Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
บันทึก...เพื่อแม่ชีเข้าใจในการภาวนา (หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
กรกต
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 28 ต.ค. 2006
ตอบ: 11
ตอบเมื่อ: 23 ก.พ.2007, 6:11 am
เรื่องฉันข้าวหนเดียวนั้น ขอให้ชีปฏิบัติ แม่ชีทั้งหลายคณะกรรมฐานยินดี ฉันข้าวหนเดียวเป็นข้อวัตรธุดงค์ ฉันข้าวหนเดียวเป็นข้อวัตรที่สำคัญ พระอรหันต์ย่อมยินดีฉันข้าวหนเดียวการนอนไม่นอนนั้นมีหลวงพ่อเปลื้ององค์เดียวเท่านั้น นอกนั้นเปลี่ยนอริยาบถ มี นั่ง นอน ยืน เดิน เป็นธรรมดา ความเปลี่ยนอริยาบถนั้น พยาบาลของร่างกายเพราะมีการพักผ่อนในตัวถือเคร่งนักไม่ได้ ธรรมดาแม่ชีต้องรับเงินและทอง เพราะไม่ได้บวชเป็นเณรีถือศีล 10 ศีล 8 เนกขัมมะสำเร็จอนาคามีในพระไตรปิฏกพูดแล้ว ยินดียินร้ายเกิดจากจิต เพราะความรู้เท่าธาตุ 4 ปลง ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ไม่ตกจึงเกิดขึ้นบ่อยๆ อ่อนทางวิปัสสนาเท่านั้น รู้ทางวิปัสสนาไตรลักษณะแล้วไม่ไปเกิดอีก แก้วัฏฏะสงสารได้แก่พระอรหันต์ เราไปยึดสังขารจึงรับทุกข์รับสุข ดลความรักและดลความชังอยู่ร่ำไป ธาตุขันธุ์ยืมเขามาใช้ชั่วคราว คล้ายกะทำทุนการค้าขายเมื่อภาวนาได้มรรคได้ผลแล้ว ส่งธาตุ 4 เขาคืน จิตบริสุทธิ์ จิตปกติไม่กำเริบ นี้อำนาจวิปัสสนาจึงพ้นทุกข์ไปได้จึงได้นามว่า อรหันต์
ทางปฏิบัติจะให้สิ้นทุกข์นั้นต้องเจริญ ภาวนา มรรค 8 ให้บริสุทธิ์ ลบล้างราคะ โทสะ โมหะ ให้สิ้นไป จึงจะถูกต้องของการภาวนาให้สิ้นทุกข์ได้ ปลงขันธุ์ 5 ได้ไม่กังวลด้วยกิเลสทั้งปวง ให้รับทุกข์และสุขอีก จิตอยู่ด้วยสติ คือความว่าง พระอรหันต์ทั้งหลายท่านมีสติเต็มที่ ท่านไม่ถือสังขารขันธุ์ 5 เกิด แก่ เจ็บ ตายต่อไปเสร็จกิจใจศาสนาโดยสิ้นเชิง ให้ภาวนาตามหนังสือมุตโตทัยของท่านอาจารย์มั่น คณาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานภาคอีสานนั้นแหละดีมาก
ความเห็นธรรมะตามบรรยายของชีนั้นถูกต้องดี แต่เป็นสัญญาล้วนๆ ยังไม่ถึงมรรคผล จะถึงมรรคผลนั้น ทำจิตประหนึ่งคือ-ภาวนาพุทโธ ให้มากให้ชำนิชำนาญจนจิตเข้าสู่ภวังค์ให้เป็นสมถะวิธี ชำนาญความสงบให้มากๆ พึงอยู่ด้วยความสงบอย่างเดียว ต่อนั้นความรู้ความฉลาดจะรู้ซ้อนขึ้นมา นั้นและเป็นธรรมะที่เกิดเอง