ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
21 ส.ค. 2006, 9:06 pm |
  |
ปล่อยไปก่อน
พระเถระ(ที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่สิม)องค์หนึ่งซึ่งญาติโยมห่วงใยในข้อวัตรของท่านมาก ...... เมื่อห่วงมากก็กังวลมาก...... จึงมีเรื่องไปารภกับหลวงปู่สิมอยู่เสมอ
"ทำไม ท่านองค์นี้เก็บเนื้อเก็บตัวจังเลยครับหลวงปู่....
สวดมนต์ทำวัตรก็ไม่ค่อยมาประชุมกับหมู่คณะ
อายุพรรษาท่านก็มากแล้ว ทำไมไม่เห็นไปธุดงค์บ้างเลย....ๆลๆ" แล้วก็อะไรต่อมิอะไรอีกสารพัดเท่าที่โยมคิดว่าพระที่ดีในสายตาของโยมพึงปฏิบัติ
โดยมากเมื่อโยมบ่น หลวงปู่มัก"วางเฉย เหมือนแผ่นดิน".....จนกระทั่งเห็นว่า โยมชักกังวลบ่นพร่ำเกินเหตุ ท่านก็ชี้แจงเอื่อยๆว่า
"บ่ต้องไปกังวลกับเพิ่น(ท่านพระเถระองค์นั้น) ถึงเวลาเพิ่นก็ออกมาเอง ฆราวาสเราไม่ค่อยรู้เรื่องพระหรอก...... อยากธุดงค์ก็เดินรอบวัดนี่แหละ ชอบป่าไหน อยากหยุดก็หยุดซิ"
และการณ์ก็เป็นอย่างที่หลวงปู่ว่าไว้ไม่ผิด คือ"ถึงเวลาจำเป็น"ลูกศิษย์ของหลวงปู่ก็ออกมาปฏิบัติหน้าที่ตามสมควรแก่สถานภาพของตนเองโดยไม่บิดพลิ้ว
(จาก หนังสือละอองธรรม หน้า30)
|
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
21 ส.ค. 2006, 9:09 pm |
  |
ผู้รู้....มีอยู่ในโลก (1)
ในโอกาสอันเหมาะอันควร หลวงปู่สิม ท่านก็จะ"ดักคอ"ลูกศิษย์ให้ได้สะดุ้งกันเสียทีหนึ่ง .... บางท่านเจอบ่อยจนคิดว่า"อยู่ต่อหน้าหลวงปู่ ไม่กล้าคิดอะไร กลัวท่านรู้"
ครั้งหนึ่งเมื่อหลวงปู่ไปสกลนคร.... ปกติแทบทุกครั้งที่ไป หลวงปู่แวะพักผ่อนคลายอิริยาบถที่ศาลาริมน้ำวัดท่าวังหิน..... วันนั้นเมื่อหลวงปู่ไปถึง ลูกศิษย์ออกมารับย่าม แล้วก็เดินตามหลวงปู่ไปเงียบๆ...... แต่ความคิดนั้นไม่ยอมเงียบ
"เอ!!! เวลาเราอยู่คนเดียว การกระทำทางกาย วาจา จิตของเราที่ไม่ดี...... หลวงปู่จะรู้ไหมน้อ....... การกระทำ ความคิดของคนเรา ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง .....มีผู้รู้หรือเปล่า???"
หลวงปู่ซึ่งเดินนำหน้าลูกศิษย์ผู้ช่างคิดตอบขึ้นทันทีว่า
"ท่าน......ผู้รู้มีอยู่ในโลก"
(จากหนังสือละอองธรรม หน้า32) |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
21 ส.ค. 2006, 9:11 pm |
  |
ผู้รู้....มีอยู่ในโลก (2)
อีกครั้งหนึ่งเมื่อไปกราบหลวงปู่สิมที่บ้านกรุงเทพภาวนา ระหว่างนั่งรอเพื่อให้โอกาสญาติโยมเข้าถวายของหลวงปู่ ก็มีเวลาให้จิตปรุงแต่งได้แสดงบทบาทโต้ตอบกัน
"ของถวายหลวงปู่มากมายจริงๆ ศิษย์น่าจะได้รับแบ่งบ้าง วัดเรายังแร้นแค้น เทียนที่จะจุดในกระท่อมก็หายาก น้ำตาลจะฉันยังไม่มีเลย...... เอ๊ะ ทำไมจึงคิดโลภไปอย่างนั้น..... ก็มันไม่มีนี่!"
จนกระทั่งได้โอกาสเข้าสนทนาธรรม แล้วถึงเวลากราบลา ก็ต้องกระอักกระอ่วนใจเต็มที เมื่อหลวงปู่ผลักของที่กองอยู่ข้างๆตัวท่านมาให้ จำเพาะเป็นของที่คิดอยากได้ทั้งนั้น!
(จากหนังสือละอองธรรม หน้า33) |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
21 ส.ค. 2006, 9:13 pm |
  |
ผู้รู้....มีอยู่ในโลก (3)
ช่วงฤดูฝนปีหนึ่ง หลวงปู่สิมไปสกลนคร ท่านพักในกระท่อมที่บ้านบัว ตรงข้ามกับวัด...... ระยะนั้นพอดีลูกศิษย์ก็กำลังปั่นป่วนรวนเรด้วยโลกธรรมกระทบ จิตหวั่นไหว ฟูๆแฟบๆไปตามสรรเสริญนินทา..... เลยพาลโทษวัดบ้าง โทษกุฏิบ้าง โทษโยมบ้าง ....ว่าไปเรื่อย...... จนในที่สุดก็คิดหนี
เมื่อตัดสินใจว่าไปแน่ ก็ผลุนผลันออกจากกุฏิ จะไปกราบลาหลวงปู่..... พบท่านคอยอยู่ระหว่างทาง......หลวงปู่เตือนสติลูกศิษย์ด้วยคำอุปมาว่า
"......ท่าน ห้ามเสียงกบเสียงเขียดได้ไหม...... กบเขียดที่มันร้องน่ะ มันฆ่าตัวมันเองน่ะ..... มันร้องว่า ข้าอยู่นี่ ข้าอยู่นี่.... คนก็มาจับไป"
ยิ่งโดนหลวงปู่ดักคอบ่อย ยิ่งมีอานิสงส์มาก ลูกศิษย์ก็เลยอยู่หมัด...... หนีก็ไม่หนี สึกก็ไม่สึก..... อยู่มาจนปัจจุบันท่านเป็นประธานของสำนักสงฆ์ที่ท่านคิดหนีตอนนั้นนั่นเอง
(จากหนังสือละอองธรรม หน้า33-34) |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
21 ส.ค. 2006, 9:15 pm |
  |
เคารพพระธรรม
หลวงปู่สิม พุทธาจโร ...... ในตอนที่ท่านยังหนุ่มอยู่ ในช่วงนั้นท่านจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ ร่วมกับครูบาอาจารย์ที่สำคัญอีกหลายองค์...... มีการกำหนดให้ผลัดกันขึ้นแสดงธรรมทีล่ะองค์...... เหตุการณ์เช่นนี้ก็เวียนหมุนกัน ผลัดกันขึ้นแสดงธรรมทีล่ะองค์มาเสมอ. มีอยู่วันหนึ่ง เป็นคิวของหลวงปู่สิม และเกิดเหตุบางประการเป็นเหตุให้ทั้งพระและฆราวาสไม่สามารถมาร่วมกันฟังธรรมได้..... มีนั่งกันอยู่ในวิหารเพียง3-4คนเท่านั้น.
