ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
27 ก.ค.2008, 11:12 am |
  |
คุณ เฉลิมศักดิ์ กล่าวถูกต้องแล้ว คุณตรงประเด็น พิจารณาดีๆในข้อความของคุณเฉลิมศักดิ์เถิด แล้วปฏิบัติ เมื่อได้ มรรค ได้ผล ก็จะทราบเองใน สัมมาทิฎฐิ ว่า แม้ รูปฌาณ นั้น ก็สามารถเกิดได้โดยไม่ต้องกระทำสมถะ
แต่เกิดจากการสลัดกิเลสออกไป เมื่อนิวรณ์ หรือ กิเลสดับไป เชื้อแห่งการทำให้วุ่นวายก็ไม่มี ก็จะสามารถ ทรงจิตเป็นเอกคตาได้ ทันที
องค์ แห่งฌาณ เกิดขึ้นทันใด |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
27 ก.ค.2008, 12:11 pm |
  |
สมาธิในอริยมรรคสมังคี... สมาธินั้นไม่จำเป็นต้องเป็นสมาธิขั้น แน่วแน่(ฌาน) ก็ได้....จริงหรือ???
ชวนกันมาฟังหลักฐานจาก ระดับ "พระสูตร" โดยตรง อีกพระสูตรหนึ่ง กันดีกว่าครับ....
ความเห็นในคัมภีร์รุ่นหลัง.... หรือ อาจารย์รุ่นหลังพุทธกาล วางไว้ก่อนครับ
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๑ สุตตันตปิฎกที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
http://larndham.net/cgi-bin/tread.pl?start_book=31&start_byte=109458
[๑๔๗] อริยมรรคสมังคีบุคคล ย่อมเผาสังกิเลสที่ยังไม่เกิด ด้วยโลกุตตรฌานที่เกิดแล้ว
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวโลกุตตรฌานว่าเป็นฌาน
บุคคลนั้นย่อมไม่หวั่นไหวเพราะทิฐิต่างๆ เพราะความเป็นผู้ฉลาดในฌานและวิโมกข์
ถ้าพระโยคาวจรตั้งใจมั่นดีแล้ว ย่อมเห็นแจ้งฉันใด
ถ้าเมื่อเห็นแจ้ง ก็พึงตั้งใจไว้ให้มั่นคงดีฉันนั้น
สมถะและวิปัสสนาได้มีแล้วในขณะนั้น ย่อมเป็นคู่ที่มีส่วนเสมอกันเป็นไปอยู่
ความเห็นว่าสังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ นิโรธเป็นสุข ชื่อว่า ปัญญาที่ออกจากธรรมทั้งสอง ย่อมถูกต้องอมตบท
พระโยคาวจรผู้ฉลาดในความเป็นต่างกัน และความเป็นอันเดียวกันแห่งวิโมกข์เหล่านั้น ย่อมรู้วิโมกขจริยา ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะทิฐิต่างๆเพราะความเป็นผู้ฉลาดในญาณทั้งสอง ฉะนี้แล ฯ
ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้นๆ
ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด
เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการออกไปและหลีกไปจากกิเลส ขันธ์ และสังขารนิมิตภายนอกทั้งสองเป็นมรรคญาณ ฯ
คำว่า ฌาน ในพระสูตรนี้ หมายเอา สมาธิระดับใด....
เป็นสมาธิเพียงระดับชั่วขณะผิวเผิน หรือ สมาธิจวนแน่วแน่ หรือ สมาธิระดับตั้งใจมั่นดีแล้ว
ลองพิจารณาดูน่ะครับ |
|
|
|
  |
 |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
27 ก.ค.2008, 12:27 pm |
  |
อ้างอิงจาก: |
คำว่า ฌาน ในพระสูตรนี้ หมายเอา สมาธิระดับใด....
เป็นสมาธิเพียงระดับชั่วขณะผิวเผิน หรือ สมาธิจวนแน่วแน่ หรือ สมาธิระดับตั้งใจมั่นดีแล้ว
ลองพิจารณาดูน่ะครับ |
คุณตรงประเด็นลองพิจารณาให้ดีครับ ว่า ท่านใช้คำว่าโลกุตตระฌาณ ไม่ได้แบ่งแยกว่าสมาธิระดับใด จะเป็นขณิกะ หรือ อุปจาระ หรือ อัปปนนา
สมาธินี้จะจำแนก ในแบบแห่งฌาณ ก็คือเอา วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข และ เอกคตาเป็นหลัก ก็ ตามที่ผมพูดไปว่า แม้ขณิกะสมาธิ ก็เป็นรูปฌาณได้
ถ้าประกอบองค์ฌาณดังกล่าว พูดไปแบบนี้ เดี๋ยวจะหาว่าผมบิดเบือน
คำว่า ขณิกะ นี้คือ สมาธิ ที่เฉียดๆ คือไม่จำเป็นต้องจ่อลงไปจนตัดอายตนะ เช่น อ่านหนังสือ การอ่านหนังสือนี้ ถ้าหากว่าเราอ่านอย่างใจจดจ่อ และมีสุข มีปีติ และ เอกคตา ก็มีอยู่ได้
การแบ่งองค์สมาธิ แบ่งแบบ ฌาณ ก็ได้
แบ่งแบบ ขณิกะ อุปจาระ หรือ อัปปนา ก็ได้
หรือ แบ่งแบบ โลกุตตระ หรือ โลกียะ ก็ได้
ก็แล้วแต่ว่า เราจะแบ่งแบบใด แต่ทั้งหมด นั้นคาบเกี่ยวกันได้หมด
เช่น ฌาณ 1 ในโลกุตตระสมาธิก็มี
ขณิกะในโลกุตตระสมาธิก็มี
หรือ อัปปนา ในโลกียะสมาธิก็มี
ขึ้นอยู่อย่างเดียวในการแบ่ง โลกุตตระ หรือ โลกียะ คือ ปัญญา หากว่าเป็นโลกุตตระ คือ การรู้ว่า จิตมีกิเลสใด แล้ว ละออก เพื่อให้จิตตั้งมั่น
แต่โลกียะคือ การจ่อลงที่เดียวโดยไม่ได้สนใจว่ากิเลสในใจจะมีหรือไม่
ดังนั้น สัมมาสมาธิที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ โลกุตตระสมาธิ
ก็อธิบายเท่านี้ หวังว่า จะพอเข้าใจนะครับ