อ่านธรรมะที่ส่อขึ้นมาเรื่อยๆ นั้นแหละรู้เองเห็นเอง อย่าเอาปริยัติเข้าไปแทรกให้เป็นสัญญา ต่อนั้นก็เกิดปีติ เข่นเบากาย และเบาใจ และจะเกิดปีติอีกหลายอย่าง ผลของสมาธิให้เรียนปีติว่าเป็นของไม่เที่ยงในพระไตรลักษณะ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เพราะอย่าให้จิตติดในปีติอย่างเดียว ต่อนั้นจะเกิดนิมิต เห็นเป็นนิมิตต่างๆ เหมือนแม่ชีเห็นคนตายน้อมมาพิจารณาตน เปรียบเทียบไปต่างๆ เข้าในไตรลักษณะ เพื่อไม่ให้จิตติดนิมิต ต่อนั้นหัดม้างกายอย่างเดียว ขยายส่วนของร่างกายให้เห็นอสุภะ แต่ว่าเจริญอสุภะให้มาก เพื่อเห็นความเบื่อหน่ายเมื่อเห็นความเบื่อหน่ายแล้ว ชำนิ ชำนาญ ในตอนนี้เรียกว่าวิปัสสนา รู้เอง เห็นเอง ไปเอง วางเจตนา แม้ทำให้มากทางวิปัสสนา ไตรลักษณะ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ปลงกิเลสให้หมดไม่มีสังขาร สัญญาใดๆ จิตอยู่ด้วยสติเป็นมหาสติ คุณสมบัติของพระอรหันต์ สิ้นภพ สิ้นชาติบังเกิดอีกไม่มี
การภาวนาให้ทิ้งปริยัติ ให้มันรู้เองเห็นเองตามลำดับจึงจะเป็นนักปราชญ์นักรู้ รู้ ชั้นรู้เชิงของกิเลสทั้งปวงและจิตไม่กลับกลอกเป็นอย่างอื่นๆไป ความรู้แน่นหนา ทั้งมีสำนวนโวหารดีไพเราะ
จะสอนคนอื่นนั้นเราต้องมีธรรมะฉลาดการโต้ตอบพร้อมความเปรียบเทียบจึงจะลบล้างมติของคนอื่นได้ เราต้องปฏิบัติดี ปฏิบัติตามมรรคภาวนาเสียก่อนสอนคนอื่นได้ดี มีปัญญาเฉลียวฉลาดก่อนดังนี้ มัชฌิมา แปลว่าสายกลางอย่างพระองค์เทศน์ธรรมจักรแก่ปัญจวัคคีย์ กล่าว อย่าให้จิตติดความรักความชัง นี้เรียกมัชฌิมาปฏิปทา คืออีกนัยหนึ่งว่าเดินสายกลาง คือวิปัสสนาเป็นทางสายกลาง อพยากฤตบริบูรณ์ในมัชฌิมาแล้ว ถึงพระอรหันต์นั้นทีเดียว จิตเดินมรรคอยู่เรียกว่ามัชฌิมานั้นไม่ได้เพราะจิตยังมีตัณหาอยู่ ธรรมดาต้องเดินผิดเสียก่อน จิตจึงสู่อมตธรรม แปลอีก ปฏิบัติต้องให้เห็นทุกข์ก่อนจึงปฏิบัติให้รู้ความเบื่อหน่ายจึงเห็นผล คือสิ้นกิเลส
ต้องเข้าที่ภาวนาเสียก่อน รู้ ลัทธิ บริกรรม 1 รู้ปีติ 1 รู้นิมิต 1 รู้ปฏิภาคนิมิตก่อน จึงจะรู้ตามที่อาตมาบรรยายในชั้นต้น ถ้าไม่ปฏิบัติแล้วรู้ไม่ได้ แยกกันไม่ได้ ไม่รู้ธรรมะอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียดเลย
นักรู้ นักปฏิบัติจึงรู้ได้ด้วย ปัจจัตตัง รู้ด้วย ตนเอง
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th