Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 รมณียธรรม ธรรมที่ร่มเย็นจากพระป่า อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2006, 9:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปล่อยไปก่อน



พระเถระ(ที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่สิม)องค์หนึ่งซึ่งญาติโยมห่วงใยในข้อวัตรของท่านมาก ...... เมื่อห่วงมากก็กังวลมาก...... จึงมีเรื่องไปารภกับหลวงปู่สิมอยู่เสมอ

"ทำไม ท่านองค์นี้เก็บเนื้อเก็บตัวจังเลยครับหลวงปู่....
สวดมนต์ทำวัตรก็ไม่ค่อยมาประชุมกับหมู่คณะ
อายุพรรษาท่านก็มากแล้ว ทำไมไม่เห็นไปธุดงค์บ้างเลย....ๆลๆ" แล้วก็อะไรต่อมิอะไรอีกสารพัดเท่าที่โยมคิดว่าพระที่ดีในสายตาของโยมพึงปฏิบัติ

โดยมากเมื่อโยมบ่น หลวงปู่มัก"วางเฉย เหมือนแผ่นดิน".....จนกระทั่งเห็นว่า โยมชักกังวลบ่นพร่ำเกินเหตุ ท่านก็ชี้แจงเอื่อยๆว่า
"บ่ต้องไปกังวลกับเพิ่น(ท่านพระเถระองค์นั้น) ถึงเวลาเพิ่นก็ออกมาเอง ฆราวาสเราไม่ค่อยรู้เรื่องพระหรอก...... อยากธุดงค์ก็เดินรอบวัดนี่แหละ ชอบป่าไหน อยากหยุดก็หยุดซิ"

และการณ์ก็เป็นอย่างที่หลวงปู่ว่าไว้ไม่ผิด คือ"ถึงเวลาจำเป็น"ลูกศิษย์ของหลวงปู่ก็ออกมาปฏิบัติหน้าที่ตามสมควรแก่สถานภาพของตนเองโดยไม่บิดพลิ้ว

(จาก หนังสือละอองธรรม หน้า30)

 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2006, 9:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผู้รู้....มีอยู่ในโลก (1)


ในโอกาสอันเหมาะอันควร หลวงปู่สิม ท่านก็จะ"ดักคอ"ลูกศิษย์ให้ได้สะดุ้งกันเสียทีหนึ่ง .... บางท่านเจอบ่อยจนคิดว่า"อยู่ต่อหน้าหลวงปู่ ไม่กล้าคิดอะไร กลัวท่านรู้"

ครั้งหนึ่งเมื่อหลวงปู่ไปสกลนคร.... ปกติแทบทุกครั้งที่ไป หลวงปู่แวะพักผ่อนคลายอิริยาบถที่ศาลาริมน้ำวัดท่าวังหิน..... วันนั้นเมื่อหลวงปู่ไปถึง ลูกศิษย์ออกมารับย่าม แล้วก็เดินตามหลวงปู่ไปเงียบๆ...... แต่ความคิดนั้นไม่ยอมเงียบ
"เอ!!! เวลาเราอยู่คนเดียว การกระทำทางกาย วาจา จิตของเราที่ไม่ดี...... หลวงปู่จะรู้ไหมน้อ....... การกระทำ ความคิดของคนเรา ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง .....มีผู้รู้หรือเปล่า???"

หลวงปู่ซึ่งเดินนำหน้าลูกศิษย์ผู้ช่างคิดตอบขึ้นทันทีว่า

"ท่าน......ผู้รู้มีอยู่ในโลก"


(จากหนังสือละอองธรรม หน้า32)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2006, 9:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผู้รู้....มีอยู่ในโลก (2)


อีกครั้งหนึ่งเมื่อไปกราบหลวงปู่สิมที่บ้านกรุงเทพภาวนา ระหว่างนั่งรอเพื่อให้โอกาสญาติโยมเข้าถวายของหลวงปู่ ก็มีเวลาให้จิตปรุงแต่งได้แสดงบทบาทโต้ตอบกัน

"ของถวายหลวงปู่มากมายจริงๆ ศิษย์น่าจะได้รับแบ่งบ้าง วัดเรายังแร้นแค้น เทียนที่จะจุดในกระท่อมก็หายาก น้ำตาลจะฉันยังไม่มีเลย...... เอ๊ะ ทำไมจึงคิดโลภไปอย่างนั้น..... ก็มันไม่มีนี่!"

