Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
พักใจที่วัดมเหยงคณ์
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
อุมาพร
บัวผลิหน่อ
เข้าร่วม: 10 มี.ค. 2007
ตอบ: 5
ที่อยู่ (จังหวัด): BKK
ตอบเมื่อ: 11 มี.ค.2007, 1:40 am
ใครๆ คงมีคำถามว่าที่วัดมเหยงคณ์เป็นยังไงบ้าง เพราะใกล้เมืองและคงอยากไปกัน
มีโอกาสได้ไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ซึ่งเป็นอาทิตย์ที่วุ่นวาย เราเลยกลายเป็นผู้ช่วยงานวัดไปในตัว.......เริ่มเดินทางกันเลยดีกว่า ขึ้นรถกรุงเทพฯ - อยุธยา ที่หน้าโลตัสรังสิต ค่ารถ 31 บาท ไปลงที่สี่แยกเจดีย์ และข้ามถนนไปทางขวา (อย่าลงสุดสายเพราะต้องนั่งรถย้อนกลับมาอีกไกล เปลืองด้วย) ต่อรถมอเตอร์ไซค์เข้าไป 2 กิโลเมตร แล้วเดินหน้าตาเอ๋อๆ เข้าไปในวัด เขาก็จะให้ไปลงทะเบียน เลือกเรือนพัก ที่พักจะเป็นแบบนอนรวมกันในเรือนมุงจาก หลังใหญ่ มุ้งละ 8 คน ห้องน้ำที่นี่สะอาดมาก และมีปริมาณเพียงพอ มีสหกรณ์ขายชุดขาว แต่แพงนะ ให้ดี เสื้อซับ กระโปรงซับและเข็มขัดเตรียมมาเองดีกว่า บรรยากาศที่นี่ดีมากเพราะบริเวณนั้นห่างไกลจากแหล่งชุมชน ร้านค้า ร้านอาหาร ประมาณว่าหากคุณหิวในตอนกลางคืน หมดสิทธิ์ที่จะไปซื้ออะไรกินแน่ อยู่ใกล้กับเขตโบราณสถาน มีอ่างเก็บน้ำ มีต้นไม้ และเงียบสงบ ตอนกลางวันอากาศค่อนข้างร้อน แต่ก็ถือว่าน่าอยู่มาก
เราไปตั้งแต่วันที่ 2-5/03/2007
วันแรกทานข้าวไปตั้งแต่ 11 โมงเช้า ก่อนเข้าวัดก็ไม่ได้กินอะไรเลย เมื่อไปถึงวัดหลังเที่ยงก็กินอะไรไม่ได้แล้ว วันแรกทรมานมากเลย แทบจะเป็นลมตอนที่นั่งสมาธิ ใจคิดว่าหากไม่ไหวจะแอบไปกินเนสวิตา แต่เมื่อผ่านบทสวดมนต์บทหนึ่งและด้วยน้ำตระไคร้ทำให้เราเอาชนะความหิวนั้นได้ ตกดึกคืนนั้นมีกิจกรรมพิเศษคือ ทำตะเกียง เหนื่อยแต่ก็ได้เพื่อนอีกหลายคน ตอนเช้าต้องตื่นอาบน้ำตั้งแต่ตี 3 ครึ่ง เพราะคนค่อนข้างเยอะ ตี 4 ครึ่งเตรียมทำวัตรเช้าท่ามกลางธรรมชาติ ข้างอ่างเก็บน้ำ ทั้งง่วงทั้งหิว ผ่านมาได้ด้วยความทรมาน เหมือนเรามาอดยาเลยไม่ปาน
กิจกรรมตอนเช้าก่อนทานข้าวคือ การเดินจงกลมและนั่งสมาธิ 7 โมงเช้าคือเวลาของข้าวต้มกับถั่วและฟักทอง อร่อยมาก หลังจากนั้นก็ล้างจาน แล้วเดินเล่นสำรวจวัดและบริเวณวัดเก่า ที่นี่ค่อนข้างสมบูรณ์กำแพงยังมี 2 ชั้นชัดเจน หากใครอยากรู้ว่ากำแพงแก้ว 2 ชั้นหน้าตาเป็นอย่างไร มาที่นี่ได้เลย ใช้เวลา 4 วันทุกเช้าด้วยการเดินดูร่องรอยตามรอยกำแพงได้พบอะไรหลายอย่าง อะไรกันหนอที่ทำให้วัดร้าง น้ำท่วม สงคราม แต่บางครั้งจะโทษเขาก็ไม่ถูก กำแพงวัดที่มี่ร่องรอยไฟไหม้ใช่ว่าพม่าจะเป็นคนเผาไปตลอด เท่าที่สังเกต ที่เกิดขึ้นเพราะเราเผาหญ้าที่ปกคลุมกำแพงออก ทานข้าวเช้า 11 โมง ก็อร่อยอีกเช่นกัน หลังเที่ยงห้ามทาน ในการทานข้าวเราวางแผนค่อนข้างมากว่าจะทานอย่างไรเพื่อให้อยู่ได้ถึงกลางคืน ที่ถูกคือทานให้แค่กระเพาะเรารับไหว