คุณตรงประเด็น ต้องหมั่นสาง สมมติ หรือ ความเข้าใจออกไป ให้เหลือแต่ อายตนะที่บริสุทธิ์ แล้วเมื่อนั้น จะเห็นธรรมที่แจ้ง เพราะธรรมนั้นไม่ได้อยู่ที่สัญญา หรือ หมายรู้ แต่อยู่ที่จิต ที่เห็นจริง
จิตที่รู้ มันรู้ได้ตรงๆ ถ้าหากว่า ไม่มีอะไรบัง ดังนั้นเราต้องฝึก รับรู้แบบตรงๆ ให้ชัดเจนก่อน คือ เห็น ก็เอาแค่เห็น ได้กลิ่นก็เอาเท่านั้น มันเกิดแล้วดับ นี่ฝึกให้ชัดเจนแล้วจะเห็น สิ่งที่บริสุทธิ์ได้
เพราะทุกวันนี้ คนเรา ไม่ได้สัมผัสในสิ่งบริสุทธิ์ แต่เอา ประสพการณ์ เอาความรู้ เอาตรรกะ ที่ก่อร่างสร้างตัวตามวัย และประสพการณ์ มาบดบัง ธรรมชาติรับรู้ของแท้ ทั้งสิ้น
ก็ฝากไว้พิจารณาครับ |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
27 ก.ค.2008, 12:41 pm |
  |
กำลังแห่ง สมาธิในมรรคสมังงคีนั้น ผมขอยืนยันว่าจะต้องเป็น กำลังสมาธิอย่างสูง คือ มีกำลังอันประกอบด้วยองค์พละ แต่ ก็อาจจะไม่ใช่ฌาณ 4 แต่เป็น ฌาณ 1 ก็ได้คือ
ขณะพิจารณาอยู่นั้น จดจ่ออย่างเดียวโดยไม่ได้พิจารณาเรื่องอื่นเลย
เช่นว่า พอฟังธรรมอย่างจดจ่อ ก็สามารถบรรลุธรรมได้ ทั้งนี้บุคคลเหล่านี้ต้องมีวาสนา คือ มีอินทรีย์ที่บ่มเพาะมา อย่างดีแล้ว
แต่ประเด็นคือ สัมมาสมาธิ ไม่จำเป็นต้องเป็นฌาณ 4 และ การจะเข้าถึงมรรคสมังคคี นั้น ต้องมีกำลัง จ่อ เห็น ทุกข์ สมุทัย อย่างเร็วและแรง สมาธิและสติตามติด อย่างเข้มข้นแล้วจึงจะ ทันต่อ ความไม่เกิดดับ
นั้นแหละ จึงเรียกว่า สัมมาสมาธิ ซึ่งต้องใช้คุณธรรมหลายอย่าง ทีนี้เราต้องแยก ระหว่าง สมาธิ และ คุณธรรมอื่นที่มาประกอบ ด้วยครับ |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน

เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง
|
ตอบเมื่อ:
27 ก.ค.2008, 2:13 pm |
  |
อ้างอิงจาก: |
การแบ่งองค์สมาธิ แบ่งแบบ ฌาณ ก็ได้
แบ่งแบบ ขณิกะ อุปจาระ หรือ อัปปนา ก็ได้
หรือ แบ่งแบบ โลกุตตระ หรือ โลกียะ ก็ได้
ก็แล้วแต่ว่า เราจะแบ่งแบบใด แต่ทั้งหมด นั้นคาบเกี่ยวกันได้หมด
เช่น ฌาณ 1 ในโลกุตตระสมาธิก็มี
ขณิกะในโลกุตตระสมาธิก็มี
หรือ อัปปนา ในโลกียะสมาธิก็มี |
สาธุครับคุณขันธ์
การตีความเอาเองโดย ไม่มีความรู้พื้นฐานดีพอ อาจทำให้ตีความผิดพลาดได้
ดังเช่น เรื่อง ฌาน ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้
ฌานไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญาปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นแลอยู่ในที่ใกล้นิพพาน
ภิกขุวรรคที่ ๒๕
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ บรรทัดที่ ๑๒๔๔ - ๑๓๐๐. หน้าที่ ๕๓ - ๕๕.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=1244&Z=1300&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=35
--------------------------------------------------------------------
คุณตรงประเด็นมักอ้างว่า ผู้ที่นั่งสมาธิได้ฌาน ปัญญาย่อมเกิดเอง จากพระพุทธพจน์ แล้วตามด้วยคำสอนของหลวงพ่อที่ท่านนับถือ
คุณตรงประเด็น เคยสงสัยไหมว่า ทำไม บางท่านได้ฌาน จากการทำสมาธิขั้น ๆ สูง เช่น
ดาบสทั้งสอง ที่สอนการทำฌานแก่พระองค์ก่อนตรัสรู้
พระเทวทัต ที่ได้ อรูปฌาน ได้อภิญญา
ทำไมจึงฉิบหายจากมรรคผลนิพพาน
อนึ่ง ปัญญา ที่ประกอบใน ฌาน คืออะไร ?
--------------------------------------------------
จากอรรถกถา
http://larndham.net/index.php?showtopic=26325&per=1&st=2&#entry369546
ฌานลาภีบุคคลเจริญวิปัสสนา ๒ อย่าง
คำว่า ฌาน ก็มักจะนึกถึงรูป รูปาวจรจิต แท้จริงคำว่า ฌาน แปลว่า การเพ่งอารมณ์ และการเพ่งอารมณ์ก็มี ๒ ประการ ในนัยแห่งอัฏฐสาลินี อรรถกถา แสดงว่า
ฌานนฺติ ทุวิธํ อารมฺมณูปนิชฺฌานํ ลกฺขณูปนิชฺฌานนฺติ = คำว่า ฌาน นั้นมี ๒ อย่างคือ อารัมมณูปนิชฌาน อย่างหนึ่ง ลักขณูปนิชฌาน อีกอย่างหนึ่ง
ตตฺถ อฏฺฐ สมาปตฺติโย ปฐวีกสิณาทิอารมฺมณํ อุปนิชฺฌานยนฺตีติ อารมฺมณูปนิชฺฌานนฺติ สงฺขยํ คตา = ในฌาน ๒ อย่างนั้น สมาบัติ ๘ จัดเข้าในอารัมมณูปนิชฌาน เพราะเข้าไปเพ่งอารมณ์ มีปฐวีกสิณ เป็นต้น
วิปสฺสนามคฺคผลานิ ปน ลกฺขณูปนิชฺฌานํ นาม = แต่ว่าวิปัสสนาญาณ มัคคญาณ ผลญาณทั้ง ๓ นี้ ชื่อว่าลักขณูปนิชฌาน
ตตฺถ วิปสฺสนา อนิจฺจาทิลกฺขณสฺส อุปนิชฺฌานโต ลกฺขณูปนิชฺฌานํ = ในญาณทั้ง ๓ นั้น วิปัสสนาญาณ ได้ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะเข้าไปกำหนดรู้แจ้งไตรลักษณ์ มีอนิจจลักษณะ เป็นต้น