จนกระทั่งได้โอกาสเข้าสนทนาธรรม แล้วถึงเวลากราบลา ก็ต้องกระอักกระอ่วนใจเต็มที เมื่อหลวงปู่ผลักของที่กองอยู่ข้างๆตัวท่านมาให้ จำเพาะเป็นของที่คิดอยากได้ทั้งนั้น! ยิ้มเห็นฟัน


(จากหนังสือละอองธรรม หน้า33)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2006, 9:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผู้รู้....มีอยู่ในโลก (3)


ช่วงฤดูฝนปีหนึ่ง หลวงปู่สิมไปสกลนคร ท่านพักในกระท่อมที่บ้านบัว ตรงข้ามกับวัด...... ระยะนั้นพอดีลูกศิษย์ก็กำลังปั่นป่วนรวนเรด้วยโลกธรรมกระทบ จิตหวั่นไหว ฟูๆแฟบๆไปตามสรรเสริญนินทา..... เลยพาลโทษวัดบ้าง โทษกุฏิบ้าง โทษโยมบ้าง ....ว่าไปเรื่อย...... จนในที่สุดก็คิดหนี
เมื่อตัดสินใจว่าไปแน่ ก็ผลุนผลันออกจากกุฏิ จะไปกราบลาหลวงปู่..... พบท่านคอยอยู่ระหว่างทาง......หลวงปู่เตือนสติลูกศิษย์ด้วยคำอุปมาว่า
"......ท่าน ห้ามเสียงกบเสียงเขียดได้ไหม...... กบเขียดที่มันร้องน่ะ มันฆ่าตัวมันเองน่ะ..... มันร้องว่า ข้าอยู่นี่ ข้าอยู่นี่.... คนก็มาจับไป"

ยิ่งโดนหลวงปู่ดักคอบ่อย ยิ่งมีอานิสงส์มาก ลูกศิษย์ก็เลยอยู่หมัด...... หนีก็ไม่หนี สึกก็ไม่สึก..... อยู่มาจนปัจจุบันท่านเป็นประธานของสำนักสงฆ์ที่ท่านคิดหนีตอนนั้นนั่นเอง


(จากหนังสือละอองธรรม หน้า33-34)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2006, 9:15 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เคารพพระธรรม


หลวงปู่สิม พุทธาจโร ...... ในตอนที่ท่านยังหนุ่มอยู่ ในช่วงนั้นท่านจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ ร่วมกับครูบาอาจารย์ที่สำคัญอีกหลายองค์...... มีการกำหนดให้ผลัดกันขึ้นแสดงธรรมทีล่ะองค์...... เหตุการณ์เช่นนี้ก็เวียนหมุนกัน ผลัดกันขึ้นแสดงธรรมทีล่ะองค์มาเสมอ. มีอยู่วันหนึ่ง เป็นคิวของหลวงปู่สิม และเกิดเหตุบางประการเป็นเหตุให้ทั้งพระและฆราวาสไม่สามารถมาร่วมกันฟังธรรมได้..... มีนั่งกันอยู่ในวิหารเพียง3-4คนเท่านั้น.
หลวงปู่สิมท่านก็ขึ้นธรรมมาศน์แสดงธรรมตามปกติ เรียกว่าไม่แตกต่างจากเวลาที่มีคนมาฟังกันมากๆเท่าใดเลย....... ท่านยังคงแสดงธรรมอย่างตั้งใจเต็มที่ ...... ครั้นแสดงธรรมเสร็จ ก็มีญาติโยมมากราบเรียนถามท่านว่า วันนี้คนมากันน้อยมาก หลวงปู่ไม่น่าแสดงธรรมให้เสียเวลาเลย เหนื่อยเปล่าๆ. หลวงปู่ท่านเมตตาตอบเรียบๆว่า
"คนไม่ค่อยมากัน แต่เทวดามากันเต็มวิหารเลย"
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2006, 9:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผู้เผชิญมรณะภัยอย่างสงบ



ครูบาอาจารย์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ แต่ล่ะท่าน...... ก็ล้วนแต่ต้องมีวาระสุดท้ายด้วยกันทั้งนั้น....... บางท่านก็มีวิบากขันธ์น้อย...... บางท่านก็มีวิบากขันธ์มาก........ แต่ทุกท่านล้วนแต่ที่เป็น"สุคโต" หรือผู้ไปแล้วด้วยดี ย่อมล้วนแต่ผู้ที่มีสติทำกาละ...... ไม่หลงตายแบบปุถุชนเรา-ท่าน

ครูบาอาจารย์บางท่าน กว่าจะมรณภาพ ก็ต้องเผชิญกับวิบากกรรมในอัตภาพขันธ์สุดท้ายมาก...... เช่น หลวงปู่ชา หลวงปู่แหวน ท่านอาจารย์บุญจันทร์ . แต่ครูบาอาจารย์อีกหลายๆท่าน ท่านก็ไปแบบง่ายๆ ไม่ต้องรับวิบากกรรมในอัตภาพสุดท้ายมากนัก เช่น หลวงปู่ดุลย์ หลวงปู่สิม ๆลๆ


----------------------------------------------------------------


ขอเล่าถึง การเผชิญความตายอย่างสงบของหลวงปู่สิม พุทธาจาโรให้ฟัง...... ในช่วงไม่กี่เดือนสุดท้ายของชีวิตท่าน ท่านยังจำพรรษาที่เชียงดาวอยู่ แต่ก็มีข่าวว่าลูกศิษย์ทางสกลนครจะอาราธนาให้ท่านกลับบ้านเกิดที่สกลนคร. ในช่วงนั้นทางวัดกำลังจัดสร้างเจดีย์พิพิธภัณฑ์บริขารของท่านอยู่...... เพื่อนของคุณแม่ของผม ได้ไปกราบเรียนถามท่านว่า
"......หลวงปู่ค่ะ ถ้าหลวงปู่ไปจำพรรษาที่สกลนครแล้ว เจดีย์ที่เพิ่งสร้างเสร็จนี้จะทำอย่างไรต่อ...."
หลวงปู่ตอบด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบว่า"ก็..... ให้เอากระดูกมาใส่"
คุณแม่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง...... ผมรู้ทันทีว่าหลวงปู่ปลงอายุสังขารแล้ว

