|  | 
        
          |  |  |  |  
| 
| ผู้ตั้ง | ข้อความ |  
| โอ่ ผู้เยี่ยมชม
 
 
 
 
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
11 ม.ค. 2005, 6:25 am |   |  
| คำว่าวิจิกิจฉาหรือความลังเลสงสัยนี้  อย่างไรจึงเรียกว่าเป็นความลังเลสงสัย
 
 
 
 อย่างไรที่ไม่มีความเป็นวิจิกิจฉา  ความสงสัยจะมีหรือไม่มีต่อเรื่องต่างมาก
 
 
 
 น้อยเท่าใด  เช่นเรื่องของผลกรรมตามคำสอน  เรื่องชาติหน้ามีจริงหรือไม่
 
 
 
 เรื่องนรกสวรรค์  เรื่องผีสาง เทวดา คือโอปาติกะทั้งหลายว่ามีจริงหรือไม่
 
 
 
 ความเชื่อเหล่านี้ถ้ามีลังเลสักเล็กน้อยเป็นความสงสัยหรือไม่
 
 
 
 เช่นสงสัยว่าผีที่คนว่าอยู่ตามที่ต่างๆนั้นไม่น่าจะมี  แต่เชื่อว่าเทวดาน่าจะมี
 
 
 
 สัคว์นรกน่าจะมี  คือเชื่อผลของกรรมอยู่   แต่เมื่อป่วยเช่นเป็นโรคร้ายแรง
 
 
 
 อาจไปติดต่อมาเช่นเอดส์  หรือเป็นมะเร็ง ก็คิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญเพราะไป
 
 
 
 เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น  ถ้าระวังก็ไม่เป็น  ส่วนการเป็นมะเร็งก็นึกว่าเราได้
 
 
 
 รับสารพิษจากสิ่งแวดล้อม จากการกินการได้รับพิษโดยวิธีต่างๆ  ทำให้สุขภาพ
 
 
 
 แย่คือป่วย  ไม่ได้เกิดจากกรรม แต่เราไม่ป้องกัน  ความคิดไม่เชื่อกรรมเก่า
 
 
 
 ที่ทำชั่วไว้  แต่บางคนก็บอกว่าเชื่อเรื่องกรรมคือการกระทำว่าเพราะไป
 
 
 
 สัมพันธ์กับคนเป็นโรคว่านั่นเป็นการทำกรรมอีก  จึงได้รับกรรม อันเป็นการ
 
 
 
 เข้าใจหลักกรรมบิดเบือนไปอีก แบบนี้เป็นความสังสัยลังเลหรือไม่
 
 
 
 ในเรื่องไม่เชื่อเรื่องผี  แต่อ้างว่าเชื่อหลักธรรมะ  แต่เรื่องผีก็เป็นเรื่องของ
 
 
 
 โอปปาติกะซึ่งก็เป็นหลักธรรมที่สอนเรื่องเช่นนี้ไว้มาก  รวมทั้งเรื่องเทวดาอยู่
 
 
 
 อาศัยตามต้นไม้  ถ้าไม่เชื่อเรื่องเช่นนี้  จะเข้าข่ายไม่เชื่อพระธรรมไหม
 
 
 
 เพราะนี่ก็เป็นหลักธรรมที่สอนว่า  ก็น่าจะเป็นการสงสัยต่อพระธรรมได้
 
 
 
 เหมือนกัน   แม้ว่าพระธรรมอื่นๆไม่สงสัย  แต่ก็เป็นการเลือกเชื่อในพระ
 
 
 
 ธรรมได้หรือไม่?
 
 
 
 ในอดีตคนสมัยก่อนอาจมีพื้นฐานที่ดีในเรื่องของโลกหน้า   เรื่องบุญบาป
 
 
 
 เรื่องภูต  เขาอาจไม่สงสัยอยู่เป็นทุนเดิม เมื่อได้ฟังพระธรรมก็ศรัทธา  เช่น
 
 
 
 ศรัทธาเรื่องทำดี  และอาจตัดเรื่องทั้งหลายที่ยังไม่สามารถเชื่อได้ออกไปจาก
 
 
 
 ใจ   ไม่นำมาคิด เห็นว่าไม่สำคัญที่จะต้องไปคิดเลย  ไม่ต้องไปนึกว่าเชื่อหรือ
 
 
 
 ไม่เชื่อ  ไม่ต้องไปเสียเวลาให้รกสมอง  เพราะว่าไม่สำคัญอะไร    แต่เห็นว่า
 
 
 
 สาระแก่นสารของธรรมนั้นสำคัญ  เพราะเขาเห็นทุกข์ในปัจจุบันว่าต้องกำ
 
 
 
 จัดออกไป  เพราะเห็นว่าทุกข์นั้นมีอยู่จริง  ก็ไม่เป็นวิจิกิจฉาใช่หรือไม่
 |  
          |  |  
|  |  |  
|  |  
|  |  
| ลุงสุชาติ บัวพ้นดิน
 
  
  