วิปสฺสนาย กตกิจฺจสฺส มคฺเคน อิชฺฌนโต มคฺโค ลกฺขณูปนิชฺฌานํ = มัคคญาณ ได้ชื่อว่า ลักขณูปนิชญาณ เพราะเป็นผู้ทำให้กิจที่รู้แจ้งไตรลักษณ์ของวิปัสสนาญาณ สำเร็จลง
ผลํ ปน นิโรธสจฺจํ ตถลกฺขณํ อุปนิชฺฌายตีติ ลกฺขณูปนิชฺฌานํ นาม = ส่วนผลญาณ ได้ชื่อว่า ลักขณูปนิชฌาน เพราะเข้าไปรู้แจ้งลักษณะอันแท้จริงของนิโรธสัจจะ
ความแตกต่างกันระหว่างฌานทั้ง ๒
กล่าวโดยอารมณ์ อารัมมณูปนิชฌาน มีสมถกัมมัฏฐาน เช่น ปฐวีกสิณซึ่งเป็นบัญญัติเป็นต้น เป็นอารมณ์ ส่วนลักขณูปนิชฌาน นั้น คือวิปัสสนาญาณ มีรูปนาม ไตรลักษณ์ สังขตธรรม เป็นอารมณ์ มัคคญาณ ผลญาณ มีอสังขตธรรม คือนิพพานเป็นอารมณ์
กล่าวโดยองค์ธรรม อารัมมณูปนิชฌาน มีวิตก วิจาร ปีติ เวทนา เอกัคคตา และที่ประกอบกับมหัคคคตฌานทั้ง ๙ เป็นองค์ธรรม ( รูปฌาน ๕ + อรูปฌาน ๔ ) ส่วนลักขณูปนิชฌาน ก็มีวิตก วิจาร ปีติ เวทนา เอกัคคตา ที่ประกอบกับมหากุศลจิต มัคคจิต ผลจิต เป็นองค์ธรรม
ผู้บรรลุ ๒ พวก
ผู้บรรลุมรรค ผล นิพพาน นั้นมีอยู่ ๒ จำพวกด้วยกัน คือ สุกขวิปัสสกจำพวกหนึ่ง และฌานลาภีบุคคลอีกจำพวกหนึ่ง
สุกขวิปัสสกบุคคล นั้นเป็นผู้บำเพ็ญวิปัสสนาญาณ จนบรรลุเป็นพระอริยบุคคล ไม่ได้บำเพ็ญสมาธิจนบรรลุฌานมาก่อน
ฌานลาภีบุคคล นั้นเป็นผู้บำเพ็ญสมถภาวนาจนได้ฌาน แล้วเจริญวิปัสสนาภาวนาบรรลุเป็นพระอริยบุคคล ก็ฌานลาภีบุคคล มีวิธีเจริญวิปัสสนา ๓ วิธี คือ
http://larndham.net/index.php?showtopic=26325&per=1&st=2&#entry369546 |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
27 ก.ค.2008, 7:58 pm |
  |
เรียน คุณ ขันธ์ครับ
ปัญหา คือ นิยาม และคำจำกัดความไม่ตรงกันครับ
น่าจะเกิดจาก การศึกษาภาคปริยัติที่ไม่ตรงกันครับ
ขออนุญาต คุยทีล่ะประเด็น จาก คห ของคุณขันธ์น่ะครับ
ลองพิจารณาดูน่ะครับ... ผมนำ ข้อมูลส่วนใหญ่มาจาก ของท่านเจ้าคุณ พระพรหมคุณาภรณ์ มาวางเปรียบเทียบครับ
อ้างอิงจาก: |
สมาธินี้จะจำแนก ในแบบแห่งฌาณ ก็คือเอา วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข และ เอกคตาเป็นหลัก ก็ ตามที่ผมพูดไปว่า แม้ขณิกะสมาธิ ก็เป็นรูปฌาณได้ |
จาก http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=ฌาน&detail=on
ฌาน การเพ่งอารมณ์จนใจแน่วแน่ เป็นอัปปนาสมาธิ, ภาวะจิตสงบประณีต ซึ่งมีสมาธิเป็นองค์ธรรมหลัก;
ฌาน ๔ คือ
๑. ปฐมฌาน มีองค์ ๕ (วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา)
๒. ทุติยฌาน มีองค์ ๓ (ปีติ สุข เอกัคคตา)
๓. ตติยฌาน มีองค์ ๒ (สุข เอกัคคตา)
๔. จตุตถฌาน มีองค์ ๒ (อุเบกขา เอกัคคตา);
ถ้าจาก พระไตรปิฎกเถรวาท ที่ท่านเจ้าคุณๆท่านใช้เป็นแบบฉบับในการรจนาหนังสือ....ขณิกะสมาธิ ห่างไกลจาก สมาธิระดับฌาน ครับ
ไม่ทราบว่า คุณขันธ์พอจะหา REFERENCE ให้ผมตามไปอ่าน ประเด็นที่ว่า ขณิกะสมาธิ เป็นฌาน จากที่ไหนได้บ้างครับ....
อ้างอิงจาก: |
ก็อธิบายเท่านี้ หวังว่า จะพอเข้าใจนะครับ
|
ขอบพระคุณครับ
อ้างอิงจาก: |
กำลังแห่ง สมาธิในมรรคสมังคีนั้น ผมขอยืนยันว่าจะต้องเป็น กำลังสมาธิอย่างสูง |
คำว่า "กำลังสมาธิอย่างสูง" นี้หมายถึง ขณิกะสมาธิ ด้วยหรือเปล่าครับ
อ้างอิงจาก: |
แต่ประเด็นคือ สัมมาสมาธิ ไม่จำเป็นต้องเป็นฌาณ 4 |
ตรงนี้ไม่ค่อยเคลียร์ครับ
ไม่แน่ใจว่า คุณขันธ์ กำลังกล่าวถึงว่า
1.สัมมาสมาธิ ไม่จำเป็นต้องมีกำลังถึงจตุตฌาน(ฌานที่4)...เช่น เพียงระดับ ปฐมฌาน ก็เพียงพอแล้ว....หรือเปล่า???. ซึ่ง ถ้ากล่าวเช่นนี้ ก็ถือว่าตรงกับพระสูตรที่ตรัสระบุว่า สัมมาสมาธิ มีกำลังแห่งสมาธิอยู่ในระดับรูปฌาน๑-๔
และ ตรงกับที่ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์กล่าวไว้
จาก พุทธธรรม หน้า 331
"....เมื่อผู้เป็นวิปัสสนายานิกเจริญวิปัสสนาต่อๆไป สมาธิก็พลอยได้รับการฝึกอบรมไปด้วย ถึงตอนนี้อาจเจริญวิปัสสนาด้วยอุปจารสมาธิ(สมาธิจวนจะแน่วแน่ หรือ สมาธิจวนจะถึงฌาน)ก็ได้ จนในที่สุดเมื่อถึงขณะที่บรรลุมรรคผล สมาธินั้นก็จะแน่วแน่สนิทเป็นอัปปานาสมาธิ อย่างน้อยถึงระดับปฐมฌาน(ฌานที่1 หรือ รูปฌานที่1) เป็นอันสอดคล้องกับหลักที่แสดงไว้แล้วว่า ผู้บรรลุอริยภูมิ จะต้องมีทั้งสมถะและวิปัสสนาครบทั้งสองทั่วกันทุกบุคคล...."