ปกติองค์หลวงปู่ท่านจะมีโรคประจำตัวคือโรคเก๊าท์ และน้ำตาลในเลือดต่ำ..... แต่สุขภาพโดยรวมของท่านก็ค่อนข้างดีสำหรับผู้ที่อายุ80กว่าปี..... มีอาจารย์แพทย์อาวุโสท่านหนึ่ง ท่านเคยไปอุปัฏฐากรักษาหลวงปู่ถึงที่วัด ผมก็เคยได้มีโอกาสสนทนากับอาจารย์แพทย์ท่านนี้. มีอยู่ครั้งหนึ่งผมได้มีโอกาสพูดคุยถึงหลวงปู่สิมกับอาจารย์ท่านนี้ ผมมั่นใจว่าหลวงปู่สิมท่านอ่านความคิดผู้อื่นออก...... ผมกำลังจะถามอาจารย์แพทย์ท่านนี้ท่านเคยเจอเหมือนอย่างที่ผมเคยเจอไหม..... อาจารย์แพทย์ท่านนี้ก็ดูเหมือนจะรู้ว่าผมกำลังจะถามความเห็นเรื่องใด ท่านเลยพูดออกมาเองว่า"....หลวงปู่ท่านอ่านความคิดได้.....".

เรื่องสุขภาพหลวงปู่ในช่วงสุดท้ายนั้น ถ้าเป็นคนภายนอกอาจจะไม่รู้ว่าความจริงท่านก็กำลังเผชิญกับโรคที่ร้ายแรงอยู่เหมือนกัน แต่เป็นเพราะท่านมีกำลังจิตอันเยี่ยมยอด ท่านจึงไม่แสดงออกมาให้คนอื่นต้องร้อนใจไปกับท่านด้วย. ในช่วงไม่กี่วันสุดท้าย ก่อนจะมรณภาพ สมเด็จราชินีนิมนต์ท่านเข้าวังในวันที่12สิงหา...... ในวันที่13ระหว่างเดินทางกลับ ท่านได้กล่าวขึ้นว่า
"....หลวงปู่หมดภาระ หมดเรื่องหมดราวเสียที......"
โยมที่ใกล้ชิดท่านถามท่านว่า หลวงปู่เหนื่อยไหม...... หลวงปู่ตอบเฉยๆว่า "..... เหนื่อยจนพูดไม่ถูกแล้ว....."
มีพระเข้าไปกราบนิมนต์ขอให้หลวงปู่ดำรงขันธ์อยู่ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
หลวงปู่ไม่รับนิมนต์ แต่ย้อนถามกลับว่า ".......คนนิมนต์น่ะ จะอยู่ได้หรือเปล่า....."

เช้ามืดวันรุ่ง(14สิงหาคม 2535)ขึ้นหลวงปู่ก็มรณภาพ!!!


"......สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว.....

........มีความทำลายเป็นธรรมดา......

........ การปราถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าได้ทำลายไปเลย ดังนี้......

........ มิใช่ฐานะจะมีได้........" ปรบมือ ปรบมือ ปรบมือ


จาก มหาปรินิพพานสูตร
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2006, 9:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ร่มธรรม1


เรื่องความรักและความแสนรู้ที่สัตว์เดรัจฉานมีต่อพระสุปฏิปันโนนี้เกิดจากกระแสเมตตาจิตที่สัตว์เหล่านี้สัมผัสได้ ....... ที่เราเรียกกันว่า"ร่มเงาของสมณะ" หรือ จะเรียกว่า"ร่มธรรม"ก็คงไม่ผิด. เรื่องของไก่แสนรู้นี้ เป็นตำนานของพระธาตุดอยสุเทพเหมือนกัน คือในสมัยที่ ครูบาเจ้าศรีวิชัยท่านบูรณะทำทางขึ้นพระธาตุนั้น ได้มีไก่ตัวหนึ่งมาคอยเฝ้าอยู่ที่ลานพระธาตุด้านใน ถ้ามันเห็นใครใส่รองเท้าเข้าเขตนี้เขาจะตรงเข้าไปจิกตีตักเตือนให้ถอดรองเท้าออก!!!

