะเลือกกินอะไรก็ได้ มีร้านอาหารมากมาย บางที่ก็สั่งโต๊ะจองล่วงหน้าได้ มีโต๊ะนั่งกินกันอย่างสำราญ แต่พวกเขามีเพียงเศษอาหาร หรือนานๆจะมีคนเอามาบริจาคซักที ก็ต้องต่อแถวเรียงคิวกันยาวเยียด บางคนก็ต้องอุ้มลูกยืนนานๆกว่าจะได้ ในสภาพบรรยากาศที่ร้อนระอุ ได้มาแล้วก้มานั่งกินกันกลางดินอีก ไม่เมื้อยไม่ร้อนกันบางหรอครับ?
พวกเรามีเสื้อผ้าอาภรณ์หลากหลายรูปแบบมากมายยี่หอให้ได้มาอวดโฉมกัน ให้ได้ใส่ได้ใช้ได้ซื้อกันอย่างสบายใจ มีน้ำยาผงซักฟอกใช้กัน มีน้ำดื่มกินใช้กันอย่างครบครัน มีเครื่องดื่มบำรุงบำเรออีกเพียบ ทั้งโค้กเอย เป๊ปซี่เอย เบียร์เอย เหล้าเอย แถมน้ำยังเหลือใช้อีกแนะ เอาไปทำเป็นสระว่ายน้ำกันซะก็เยอะแยะ เอามาฉีดเล่นกันวันสงกรานย์กันอย่างสนุกสนานตามประสาเด็กผู้ใหญ่ แต่พวกเขามีเพียงเสื้อกางเกงเก่าๆ ไม่สิ แค่มีผ้ามาคลุมเป้าก็บุญแล้ว เด็กหลายคนก็แก้ผ้า รองเท้าก็ไม่มี แล้วพวกเขาจะเอาน้ำที่ไหนซักผ้ากัน น้ำจะกินยังหายากเลย พวกเขาไม่คันกันบ้างหรอไม่หิวน้ำกันหรอครับ?
เด็กของเราร่างกายสมบูรณ์พูลสุข หน้าตาผ่องใส เครื่องสำอาง เครื่องใช่ส่วนตัวมีเยอะแยะไปหมด แต่เด็กของเขาหลายคนอายุปะมาณ ๕-๖ ขวบมีความหนาของร่างกายเพียงแค่หนึ่งไม่บรรทัด ๑๒ ซ.ม เท่านั้นเอง ร่างกายผอมบาง ผิวดำสนิด พวกเขาโตขึ้นจะมีแรงหรอครับ ?แล้วพวกเขาไม่ต้องใช้สบู่ ยาสีฝัน แปรงสีฟันกันหรอครับ?
เด็กของเรามีของเล่นฝึกทักษะกัน มีคอมฯไว้หาความรู้เพิ่มเติมกัน มีหนังเอย วีดีโอเกมส์เอยไว้ผ่อนคลายกัน แต่พวกเขามีเพียงธรรมชาติ แล้วธรรมชาติของพวกเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่าเราเลย กลับแย่กว่าเราด้วยซ้ำ เด็กหลายคนเล่นหัวกะโหลกคนกัน ทำไม ก็ไม่มีอย่างอื่นแล้วมันก็เป็นของเล่นชิ้นเดียวในชีวิตของเขาเลยนี่ครับ (ทั้งหมดนี้ผมเห็นมากับตาสองข้างเลย ผมเห็นแล้วรู้สึกสงสารเป็นอย่างมาก จะกำหนดจิตปล่อยวาง รู้ปัจจุบันขณะ มันก็จะเห็นแก่ตัวไปหรือเปล่า ยังไงผมก็ยังเป้นปุถุชนอยู่)
ที่ผมเป็นห่วงคือเด็กทารกที่เกิดมา พวกเขาควรจะได้รับการดูแลเลี้ยงดูที่เหมาะสมพอที่จะทำให้พวกเขาเติบดตขึ้นมาอย่างแข้งแรง เหมือนเด็กทารกทั่วๆไปที่เกิดมาไม่ใช้หรือ?(เฉพาะตอนเป็นทารกเท่านั้น โตขึ้นแบบของเราล้วนแต่เกินความจำเป็นทั้งนั้น) ได้รับการศึกษาที่ถูกต้องและดีเมื่อโตขึ้น ไม่ได้หรือ? แล้วอย่างนี้อะไรและใครละครับ จะมาช่วยพวกเขาให้หลุดพ้นจากวิกฤตินี้ไปได้?