หรือ
2.สัมมาสมาธิ ไม่จำเป็นต้องมีกำลังถึงรูปฌาน๑-รูปฌาน๔.... เช่น เพียงระดับ ขณิกะสมาธิ หรือ ขณิกะสมาธิต่ออุปจารสมาธิ ที่ใช้ตอนเริ่งต้นเดินมรรค ก็จัดได้ว่า เป็นสัมมาสมาธิแล้ว
คุณขันธ์ ครับ
ขอ รบกวนถามว่า คุณขันธ์ศึกษาส่วนปริยัติธรรมจากสำนักไหน หรือ อาจารย์ท่านใดครับ
ไม่ทราบว่ามี ลิ้งค์ ที่ผมจะตามไปศึกษาแนวทางปริยัติธรรมของคุณขันธ์ ในประเด็น "ขณิกะสมาธิ เป็นฌาน" ได้ไหมครับ
ขอบพระคุณครับ  |
|
|
|
  |
 |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
27 ก.ค.2008, 10:09 pm |
  |
เรื่อง ฌาณ นี้ ต้องพิจารณาว่าสิ่งที่ ผมกล่าวถึงคือ โลกุตระสมาธินะครับ
เรียกว่า โลกุตระฌาณ อันโลกุตระฌาณนี้ แม้พระอริยะ ไม่ต้องไปนั่งสมาธิ หรือ เพ่งอะไร ก็จะมีลักษณะเป็นฌาณ คือ ประกอบด้วย องค์ทั้ง 5 ครบถ้วน
ทีนี้ ตัวขณิกะสมาธิ ที่พูดคือ สมาธิ ที่ไม่ต้องเข้าไปแนบ ยังทำงานทำการอยู่ แม้ทำการทำงานอยู่ จิตก็ทรง ฌาณ อันมีองค์ ทั้ง 5 ครบทุกประการ
ข้อนี้ คุณตรงประเด็นต้องอย่ายึดในตำรา แต่ลองใคร่ครวญดูว่า ในสมัยพุทธกาลนั้น แม้ใครต่อใครก็ตามที่ บรรลุธรรม ก็ต่างไม่ได้นั่งสมาธิแต่อย่างใด อารมณ์ขณะนั้นคือ สมาธิ อย่างอ่อนคือ ขณิกะสมาธิ จนถึงอุปจาระสมาธิ
ทีนี้ ผมก็แยกให้ท่านดูแล้วว่า ฌาณ นั้นคือการแบ่งองค์สมาธิอย่างหนึ่งอันมี สุข และ ปีติ เข้ามาร่วมในการแบ่ง
แต่การแบ่งนั้นมีหลายแบบ จะแบ่งแบบเฉียดๆ หรือ เข้มข้นก็เรียกว่า เป็น ขณิกะ หรือ อุปจาระ หรือ อัปปนา
ทีนี้ ถ้า อุปจาระ สมาธิ หรือ ขณิกะ สมาธิ หรือ อัปปนาสมาธิ ก็ล้วนแต่เป็นฌาณได้หมด เพียงแต่มีครบองค์ เปรียบเหมือนกับ คนที่มีจิตเป็นอกคตาอยู่แล้ว เพราะนิวรณ์ไม่มี เพียงแต่กำหนดจ่อไปเรื่องใดเรื่องหนึ่งทันใดก็เป็นองค์สมาธิ ในทันที
ทีนี้ บางคนก็อาจจะนึกว่า สมาธิแบบเฉียดๆ คือ ขณิกะสมาธินั้น ยังเพ่งไม่พอ อันนี้ก็แล้วแต่ว่า เขาจะเรียก ขณิกะ ด้วยนัยยะ แค่ไหน คือ ความอ่อนความกลางนี้ มันวัดกันไม่ได้ มันก็อาศัยการประมาณ
พูดง่ายๆ ที่สุดคือ สมาธิแบบเฉียดๆ ในโลกุตระสมาธิ มันก็เป็นองค์ฌาณได้แล้ว เพราะว่ามันไม่มีนิวรณ์และกิเลสกลุ้มรุม
ผมผ่านองค์สมาธิมาครบถ้วนแล้ว จึงกล้าออกมายืนยัน
ทั้ง ฌาณ 4 อรูปฌาณ ขณิกะ อุปจาระ และอัปปนา |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
27 ก.ค.2008, 10:32 pm |
  |
สรุปแบบนี้แล้วกัน เพื่อไม่ให้สมมติ คลาดเคลื่อน ผมยอมรับผิดครับ ว่า ขณิกะสมาธิ มันก็คือ สมาธิแบบเฉียดๆ อันไม่สามารถเป็นรูปฌาณได้
แล้วผมจะเอาข้อมูล มาแจงให้ฟังว่า เหตุผล ที่แตกต่างกันนั้นเพราะว่า สมมติที่เข้าใจนั้นต่างกัน แต่นัยยะนั้นไม่แตกต่างกันครับ |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
27 ก.ค.2008, 10:32 pm |
  |
คุณ ขันธ์ครับ
อ้างอิงจาก: |
ข้อนี้ คุณตรงประเด็นต้องอย่ายึดในตำรา |
การยึดในตำราจนเกินเหตุ ก็เป็นโทษได้จริงครับ...ตาม ที่ตรัสเตือนไว้ใน เกสปุตตสูตร
แต่การปฏิบัติโดยไม่อิงพระไตรปิฎกเลย...ก็ผิด เข้าป่าเข้าดง เอาได้ง่ายๆ น่ะครับ..
ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ท่าน ได้เคยกล่าวไว้ว่า
เสรีภาพแห่งความคิดเห็นของบุคคล ต้องไม่สับสนกับความซื่อตรงต่อพระศาสดา
อนึ่ง ขอให้แง่คิดไว้นิดหนึ่งว่า การทำเช่นนี้ไม่ใช่หมายความว่าเราติดตำรา หรือติดพระไตรปิฎก
อันนี้เป็นคนละเรื่องกัน
แต่เป็นการที่เรารู้ว่าอะไรเป็นเกณฑ์ตัดสิน หรือเป็นมาตรฐานคำสอนในพระพุทธศาสนา ให้ได้รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร และสอนว่าอย่างไร ส่วนเราจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเรา เป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล แม้แต่ว่าจะเชื่อพระพุทธเจ้าหรือไม่ ก็เป็นสิทธิที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ ต้องแยกให้ถูก
เวลานี้ก็เป็นปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือ ความสับสนของคนในยุคที่เรียกกันว่ามีการศึกษา แต่การศึกษานี้กำลังพร่ามัวลงไปมาก จนแยกไม่ถูกแม้แต่ระหว่างตัวหลักการกับความคิดเห็นส่วนบุคคล เพียงแค่นี้ก็แยกไม่ถูก จึงแน่นอนว่าความสับสนจะต้องเกิดขึ้น แล้วก็นำไปสู่ปัญหาต่างๆ มากมาย
ถ้าเราถามว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างไร หรือสอนเรื่องอะไรว่าอย่างไร เราจะดูที่ไหน เราก็ต้องไปดูพระไตรปิฎก เพราะเราไม่มีแหล่งอื่นที่จะตอบคำถามนี้ได้ เราจะว่าเอาเอง หรือไปตอบแทนพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ว่าพระองค์สอนอย่างนั้นอย่างนี้
ต่อจากนั้น เมื่อรู้ว่า หรือได้หลักฐานเท่าที่มีว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างไรแล้ว เราจะเชื่อคำสอนนั้นหรือไม่ หรือเรามีความเห็นต่อคำสอนนั้นว่าอย่างไร อันนั้นก็เป็นเรื่องของเรา เป็นเรื่องของบุคคลนั้น ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องหลักการ แต่เป็นเรื่องของความคิดเห็น
ฉะนั้นจะต้องแยกส่วนนี้ให้ได้ เวลาจะพูดกันก็ต้องแยกให้ถูกว่าเรากำลังพูดกันเรื่องว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าสอนในเรื่องนี้ว่าอย่างไร หรือว่าเรากำลังพูดเรื่องว่า เรามีทัศนะความคิดเห็นในเรื่องนั้นว่าอย่างไร ต้องแยกให้ถูก แล้วก็พูดให้เป็นขั้นตอน เป็นลำดับ ก็จะไม่เป็นปัญหา
เวลานี้ก็เท่ากับว่าได้เกิดปัญหาทั่วไปหมด ตั้งแต่ไม่รู้จักพระไตรปิฎก ไม่รู้จักความสำคัญของพระไตรปิฎก ไม่รู้ว่าการรักษาสืบทอดพระไตรปิฎกเป็นมาอย่างไร แล้วก็มีความสับสนระหว่างคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าพระองค์สอนอย่างไร กับความคิดเห็นของบุคคลหรือเราแต่ละคนต่อคำสอนนั้นว่าเราคิดอย่างไร ทั้งหมดนี้มองกันไม่ชัดเจน คลุมเครือ และ ว่ากันเลอะเทอะสับสนไปหมด เพราะฉะนั้นก็แน่นอนว่าจะต้องเกิดปัญหา
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง กับท่านเจ้าคุณๆครับ
จึงถามแหล่ง REFERNCE อ้างอิง จากคุณขันธ์ ในประเด็น"ขณิกะสมาธิ เป็นฌาน" ไงครับ |
|
|
|
  |
 |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ค.2008, 9:12 am |
  |
คุณ ตรงประเด็นต้องเข้าใจก่อนว่า เวลาคุณตีความเรื่องของสมมติ นั้นมันก็เข้าใจแตกต่างกันไป ซึ่งจะยึดไปเสียทีเดียวไม่ได้
ก็ตามที่อธิบายให้คุณฟัง คือ ขณะที่สาวกบรรลุธรรมในขณะที่ฟังพระพุทธองคบรรยายธรรมนั้น ท่านไม่ได้เข้าสมาธิจนแนบและแน่วแน่ไป ข้อนี้ ผมถือว่าเป็นขณิกะ เพราะถ้าหากว่า เป็นอุปจาระหรือ อัปปนา ก็ไม่อาจจะเข้าใจในคำพูดตามไปได้ เพราะจิตแนบแน่น
ทีนี้ ก็มาดูว่า บางที่ เขาก็บอกว่า นั้นเป็นอุปจาระสมาธิ บางที่ก็บอกว่าเป็นขณิกะ เราก็แยกไม่ได้หรอก เพราะว่า มันไม่มีเกณฑ์วัดชัดเจน ว่า ระดับไหนถึงจะเป็น อุปจาระ ระดับไหนเป็นขณิกะ ก็จะแบ่งแยกแบบ ประมาณเอา
ทีนี้ ก็มาดูว่า ในการแบ่งสมาธิ นั้น สามารถแบ่งสมาธิโดยคำนึงถึง ปีติ เป็นตัวแบ่ง ก็มี ซึ่งก็คือ องค์ฌาณ อันมี วิตก วิจารณ์ ปีติ สุขและ เอกคตา
ก็พิจารณาไปสิครับว่า ตรงไหนที่บอกว่า ห้ามขณิกะ หรือ ห้ามอุปจาระ หรือ ห้ามอัปปนา ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับกำลังจิตกำลังใจ
พระอริยะบุคคลบางองค์ มีกำลังเจตสิกอันเป็นองค์สมาธิ เพียงครู่หนึ่ง คือ กำหนดทันทีลงไปที่ ปฐมฌาณ แต่ก็เพียงเดี๋ยวเดียวแล้วกำหนดไปทำอย่างอื่นต่อ แบบนี้ก็มี สมาธินั้นก็ไม่ได้แนบไปทั้งหมด ครบองค์ฌาณทั้งหมดครับ
ทีนี้ ก็มาดูว่า แล้วกำลังแค่ไหนจึงจะพอ ก็ตอบว่า กำลังที่เข้าสู่ มรรคสมังงคี นั้น แม้บางทีที่เราสังเกตุว่า เป็น ขณิกะ เพราะว่าไม่ได้เข้าสมาธิ แต่กำลังก็เป็นถึงอัปปนา คือ พิจารณาแต่เพ่งแน่วแน่ และไม่ได้ไปถึงฌาณ 4 คือ มีวิตกในทุกข์ มีวิจารณ์ในสมุทัย มีสุข ปีติ และเอกคตาจิตที่แนบแน่น จนมีกำลังที่จะหมุนวนอยู่แต่ ทุกข์ สมุทัย จนสัมประยุตเข้าสู่นิโรธ
เรากำลัง สับสนกันในสมมติ ซึ่งสมมติของแต่ละคนต่างกันไป จะเอามาหมายมั่นว่า ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ เพราะหากว่า ผมเป็น พระอริยบุคคลจริง ผมก็ไม่ได้สนใจว่า ขณิกะนี้จะต้องมีเท่าไร เพราะว่าโลกุตระสมาธิ ก็ไม่ได้ต้องใช้กำลังสมาธิ จิตก็เป็นสมาธิอยู่แล้ว จะทำการทำงานอะไรก็เป็น ปฐมฌาณในตัว ทันที
นี่คุณตรงประเด็นต้องค่อยๆ ทำความเข้าใจ มันไม่ใช่ความเลอะเทอะหรอกครับ ความเลอะเทอะมันอยู่ที่คนที่คลุมเครือ
ผมว่า คุณต้องมาคุยกับผม แบบตรงๆ กันเลย ผมจะได้บอกว่า คุณได้หรือไม่ได้ภูมิใด |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ค.2008, 10:59 am |
  |
คุณ ขันธ์ครับ
อ้างอิงจาก: |
คุณ ตรงประเด็นต้องเข้าใจก่อนว่า เวลาคุณตีความเรื่องของสมมติ นั้นมันก็เข้าใจแตกต่างกันไป ซึ่งจะยึดไปเสียทีเดียวไม่ได้ |
คุณอาจจะมองว่า การที่ผมพยายามนำพระสูตรมาวาง ให้เพื่อนสมาชิกศึกษาเป็นการยึดติดสมมติ
แต่ คุณอาจจะลืมไปว่า
แม้นแต่พระพุทธเจ้าท่านเอง ก็ยังใช้ภาษาที่เป็นระบบระเบียบ มาวาง เพื่อชี้ทางให้ผู้เดินตามพระองค์ท่านศึกษากัน....