 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2006, 9:28 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ร่มธรรม2


เคยอ่านเจอเรื่องราวของสัตว์เดรัจฉานที่ไม่ทำร้ายพระสุปฏิปันโน คือเรื่องจระเข้กับ หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต สาธุ ขอนแก่น..... จาก

http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-pang_hist.htm

"..........หลวงปู่ผางเป็นพระสงฆ์ผู้มีจิตใจเมตตาอยู่เสมอ ท่านบำเพ็ญพรหมวิหารธรรม เมตตาบารมีของท่านนี้เป็นกระแสธรรมที่นุ่มนวลเยือกเย็น ในวัดอุดมคงคาคีรีเขต มีบึงเป็นที่อาศัยของจระเข้อยู่แห่งหนึ่ง ทราบว่ามีหลายตัวบางคราวน้ำป่าหลากมามาก ทำให้จระเข้หนีไปอยู่ในถิ่นอื่น หลวงปู่ต้องตามไปบอกให้กลับมาเฝ้าวัดที่บึงแห่งเดิม และจระเข้ก็กลับมาจริงๆ ด้วย เล่ากันว่าวันที่หลวงปู่มรณภาพ จระเข้ลอยไปทางด้านเหนือของบึง และร้องเสียงดังอยู่เป็นเวลานาน คล้ายจะบอกให้รู้ว่า หลวงปู่จะจาก พวกเราไปแล้ว และเป็นการแสดงถึงความอาลัยอาวรณ์ของสัตว์ คราวหนึ่งได้มีการสร้างกุฏิในบึงดังกล่าว พวกช่างไม่กล้าลงไปปักเสาในน้ำ เพราะกลัวจระเข้ หลวงปู่ ต้องลงไปยืนแช่ในน้ำคอยไล่ไม่ให้จระเข้เข้ามารบกวนพวกช่าง เมื่อถูกถามว่าไม่กลัวจระเข้หรือ หลวงปู่ตอบว่าเลี้ยงมันมาแต่เล็กแต่น้อยจะไปกลัวมันทำไม อีกเหตุการณ์ หนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงพลังเมตตาของหลวงปู่คือ หลายครั้งที่เกิดเหตุไฟป่า ใกล้กับบริเวณวัด บรรดาสัตว์ป่านานาชนิด กระเสือกกระสนหนีไฟ เข้าไปอาศัย ในเขตวัด ส่วนพวกที่หนีไฟไม่ทันเพราะหมดกำลัง และยังอ่อนก็ถูกไฟไหม้ตาย เป็นกอง อย่างน่าเอน็จอนาถ หลวงปู่ย่อมเห็นเหตุการณ์โดยตลอด ด้วยพลังแห่งเมตตาธรรม ที่มีอยู่ในใจ เป็นเหตุให้หลวงปู่ต้องอดอาหาร เป็นเวลาหลายวัน เข้านั่งสมาธิเพื่ออุทิศกุศลผลบุญให้แก่สัตว์ที่ถูกไฟไหม้ตาย....."
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2006, 9:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ร่มธรรม3


มีอีกเรื่องหนึ่งที่เคยอ่านพบคือเรื่องของ หลวงปู่ขาว อนาลโย กับสัตว์ป่า

จาก http://www.manager.co.th/dhamma/viewnews.aspx?NewsID=6000000052323

"........ท่านได้สร้างบารมีอยู่ในป่าเขาเป็นเวลายาวนาน มีประสบการณ์มากมายเกี่ยวกับสัตว์ป่าทั้งหลาย เช่น สิง ค่าง ช้าง เสือ เวลาท่านนึกถึงอะไร สิ่งนั้นมักจะมาตามความรำพึงนึกคิดเสมอ เช่น นึกถึงช้าง ว่าหายหน้าไปไหนนานไม่ผ่านมาทางนี้เลย พอตกกลางคืนดึกๆ ช้างก็จะมาหาจริงๆ และ เดินตรงมายังกุฏิที่ท่านพักอยู่ พอให้ท่านทราบว่าเขามาหาแล้ว ช้างก็จะกลับเข้าป่าไป เวลาที่ท่านนึกถึงเสือ ก็เช่นกัน นึกถึงตอนกลางวันตกกลางคืนเสือก็มาเพ่นพ่านภายในวัดบริเวณที่ท่านพักอยู่......" สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2006, 9:33 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ร่มธรรม4



ขออนุญาต เล่าเรื่องเสือเจ้าของสัตว์แห่งป่าฝน ที่ต้องเวียนมาเจอกันกับครูบาอาจารย์....


หลวงปู่สิม พุทธาจโร ท่านได้เจอกับเสือในระยะประชิดขนาดเอื้อมมือถึงกันเลยทีเดียว!!! ตอนธุดงค์ผ่านป่าลึกในจังหวัดกาฬสินธุ์....