ผมว่าถ้าคนพวกนี้ได้รับการศึกษาอย่างถูกต้อง ตามแบบความพอเพียงของในหลวง แทรกธรรมะทางอ้อมเข้าไปหน่อย ไม่ใช้ทุนนิยม ให้การศึกษาแบบชนิดที่เรียกว่าไม่ฆ่ากัน ปรับสภาพความเป็นอยู่ของเขา สภาพแวดล้อมต่างๆ ให้อยู่บนฐานของความพอเพียง ไม่อยู่บนฐานของทุนนิยมกฏเกณฑ์กติกาอันสลับซับซ้อน ที่ได้ยาก ราบรื่นยาก และคงทนยากละก็ ประเทศของพวกเขาคงเป็นประเทศที่น่าอยู่มากแน่ๆ ถ้าไม่มีมารเห็นแก่ตัวมาขัดขวางซะก่อน
พอมาดูพวกเราที่มีเพรียบพร้อมทุกอย่าง (ในวิถีไปสู่ทางแห่งความพอเพียง) แต่พวกเราก็ยังเป็นคนดีกันไม่ได้ ยังวิ่งแสวงหากันอย่างไม่มีทีท่าว่าสิ้นสุด สร้างปัญหากันไม่เว้นแต่ะวัน อยู่กันอย่างไม่เป็นสุข มีแต่ความหวาดกลัว หลากหลายรูปแบบความกลัวที่พวกเราจะกลัวได้ ทั้งกลัวการสูญเสีย กลัวการผิดวาดคาดหวัง กลัวการไม่ยอมรับ กลัวเสียนู้นกลัวเสียนี้ เมื่อมีแต่ความกลัวประเทศก็จะมีแต่ความอึมครึมมืดบอดบิดเบือน อันจำกัดคับแขบ และภายใต้อิทธิพลของความกลัว การกระทำส่วนใหญ่ก็มักจะนำมาซึ่งความเห็นแก่ตัว อิจฉาริษยาอยู่แล้วละครับ มันน่าอายเขาไหม? ทั้งๆที่เราก็ไม่ใช้คนไร้การศึกษา หรือเราเป็นคนมีการศึกษา แต่ไร้การศึกษา? ไปคิดดูกันนะครับ
ประเทศของเราพร้อมทุกอย่าง มีศิลปะวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า แต่ปัญหามีได้ทุกวัน อยู่กันอย่างไม่ค่อยจะสงบสุข มีเรื่องให้คิดอยู่ตลอดเวลา แต่ประเทศของเขาแทบจะไม่มีอะไรเลย แต่ปัญหาก็ไม่ค่อยมี กลับทำให้พวกเขารู้รักสามัคียิ่งขึ้นไปอีก อาหารที่เพียงน้อยนิดก็ยังรู้จักแบ่งให้กันได้
แต่เรายิ่งมีเท่าไรก็ยิ่งหวงมากขึ้นเท่านั้นเช่น รักคนคนนี้มาก ก็ยิ่งหวงมาก เป็นต้น มันน่าหัวร่อซะจริงๆ แล้วคนพวกนี้มีความอดทนสูงมาก ในสภาพแบบนั้นถ้าเป็นพวกเราจะอยู่ได้กี่น้ำ ผมว่าไม่ได้นานหรอก เพราะขนาดเราอยู่ในสภาพแบบนี้ เรายังอดทนอะไรกันไม่ค่อยจะได้เลย ผิดหวังอะไรหน่อยก็ฆ่าตัวตาย ผิดหวังอะไรหน่อยก็นอนซมอยู่หลายวัน ถูกนินทานิดนินทาหน่อยก็ร้อนลุ่มอยู่หลายชั่วโมงหลายวัน หลายชาติเลยก็มี ไม่มีเงินใช้ก็ทุรนทุรายต้องหามาสนองความต้องการของตัวเองให้ได้ น่าอายจริงๆ ผมว่าคนเหล่านี้เด็กเหล่านั้นยังน่ายกมือไหว้น่ายกย่องน่าทำรูปปั้นไว้เคารพยิ่งกว่าพวกผู้ใหญ่ของเราหลายคนเสียด้วยซ้ำ เพราะพวกเขามีความอดทนต่อกิเลสสูงมาก ตั้งกี่อย่างพวกคุณก็ลองคิดดูเอาเอง ซึ่งพระพุทธเจ้าเราก็ยกย่องอยู่แล้วสำหรับบุคคลที่มีความอดทนเป็นเลิศ แล้วเราจะไมยกย่องไม่ช่วยเหลือกันบ้างเลยหรือ แต่กลับไปยกย่องใครก็ไม่รู้ที่กิเลสหนาเตอะไปหมด