หลวงปู่สิมท่านก็ขึ้นธรรมมาศน์แสดงธรรมตามปกติ เรียกว่าไม่แตกต่างจากเวลาที่มีคนมาฟังกันมากๆเท่าใดเลย....... ท่านยังคงแสดงธรรมอย่างตั้งใจเต็มที่ ...... ครั้นแสดงธรรมเสร็จ ก็มีญาติโยมมากราบเรียนถามท่านว่า วันนี้คนมากันน้อยมาก หลวงปู่ไม่น่าแสดงธรรมให้เสียเวลาเลย เหนื่อยเปล่าๆ. หลวงปู่ท่านเมตตาตอบเรียบๆว่า
"คนไม่ค่อยมากัน แต่เทวดามากันเต็มวิหารเลย" |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
21 ส.ค. 2006, 9:21 pm |
  |
ผู้เผชิญมรณะภัยอย่างสงบ
ครูบาอาจารย์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ แต่ล่ะท่าน...... ก็ล้วนแต่ต้องมีวาระสุดท้ายด้วยกันทั้งนั้น....... บางท่านก็มีวิบากขันธ์น้อย...... บางท่านก็มีวิบากขันธ์มาก........ แต่ทุกท่านล้วนแต่ที่เป็น"สุคโต" หรือผู้ไปแล้วด้วยดี ย่อมล้วนแต่ผู้ที่มีสติทำกาละ...... ไม่หลงตายแบบปุถุชนเรา-ท่าน
ครูบาอาจารย์บางท่าน กว่าจะมรณภาพ ก็ต้องเผชิญกับวิบากกรรมในอัตภาพขันธ์สุดท้ายมาก...... เช่น หลวงปู่ชา หลวงปู่แหวน ท่านอาจารย์บุญจันทร์ . แต่ครูบาอาจารย์อีกหลายๆท่าน ท่านก็ไปแบบง่ายๆ ไม่ต้องรับวิบากกรรมในอัตภาพสุดท้ายมากนัก เช่น หลวงปู่ดุลย์ หลวงปู่สิม ๆลๆ
----------------------------------------------------------------
ขอเล่าถึง การเผชิญความตายอย่างสงบของหลวงปู่สิม พุทธาจาโรให้ฟัง...... ในช่วงไม่กี่เดือนสุดท้ายของชีวิตท่าน ท่านยังจำพรรษาที่เชียงดาวอยู่ แต่ก็มีข่าวว่าลูกศิษย์ทางสกลนครจะอาราธนาให้ท่านกลับบ้านเกิดที่สกลนคร. ในช่วงนั้นทางวัดกำลังจัดสร้างเจดีย์พิพิธภัณฑ์บริขารของท่านอยู่...... เพื่อนของคุณแม่ของผม ได้ไปกราบเรียนถามท่านว่า
"......หลวงปู่ค่ะ ถ้าหลวงปู่ไปจำพรรษาที่สกลนครแล้ว เจดีย์ที่เพิ่งสร้างเสร็จนี้จะทำอย่างไรต่อ...."
หลวงปู่ตอบด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบว่า"ก็..... ให้เอากระดูกมาใส่"
คุณแม่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง...... ผมรู้ทันทีว่าหลวงปู่ปลงอายุสังขารแล้ว
ปกติองค์หลวงปู่ท่านจะมีโรคประจำตัวคือโรคเก๊าท์ และน้ำตาลในเลือดต่ำ..... แต่สุขภาพโดยรวมของท่านก็ค่อนข้างดีสำหรับผู้ที่อายุ80กว่าปี..... มีอาจารย์แพทย์อาวุโสท่านหนึ่ง ท่านเคยไปอุปัฏฐากรักษาหลวงปู่ถึงที่วัด ผมก็เคยได้มีโอกาสสนทนากับอาจารย์แพทย์ท่านนี้. มีอยู่ครั้งหนึ่งผมได้มีโอกาสพูดคุยถึงหลวงปู่สิมกับอาจารย์ท่านนี้ ผมมั่นใจว่าหลวงปู่สิมท่านอ่านความคิดผู้อื่นออก...... ผมกำลังจะถามอาจารย์แพทย์ท่านนี้ท่านเคยเจอเหมือนอย่างที่ผมเคยเจอไหม..... อาจารย์แพทย์ท่านนี้ก็ดูเหมือนจะรู้ว่าผมกำลังจะถามความเห็นเรื่องใด ท่านเลยพูดออกมาเองว่า"....หลวงปู่ท่านอ่านความคิดได้.....".
เรื่องสุขภาพหลวงปู่ในช่วงสุดท้ายนั้น ถ้าเป็นคนภายนอกอาจจะไม่รู้ว่าความจริงท่านก็กำลังเผชิญกับโรคที่ร้ายแรงอยู่เหมือนกัน แต่เป็นเพราะท่านมีกำลังจิตอันเยี่ยมยอด ท่านจึงไม่แสดงออกมาให้คนอื่นต้องร้อนใจไปกับท่านด้วย. ในช่วงไม่กี่วันสุดท้าย ก่อนจะมรณภาพ สมเด็จราชินีนิมนต์ท่านเข้าวังในวันที่12สิงหา...... ในวันที่13ระหว่างเดินทางกลับ ท่านได้กล่าวขึ้นว่า
"....หลวงปู่หมดภาระ หมดเรื่องหมดราวเสียที......"
โยมที่ใกล้ชิดท่านถามท่านว่า หลวงปู่เหนื่อยไหม...... หลวงปู่ตอบเฉยๆว่า "..... เหนื่อยจนพูดไม่ถูกแล้ว....."
มีพระเข้าไปกราบนิมนต์ขอให้หลวงปู่ดำรงขันธ์อยู่ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
หลวงปู่ไม่รับนิมนต์ แต่ย้อนถามกลับว่า ".......คนนิมนต์น่ะ จะอยู่ได้หรือเปล่า....."
เช้ามืดวันรุ่ง(14สิงหาคม 2535)ขึ้นหลวงปู่ก็มรณภาพ!!!
"......สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว.....
........มีความทำลายเป็นธรรมดา......
........ การปราถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าได้ทำลายไปเลย ดังนี้......
........ มิใช่ฐานะจะมีได้........"