ตอนนั้นหลวงปู่พักอยู่ที่ดอนแห่งหนึ่งมีจอมปลวกกอใหญ่ เณรทำห้างร้านให้หลวงปู่พักบนหัวปลวก ทางขึ้น-ลงใช้มีดสับจอมปลวกเป็นขั้นบันได

พลบค่ำขณะที่หลวงปู่กำลังพักผ่อนโดยหันเท้าไปทางบันไดจอมปลวก ทันใดก็แว่วได้ยินเสียงเจ้าถิ่น
"เสียงมันเดินเป็นจังหวะ ดังตล้อบๆ มาเรื่อย จนกระมั่งมาหยุดที่ตีนจอมปลวก" หลวงปู่เล่าอย่างนึกขำ
"มันคงไม่เคยเห็นกลดพระธุดงค์ เลยแปลกใจว่าเป็นอะไรหนอ สีคล้ำๆอุ้มลุ้ม .....อยู่ตรงนั้น ยืนดูสักครู่มันก็ปีนมา เอาเท้าหน้าเขี่ยฝ่าเท้าหลวงปู่ลองดู..... หลวงปู่ก็จั๊กจี้ สะบัดฝ่าเท้าหวักเอาหน้ามันเข้าโดยบังเอิญ ....มันคงตกใจ ร้อง โฮก!!! แล้วกระโจนหนีไปเลย" ยิ้มเห็นฟัน


อีกครั้งหนึ่งที่หลวงปู่ธุดงค์ผ่านจังหวัดสระบุรี(ตอนนั้นหลวงปู่อุปสมบทได้2พรรษา) ธุดงค์จากขอนแก่นเข้ากรุงเทพๆ มีหลวงพี่อีกองค์หนึ่งติดตามไปด้วย ตั้งใจไปนมัสการท่านเจ้าคุณอุปาลีคุณูปมาจารย์ ..... วันหนึ่งขณะที่เดินทางไปทางพระพุทธบาท โดยมีหลวงปู่เดินนำหน้า...... ทั้งสององค์ก็ได้ยินเสียงเสือคำราม โฮก!!! ขึ้น แต่ยังไม่ทันเห็นตัว..... หลวงพี่ที่เดินอยู่ข้างหลังคงจะตกใจสุดขีด ออกวิ่งแซงหน้าหลวงปู่ ทั้งที่ทางแคบนิดเดียว
" นี่แหละ คือว่า ไม่ภาวนา" หลวงปู่สำทับ
"วิ่งไปได้ประมาณสองเส้นจึงหยุดได้..... ยังไม่เห็นตัวมันเลย ได้ยินเสียงก็วิ่งแล้ว ถ้าวิ่งไปข้างหน้า แล้วไปเจออีกตัวหนึ่ง จะทำอย่างไงก็ไม่รู้" ยิ้มเห็นฟัน
(มีผู้เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ท่านก็ยังคงเดินตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น)


จาก พุทธจารปูชา หน้า18
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2006, 9:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ร่มธรรม5


ศีล 5 พาพ้นภัย(เกร็ดธรรมะจากหลวงพ่อพุธ ฐานิโย)

ถ้าเราจะปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ศีล 5 ข้อนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก คฤหัสถ์กินข้าวเย็น ไม่มีในคัมภีร์ใดที่พระพุทธเจ้าเทศน์เอาไว้ว่าตกนรก ถ้าหากละเมิดศีล 5 ข้อ ข้อใดข้อหนึ่งละตกนรกทันทีทำไมพระพุทธเจ้าจึงสอนให้รักษาศีล 5 โดยวิสัยของพระพุทธเจ้าทรงไว้ซึ่งพระกรุณาคุณ พระองค์ทรงปรารถนาให้มนุษย์มีความรักกัน นี่คือคำตอบ รักษาศีล 5 ไปทำไม ต้องการความรัก ความรักที่เกิดขึ้นจากคุณธรรม เป็นความรักที่ประกอบไปด้วยความเมตตาปราณีรักได้ทุกคน เมื่อเรามีศีล 5 ศีล 5 ก็เป็นคุณธรรมประกันความปลอดภัยของสังคม การไม่ฆ่าเป็นการเคารพในสิทธิของผู้อื่น การไม่ลักขโมยเป็นการเคารพในสิทธิของคนอื่น กาเมสุมิจฉาจารมุสาวาทก็เคารพในสิทธิของคนอื่น สุราไม่มัวเมาเคารพในสิทธิของตัวเองและผู้อื่นด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เป็นมูลฐานให้เกิดระบอบประชาธิปไตย

เพราะฉะนั้น ในเมื่อมีศีล 5 แล้ว ก็ไม่ต้องกังวลเป็นการตัดกรรมตัดเวร เมื่อเราไม่ฆ่าใคร ใครหนอจะมาคิดฆ่าเรา เมื่อเราไม่เบียดเบียนข่มเหงรังแก ใครหนอจะมาคิดร้ายต่อเรา เราก็อยู่สบายอยู่ป่าก็สบาย