จานแรกเป็นผัก จานที่ 2 จะเป็นพวกโปรตีน คือเนื้อสัตว์ วิธีนี้ใช้ได้ผล เพราะบางวันเราไม่ทานโปรตีนเลย หรือว่าทานแค่ 1 จาน พอ 5 โมงเย็นจะหิวมาก เวลาที่ทำบุญกับวัดหากเอาไปเป็นค่าอาหารแก่ผู้ปฏิบัติธรรม ทำไปเถอะ เพราะมีค่ามาก เวลาทานข้าวเราสำนึกในบุญคุณผู้ที่ทำให้ทานและผู้ที่ใส่บาตรมา ข้าวที่ทานในแต่ละมื้อมีความสำคัญมาก ไม่ใช่เพราะอยาก แต่เพื่อประทังความหิวในยามค่ำคืน เพราะเรารู้แล้วว่าเวลาที่หิวมากและไม่สามารถทานได้ มีความรู้สึกอย่างไร
กิจกรรมช่วงบ่ายคือ อาบน้ำ ซักเสื้อผ้า อ่านหนังสือธรรมะ เดินจงกรม นั่งสมาธิ และฟังธรรม อากาศร้อนมากเราะต้องพยายามหามุมสงบและร่มเย็น สุดท้ายก็มาได้มุมใต้ต้นโพธิ์หน้าห้องสมุด ตอนเย็น 5 โมงเย็นทุกคนจะไปรวมกันเพื่อเดินจงกรม นั่งสมาธิ ฟังเทศน์ และทำวัตรเย็น นอกจากภารกิจหลัก เราจะต้องช่วยทำงานด้วย เป็นต้นว่ากวาดใบไม้ ใช่ง่ายๆ เหมือนในอิกคิวซังนะ กวาดใบไม้บนพื้นทรายยากมาก เพราะมันจะไปทั้งทรายและใบไม้ รวมทั้งมีลมพัดให้ใบไม้ที่กวาดไว้ปลิวว่อน ทุกอย่างต้องใช้ปัญญา แค่กวาดใบไม้ก็ใช่เรื่องง่าย ในคืนวันมาฆะฯ ทางวัดจะจุดถ้วยตะเกียงทั้งหมดประมาณ 4,000 ใบ ในบริเวณวัดทั้งหมด สวยมาก
หลังจากที่ผ่านคืนที่ 2 มาได้เจ้าความหิวค่อยกลายเป็นเพื่อนไปแล้วแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย และหากเราได้นอนเต็มที่เราก็จะเข้าใจหลักการเดินจงกรมและนั่งสมาธิว่าไม่ใช่เรื่องยากเลย การสวดมนต์ก็ใช่เรื่องน่าเบื่อ หากเราไม่มีความง่วง วันสุดท้าย เราสามารถเดินจงกรมได้ ไม่ใช่สักแต่เดินแต่เดินด้วยความเข้าใจ วิธีการและแนวคิดสำหรับหลายคนที่ไปบ่อยอาจจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับเราเหมือนกับการเพิ่งค้นพบเรื่องที่ไม่เคยเข้าใจเลย ยังคงเหลือเรื่องสมาธิเท่านั้น ที่ยังไม่ได้นานนัก ที่นี่มีห้องสมุดด้วย มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อวิธีสร้างบารมี หนังสือเล่มนี้ดีมากสอนให้เรารู้ว่าการให้อภัยคือการให้ทานที่มีค่าที่สุด และทำให้เราเข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงพากันเดินจงกรมและต้องหัดนั่งสมาธิด้วย นั่นเพราะสมาธิคือตัวเบิกทางที่จะทำให้เราเกิดปัญญา และปัญญานี่ล่ะที่จะทำให้เราเข้าใจในสัจธรรม นี่ละคือวิธีสร้างบารมีที่สูงที่สุด หาใช่การปล่อยสัตว์หรือการบริจาคเงินเยอะๆ หนังสืออีกเล่มที่อ่านจบคือทศชาติชาดก ดีใจมากที่ได้อ่านเล่มนี้เพราะอยากอ่านมาหลายปีแล้วแต่ไม่มีให้อ่าน