จาก มหาปรินิพพานสูตร |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
21 ส.ค. 2006, 9:25 pm |
  |
ร่มธรรม1
เรื่องความรักและความแสนรู้ที่สัตว์เดรัจฉานมีต่อพระสุปฏิปันโนนี้เกิดจากกระแสเมตตาจิตที่สัตว์เหล่านี้สัมผัสได้ ....... ที่เราเรียกกันว่า"ร่มเงาของสมณะ" หรือ จะเรียกว่า"ร่มธรรม"ก็คงไม่ผิด. เรื่องของไก่แสนรู้นี้ เป็นตำนานของพระธาตุดอยสุเทพเหมือนกัน คือในสมัยที่ ครูบาเจ้าศรีวิชัยท่านบูรณะทำทางขึ้นพระธาตุนั้น ได้มีไก่ตัวหนึ่งมาคอยเฝ้าอยู่ที่ลานพระธาตุด้านใน ถ้ามันเห็นใครใส่รองเท้าเข้าเขตนี้เขาจะตรงเข้าไปจิกตีตักเตือนให้ถอดรองเท้าออก!!!
|
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
21 ส.ค. 2006, 9:28 pm |
  |
ร่มธรรม2
เคยอ่านเจอเรื่องราวของสัตว์เดรัจฉานที่ไม่ทำร้ายพระสุปฏิปันโน คือเรื่องจระเข้กับ หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต ขอนแก่น..... จาก
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-pang_hist.htm
"..........หลวงปู่ผางเป็นพระสงฆ์ผู้มีจิตใจเมตตาอยู่เสมอ ท่านบำเพ็ญพรหมวิหารธรรม เมตตาบารมีของท่านนี้เป็นกระแสธรรมที่นุ่มนวลเยือกเย็น ในวัดอุดมคงคาคีรีเขต มีบึงเป็นที่อาศัยของจระเข้อยู่แห่งหนึ่ง ทราบว่ามีหลายตัวบางคราวน้ำป่าหลากมามาก ทำให้จระเข้หนีไปอยู่ในถิ่นอื่น หลวงปู่ต้องตามไปบอกให้กลับมาเฝ้าวัดที่บึงแห่งเดิม และจระเข้ก็กลับมาจริงๆ ด้วย เล่ากันว่าวันที่หลวงปู่มรณภาพ จระเข้ลอยไปทางด้านเหนือของบึง และร้องเสียงดังอยู่เป็นเวลานาน คล้ายจะบอกให้รู้ว่า หลวงปู่จะจาก พวกเราไปแล้ว และเป็นการแสดงถึงความอาลัยอาวรณ์ของสัตว์ คราวหนึ่งได้มีการสร้างกุฏิในบึงดังกล่าว พวกช่างไม่กล้าลงไปปักเสาในน้ำ เพราะกลัวจระเข้ หลวงปู่ ต้องลงไปยืนแช่ในน้ำคอยไล่ไม่ให้จระเข้เข้ามารบกวนพวกช่าง เมื่อถูกถามว่าไม่กลัวจระเข้หรือ หลวงปู่ตอบว่าเลี้ยงมันมาแต่เล็กแต่น้อยจะไปกลัวมันทำไม อีกเหตุการณ์ หนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงพลังเมตตาของหลวงปู่คือ หลายครั้งที่เกิดเหตุไฟป่า ใกล้กับบริเวณวัด บรรดาสัตว์ป่านานาชนิด กระเสือกกระสนหนีไฟ เข้าไปอาศัย ในเขตวัด ส่วนพวกที่หนีไฟไม่ทันเพราะหมดกำลัง และยังอ่อนก็ถูกไฟไหม้ตาย เป็นกอง อย่างน่าเอน็จอนาถ หลวงปู่ย่อมเห็นเหตุการณ์โดยตลอด ด้วยพลังแห่งเมตตาธรรม ที่มีอยู่ในใจ เป็นเหตุให้หลวงปู่ต้องอดอาหาร เป็นเวลาหลายวัน เข้านั่งสมาธิเพื่ออุทิศกุศลผลบุญให้แก่สัตว์ที่ถูกไฟไหม้ตาย....." |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
21 ส.ค. 2006, 9:29 pm |
  |
ร่มธรรม3
มีอีกเรื่องหนึ่งที่เคยอ่านพบคือเรื่องของ หลวงปู่ขาว อนาลโย กับสัตว์ป่า
จาก http://www.manager.co.th/dhamma/viewnews.aspx?NewsID=6000000052323
"........ท่านได้สร้างบารมีอยู่ในป่าเขาเป็นเวลายาวนาน มีประสบการณ์มากมายเกี่ยวกับสัตว์ป่าทั้งหลาย เช่น สิง ค่าง ช้าง เสือ เวลาท่านนึกถึงอะไร สิ่งนั้นมักจะมาตามความรำพึงนึกคิดเสมอ เช่น นึกถึงช้าง ว่าหายหน้าไปไหนนานไม่ผ่านมาทางนี้เลย พอตกกลางคืนดึกๆ ช้างก็จะมาหาจริงๆ และ เดินตรงมายังกุฏิที่ท่านพักอยู่ พอให้ท่านทราบว่าเขามาหาแล้ว ช้างก็จะกลับเข้าป่าไป เวลาที่ท่านนึกถึงเสือ ก็เช่นกัน นึกถึงตอนกลางวันตกกลางคืนเสือก็มาเพ่นพ่านภายในวัดบริเวณที่ท่านพักอยู่......"  |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
21 ส.ค. 2006, 9:33 pm |
  |
ร่มธรรม4
ขออนุญาต เล่าเรื่องเสือเจ้าของสัตว์แห่งป่าฝน ที่ต้องเวียนมาเจอกันกับครูบาอาจารย์....
หลวงปู่สิม พุทธาจโร ท่านได้เจอกับเสือในระยะประชิดขนาดเอื้อมมือถึงกันเลยทีเดียว!!! ตอนธุดงค์ผ่านป่าลึกในจังหวัดกาฬสินธุ์....