ประเทศชาติมันจะสุขสงบสันติได้อย่างไร? ในเมื่อเรายังสาระวนอยู่ว่าคนไหนดี คนไหนชั่ว กลายเป็นคนใช้ชีวิตไปวันๆอย่างไร้คุณค่าทางจิตใจ
ผมเข้าใจครับว่า ทุกอย่าง มีดีในเสีย มีเสียในดี ไม่มีอะไรดีเสมอไป ไม่มีอะไรเลวร้ายเสมอไป ทุกอย่างหมุนวนเปลี่ยนแปลงจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งแล้วกลับมาที่จุดเดิมอีกถึงเวลาก็หมุนไปอีกอยู่อย่างนี้ โดยมีกรรมเป้นตัวกำหนด แต่ไม่แน่ใจครับว่ามันใช้จริงหรือเปล่า เพราะผมดูแล้วมันน่าจะเป้นเพราะความอ่อนด้อยง้อยเปลี้ยอันไร้พลังของจิตใจของเรากันแน่ ก็เขาใจว่าเราเป็นปุถุชน แต่ทำไม? ไม่หาเวลาให้จิตใจได้สงบบ้าง มั่วแต่วิ่งไปตามโลกอยู่แบบนี้ โลกที่ทุกคนเกิดมาด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน เรียนด้วยกัน รักกัน มีลูกด้วยกัน ทำงานด้วยกัน ลำบากด้วยกัน เจ็บด้วยกัน สุดท้ายก็ตายจากกัน เป้นธรรมดาสามัญอย่างนี้ เมื่อไรจะสุขละครัย เพื่อเป็นการสะสมความสงบไว้จนเป็นนิสัย ชาติหนึ่งชาติใดอาจจะเจอสันติจริงๆก็ได้
อย่าว่าแต่อัฟริกาเลยครับ หลายประเทศก็ประสบเคราะห์กรรมแบบเดียวกัน แต่พวกเขาก็ยังรอครับ รอสิ่งหนึ่งที่พวกเราทุกคนต่างก็มี นั้นคือความหวัง มันมีจริงหรือเปล่า? หรือมันมีจริงแต่เป้นความหวังชนิดที่ทุกคนต่างหวังเพื่อตัวเองทั้งนนั้น แล้วอย่างนี้ ความหวังชนิดที่หวังเพื่อคนอื่นจะมีเหรอครับ พวกเขารอความหวังแบบนี้อยู่ จะมีใครบ้างหนอที่มี?
นี่แหละครับความเหมือนที่แตกต่าง หรือ คนละเรื่องเดียงกันของจริงเลย
แล้วถ้าเป็นพวกเราจะทำอย่างไรกันดี ถ้าเราเป็นผู้บริหารประเทศที่ห้อมล้อมไปด้วยสิ่งยั่วยวน เราก็คงตกอยู่ในสภาพแบบเดียวกับเขา แบบนี้เราก็โทษเขาไม่ได้อยู่ดีนั้นแหละครับ เพราะกรรมมันเป้นตัวกำหนดมาหมดแล้ว โทษใครไม่ได้นอกจากกรรม หรือใครมีความเห็นอย่างไรบ้างก็ช่วยแสดงหน่อยครับ
_________________
ทำวันนี้ให้ดีและต้องรู้ไว้ว่า ทำดีเพื่อดี ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ อุปสรรคไม่มี บารมีไม่เกิด
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2007, 2:55 pm
เพราะกรรมมันเป้นตัวกำหนดมาหมดแล้ว โทษใครไม่ได้นอกจากกรรม หรือใครมีความเห็นอย่างไรบ้างก็ช่วยแสดงหน่อยครับ
-
"กรรม" ที่กล่าวถึงนี้ แค่ไหนเพียงใด
กรรมมันเป็นตัวกำหนดมาหมดแล้ว โทษใครไม่ได้นอกจากกรรม
ที่ว่า กรรมมันเป็นตัวกำหนดมาหมดแล้ว (ทำอะไรไม่ได้ โทษใครก็ไม่ได้ โทษกรรม)
-ถ้าอย่างนั้น ก็ปล่อยไปตามยถากรรม หรืออย่างไร ..