สิ่งหนึ่งที่เราสังเกตได้จากที่นี่คือ สัตว์ที่นี่ไม่กลัวคนเลย ทั้งนก ทั้งกระรอก มีกระรอกตัวหนึ่งเราเห็นมันวิ่งเล่น สักพักมันเหนื่อยมีการพักหลับบนกิ่งไม้ด้วย ขนาดเดินไปดูใกล้ๆ เค้าก็ไม่หนี ตรงลานธรรมใต้ต้นประดู่มีนกคู่หนึ่งทำรังอยู่ เป็นนกที่สวยมาก ขนาดมีคนมารวมกันใต้ต้นไม้ต้นนั้น มันก็ไม่คิดที่จะย้ายรังหนี ในช่วงบ่ายเป็นเวลาแห่งการนั่งสมาธิ เรามีความรู้สึกว่า ขนาดมดแดงมันก็พร้อมใจกันหยุดเดิน และทำตัวนิ่งเหมือนมันจะหลับไปชั่วขณะ ไม่น่าเชื่อหรือเป็นเรื่องปกติของมัน เมื่อกลับมาบ้านสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปสำหรับเราคือ เราไม่เปิดทีวีเลย แต่เปิดวิทยุแทน สงสัยเวลาอยู่ที่วัดเราจะฟังเทปเสียงพระอาจารย์สอนเดินจงกรมและนั่งสมาธิทางลำโพงทุกวัน เลยติดฟังแต่ไม่ติดดู ไม่นอนกลางวัน เวลาทานข้าวตาก็จะมองไปที่เวลา 7 โมงข้าวเช้า และ 11 โมงข้าวเที่ยง มองหาแต่ผักต้มกับน้ำพริก ไม่นอนกลางวัน กินแล้วล้างจานเลย เวลาจะดื่มน้ำเราต้องหาที่นั่ง เวลาไปสวนสาธารณะใกล้บ้าน พอเห็นต้นไม้และพื้นดินแล้วอดใจไม่ไหวต้องถอดรองเท้าแล้วเดินจงกรม และที่สำคัญเวลาเล่นเนท เรามองหาเว็บสงบ ถึงรู้ว่ามันมีน้อยเหลือเกินและไม่เห็นเว็บท่องเที่ยวดึงดูดใจอีกแล้ว
ก่อนไปไม่ได้อยากไปเพราะสะเดาะเคราะห์หรือเพิ่มบารมี
แต่ไปด้วยความสงสัย คาใจ เราตั้งจิตภาวนาให้การไปในครั้งนี้เปลี่ยนชีวิตของเรา ไป 2 วันแรกเป็นช่วงที่ทรมานที่สุด วันที่ 3 เริ่มอยู่ตัว หากกลับบ้านในวันที่ 3 ก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ในเวลาไม่กี่วัน แต่หากอดทนและข้ามให้พ้นวันที่ 4 มาได้สิ่งที่ทำมาก็จะกลายเป็นกิจวัตรไปโดยไม่รู้ตัว นี่คือสิ่งที่เราได้ค้นพบและหวังอยากให้ใครอีกหลายคนได้ไปสัมผัสกับประสบการณ์เช่นนี้บ้าง น่าไปให้ได้ปีละ 1 ครั้ง เหมือนการให้หัวใจได้พักบ้าง มันเต้นทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง การไปอยู่วัดสักพักทำให้หัวใจเต้นช้าลง แต่หากไปบ่อยๆ และที่เดิมด้วย จะทำให้คุณกลายเป็นศิษย์วัดไปในตัว จะต้องเข้าไปยุ่งกิจการงานในวัดโดยไม่รู้ตัวและเรื่องวุ่นวายก็จะตามมา
ตุ้ย
บัวผลิหน่อ
เข้าร่วม: 09 มี.ค. 2007
ตอบ: 7
ตอบเมื่อ: 11 มี.ค.2007, 8:50 am
อนุโมทนา ......... สาธุ ครับ
งามจิตร
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 13 มี.ค.2007, 1:45 am
อนุโมทนา สาธุด้วยคนค่ะ
คุณเจ้าของกระทู้ มีความคิดเช่นเราเลย ไม่ได้ไปเพื่อหนีทุกข์ ไม่ได้ไปเพื่อเสริมบารมี แต่ไปด้วยใจที่ศัธทรา และอยากรู้ น่าจะมีรูปจากการไปมี่วัดนี้มาลงนะค่ะ เราเองก็คิดอยากไปเช่นกัน
ต่ายยยย
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 13 มี.ค.2007, 9:44 am
สาธุค่ะ อยากไปเหมือนกัน ...
Jeng
บัวผลิหน่อ
เข้าร่วม: 04 ก.พ. 2007
ตอบ: 5
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพ
ตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2007, 3:39 pm
อนุโมทนาสาธุค่ะ
อ่านแล้วรู้สึกอยากไปจังเลยค่ะ แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจไปปฏิบัติธรรมที่กรุงเทพฯ แทนเพราะไม่กล้าไปต่างจังหวัดค่ะ
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th