ตอนนั้นหลวงปู่พักอยู่ที่ดอนแห่งหนึ่งมีจอมปลวกกอใหญ่ เณรทำห้างร้านให้หลวงปู่พักบนหัวปลวก ทางขึ้น-ลงใช้มีดสับจอมปลวกเป็นขั้นบันได
พลบค่ำขณะที่หลวงปู่กำลังพักผ่อนโดยหันเท้าไปทางบันไดจอมปลวก ทันใดก็แว่วได้ยินเสียงเจ้าถิ่น
"เสียงมันเดินเป็นจังหวะ ดังตล้อบๆ มาเรื่อย จนกระมั่งมาหยุดที่ตีนจอมปลวก" หลวงปู่เล่าอย่างนึกขำ
"มันคงไม่เคยเห็นกลดพระธุดงค์ เลยแปลกใจว่าเป็นอะไรหนอ สีคล้ำๆอุ้มลุ้ม .....อยู่ตรงนั้น ยืนดูสักครู่มันก็ปีนมา เอาเท้าหน้าเขี่ยฝ่าเท้าหลวงปู่ลองดู..... หลวงปู่ก็จั๊กจี้ สะบัดฝ่าเท้าหวักเอาหน้ามันเข้าโดยบังเอิญ ....มันคงตกใจ ร้อง โฮก!!! แล้วกระโจนหนีไปเลย"
อีกครั้งหนึ่งที่หลวงปู่ธุดงค์ผ่านจังหวัดสระบุรี(ตอนนั้นหลวงปู่อุปสมบทได้2พรรษา) ธุดงค์จากขอนแก่นเข้ากรุงเทพๆ มีหลวงพี่อีกองค์หนึ่งติดตามไปด้วย ตั้งใจไปนมัสการท่านเจ้าคุณอุปาลีคุณูปมาจารย์ ..... วันหนึ่งขณะที่เดินทางไปทางพระพุทธบาท โดยมีหลวงปู่เดินนำหน้า...... ทั้งสององค์ก็ได้ยินเสียงเสือคำราม โฮก!!! ขึ้น แต่ยังไม่ทันเห็นตัว..... หลวงพี่ที่เดินอยู่ข้างหลังคงจะตกใจสุดขีด ออกวิ่งแซงหน้าหลวงปู่ ทั้งที่ทางแคบนิดเดียว
" นี่แหละ คือว่า ไม่ภาวนา" หลวงปู่สำทับ
"วิ่งไปได้ประมาณสองเส้นจึงหยุดได้..... ยังไม่เห็นตัวมันเลย ได้ยินเสียงก็วิ่งแล้ว ถ้าวิ่งไปข้างหน้า แล้วไปเจออีกตัวหนึ่ง จะทำอย่างไงก็ไม่รู้"
(มีผู้เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ท่านก็ยังคงเดินตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น)
จาก พุทธจารปูชา หน้า18 |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
21 ส.ค. 2006, 9:37 pm |
  |
ร่มธรรม5
ศีล 5 พาพ้นภัย(เกร็ดธรรมะจากหลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
ถ้าเราจะปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ศีล 5 ข้อนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก คฤหัสถ์กินข้าวเย็น ไม่มีในคัมภีร์ใดที่พระพุทธเจ้าเทศน์เอาไว้ว่าตกนรก ถ้าหากละเมิดศีล 5 ข้อ ข้อใดข้อหนึ่งละตกนรกทันทีทำไมพระพุทธเจ้าจึงสอนให้รักษาศีล 5 โดยวิสัยของพระพุทธเจ้าทรงไว้ซึ่งพระกรุณาคุณ พระองค์ทรงปรารถนาให้มนุษย์มีความรักกัน นี่คือคำตอบ รักษาศีล 5 ไปทำไม ต้องการความรัก ความรักที่เกิดขึ้นจากคุณธรรม เป็นความรักที่ประกอบไปด้วยความเมตตาปราณีรักได้ทุกคน เมื่อเรามีศีล 5 ศีล 5 ก็เป็นคุณธรรมประกันความปลอดภัยของสังคม การไม่ฆ่าเป็นการเคารพในสิทธิของผู้อื่น การไม่ลักขโมยเป็นการเคารพในสิทธิของคนอื่น กาเมสุมิจฉาจารมุสาวาทก็เคารพในสิทธิของคนอื่น สุราไม่มัวเมาเคารพในสิทธิของตัวเองและผู้อื่นด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เป็นมูลฐานให้เกิดระบอบประชาธิปไตย
เพราะฉะนั้น ในเมื่อมีศีล 5 แล้ว ก็ไม่ต้องกังวลเป็นการตัดกรรมตัดเวร เมื่อเราไม่ฆ่าใคร ใครหนอจะมาคิดฆ่าเรา เมื่อเราไม่เบียดเบียนข่มเหงรังแก ใครหนอจะมาคิดร้ายต่อเรา เราก็อยู่สบายอยู่ป่าก็สบาย
คนมีศีลบริสุทธิ์ แม้แต่เสือมันก็ไม่กัด หลวงตาสน อยู่เมืองอุบลเมื่อก่อนนี่ เดิมทีเดียวท่านเป็นนักเลงโตขนาดจี้ปล้นชั้นเสือ ภายหลังมากลับอกกลับใจนึกถึงบาปบุญคุณโทษ เพราะไปติดคุก อยู่ 14 ปี พอออกจาตะรางไปยกมือไหว้ขอบริขารเขา บอกว่า โอ๊ย เพิ่งออกจากคุกมาเดี๋ยวนี้อยากบวช ไม่มีบริขารจะบวชขอบริขารไปบวชหน่อย คนขายบริขารก็จัดให้ ถ้าไม่ให้ก็กลัวมันจะมาทำร้ายเอา พอได้แล้วแกก็ไปหาอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์ก็บวชให้ด้วยความจำใจเหมือนกัน พอบวชแล้วท่านก็ศึกษาพระธรรมวินัยข้อวัตรปฏิบัติ พอมีความรู้ความเข้าใจพอสมแล้วไปธุดงค์อยู่ในดงบั๊กอี่ ดงบั๊กอี่มีอาณาเขตตั้งแต่อำเภออำนาจเจริญไปถึงอำเภอมุกดาหาร เมื่อก่อนทารถยนต์ก็ไม่มี มีแต่ทางเดินเท้า มีคนไปสร้างกรงเอาไว้ เอาไม้เป็นท่อนๆไปฝังเรียงกัน จนสัตว์ใหญ่เข้าไม่ได้ ใครเดินทางก็ต้องรีบเร่งเดินให้ถึงที่ตรงนั้น มานอนอยู่ในกรงนั้น มิฉะนั้นเสือมันเอาไปกินหมด ทีนี้หลวงตาสนแกไป แกก็นอนอยู่บนก้อนหิน กลดไม่กางเดือนหงาย ๆ ตกกลางคืนเสือมันออกมาเป็นฝูง
ท่านก็บอกว่า ''เสือเอ๊ย.... มากินมันเสีย บักอันนี้มันเป็นโจรฆ่าผู้ฆ่าคนมามากแล้ว มากินเสียให้มันหมดกรรมหมดเวรไปหน่อย''
เสือมันก็ไม่กิน ท่านบอกว่า ธรรมดาเสือเมื่อมันเห็นคนเห็นสัตว์มันจะหมอบทำท่าขู่ แต่นี่มันมาแล้วมานั่งเฝ้าเหมือนหมาเฝ้าบ้าน นั่งยอง ๆ เหมือนหมานั่งเฝ้าบ้าน บางตัวเดินไปหัวมันสูงกว่าหัวเรา เวลามันนั่งอยู่ท่านเดินเข้าไปหามัน จะเอามือไปตบหัวมัน มันก็กระโดดเข้าป่าไป แทนที่มันจะกัดท่าน มันไม่กัด ท่านจึงมาพูดเล่น ๆ ตลก ๆ ว่า "เออ ไอ้ของที่เราสละทิ้งแล้วนี่ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็ไม่เอาของทิ้งแล้ว''