การนำพระพุทธพจน์มาวาง ให้เพื่อนสมาชิกศึกษาพิจารณา.... ผมว่า เหมาะสมกว่า การใช้ความเห็นส่วนตนมาวาง
ผมไม่ทั้ง ปฏิเสธ หรือ เชื่อมั่น ในการ"รู้แจ้ง"ของคุณขันธ์ ตามที่คุณขันธ์ประกาศในต่างกรรมต่างวาระ หรอกครับ
ผมไม่สนใจว่าท่านใดจะ"รู้แจ้ง"หรือไม่
ถ้าคุณขันธ์ รู้แจ้งดี รู้แจ้งชอบ... ก็ ขออนุโมทนากับคุณขันธ์
และ การที่ขอREFERENCE ประเด็น "ขณิกะสมาธิเป็นฌาน" นั้น.... ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะ ผมไม่เชื่อในการรู้แจ้งของคุณขันธ์
แต่เป็นเพราะผม ต้องการหลักการที่เป็นระบบระเบียบ-อ้างอิงได้ มาเปรียบเทียบ กับ ที่ท่านเจ้าคุณๆพระพรหมคุณาภรณ์ท่านกล่าวไว้
อ้างอิงจาก: |
ผมว่า คุณต้องมาคุยกับผม แบบตรงๆ กันเลย ผมจะได้บอกว่า คุณได้หรือไม่ได้ภูมิใด |
ขอบพระคุณครับ ที่จะพยากรณ์มรรคผลให้ผม
แต่ เพิ่งทราบน่ะครับ ว่ามีการพยากรณ์มรรผลผ่านทางอินเตอร์เน็ต
เรื่องภูมินั้น ผมไม่มีภูมิอะไรหรอกครับ.... ผมเป็นเพียงสาวกของพระผู้มีพระภาค ที่ศึกษาหาทางพ้นทุกข์ และ นำหลักธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคมาเสนอต่อเพื่อนสมาชิก
ไม่ใช่ผู้รู้ธรรมที่ยิ่งใหญ่มาจากไหนหรอกครับ และ ไม่ปราถนาภูมิอะไรให้วุ่นวายหรอกครับ
หลวงปู่ชา สุภัทโท ท่านสอนไว้ว่า "เป็นอะไร มันก็เป็นทุกข์"
ดังนั้น ผมเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องไปเป็นอะไรให้วุ่นวายหรอกครับ
ท่านพุทธทาส ท่านก็เคยกล่าวเอาไว้ว่า"เอาเป็นว่า ทุกข์ไม่มี ดีเลิศแล"
ทุกข์ไม่มี นั่นล่ะดีที่สุดครับ....ดีกว่า ต้องไปเป็นอะไร หรือ มีภูมิอะไร ครับ
ขอตัวน่ะครับ เวลาผมมีจำกัด
ขอให้เจริญในธรรม |
|
|
|
  |
 |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
28 ก.ค.2008, 11:10 am |
  |
เอาเถิดครับ ผมก็แสดงหลักฐาน และเหตุผลไปแล้วครับ ทีนี้ เรื่องแจ้งไม่แจ้งก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก เป็นประเด็นเสริมที่ผมคุยสัพเพเหระ
สำหรับ เรื่องพระสูตร พระพุทธองค์ท่านก็ไม่ได้ แสดงว่า สัมมาสมาธิจะต้องเป็น ระดับไหน
ผมอยากจะให้ คุณตรงประเด็น สนใจอีกเรื่องหนึ่งคือ
บรรลุเร็วทุกข์น้อย
บรรลุู้ช้าทุกข์น้อย
บรรลุเร็วทุกข์มาก
บรรลุช้าทุกข์มาก
ตัวนี้แหละ ที่จะเป็นตัวบอกว่า ทำไม สัมมาสมาธิ ที่ใช้จึงแตกต่างกัน
ก็ มีโอกาสคงได้สนทนากันใหม่ |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
30 ก.ค.2008, 6:00 pm |
  |
มีข้อมูลเพิ่มเติม
จาก พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
ปัญญาวิมุต ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา
หมายถึง พระอรหันต์ผู้สำเร็จด้วยบำเพ็ญวิปัสสนาโดยมิได้อรูปสมาบัติมาก่อน
ปัญญาวิมุต จากที่ท่านเจ้าคุณๆประมวลมานี้
ไม่ได้"อรูปสมาบัติ"(อรูปฌาน) เท่านั้น
หาใช่ว่า ต้องปราศจากรูปสมาบัติ(รูปฌาน) แต่อย่างใด
จึงนำข้อมูลมาลงเปรียบเทียบ |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
01 ส.ค. 2008, 9:44 am |
  |
มีประเด็น เพิ่มเติมน่ะครับ
อ้างอิงจาก: |
ถ้าจะเอาแต่ทำให้จิตสงบนิ่ง จะไม่มีวันรู้อะไรเลย
เหมือนจับเด็กมาบังคับให้มันนั่งเรียบร้อย หวีผมแปร้ ไม่หือ ไม่อือ
แล้วก้มาพิจารณาว่าเด็กคนนี้ (จิต) เป็นอย่างไร
มันก็เป็นเด็กดีสิคับ เพราะโดนบงการอยู่
แล้วก็ไปเชื่อว่าเด็กคนนี้ดี (ทั้งที่ตัวเองบังคับเด็ก) เป็นของแท้
แต่พอปล่อยเด็กไปตามธรรมชาติ (ออกจากสมถะ เลิกเจริญจิต เข้าสู่ชิวิตประจำวัน)
เด็กมันก็แสดงพฤติกรรมต่างๆตามธรรมชาติออกมา
แต่เราดันไม่ตามไปดู ไม่ตามไปรู้
เพราะฉะนั้น
ตราบเท่าที่เรายังจับเด็ก(จิตของเรา)มานั่งเรียบร้อย ไม่หือไม่อือ
เราก้จะไม่มีวันเข้าใจเด็กคนนี้ตามธรรมชาติของเขาจริงๆได้เลย
ต้องแอบตามดู ตามรู้ ตลอดเวลาทั้งนั่งสมาธิ หรือใช้ชีวิตประจำวัน
อย่างพอเหมาะพอดี ไม่เคร่งเกินไป ไปเผลอเรอเกินไป
ไม่แทรกแทรงพฤติต่างๆตามธรรมชาติของมัน
จึงจะเห็นของจริง
แล้วจิตจะเรียนรู้เอง โดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับสมองคิด หรือตำราอะไรเลย
|
สมถะ ที่กล่าวใน ความเห็นนี้ทั้งหมด คือ "สมถะแบบของฤาษี" (ซึ่งคัมภีร์รุ่นหลังพุทธกาลหลายเล่ม ก็จะกล่าวสมถะในแง่มุมนี้เช่นกัน ดังปรากฏในคำสอนเรื่องสมถะกรรมฐาน40กอง)
คือ เข้าไปสงบนิ่งเฉยๆ ไม่เอื้อต่อการเกิดปัญญา เป็นคนล่ะแบบกับ "สมถะที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้" ที่ปรากฏในระดับชั้นพระสูตร
สมถะแบบของฤาษี ย่อมนำไปสู่ มิจฉาสมาธิ ไม่เอื้อต่อการเกิดปัญญา
แต่ สมถะที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ ย่อมนำไปสู่ สัมมาสมาธิ ที่เป็นบาทแห่งสัมมาญาณะ(ตามมหาจัตตารีสกสูตร)
ลองพิจารณา จากพระสูตรนี้ อีกสักครั้ง