 เข้าร่วม: 10 มิ.ย. 2004
 ตอบ: 65
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
11 ม.ค. 2005, 4:39 pm |   |  
| วิจิกิจฉา หมายถึง การลังเลสงสัยในคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในทางตรงข้ามคือ การเชื่อมั่น หรือ ศรัทธาในคำสอนของพระบรมศาสดา
 
 ศรัทธา จัดเป็นอินทรีย์หนึ่งในห้า (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา)
 
 อินทรีย์ห้าดังกล่าวอุปมาได้ดังนี้ ศรัทธาเปรียบได้แก่ กำลังเครื่องยนต์ วิริยะเปรียบเหมือนกับส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของรถยนต์ อาทิ ยางรถยนต์ สติ เปรียบเหมือนกับเครื่องอุปกรณ์ประกอบที่บังคับไม่ให้รถวิ่งออกนอกเส้นทางอาทิ เบรกรถยนต์ สมาธิ เปรียบหมือนกับเครื่องอุปกรณ์ประกอบที่บังคับควบคุมการเคลื่อนที่ของรถให้ไปตามเส้นทาง และให้รถเคลื่อนที่อย่างมีสมดุลย์ ไม่โคลงเคลง ได้แก่พวงมาลัย และปัญญา เปรียบเหมือนแผนที่ที่บอกให้คนขับทราบว่า ควรจะวิ่งเส้นทางใหนถึงจะสะดวกรวดเร็ว ถ้าเครื่องอุปกรณ์ส่วนประกอบรถยนต์ดังกล่าวมีกำลัง หรือ พละ มีประสิทธิภาพดี มีความสมดุลย์
 |  
          |  |  
|  |  |  
|   |  
|  |  
| โอ่ ผู้เยี่ยมชม
 
 
 
 
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
11 ม.ค. 2005, 8:58 pm |   |  
| ลุงสุชาติครับขอถามเพิ่มเติมดังนี้
 
 1.วิจิกิจฉา ในนิวรณ์ห้ากับวิจิกิจฉาในสังโยชน์สิบ ต่างหรือเหมือนกันครับ
 
 
 
 2.ธรรมที่ปราบวิจิกิจฉาในนิวรณ์ห้าคือธรรมอะไร  เป็นศรัทธินทรีย์หรือครับ?
 
 
 
 ขอสองข้อพอครับ ขอบพระคุณมา ณ ล่วงหน้า
 |  
          |  |  
|  |  |  
|  |  
|  |  
| ลุงสุชาติ บัวพ้นดิน
 
  
  
 เข้าร่วม: 10 มิ.ย. 2004
 ตอบ: 65
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
12 ม.ค. 2005, 4:49 pm |   |  
| ๑.วิจิกิจฉาในนิวรณ์ ๕ เป็นระดับโลกิยะ ส่วนวิกิจฉาในสังโยชน์ ๑๐ เป็นระดับโลกุตตระ
 
 ๒. ตามความเข้าใจของลุงเห็นว่า นอกจากศรัทธาแล้ว จะต้องมีปัญญาด้วย
 |  
          |  |  
|  |  |  
|   |  
|  |  
| โอ่ ผู้เยี่ยมชม
 
 
 
 
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
12 ม.ค. 2005, 5:18 pm |   |  
| พอจะแยกธรรมที่เป็นคูปรับกัน  ออกมาแต่ละอย่าง  ระหว่างอินทรีย์ห้ากับนิวรณ์ห้า
 
 
 
 เช่นศรัทธา ปราบวิจิกิจฉา  ผมอยากรู้ ปัญญา สติ สมาธิ  ความเพียร ว่าแต่ละอย่างปราบนิวรณ์อะไรบ้าง?
 
 
 
 ไม่ทราบผมเข้าใจเช่นนี้พอถูกต้องไหมครับ?
 |  
          |  |  
|  |  |  
|  |  
|  |  
| เกียรติ ผู้เยี่ยมชม
 
 
 
 
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
12 ม.ค. 2005, 5:51 pm |   |  
| เรื่องนี้ ผมก็เคยคิดเหมือนคุณโอ่เลยนะครับ
 
 ศรัทธา ไว้ขจัด ความลังเลสังสัย อันนี้ก็ลงตัวอยู่แล้ว
 
 สติ ไว้ขจัด ความฟุ่งซ่านรำคาญใจ อันนี้ก็น่าจะได้
 
 ความเพียร ไว้ขจัด ความหดหู่เซื่องซึม อันนี้ก็น่าจะพอได้
 
 สมาธิ,ปัญญา ไว้ขจัด กามราคะ,พยาบาท? ไม่รู้เหมือนกัน
 |  
          |  |  
|  |  |  
|  |  
|  |  
| โอ่ ผู้เยี่ยมชม
 
 
 
 
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
12 ม.ค. 2005, 9:33 pm |   |  
| เวลาเจริญภาวนา ใช้เมตตาปราบพยาบาท  ใช้อสุภปราบราคะ  แสงสว่างปราบถีนมิทธะ
 
 
 
 ที่เหลือก็ไม่แน่ใจ  ต้องไปค้นอีก แต่หนังสือพวกนี้ได้ให้บุคคลอื่นไปนานแล้ว คงหาค้นในพระไตรปิฏก ซึ่งไม่ค่อยชำนาญ
 