เพราะฉะนั้น ศีลนี่เป็นหลักธรรมประกันความปลอดภัยตัดกรรมตัดเวร ตัดผลเพิ่มของบาปกรรมทอนกำลังกิเลส
อ่านเจอมาจาก http://www.kmitl.ac.th/buddhist/tumma/nomal.html |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
21 ส.ค. 2006, 9:41 pm |
  |
ร่มธรรม6
".....เช้าวันนั้น ทันทีที่ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ฯ ได้เกริ่น หลังจากที่ท่านฉันจังหันว่า วันนี้เราจะไปเยี่ยมเสือ
บรรดาสานุศิษย์ต่างๆ รีบกุลีกุจอเตรียมติดตามไปกับขบวนรถของท่าน เพราะหลวงตาฯมาที่นี่
ที่วัดป่าหลวงตามหาบัว ฯ
จะเห็นท่านมีความสุขร่าเริงใจในท่ามกลางสัตว์ป่ามากมาย โดยเฉพาะเสือถึง 14 ตัว เสือเหล่านี้ก็มีบุญ ที่หลวงตาฯ ท่านเมตตามาเยี่ยมและพูดถึงบ่อย ๆ และหลวงตาท่านได้เมตตาลูบหัวพวกเขาหลายครั้ง โดยเฉพาะเจ้าเสือเหิรฟ้า ได้ถ่ายรูปกับหลวงตาและพระอาจารย์จันทร์เป็นประจำ
พระอาจารย์จันทร์ท่านได้ปล่อยเสือหลายตัว เพื่อมาต้อนรับหลวงตาถึงหน้าประตูวัด จากนั้นหลวงตาได้ลงจากรถและเดินไปพร้อมกับเหล่าเสือทั้งหลายนั่นเอง
เป็นภาพที่หาดูที่ไหนไม่ได้ในโลก หลวงตาท่านได้ถามพระอาจารย์ถึงเจ้าเลียงผา ( ชื่อบรรพต หลวงตาเคยเจอมันทุกครั้งที่ท่านมา มีครั้งหนึ่งหลวงตาจะกลับก็บอกมัน มันเดินตามหลวงตาพร้อมน้ำตาไหลพรากให้ทุกคนได้เห็น) พระอาจารย์กราบเรียนหลวงตาว่ามันไปมีแฟนอยู่บนภูเขาแล้วไม่ค่อยเข้ามาในวัด มันเคยกลับมาหาท่านหนหนึ่งเพราะแฟนมันไม่สบาย พอหายดีก็กลับขึ้นเขาไป
เรื่องนี้ก็หาฟังที่ไหนไม่ได้ในโลกเช่นกัน
เมื่อหลวงตาท่านเดินมาพักที่ศาลาใหญ่ ท่านยังได้เมตตาแสดงธรรม .. เพราะ
ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่กว่าธรรม
เป็นธรรมะที่หาฟังที่ไหนไม่ได้ในโลก.. ธรรมะป่า.. โดยพระหลวงตาพระป่าพระอริยะ.. ในวัดป่า
ท่ามกลางเสียงเสือ.. เสียงนกยูง แม้กระทั่งบนศาลาใหญ่ยังมีนกยูงตัวหนึ่งมาเดินวนเวียนและนั่งฟังเทศน์อยู่ด้วย.. ไม่มีที่ไหนในโลกอีกเช่นกัน
ก่อนจะกลับ หลวงตาท่านได้กล่าวว่า .. เรามาเพราะเราห่วงเสือต่างหาก กลัวจะบกพร่องขาดแคลน ท่านจันทร์เราไม่ห่วงท่านแล้ว หลวงตาท่านยังเมตตาสบทบเงินให้ได้จำนวนถึง 33,120 บาท ให้พระอาจารย์ไว้เป็นค่าอาหารสัตว์ป่าทั้งหลาย
พวกเราคณะศิษย์ทุกคนที่ได้ร่วมขบวนมากับหลวงตา ต่างพูดด้วยความประทับใจว่า วันนี้พวกเรามีบุญจึงได้มาวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน
ชื่อวัดที่หลวงตาท่านให้ชื่อเดียวกับท่าน จนเป็นที่รู้จักกันดีในต่างประเทศว่า วัดเสือ .. วัดแห่งเมตตาธรรมต่อสัตว์ป่า ซึ่งเป็นวัดแห่งเดียวในโลก......."
จาก http://www.tigertemple.org/News14.htm |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
21 ส.ค. 2006, 9:44 pm |
  |
ร่มธรรม7
จงอางหางกุดที่วัดหนองป่าพง
วัดหนองป่าพงช่วงแรก ๆ มีงูจงอางหางกุดอยู่ตัวหนึ่ง หลวงพ่อชา สุภัทโท เรียกมันว่าไอ้หางกุด ตอนเช้าเมื่อหลวงพ่อออกไปบิณฑบาต มันก็เลื้อยตามหลังทับรอยเท้าของหลวงพ่อไปด้วย เช้าวันหนึ่งขณะที่หลวงพ่อกำลังเดินเข้าหมู่บ้าน คนหาปลาผู้หนึ่งสังเกตเห็นรอยงูใหญ่เลื้อยตามหลัง จึงวิ่งเข้าไปในหมู่บ้านบอกเพื่อนบ้านว่า "อาจารย์ชาเอางูมาบิณฑบาตด้วย"
ชาวบ้านกลัวมาก ขากลับจึงสะกดรอยตามหลวงพ่อ ก็เห็นงูใหญ่เลื้อยตามหลวงพ่อเข้าไปในวัดด้วย รุ่งเช้าชาวบ้านจึงพากันมาพูดกับท่าน
"ท่านอาจารย์ทำไมเอางูไปบิณฑบาตด้วย ทีนี้จะไม่ใส่บาตรแล้วนะ กลัว"
"อาตมาไม่ทราบ อาตมาไม่ได้เอาไป" หลวงพ่อตอบ
"ไม่ได้เอาไปยังไง ตอนออกมาทุ่งนา ยังเห็นรอยงูมันเลื้อยทับรอยเท้าท่านอาจารย์อยู่นี่นา" ชาวบ้านช่วยกันต่อว่า
แต่หลวงพ่อก็ยังยืนยันว่าท่านไม่รู้อยู่นั่นเอง ชาวบ้านก็เลยพากันมาสังเกต ก็พบว่างูตัวนี้ตามท่านไปจากวัด พอถึงศาลพระภูมิทางเข้าหมู่บ้าน มันก็แยกเข้าไปคอยอยู่ที่นั่น จนหลวงพ่อกลับจากบิณฑบาต มันก็เลื้อยตามท่านกลับวัดอีก หลวงพ่อเองก็ไม่ได้เห็นงู แต่ได้สังเกตว่ามีรอยอย่างที่ชาวบ้านพูดกัน หลังจากนั้นเวลาที่ท่านจะออกจากวัดไปบิณฑบาต เมื่อจะพ้นเขตวัดหนองป่าพง ท่านพูดขึ้นว่า
"ไอ้หางกุดอย่าไปบิณฑบาตกับอาตมานะ คนเขากลัว" ต่อมาท่านก็ได้บอกด้วยว่า
"ให้หลบหนีเข้าไปหาที่อยู่ในป่ารกทึบเสียเถอะ อย่าออกมาให้คนเห็นอีก เพราะวัดนี้จะมีคนมามากขึ้น เขาจะกลัว"
กาลต่อมา ก็ไม่ปรากฏเห็นงูจงอางใหญ่ตัวนี้อีก
จาก ลำธารริมลานธรรม
เกร็ดชีวิตและปฏิปทาของพระดีพระแท้
พระไพศาล วิสาโล รวบรวมและเรียบเรียง |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