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๑ สุตตันตปิฎกที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
http://larndham.net/cgi-bin/tread.pl?start_book=31&start_byte=109458
[๑๔๗] อริยมรรคสมังคีบุคคล ย่อมเผาสังกิเลสที่ยังไม่เกิด ด้วยโลกุตตรฌานที่เกิดแล้ว
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวโลกุตตรฌานว่าเป็นฌาน
บุคคลนั้นย่อมไม่หวั่นไหวเพราะทิฐิต่างๆ เพราะความเป็นผู้ฉลาดในฌานและวิโมกข์
ถ้าพระโยคาวจรตั้งใจมั่นดีแล้ว ย่อมเห็นแจ้งฉันใด
ถ้าเมื่อเห็นแจ้ง ก็พึงตั้งใจไว้ให้มั่นคงดีฉันนั้น
สมถะและวิปัสสนาได้มีแล้วในขณะนั้น ย่อมเป็นคู่ที่มีส่วนเสมอกันเป็นไปอยู่
สมถะที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ย่อมนำไปสู่ สัมมาสมาธิ หรือ ตรงกับคำว่า"โลกุตระฌาน"....ในพระสูตรนี้ บรรยายด้วยคำว่า"ตั้งใจมั่นดีแล้ว"
วิปัสสนาในพระสูตรนี้ กล่าวถีง สัมมาญาณะ ......ในพระสูตรนี้ บรรยายด้วยคำว่า"เห็นแจ้ง"
ซึ่ง พระสูตรนี้ แสดง อริยมรรคสมังคี ....
กล่าวถึง ความสัมพันธ์ที่อิงกัน แยกขาดออกจากกันไม่ได้ ระหว่าง "สมถะที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้"(สัมมาสมาธิ) กับ "วิปัสสนาที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้"(วิปัสสนาที่อยู่บนพื้นฐานของสัมมาสมาธิ)
ถ้า เรา-ท่าน ไม่ตั้งหลักกันให้ดีเสียก่อน ว่า คำว่า"สมถะ"ที่กำลังกล่าวอยู่นั้น เป็น ความหมายเดียวกันไหม
เวลาเสวนาเรื่อง สมถะ-วิปัสสนา นี้ จะไม่มีทางเข้าใจตรงกันเลย
คนหนึ่งกล่าวถึง สมถะแบบของฤาษี
อีกคนกล่าวถึง สมถะที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้
ผมจึงขอเสนอว่า เวลาเสวนาเรื่อง สมถะ-วิปัสสนา นี้ ควรย้อนกลับไปยังระดับพระสูตรโดยตรง จะดีกว่า
เพราะเมื่อใช้ แหล่งอ้างอิงเดียวกันแล้ว จะเข้าใจตรงกันง่ายขึ้น |
|
|
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
01 ส.ค. 2008, 11:01 am |
  |
ตรงประเด็น พิมพ์ว่า: |
มีประเด็น เพิ่มเติมน่ะครับ
อ้างอิงจาก: |
ถ้าจะเอาแต่ทำให้จิตสงบนิ่ง จะไม่มีวันรู้อะไรเลย
เหมือนจับเด็กมาบังคับให้มันนั่งเรียบร้อย หวีผมแปร้ ไม่หือ ไม่อือ
แล้วก้มาพิจารณาว่าเด็กคนนี้ (จิต) เป็นอย่างไร
มันก็เป็นเด็กดีสิคับ เพราะโดนบงการอยู่
แล้วก็ไปเชื่อว่าเด็กคนนี้ดี (ทั้งที่ตัวเองบังคับเด็ก) เป็นของแท้
แต่พอปล่อยเด็กไปตามธรรมชาติ (ออกจากสมถะ เลิกเจริญจิต เข้าสู่ชิวิตประจำวัน)
เด็กมันก็แสดงพฤติกรรมต่างๆตามธรรมชาติออกมา
แต่เราดันไม่ตามไปดู ไม่ตามไปรู้
เพราะฉะนั้น
ตราบเท่าที่เรายังจับเด็ก(จิตของเรา)มานั่งเรียบร้อย ไม่หือไม่อือ
เราก้จะไม่มีวันเข้าใจเด็กคนนี้ตามธรรมชาติของเขาจริงๆได้เลย
ต้องแอบตามดู ตามรู้ ตลอดเวลาทั้งนั่งสมาธิ หรือใช้ชีวิตประจำวัน
อย่างพอเหมาะพอดี ไม่เคร่งเกินไป ไปเผลอเรอเกินไป
ไม่แทรกแทรงพฤติต่างๆตามธรรมชาติของมัน
จึงจะเห็นของจริง
แล้วจิตจะเรียนรู้เอง โดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับสมองคิด หรือตำราอะไรเลย
|
สมถะ ที่กล่าวใน ความเห็นนี้ทั้งหมด คือ "สมถะแบบของฤาษี" (ซึ่งคัมภีร์รุ่นหลังพุทธกาลหลายเล่ม ก็จะกล่าวสมถะในแง่มุมนี้เช่นกัน ดังปรากฏในคำสอนเรื่องสมถะกรรมฐาน40กอง)
คือ เข้าไปสงบนิ่งเฉยๆ ไม่เอื้อต่อการเกิดปัญญา เป็นคนล่ะแบบกับ "สมถะที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้" ที่ปรากฏในระดับชั้นพระสูตร
สมถะแบบของฤาษี ย่อมนำไปสู่ มิจฉาสมาธิ ไม่เอื้อต่อการเกิดปัญญา
แต่ สมถะที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ ย่อมนำไปสู่ สัมมาสมาธิ ที่เป็นบาทแห่งสัมมาญาณะ(ตามมหาจัตตารีสกสูตร)
ลองพิจารณา จากพระสูตรนี้ อีกสักครั้ง
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๑ สุตตันตปิฎกที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
http://larndham.net/cgi-bin/tread.pl?start_book=31&start_byte=109458
[๑๔๗] อริยมรรคสมังคีบุคคล ย่อมเผาสังกิเลสที่ยังไม่เกิด ด้วยโลกุตตรฌานที่เกิดแล้ว
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวโลกุตตรฌานว่าเป็นฌาน
บุคคลนั้นย่อมไม่หวั่นไหวเพราะทิฐิต่างๆ เพราะความเป็นผู้ฉลาดในฌานและวิโมกข์
ถ้าพระโยคาวจรตั้งใจมั่นดีแล้ว ย่อมเห็นแจ้งฉันใด
ถ้าเมื่อเห็นแจ้ง ก็พึงตั้งใจไว้ให้มั่นคงดีฉันนั้น
สมถะและวิปัสสนาได้มีแล้วในขณะนั้น ย่อมเป็นคู่ที่มีส่วนเสมอกันเป็นไปอยู่
สมถะที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ย่อมนำไปสู่ สัมมาสมาธิ หรือ ตรงกับคำว่า"โลกุตระฌาน"....ในพระสูตรนี้ บรรยายด้วยคำว่า"ตั้งใจมั่นดีแล้ว"
วิปัสสนาในพระสูตรนี้ กล่าวถีง สัมมาญาณะ ......ในพระสูตรนี้ บรรยายด้วยคำว่า"เห็นแจ้ง"
ซึ่ง พระสูตรนี้ แสดง อริยมรรคสมังคี ....