คนมีศีลบริสุทธิ์ แม้แต่เสือมันก็ไม่กัด หลวงตาสน อยู่เมืองอุบลเมื่อก่อนนี่ เดิมทีเดียวท่านเป็นนักเลงโตขนาดจี้ปล้นชั้นเสือ ภายหลังมากลับอกกลับใจนึกถึงบาปบุญคุณโทษ เพราะไปติดคุก อยู่ 14 ปี พอออกจาตะรางไปยกมือไหว้ขอบริขารเขา บอกว่า โอ๊ย เพิ่งออกจากคุกมาเดี๋ยวนี้อยากบวช ไม่มีบริขารจะบวชขอบริขารไปบวชหน่อย คนขายบริขารก็จัดให้ ถ้าไม่ให้ก็กลัวมันจะมาทำร้ายเอา ยิ้มเห็นฟัน พอได้แล้วแกก็ไปหาอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์ก็บวชให้ด้วยความจำใจเหมือนกัน พอบวชแล้วท่านก็ศึกษาพระธรรมวินัยข้อวัตรปฏิบัติ พอมีความรู้ความเข้าใจพอสมแล้วไปธุดงค์อยู่ในดงบั๊กอี่ ดงบั๊กอี่มีอาณาเขตตั้งแต่อำเภออำนาจเจริญไปถึงอำเภอมุกดาหาร เมื่อก่อนทารถยนต์ก็ไม่มี มีแต่ทางเดินเท้า มีคนไปสร้างกรงเอาไว้ เอาไม้เป็นท่อนๆไปฝังเรียงกัน จนสัตว์ใหญ่เข้าไม่ได้ ใครเดินทางก็ต้องรีบเร่งเดินให้ถึงที่ตรงนั้น มานอนอยู่ในกรงนั้น มิฉะนั้นเสือมันเอาไปกินหมด ทีนี้หลวงตาสนแกไป แกก็นอนอยู่บนก้อนหิน กลดไม่กางเดือนหงาย ๆ ตกกลางคืนเสือมันออกมาเป็นฝูง
ท่านก็บอกว่า ''เสือเอ๊ย.... มากินมันเสีย บักอันนี้มันเป็นโจรฆ่าผู้ฆ่าคนมามากแล้ว มากินเสียให้มันหมดกรรมหมดเวรไปหน่อย'' ปรบมือ
เสือมันก็ไม่กิน ท่านบอกว่า ธรรมดาเสือเมื่อมันเห็นคนเห็นสัตว์มันจะหมอบทำท่าขู่ แต่นี่มันมาแล้วมานั่งเฝ้าเหมือนหมาเฝ้าบ้าน นั่งยอง ๆ เหมือนหมานั่งเฝ้าบ้าน บางตัวเดินไปหัวมันสูงกว่าหัวเรา เวลามันนั่งอยู่ท่านเดินเข้าไปหามัน จะเอามือไปตบหัวมัน มันก็กระโดดเข้าป่าไป แทนที่มันจะกัดท่าน มันไม่กัด ท่านจึงมาพูดเล่น ๆ ตลก ๆ ว่า "เออ ไอ้ของที่เราสละทิ้งแล้วนี่ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็ไม่เอาของทิ้งแล้ว''

เพราะฉะนั้น ศีลนี่เป็นหลักธรรมประกันความปลอดภัยตัดกรรมตัดเวร ตัดผลเพิ่มของบาปกรรมทอนกำลังกิเลส


อ่านเจอมาจาก http://www.kmitl.ac.th/buddhist/tumma/nomal.html
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2006, 9:41 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ร่มธรรม6


".....เช้าวันนั้น ทันทีที่ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ฯ ได้เกริ่น หลังจากที่ท่านฉันจังหันว่า วันนี้เราจะไปเยี่ยมเสือ … บรรดาสานุศิษย์ต่างๆ รีบกุลีกุจอเตรียมติดตามไปกับขบวนรถของท่าน เพราะหลวงตาฯมาที่นี่… ที่วัดป่าหลวงตามหาบัว ฯ… จะเห็นท่านมีความสุขร่าเริงใจในท่ามกลางสัตว์ป่ามากมาย โดยเฉพาะเสือถึง 14 ตัว เสือเหล่านี้ก็มีบุญ ที่หลวงตาฯ ท่านเมตตามาเยี่ยมและพูดถึงบ่อย ๆ และหลวงตาท่านได้เมตตาลูบหัวพวกเขาหลายครั้ง โดยเฉพาะเจ้าเสือเหิรฟ้า ได้ถ่ายรูปกับหลวงตาและพระอาจารย์จันทร์เป็นประจำ




พระอาจารย์จันทร์ท่านได้ปล่อยเสือหลายตัว เพื่อมาต้อนรับหลวงตาถึงหน้าประตูวัด จากนั้นหลวงตาได้ลงจากรถและเดินไปพร้อมกับเหล่าเสือทั้งหลายนั่นเอง… เป็นภาพที่หาดูที่ไหนไม่ได้ในโลก หลวงตาท่านได้ถามพระอาจารย์ถึงเจ้าเลียงผา ( ชื่อบรรพต หลวงตาเคยเจอมันทุกครั้งที่ท่านมา มีครั้งหนึ่งหลวงตาจะกลับก็บอกมัน มันเดินตามหลวงตาพร้อมน้ำตาไหลพรากให้ทุกคนได้เห็น) พระอาจารย์กราบเรียนหลวงตาว่ามันไปมีแฟนอยู่บนภูเขาแล้วไม่ค่อยเข้ามาในวัด มันเคยกลับมาหาท่านหนหนึ่งเพราะแฟนมันไม่สบาย พอหายดีก็กลับขึ้นเขาไป… เรื่องนี้ก็หาฟังที่ไหนไม่ได้ในโลกเช่นกัน