21 ส.ค. 2006, 9:47 pm |
  |
ร่มธรรม8
พระอาจารย์ชอบ(หลวงปู่ชอบ ฐานะสโม)เป็นศิษย์ผู้ใหญ่ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตวิปัสสนาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคปัจจุบัน พระอาจารย์ชอบเป็นผู้ฝักใฝ่ในการเที่ยวธุดงค์กรรมฐาน และนิยมบำเพ็ญปฏิบัติอยู่ในป่าเขามาโดยตลอด เมื่อ ๔๐-๕๐ ปีก่อน ป่าดงพงไพรปกคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ สิงสาราสัตว์จึงมีอยู่อย่างชุกชุม พระอาจารย์ชอบจึงมักพานพบสัตว์ป่านานาชนิดอยู่ไม่ขาด
มีคราวหนึ่งท่านไปเที่ยวธุดงค์ในประเทศพม่า ขณะนั่งภาวนาอยู่ในถ้ำราว ๕ โมงเย็นก็เห็นเสือโคร่งใหญ่ลายพาดกลอนตัวหนึ่งเดินมาหน้าถ้ำ แม้ท่าทางดูน่ากลัว แต่เมื่อมันมองเข้ามาในถ้ำสบตาท่าน แทนที่จะแสดงอาการกลัวหรือคำรามตามวิสัยสัตว์ป่า กลับมีอาการเฉย ๆ เมื่อขึ้นมาถึงถ้ำแล้วก็กระโดดขึ้นไปนั่งอยู่บนก้อนหินด้านทางขึ้นถ้ำสูงประมาณ ๑ เมตร ห่างจากท่านประมาณ ๖ เมตร แล้วก็นั่งเลียแข้งเลียขา โดยหาได้สนใจท่านแต่อย่างใดไม่ ท่านว่ามันนั่งราวกับสุนัขบ้าน พอเลียแข้งเลียขาเหนื่อยก็นอนหมอบแบบสุนัขอีก แล้วก็เลียขาแล้วลำตัวต่อโดยไม่สนใจอะไร
แม้ท่าทีของมันจะไม่ดุร้าย แต่ท่านก็ไม่วางใจ จึงงดออกไปเดินจงกรมที่หน้าถ้ำเหมือนอย่างเคย ในใจรู้สึกหวาดเสียวเล็กน้อย แต่ก็นั่งภาวนาต่อไปตามปกติ เสือโคร่งนาน ๆ ก็หันมามองดูท่านสักครั้งหนึ่ง เป็นการมองอย่างธรรมดา ๆ คล้ายกับมิตร แม้มันเลียแข้งเลียขาเสร็จนานแล้ว แต่ก็ไม่ไปไหนต่อ จนมืดแล้วท่านจึงเข้าไปในกลด ตกดึกท่านจะเข้านอนมันก็ยังอยู่ที่เดิม
ท่านตื่นนอนราวตี ๓ มองไปที่หน้าถ้ำ ก็ยังเห็นมันนอนอยู่ท่าเก่าจวบจนรุ่งเช้า ก็เกิดปัญหาขึ้นมาว่า ท่านจะไปบิณฑบาตได้อย่างไรในเมื่อมันนอนอยู่หน้าถ้ำ แต่ท่านตัดสินใจว่าจะต้องออกไป แม้ว่าทางที่จะเดินห่างตัวมันราว ๑ เมตรเศษ ๆ เท่านั้น
เมื่อท่านครองผ้าสะพายบาตรเสร็จก็ดำรงสติมั่น เจริญเมตตาแล้วพูดกับมันว่า "นี่ถึงเวลาออกบิณฑบาตแล้ว เราก็มีท้องมีปากมีความหิวกระหายเหมือนสัตว์โลกทั่วไป เราจะขอทางไปบิณฑบาตมาฉันหน่อยนะ จงให้ทางเราบ้าง ถ้าเจ้าอยากอยู่ที่นี่ต่อไปก็ได้ หรือจะไปเพื่อหาอยู่หากินที่ไหนก็ตามใจสะดวก เราไม่ว่า"
ท่านว่า มันนอนฟังท่านเหมือนสุนัขนอนฟังเจ้าของพูด พอพูดจบท่านก็เดินผ่านหน้ามัน ส่วนมันก็นอนสบายปล่อยให้ท่านเดินผ่านออกไป พลางชำเลืองดูด้วยสายตาอ่อน ๆ
เมื่อท่านบิณฑบาตกลับมา ก็ไม่พบมันแล้ว นับแต่วันนั้นก็ไม่เห็นมันอีกเลย
จาก ลำธารริมลานธรรม
เกร็ดชีวิตและปฏิปทาของพระดีพระแท้
พระไพศาล วิสาโล รวบรวมและเรียบเรียง |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
21 ส.ค. 2006, 9:50 pm |
  |
ร่มธรรม9
ช้างรับศีล
หลวงปู่ขาว อนาลโย แห่งวัดถ้ำกลองเพล จ.อุดรธานี เป็นศิษย์คนสำคัญของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ แม้ท่านจะล่วงลับดับขันธ์ไปแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๖ แต่ท่านก็ยังเป็นที่เคารพนับถือ ในหมู่ผู้ใฝ่ธรรมอย่างไม่เสื่อมคลาย
ท่านเป็นพระปฏิบัติที่ใฝ่ในธุดงควัตรมาตั้งแต่ยังหนุ่ม เมื่อท่านได้ยินกิตติศัพท์พระอาจารย์มั่นก็บุกป่าฝ่าดงตามหาท่าน และเที่ยวติดตามท่านจนภายหลังได้รับเมตตาเข้าไปจำพรรษากับท่านอาจารย์ใหญ่
คืนหนึ่งในพรรษา ขณะที่ท่านกำลังนั่งภาวนาอยู่ในกุฏิ ช้างบ้านใหญ่เชือกหนึ่งได้พลัดตรงเข้ามายังกุฏิท่าน แต่เผอิญกุฏิด้านหลังมีม้าหินใหญ่ก้อนหนึ่งบังอยู่ ช้างจึงไม่สามารถเข้ามาถึงตัวท่านได้ แต่กระนั้นก็เอางวงสอดเข้ามาในกุฏิจนถึงกลดและมุ้ง เสียงสูดลมหายใจดมกลิ่นท่านดังฟูดฟาด ๆ จนกลดและมุ้งไหวไปมา แต่ท่านเองไม่ไหวติง นั่งภาวนาบริกรรมพุทโธ ๆ ตลอด ๒ ชั่วโมง ช้างใหญ่ตัวนั้นไม่ยอมหนีไปไหนราวกับจะคอยทำร้ายท่าน ต่อมาก็เคลื่อนไปทางตะวันตกของกุฏิ แล้วล้วงเอามะขามมากิน
ท่านเห็นว่าหากนิ่งเฉยคงไม่ได้การ จึงตัดสินใจออกไปพูดกับมันให้รู้เรื่อง เพราะเชื่อว่าช้างนั้นรู้ภาษาคน หากพูดกับช้างดี ๆ มันคงจะไม่พุ่งมาทำร้ายเป็นแน่
เมื่อตกลงใจแล้ว ท่านก็ออกจากกุฏิมายืนแอบโคนต้นไม้หน้ากุฏิ แล้วพูดกับช้างว่า "พี่ชาย น้องขอพูดด้วยสักคำสองคำ ขอพี่ชายจงฟังคำของน้องจะพูดเวลานี้" ท่านว่าพอช้างได้ยินเสียงท่านก็หยุดนิ่งเงียบ แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า
