Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
สมถะภาวนา และวิปัสสนาภาวนาต่างกันอย่างไร
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
บารมี10
บัวผลิหน่อ
เข้าร่วม: 02 ก.ย. 2004
ตอบ: 2
ตอบเมื่อ: 15 ธ.ค.2004, 12:39 am
สมถะภาวนา และวิปัสสนาภาวนาต่างกันอย่างไร
เนื้อหา
การอบรมเจริญภาวนามี
ทั้งการอบรมเจริญความสงบ ซึ่งเป็นสมถะภาวนา และ
การอบรมเจริญปัญญา คือ วิปัสสนาภาวนา
ทั้งสองอย่างต้องอาศัยปัญญาจึงจะเจริญได้เพราะเหตุว่า
ถ้าไม่รู้ลักษณะสภาพของจิตที่ต่างกันระหว่าง กุศลจิต และ อกุศลจิต
ก็ย่อมจะเจริญสมถะ คือ ความสงบจากอกุศล ไม่ได้
ฉะนั้นการอบรมเจริญความสงบของจิต จึงต้องมีสติสัมปชัญญะที่สามารถรู้
สภาพที่ต่างกันของ กุศลจิต และ อกุศลจิต ในขณะนี้เสียก่อน
แล้วจึงจะอบรมเจริญกุศลที่เป็นความสงบ คือ สมถภาวนา
สำหรับวิปัสสนาภาวนา เป็นสติสัมปชัญญะที่สามารถรุ้
สภาพที่ต่างกันของ นามธรรม และ รูปธรรม ตามความเป็นจริง
โอ่
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 15 ธ.ค.2004, 4:07 am
ค้นอ่านในพระไตรปิฏกจากเวบของธรรมจักร ที่พระอานนท์เล่า พอสรุปว่า
1 เจริญสมถะ มีวิปัสสนาเป็นเบื่องหน้า
2 เจริญวิปัสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า หรือ
3 เจริญสมถะและวิปัสนาควบคู่กันไป
การเจริญภาวนาทั้ง 3 วิธีนี้จึงทำให้มรรคเจริญ และละสังโยชน์ได้
จึงเห็นว่าต้องเจริญทั้งสองวิธี คือเจริญสตินั่นเอง แล้วในการภาวนาอารมณ์ที่ปรากฏนั้นทำให้สลับกันไปกันมา
เช่นเพ่งกายคตาสติเห็นกระดูกสีขาว แทนที่จะเจริญวิปัสสนาต่อไป ก็เพ่งเอาอารมณ์สีขาวให้ชัด เป็นอุคหนิมิตสีขาว ได้ทิพย์จักษุ ได้ทิพย์จักษุแล้วก็พิจารณากายต่อไป โดยเพ่งอาการ 32 อย่างใดอย่างหนึ่งที่ปรากฏเน้นไปที่ความไม่งาม เป็นวิปัสสนาอีก หรือเพ่งอาการ 32 อย่างใดอย่างหนึ่งโน้มไปในควมเป็นธาตุ ก็เป็นจตุธาตุววัตถาน เป็นวิปัสสนาอีก
แต่เมื่อธาตุ 4 อย่างใดอย่างหนึ่งปรากฏแล้ว ธาตุ 4 นี้ เช่นธาตุดิน มิได้หมายถึงดิน แต่ธาตุดินนี้อาจอยู่ในที่ว่างของอากาศอันเวิ้งว้าง (เพราะธาตุ 4 ที่มีอยู่ประจำโลกนั้นธาตุดินมิได้หมายถึงดิน แต่นิมิตที่ปรากฏจากสมถะนั้นจะเห็นว่าร่างกายประกอบด้วยธาตุสี่ด้วยลักษณะของความเป็นธาติที่เห็นโดยนิมิต
ก็ธาตุสี่นั้นจิตที่มีอำนาจฌาน อาจโน้มธาตุน้ำให้เป็นธาตุลม ธาตุลมให้เป็นธาตุไฟ หรือธาตุไฟจงเป็นธาตุดิน ตามวิธีการอธิษฐานฤทธิ์ได้
เมื่อเจริญวิปัสสนาให้ อาการ 32 ในกายมีความเป็นธาตุ อาจโน้มธาตุนั้นไปในการอธิษฐานฤทธิ์ เป็นการเจริญสมถะได้อีก นี่ก็เรียกว่าเจริศสมถะและวิปัสสนาเหมือนกัน
โอ่
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 15 ธ.ค.2004, 4:48 am
การเจริญสติที่คนทั่วไป เช่นคนที่ทำงานส่วนใหญ่เจริญกันในเวลาไม่มากนั้น ไม่สามารถจะเรียกว่าปัสสนาได้เลย
เพราะเหตุใด?
เพราะว่านั้นยังไม่ได้เป็นการเจริญปัญญา มิได้ทำให้มากซึ่งปัญญา
ดังนั้นการเจริญสติที่บุคคลสมัยนี้ที่ยังทำงานทางโลกกันเป็นว่สนมากเอามาปฏิบัติ ในช่วงสั้น เช่นวัน ครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงบ้างนี้ เรียกว่าอะไรดี ?
เรียกว่าศีลสังวร หรือเรียกว่าเป็นการอบรมศีล คนเหล่านั้นไม่ได้สมาทานและวิรัติศีลก็มี จึงไม่มีศีล เพราะไม่ได้วิรัติ ไม่ได้สมาทาน แต่เมื่อเจริญสติก็เกิดสังวรศีล แม้จะไม่ได้สมาทาน และไม่วิรัติิก็ตาม
แม้คนที่วัรัติและสมาทานศีลแล้วเป็นผู้มีศีล เมื่อมาเจริญสติเบื้องต้นเช่นนี้ก็เป็นการสำรวมอินทรีย์ สังวรศีลเช่นเดียวกัน
ดังนั้นการเจริญสติเบื้องต้นจึงน่าจะเป็นอินทรีย์สังวร
และทำให้เกิดสมาธิ เพราะสมาธิอันศีลอบรมแล้วมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
การเจริญสติเบื้องต้นดังกล่าวเบื้องต้นทำให้เกิดปัญญาได้ไหม?
คำตอบคือไม่ได้เลย เพราะ...
ปัญญาอันสมาธิอบรมแล้วเท่านั้น จึงมีผลใหญ่ อานิสงส์ใหญ่
จะเห็นว่า
ปัญญานั้นถูกอบรมด้วยสมาธิ มิใช่จะอบรมด้วยปัญญาเองได้
และสมาธินั้นต้องเกิดด้วยศีลอบรม
จิตอันถูกปัญญาอบรมแล้ว จึงหลุดพ้นจากอาสวะโดยชอบ
การเจริญภาวนาจึงเป็นไปตามหลัก ของ ศีล สมาธิ และปัญญา
เพราะศีลเป็นบาทฐานของสมาธิ สมาธิเป็นบาทฐานของปัญญา
การเจริญภาวนาตามหลักสติปัฏฐานสี่ จึงเป็นหลักของ ศีล สมาธิ และปัญญา เป็นทั้งสมถะและวิปัสสนา
จะเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดเพียงอย่างเดียวไม่ได้เลย
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการจะสงสัยเรื่องสมถะกับวิปัสสนา ไม่เป็นเรื่องควรแก่ความสงสัย เพราะการเจริญสตินั้นจะนำไปสู่การเป็นทั้งสมถะและวิปัสสนาโดยแน่นอน แต่จะเป็นสมถะและวิปัสสนาในระดับใดเท่านั้น
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th