กล่าวถึง ความสัมพันธ์ที่อิงกัน แยกขาดออกจากกันไม่ได้ ระหว่าง "สมถะที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้"(สัมมาสมาธิ) กับ "วิปัสสนาที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้"(วิปัสสนาที่อยู่บนพื้นฐานของสัมมาสมาธิ)
ถ้า เรา-ท่าน ไม่ตั้งหลักกันให้ดีเสียก่อน ว่า คำว่า"สมถะ"ที่กำลังกล่าวอยู่นั้น เป็น ความหมายเดียวกันไหม
เวลาเสวนาเรื่อง สมถะ-วิปัสสนา นี้ จะไม่มีทางเข้าใจตรงกันเลย
คนหนึ่งกล่าวถึง สมถะแบบของฤาษี
อีกคนกล่าวถึง สมถะที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้
ผมจึงขอเสนอว่า เวลาเสวนาเรื่อง สมถะ-วิปัสสนา นี้ ควรย้อนกลับไปยังระดับพระสูตรโดยตรง จะดีกว่า
เพราะเมื่อใช้ แหล่งอ้างอิงเดียวกันแล้ว จะเข้าใจตรงกันง่ายขึ้น |
เอ๊ คุณตรงประเด็น
ตกลงว่า ที่ยกข้อความผมมานี้คือ
ยกมาเห็นด้วย หรือยกมาแก้นะคับ
ผมงงเล็กน้อย |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
01 ส.ค. 2008, 11:11 am |
  |
สาธุสาธุสาธุ คุณตรงประเด็นกล่าวชอบแล้ว
จึงอยากชวนสมาชิกสนทนาคำว่า สมถะ โดยเฉพาะคุณเฉลิมศักดิ์และ
ผู้ที่ปฏิบัติเสธสมถะ หรือปฏิเสธสมาธิสนทนาประเด็นนี้ต่อ
เปิดประเด็นด้วยคำถามว่า แล้วสมาธิที่พระพุทธเจ้า เมื่อครั้งแสวงหา
โมกขธรรมใหม่ โดยฝากตัวเป็นศิษย์ฝึกในนำนักฤๅษี 2 ตนคือ
อาฬารดาบส และ อุกทดาบส เป็นสมาธิอะไร แล้วเมื่อครั้งที่
พระพุทธเจ้าบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณใช้สมาธิของใคร  |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 01 ส.ค. 2008, 11:12 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
01 ส.ค. 2008, 11:12 am |
  |
คุณ คามินธรรม
ผู้ฟังด้วยดี ย่อมมีปัญญา
คุณคามินธรรม ลองเทียบ คห. ของคุณคามินธรรม กับ หลักธรรมจากพระสูตร สิครับ...
ผมยกพระสูตรมาเป็นหลักให้พิจารณาแล้ว
ถ้า คห.ของคุณคามินธรรม ตรงกับพระสูตรดีแล้ว ก็ถือได้ว่าผมเห็นด้วยกับคุณคามินธรรม
ถ้า คห.ของคุณคามินธรรม ไม่ตรงกับพระสูตร ก็ถือได้ว่าผมไม่เห็นด้วยกับคุณคามินธรรม
ตรงไป-ตรงมา |
|
|
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
01 ส.ค. 2008, 11:30 am |
  |
ถามเพื่อสนทนาต่อว่า สมาธิที่พระพุทธเจ้า เมื่อครั้งแสวงหา
โมกขธรรมใหม่ โดยฝากตัวเป็นศิษย์ฝึกในนำนักฤๅษี 2 ตน
คือ อาฬารดาบส และ อุกทดาบส เป็นสมาธิอะไร แล้วเมื่อครั้ง
ที่ พระพุทธเจ้าบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณใช้สมาธิของ
ใคร
ใช้สมาธิที่ฝึกมาจากฤๅษี หรือ เพิ่งเป็นสมาธิส่วนตัวของท่านเองที่...ใน
ขณะนั้น |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
01 ส.ค. 2008, 1:37 pm |
  |
ตรงประเด็น พิมพ์ว่า: |
คุณ คามินธรรม
ผู้ฟังด้วยดี ย่อมมีปัญญา
คุณคามินธรรม ลองเทียบ คห. ของคุณคามินธรรม กับ หลักธรรมจากพระสูตร สิครับ...
ผมยกพระสูตรมาเป็นหลักให้พิจารณาแล้ว
ถ้า คห.ของคุณคามินธรรม ตรงกับพระสูตรดีแล้ว ก็ถือได้ว่าผมเห็นด้วยกับคุณคามินธรรม
ถ้า คห.ของคุณคามินธรรม ไม่ตรงกับพระสูตร ก็ถือได้ว่าผมไม่เห็นด้วยกับคุณคามินธรรม
ตรงไป-ตรงมา |
ผมรู้ว่าผมเขียนข้อความนั้น แต่ผมจำไม่ได้แล้วว่าเขียนกระทู้ไหน
...บริบทหัวกับหางมันหายไป...
ผมจึงสงสัยว่า เวลาเทียบ
เทียบเท่าที่ตัดมา หรือเทียบโดยคำนึงบริบท หัว หาง ที่ทำให้ผมเขียนข้อความขึ้น |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
01 ส.ค. 2008, 1:58 pm |
  |
รู้ละ เจอละ
ตรงไม่ตรงผมไม่ทราบหรอก
เพราะที่ผมพูดมา คือตัวอย่างที่ผิด ของการวิปัสนา
ยกมาให้รู้ว่า ... ผิด ..เป็นอย่างนี้.
ไม่ได้ยกมาบอกว่า นี่คือสิ่งที่ถูก
....................
ตกลงก็ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันนะคับ
ทำไมมันสลับซับซ้อนตาลปัตรยุ่งยากอะไรแบบนี้
คุยกับคุณพลศักดิ์ นึกว่ายาก ที่จริงไม่ยาก
คุยกับเขา วิธีที่เขาคุย ยังชัดเจน เด็ดขาด กว่ามาก ๆ
ไม่ต้องถอดรหัสเล่นเกมส์แฝงอะไรมากมายขนาดนี้ |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
|