"พี่ชายเป็นสัตว์ของมนุษย์นำมาเลี้ยงไว้ในบ้านเป็นเวลานานจนเป็นสัตว์บ้าน ความรู้สึกทุกอย่างตลอดจนภาษามนุษย์ที่เขาพูดกันและพร่ำสอนพี่ชายตลอดมานั้น พี่ชายรู้ได้ดีทุกอย่างยิ่งกว่ามนุษย์บางคนเสียอีก ดังนั้นพี่ชายควรจะรู้ขนบธรรมเนียมและข้อบังคับของมนุษย์ ไม่ควรทำอะไรตามใจชอบ เพราะการกระทำบางอย่างแม้จะถูกใจเรา แต่เป็นการขัดใจมนุษย์ก็ไม่ใช่ของดี เมื่อขัดใจมนุษย์แล้วเขาอาจทำอันตรายเราได้ ดีไม่ดีอาจถึงตายก็ได้ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ฉลาดแหลมคมกว่าบรรดาสัตว์ที่อยู่ร่วมโลกกัน สัตว์ทั้งหลายจึงกลัวมนุษย์มากกว่าสัตว์ด้วยกัน ตัวพี่ชายเองก็อยู่ในบังคับของมนุษย์ จึงควรเคารพมนุษย์ผู้ฉลาดกว่าเรา ถ้าดื้อดึงต่อเขาอย่างน้อยเขาก็ดี เขาเอาขอสับลงที่ศรีษะพี่ชายให้ได้รับความเจ็บปวด มากกว่านั้นเขาฆ่าให้ตาย พี่ชายจงจำไว้อย่าได้ลืมคำที่น้องสั่งสอนด้วยความเมตตาอย่างยิ่งนี้"
แล้วท่านก็ขอให้ช้างรับศีลห้า และกำชับให้รักษาให้ดี เมื่อตายไปจะได้สู่ความสุข มีชาติที่สูงขึ้น จากนั้นท่านก็สรุปว่า "เอาละน้องสั่งสอนเพียงเท่านี้ หวังว่าพี่ชายจะยินดีทำตาม ต่อไปนี้ขอให้พี่ชายจงไปเที่ยวหาอยู่หากินตามสบาย เป็นสุขกายสุขใจเถิด น้องก็จะได้เริ่มบำเพ็ญภาวนาต่อไป และอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาให้พี่ชายเป็นสุขทุก ๆ วัน และไม่ลดละเมตตา เอ้าพี่ชายไปได้แล้วจากที่นี่"
ท่านว่าขณะที่ท่านกำลังให้โอวาทสั่งสอน ช้างยืนนิ่งราวก้อนหินไม่กระดุกกระดิกหรือเคลื่อนอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งแม้แต่น้อย ต่อเมื่อท่านให้ศีลให้พรเสร็จและบอกให้ไปได้ มันจึงเริ่มหันหลังกลับออกไปจากที่นั้น
เมตตาและปิยวาจานั้นไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้น แม้ช้างก็ซาบซึ้งและสัมผัสได้ด้วยใจ
ลำธารริมลานธรรม
เกร็ดชีวิตและปฏิปทาของพระดีพระแท้
พระไพศาล วิสาโล รวบรวมและเรียบเรียง
.......ลำธารริมลานธรรม.....นี้ ผมนำมาจาก
http://www.khonnaruk.com/html/phra.html |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
21 ส.ค. 2006, 9:53 pm |
  |
ตัวโกรธ
หลวงปู่บุดดา ถาวโร จัดว่าเป็น "รัตตัญญู" (ผู้เก่าแก่และมีประสบการณ์มาก) รูปหนึ่งของคณะสงฆ์ไทย ด้วยท่านมีอายุยืนนานถึง ๑๐๑ ปีก่อนที่จะมรณภาพเมื่อปี ๒๕๓๗
สมัยที่ยังหนุ่ม ท่านมีโอกาสพบปะครูบาอาจารย์ที่สำคัญหลายรูปเช่น พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท) และครูบาศรีวิชัย ท่านหลังนี้เคยทักหลวงปู่บุดดาเนื่องจากเห็นท่านไม่พาดสังฆาฏิว่า "เฮาเป็นนายฮ้อย ก็ต้องให้เขาฮู้ว่าเป็นนายฮ้อย ไม่ใช่นายสิบ" นับแต่นั้นมาหลวงปู่จึงพาดสังฆาฏิติดตัวตลอดเวลา จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของท่าน
หลวงปู่บุดดา เป็นพระป่า ชอบธุดงค์ ไม่มีวัดเป็นหลักแหล่ง จนเมื่ออายุ ๘๗ ปีจึงได้มาประจำที่วัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรีกระทั่งมรณภาพ
แม้หลวงปู่บุดดาจะไม่ได้เล่าเรียนในทางปริยัติมาก แต่ความที่ท่านเชี่ยวชาญในการปฏิบัติ จึงมีความสามารถในการสอนธรรมชนิดที่สื่อตรงถึงใจ มีคราวหนึ่ง ท่านได้รับนิมนต์ให้ไปเทศน์คู่กับท่านเจ้าคุณรูปหนึ่งซึ่งเป็นเปรียญธรรม ๘ ประโยค ท่านเจ้าคุณรูปนั้นคงเห็นหลวงปู่เป็นพระบ้านนอกจึงอยากลองภูมิหลวงปู่ ได้ถามหลวงปู่ว่า "จะเทศน์เรื่องอะไร"
หลวงปู่ตอบว่า "เรื่องตัวโกรธ กิเลสตัณหา"
ท่านเจ้าคุณซักต่อว่า "ตัวโกรธเป็นอย่างไร"
หลวงปู่ตอบสั้น ๆ ว่า "ส้นตีน ไงล่ะ"
เท่านั้นเองท่านเจ้าคุณก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ไม่ยอมเทศน์กับหลวงปู่ วันนั้นหลวงปู่จึงต้องขึ้นเทศน์องค์เดียว เมื่อเทศน์จบแล้ว ท่านก็ไปขอขมาท่านเจ้าคุณองค์นั้น พร้อมกับอธิบายว่า
"ตัวโกรธมันเป็นอย่างนี้เองนะ มันหน้าแดง ๆ นี้แหละ มันเทศน์ไม่ได้ คอแข็ง ตัวโกรธสู้เขาไม่ได้ ขึ้นธรรมาสน์ก็แพ้เขา ใครจะเป็นนักเทศน์ต่อไปจดจำเอาไว้นะ ตัวโกรธน่ะ นักเทศน์ไปขัดคอกันเอง มันจะเอาคอไปให้เขาขัด"
หลวงปู่บุดดารู้จักตัวโกรธดี ท่านรู้ว่า ตัวโกรธกลัวคนกราบ ท่านเล่าว่าตั้งแต่เริ่มบวช ท่านพยายามเอาชนะความโกรธด้วยการกราบ เวลาโกรธท่านจะลุกขึ้นกราบพระ ๓ ครั้ง โกรธ ๒ ครั้งก็กราบพระ ๖ ครั้ง โกรธ ๑๐๐ ครั้ง ก็กราบ ๓๐๐ ครั้ง ทำเช่นนี้หลายครั้ง ความโกรธก็ครอบงำท่านไม่ได้
เมื่อความโกรธเป็นใหญ่เหนือใจไม่ได้ ความเมตตาและอ่อนน้อมถ่อมตนก็ตามมา หลวงปู่บุดดาขึ้นชื่อในเรื่องนี้มาก คราวหนึ่งท่านกำลังจะเดินข้ามสะพาน ก็เห็นสุนัขตัวหนึ่งนอนขวางทางอยู่บนสะพาน แทนที่ท่านจะเดินข้ามสุนัขตัวนั้น หรือไล่มันให้พ้นทาง กลับเดินลงไปลุยโคลนข้างล่าง
ท่านว่าไม่อยากให้ผู้อื่นได้รับความขุ่นเคือง เพียงเพื่อเห็นแก่ความสะดวกของตนเอง แม้เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉาน ท่านก็ไม่ปรารถนาจะเบียดเบียน.