เมื่อหลวงตาท่านเดินมาพักที่ศาลาใหญ่ ท่านยังได้เมตตาแสดงธรรม .. เพราะ… ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่กว่าธรรม… เป็นธรรมะที่หาฟังที่ไหนไม่ได้ในโลก.. ธรรมะป่า.. โดยพระหลวงตาพระป่าพระอริยะ.. ในวัดป่า… ท่ามกลางเสียงเสือ.. เสียงนกยูง แม้กระทั่งบนศาลาใหญ่ยังมีนกยูงตัวหนึ่งมาเดินวนเวียนและนั่งฟังเทศน์อยู่ด้วย.. ไม่มีที่ไหนในโลกอีกเช่นกัน…



ก่อนจะกลับ หลวงตาท่านได้กล่าวว่า .. เรามาเพราะเราห่วงเสือต่างหาก กลัวจะบกพร่องขาดแคลน ท่านจันทร์เราไม่ห่วงท่านแล้ว หลวงตาท่านยังเมตตาสบทบเงินให้ได้จำนวนถึง 33,120 บาท ให้พระอาจารย์ไว้เป็นค่าอาหารสัตว์ป่าทั้งหลาย

พวกเราคณะศิษย์ทุกคนที่ได้ร่วมขบวนมากับหลวงตา ต่างพูดด้วยความประทับใจว่า วันนี้พวกเรามีบุญจึงได้มาวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน … ชื่อวัดที่หลวงตาท่านให้ชื่อเดียวกับท่าน จนเป็นที่รู้จักกันดีในต่างประเทศว่า วัดเสือ .. วัดแห่งเมตตาธรรมต่อสัตว์ป่า ซึ่งเป็นวัดแห่งเดียวในโลก......."



จาก http://www.tigertemple.org/News14.htm
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2006, 9:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ร่มธรรม7


จงอางหางกุดที่วัดหนองป่าพง อืมม์


วัดหนองป่าพงช่วงแรก ๆ มีงูจงอางหางกุดอยู่ตัวหนึ่ง หลวงพ่อชา สุภัทโท เรียกมันว่าไอ้หางกุด ตอนเช้าเมื่อหลวงพ่อออกไปบิณฑบาต มันก็เลื้อยตามหลังทับรอยเท้าของหลวงพ่อไปด้วย เช้าวันหนึ่งขณะที่หลวงพ่อกำลังเดินเข้าหมู่บ้าน คนหาปลาผู้หนึ่งสังเกตเห็นรอยงูใหญ่เลื้อยตามหลัง จึงวิ่งเข้าไปในหมู่บ้านบอกเพื่อนบ้านว่า "อาจารย์ชาเอางูมาบิณฑบาตด้วย"

ชาวบ้านกลัวมาก ขากลับจึงสะกดรอยตามหลวงพ่อ ก็เห็นงูใหญ่เลื้อยตามหลวงพ่อเข้าไปในวัดด้วย รุ่งเช้าชาวบ้านจึงพากันมาพูดกับท่าน

"ท่านอาจารย์ทำไมเอางูไปบิณฑบาตด้วย ทีนี้จะไม่ใส่บาตรแล้วนะ กลัว"

"อาตมาไม่ทราบ อาตมาไม่ได้เอาไป" หลวงพ่อตอบ

"ไม่ได้เอาไปยังไง ตอนออกมาทุ่งนา ยังเห็นรอยงูมันเลื้อยทับรอยเท้าท่านอาจารย์อยู่นี่นา" ชาวบ้านช่วยกันต่อว่า

แต่หลวงพ่อก็ยังยืนยันว่าท่านไม่รู้อยู่นั่นเอง ชาวบ้านก็เลยพากันมาสังเกต ก็พบว่างูตัวนี้ตามท่านไปจากวัด พอถึงศาลพระภูมิทางเข้าหมู่บ้าน มันก็แยกเข้าไปคอยอยู่ที่นั่น จนหลวงพ่อกลับจากบิณฑบาต มันก็เลื้อยตามท่านกลับวัดอีก หลวงพ่อเองก็ไม่ได้เห็นงู แต่ได้สังเกตว่ามีรอยอย่างที่ชาวบ้านพูดกัน หลังจากนั้นเวลาที่ท่านจะออกจากวัดไปบิณฑบาต เมื่อจะพ้นเขตวัดหนองป่าพง ท่านพูดขึ้นว่า

"ไอ้หางกุดอย่าไปบิณฑบาตกับอาตมานะ คนเขากลัว" ต่อมาท่านก็ได้บอกด้วยว่า

"ให้หลบหนีเข้าไปหาที่อยู่ในป่ารกทึบเสียเถอะ อย่าออกมาให้คนเห็นอีก เพราะวัดนี้จะมีคนมามากขึ้น เขาจะกลัว"

กาลต่อมา ก็ไม่ปรากฏเห็นงูจงอางใหญ่ตัวนี้อีก




จาก ลำธารริมลานธรรม
เกร็ดชีวิตและปฏิปทาของพระดีพระแท้
พระไพศาล วิสาโล –รวบรวมและเรียบเรียง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2006, 9:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ร่มธรรม8