 
 
 แต่คิดว่าถ้าอินทรีย์ห้าเสมอกันก็ปราบนิวรณ์ได้ทั้งหมด จากประสบการณ์เป็นอย่างนั้น
 |  
          |  |  
|  |  |  
|  |  
|  |  
| ลุงสุชาติ บัวพ้นดิน
 
  
  
 เข้าร่วม: 10 มิ.ย. 2004
 ตอบ: 65
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
13 ม.ค. 2005, 2:40 am |   |  
| กามฉันทะ และพยาบาท ขจัดด้วยสติ สมาธิ และปัญญา
 
 ถีนมิทธะ ขจัดด้วยวิริยะ (ความเพียร)
 
 อุทธัจจกุกกุจจะ ขจัดด้วยสมาธิ
 
 อย่างไรก็ตาม อินทรีย์ทั้ง ๕ นั้น โดยปกติย่อมเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะสติที่คอยเฝ้าเตือนให้ระลึกรู้อยู่เสมอว่า เรากำลังทำอะไร นิวรณ์ได้เข้ามาขัดขวางมีลักษณะอย่างไร เราควรขจัดด้วยวิธีการใด (ปัญญา)
 |  
          |  |  
|  |  |  
|   |  
|  |  
| โอ่ ผู้เยี่ยมชม
 
 
 
 
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
13 ม.ค. 2005, 5:04 pm |   |  
| ขอขอบพระคุณ "ลุงสุชาติ"ที่ได้อธิบายธรรมที่ปราบนิวรณ์ วันก่อนพูดเรื่องศรัทธา ผมก้คัดลอกลักษณะของศรัทธามาลงไว้เสียเลย เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ตั้งมั่นไว้สำหรับผู่ปฏิบัติ และทำให้ชัดเจนขึ้นไปตามลำดับ เพราะศรัทธานั้นไม่ควรทำให้เสื่อมถอย จะหมดไปก็ต่อเมื่อมีปัญญาเต็มที่แล้วเท่านั้น คือพระอรหันต์
 
 
 
 
 
 สัทธา ความเชื่อ; ในทางธรรม หมายถึง เชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ, ความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผล, ความมั่นใจในความจริงความดีสิ่งดีงามและในการทำความดีไม่ลู่ไหลตื่นตูมไปตามลักษณะอาการภายนอก ท่านแสดงสืบ ๆ กันมาว่า ๔ อย่างคือ ๑.กัมมสัทธา เชื่อกรรม ๒.วิปากสัทธา เชื่อผลของกรรม ๓.กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตัว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ๔.ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคต; เขียนอย่างสันสกฤตเป็นศรัทธา
 
 
 
 สัทธาจริต พื้นนิสัยหนักในสัทธา เชื่อง่าย พึงแก้ด้วยปสาทนียกถา คือถ้อยคำที่นำให้เกิดความเลื่อมใสในทางที่ถูก ที่ควร และด้วยความเชื่อที่มีเหตุผล (ข้อ ๔ ในจริต ๖)
 
 
 
 สัทธานุสารี ผู้แล่นไปตามศรัทธา, ผู้แล่นตามไปด้วยศรัทธา, พระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค ที่มีสัทธินทรีย์แรงกล้า (ถ้าบรรลุผล กลายเป็น สัทธาวิมุต) ดู อริยบุคคล ๗
 
 
 
 สัทธาวิมุต ผู้หลุดพ้นด้วยศรัทธา, พระอริยบุคคล ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป จนถึงผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรคที่มีสัทธินทรีย์แรงกล้า (ถ้าบรรลุอรหัตตผลกลายเป็น ปัญญาวิมุต) ดู อริยบุคคล ๗
 
 
 
 สัมมาปาสะ บ่วงคล้องไว้มั่น, ความรู้จักผูกผสานรวมใจประชาชน ด้วยการส่งเสริมอาชีพ เช่น ให้คนจนxxx้ยืมทุนไปสร้างตัวในพาณิชยกรรม เป็นต้น (ข้อ ๓ ใน ราชสังคหวัตถุ ๔)
 
 
 
 สัมโมทนียกถา ถ้อยคำเป็นที่บันเทิงใจ, คำต้อนรับทักทาย, คำปราศรัย; ปัจจุบันนิยมเรียกสุนทรพจน์ที่พระสงฆ์กล่าวว่า สัมโมทนียกถา
 
 
 
 สัทธาสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศรัทธา คือเชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ เช่นเชื่อว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น (ข้อ ๑ ในสัมปรายิกัตถฯ ๔)
 
 
 
 
 |  
          |  |  
|  |  |  
|  |  
|  |  
|  |  
|  | 
 
 
 
 อ่านหัวข้อถัดไป
 อ่านหัวข้อก่อนหน้า
 คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
 คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
 คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
 คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
 คุณไม่สามารถลงคะแนน
 คุณ  ไม่สามารถ  แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
 คุณ  ไม่สามารถ  ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
 
 |  
 
 |  |  |