คุณเศษพุทธทาส ช่วยอธิบายขยายความคำพูดดังกล่าวนั้น ให้กระจ่างทีเถิด
โคมา
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2007, 3:38 pm
กรรม
ที่1 คือกรรมเก่า
ที่2 คือกรรมที่จะสร้างใหม่ ที่จะเป็นตัวกำหนดชีวิตในปัจจุบัน
เพราะฉะนั้นชีวิตคงไม่เป็นไปตามยถากรรม
กิเลส ตัณหา อุปทานนำพาผู้คนเข้าสู่วังวนแห่งบ่วงบาศก์ไม่สิ้นสุด
โลก-จักรวาล-ดวงดาว คือสนามพลังงาน
สังคมมนุษย์ คือสนามแห่งความทะยานอยาก
เศษพุทธทาส
บัวใต้น้ำ
เข้าร่วม: 08 เม.ย. 2007
ตอบ: 121
ตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2007, 4:05 pm
ก็นั้นนะสิครับ เราจะปล่อยไปตามยถากรรมหรืออย่างไร ถ้าทุกคนคิดแบบนี้กันหมดว่าอะไรก็กรรม อะไรก็กรรม แบบนี้มันก็แย่เพราะรั้งแต่จะทำให้เราหมดกำลังใจ ไม่คิดจะทำอะไรให้มันดีขึ้น
แต่การที่เราว่ามันเป็นเพรากรรมนั้นก็เพราะจะทำให้เรารู้แล้วเข้าใจว่ามันเป้นอย่างนี้ เหตุผลของชีวิตเรา เมื่อเรารู้แล้วเราก็ควรปล่อยมัน ไม่ไปยึดมันจนคิดมาก แล้วหาโอกาสทำความดี เพื่อเป็นแรงหนุนให้เกิดเหตุเเห่งกรรมที่ดีได้ต่อไป แบบนี้ไหมครับ ถ้าพวกเขาคิดกันแบบนี้ก็น่าจะเป็นทางออกได้ แล้วไม่ต้องไปโทษกรรมที่ไหน ให้ช้ำใจ
แล้วคุณละครับว่าไง
ขอบคุณที่เตือนเข้ามาครับ
_________________
ทำวันนี้ให้ดีและต้องรู้ไว้ว่า ทำดีเพื่อดี ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ อุปสรรคไม่มี บารมีไม่เกิด
หมูนัส
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 11 เม.ย.2007, 12:29 pm
เรียนถาม ท่านเศษพุทธทาส สิ่งที่ท่านกล่าวมาทั้งหมดนั้น อ้างอิงจากที่ไรเล่า
ไม่มีที่มาบอกเลย ใคร่สงสัยอยากรู้ หรือหากแต่เป็นความคิดท่านเองทั้งหมด ช่วยไขข้อสงสัยที
ขอบคุณที่สนทนากัน
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 11 เม.ย.2007, 7:22 pm
ความรุ่งโรจน์ หรือ รุ่งริ่ง ของ รัฐ นั้น ขึ้นอยู่ว่า ผู้ปกครองของรัฐนั้นเป็นคนอย่างไร ประชาชนของรัฐนั้นเป็นคนอย่างไร แม้ค่าเงินของประเทศตนจะอ่อนกว่าประเทศอื่น แต่เกี่ยวอะไรกับ อาหารอิ่มใส่ท้อง ปัจจัย 4 ที่ดีพอสมควร คนในสมัยโบราณยุคไม่มีน้ำไม่มีไฟเขาก็ยังมีปัจจัย 4 ที่ดีเลยครับ ชีวิตการเป็นอยู่ของพวกเขาดีเป็นเพราะ ชนชั้นปกครองเขาดี ประชาชนจึงมีความสุข
เศษพุทธทาส
บัวใต้น้ำ
เข้าร่วม: 08 เม.ย. 2007
ตอบ: 121
ตอบเมื่อ: 12 เม.ย.2007, 5:10 pm
เห็นมากับตาสองข้างเลยครับ ในสารคดี ผมเห็นแล้วดูแล้วนึกถึงพวกเรา ก็อยากแบ่งปันความรู้สึกกันบ้างนะครับ ผมเอาไปแจกเพื่อนนักศึกษาที่สนิทให้เขาลองอ่าน ก็เลยลองเอามาใส่ในเว็บนี้ดูบ้างนะครับ พวกเขาอ่านกันก็ไม่ค่อยมีใครสงสัยอะไรเท่าไร
ผมก็เลยลองเอามาให้ท่านผู้รู้ในธรรมทั้งหลายลองพิจารณาดูนะครับ
_________________
ทำวันนี้ให้ดีและต้องรู้ไว้ว่า ทำดีเพื่อดี ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ อุปสรรคไม่มี บารมีไม่เกิด
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th