ลำธารริมลานธรรม
เกร็ดชีวิตและปฏิปทาของพระดีพระแท้
พระไพศาล วิสาโล รวบรวมและเรียบเรียง
|
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
23 ส.ค. 2006, 1:55 pm |
  |
วิชชาสามประการ
หลวงปู่บุดดา ถาวโร
พระสุปฏิปันโน ผู้บรรลุวิชาสามประการ..... ท่านระลึกชาติได้มากมาย
ท่านเคยเล่าให้กับลูกศิษย์ฟังว่า ในอดีตชาติก่อนหน้านี้(ไม่ใช่ชาติสุดท้าย) ท่านได้เคยเกิดเป็นชายหนุ่ม รู้สึกชอบผู้หญิงคนหนึ่งเข้า จึงไปพูดคุยหวังจีบ. แทนที่ฝ่ายหญิง(ในอดีต)จะพูดคุยด้วยดี กลับเอาเรื่องในอดีตชาติที่ตนจำได้ก่อนหน้าชาตินั้นมาต่อว่าให้ชายหนุ่มฟังว่า ......ในชาติก่อนๆหน้านั้น หลวงปู่เป็นผู้ทำให้ผู้หญิงคนนั้นซึ่งตอนนั้นเกิดเป็นหมาถูกทุบตี และถูกจับผูกทรมานให้อดอาหารจนตาย.....
เรื่องมีอยู่ว่า ในชาตินั้นหลวงปู่เป็นเจ้าอาวาสวัดที่วัดแห่งหนึ่งในประเทศลาว และกำลังป่วยหนักอยู่ ได้ให้เด็กวัดไล่หมาตัวเมียที่มาโขมยกินอาหารในวัด.....เด็กวัดก็ตีหมาและเอาหมาไปผูกไว้เสียไกลจากวัดมากเพื่อจะได้ไม่หนวกหูเสียงร้องของมัน..... เด็กวัดมามัวสาละวนดูอาการเจ็บของเจ้าอาวาสและคอยวุ่นกับการตายของเจ้าอาวาสในเวลาถัดมา จึงลืมไปแก้มัดหมาตัวนั้น หมาตัวนั้นเลยอดอาหารตายอย่างอนาถ...... หมานั้นมาเกิดเป็นหญิงสาวและจำเหตุการณ์นั้นได้ จึงต่อว่าหลวงปู่(ในชาติก่อน)เอา
นี่เป็นตัวอย่างครับว่า บางครั้งการเกิดความรู้สึกชอบใคร อาจจะไม่จำเป็นต้องเคยรักใคร่กันแบบคนต่อคน อาจจะเป็นเจ้านายกับสัตว์เลี้ยงก็ได้.....ภพ-ชาติ มันเป็นเรื่องสลับซับซ้อน.....เกินที่เรา-ท่านจะไปคาดเดาเอาง่ายๆ......เอาเป็นว่า ปัจจุบัน ไม่ผิดศีล ไม่ต้องไปอบายก็เอาแล้วล่ะครับ
|
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
23 ส.ค. 2006, 2:01 pm |
  |
ขุดจนสุดแผ่นดิน
หลวงปู่สิม พุทธาจโร แห่งสำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ท่านเป็นลูกศิษย์อาวุโสหลวงปู่มั่นองค์หนึ่ง....ท่านเป็นผู้ที่มักน้อยสันโดษ ไม่ชอบคลุกคลีหมู่คณะ.แต่ท่านเคยจำเป็นต้องรับภาระเป็นเจ้าอาวาสวัดใหญ่พร้อ มๆกันถึงสามวัด คือวัดป่าสุทธาวาส สกลนคร(วัดที่หลวงปู่มั่นมรณภาพ) วัดอโศการาม ปากน้ำสมุทรปราการ(ภายหลังท่านพ่อลี มรณภาพ) วัดสันติธรรมเชียงใหม่ แถมด้วยถ้ำผาปล่องอีก......แต่ภายหลัง ท่านสามารถหาผู้มารับผิดชอบแทนท่านได้แล้วท่านก็ลาออกหมด เหลือเพียงถ้ำผาปล่องแห่งเดียว!!!
มันตรงข้ามกับพระในปัจจุบันอีกหลายแห่งที่ แย่งกันเพื่อลาภสักการะ.........
ดอยเชียงดาว ในตอนนั้น ธรรมชาติแถวนั้นงดงามมาก ไม่แปลกใจเลยที่พระธุดงค์กรรมฐานตั้งแต่อดีตกาลโพ้น จะมาวิเวกบำเพ็ญเพียรที่นี่.หลวงปู่มั่นท่านเคยเล่าให้ฟังว่าถ้ำเชียงดาวเป็ นสถานที่ ที่มีพระปัจเจกพุทธเจ้าเคยมานิพพานในอดีตอันนานมาแล้ว.......
ในสมัยหนุ่มๆ หลวงปู่สิมท่านจะท่องธุดงค์อยู่ในภาคอีสาน มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านไปแวะพักที่แห่งหนึ่ง.ที่นั้นขาดน้ำอย่างหนัก ท่านได้บอกให้ชาวบ้านและพระเฌรช่วยกันขุดบ่อ.แต่ขุดไปนานหลายวันมากก็ยังไม่ พบน้ำสักหยด!.....ชาวบ้านและพระเฌรต่างพากันเลิกรากันไปหมดแล้ว......เหลือหลวงปู่สิมขุดอยู่องค์เดียว!!! มีคนถามท่านว่า เมื่อไรถึงจะเลิกขุด?
ท่านตอบเรียบๆว่า" จะขุดไปจนสุดแผ่นดิน!!!" คนที่ถามเลยเลิกถามและคงคิดปลงอยู่ในใจ.......แต่หลังจากนั้นอีกครู่หนึ่ง เมื่อจอบกระทบกับพื้นดิน น้ำก็พุ่งสวนขึ้นมา. เรื่องนี้เป็นคติธรรมอันดีแสดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวและความเพียรอันกล้า ของหลวงปู่ท่าน.
|
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
23 ส.ค. 2006, 2:04 pm |
  |
แล้วจะรู้เอง
เคยมีผู้ไปกราบเรียนถาม หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ว่า....
"หลวงปู่เป็นพระอรหันต์หรือเปล่า? "
หลวงปู่ท่านตอบกลับเรียบๆว่า
"ให้ภาวนาเอาเอง จนกิเลสสิ้นไปจากใจ......
เมื่อเกิดจิตรู้(ญาณ?) แล้วใช้จิตรู้นั้นล่ะดูหลวงปู่" |
|
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
25 ส.ค. 2006, 7:15 am |
  |
เกิด-ตาย กับ เกิด-ดับ
เป็นคนเป็นสัตว์ มันก็มีเกิดมีตาย
ธรรมะไม่เกิด-ไม่ตาย มีแต่เกิด-ดับ
กิเลสตายไปแล้ว ไม่มาอีก
เหลือแต่ นิโรโธ นิพพานัง
ธรรมลิขิตจากหลวงปู่บุดดา ถาวโร มกราคม 2536
(จาก พุทธจารปูชา ช่วงคำนำ น.16)
|
|
|
|
  |
 |
|