พระอาจารย์ชอบ(หลวงปู่ชอบ ฐานะสโม)เป็นศิษย์ผู้ใหญ่ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตวิปัสสนาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคปัจจุบัน พระอาจารย์ชอบเป็นผู้ฝักใฝ่ในการเที่ยวธุดงค์กรรมฐาน และนิยมบำเพ็ญปฏิบัติอยู่ในป่าเขามาโดยตลอด เมื่อ ๔๐-๕๐ ปีก่อน ป่าดงพงไพรปกคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ สิงสาราสัตว์จึงมีอยู่อย่างชุกชุม พระอาจารย์ชอบจึงมักพานพบสัตว์ป่านานาชนิดอยู่ไม่ขาด

มีคราวหนึ่งท่านไปเที่ยวธุดงค์ในประเทศพม่า ขณะนั่งภาวนาอยู่ในถ้ำราว ๕ โมงเย็นก็เห็นเสือโคร่งใหญ่ลายพาดกลอนตัวหนึ่งเดินมาหน้าถ้ำ แม้ท่าทางดูน่ากลัว แต่เมื่อมันมองเข้ามาในถ้ำสบตาท่าน แทนที่จะแสดงอาการกลัวหรือคำรามตามวิสัยสัตว์ป่า กลับมีอาการเฉย ๆ เมื่อขึ้นมาถึงถ้ำแล้วก็กระโดดขึ้นไปนั่งอยู่บนก้อนหินด้านทางขึ้นถ้ำสูงประมาณ ๑ เมตร ห่างจากท่านประมาณ ๖ เมตร แล้วก็นั่งเลียแข้งเลียขา โดยหาได้สนใจท่านแต่อย่างใดไม่ ท่านว่ามันนั่งราวกับสุนัขบ้าน พอเลียแข้งเลียขาเหนื่อยก็นอนหมอบแบบสุนัขอีก แล้วก็เลียขาแล้วลำตัวต่อโดยไม่สนใจอะไร อืมม์

แม้ท่าทีของมันจะไม่ดุร้าย แต่ท่านก็ไม่วางใจ จึงงดออกไปเดินจงกรมที่หน้าถ้ำเหมือนอย่างเคย ในใจรู้สึกหวาดเสียวเล็กน้อย แต่ก็นั่งภาวนาต่อไปตามปกติ เสือโคร่งนาน ๆ ก็หันมามองดูท่านสักครั้งหนึ่ง เป็นการมองอย่างธรรมดา ๆ คล้ายกับมิตร แม้มันเลียแข้งเลียขาเสร็จนานแล้ว แต่ก็ไม่ไปไหนต่อ จนมืดแล้วท่านจึงเข้าไปในกลด ตกดึกท่านจะเข้านอนมันก็ยังอยู่ที่เดิม

ท่านตื่นนอนราวตี ๓ มองไปที่หน้าถ้ำ ก็ยังเห็นมันนอนอยู่ท่าเก่าจวบจนรุ่งเช้า ก็เกิดปัญหาขึ้นมาว่า ท่านจะไปบิณฑบาตได้อย่างไรในเมื่อมันนอนอยู่หน้าถ้ำ แต่ท่านตัดสินใจว่าจะต้องออกไป แม้ว่าทางที่จะเดินห่างตัวมันราว ๑ เมตรเศษ ๆ เท่านั้น

เมื่อท่านครองผ้าสะพายบาตรเสร็จก็ดำรงสติมั่น เจริญเมตตาแล้วพูดกับมันว่า "นี่ถึงเวลาออกบิณฑบาตแล้ว เราก็มีท้องมีปากมีความหิวกระหายเหมือนสัตว์โลกทั่วไป เราจะขอทางไปบิณฑบาตมาฉันหน่อยนะ จงให้ทางเราบ้าง ถ้าเจ้าอยากอยู่ที่นี่ต่อไปก็ได้ หรือจะไปเพื่อหาอยู่หากินที่ไหนก็ตามใจสะดวก เราไม่ว่า"

ท่านว่า มันนอนฟังท่านเหมือนสุนัขนอนฟังเจ้าของพูด พอพูดจบท่านก็เดินผ่านหน้ามัน ส่วนมันก็นอนสบายปล่อยให้ท่านเดินผ่านออกไป พลางชำเลืองดูด้วยสายตาอ่อน ๆ ยิ้มเห็นฟัน

เมื่อท่านบิณฑบาตกลับมา ก็ไม่พบมันแล้ว นับแต่วันนั้นก็ไม่เห็นมันอีกเลย



จาก ลำธารริมลานธรรม
เกร็ดชีวิตและปฏิปทาของพระดีพระแท้
พระไพศาล วิสาโล –รวบรวมและเรียบเรียง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2006, 9:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ร่มธรรม9


ช้างรับศีล อืมม์

หลวงปู่ขาว อนาลโย แห่งวัดถ้ำกลองเพล จ.อุดรธานี เป็นศิษย์คนสำคัญของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ แม้ท่านจะล่วงลับดับขันธ์ไปแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๖ แต่ท่านก็ยังเป็นที่เคารพนับถือ ในหมู่ผู้ใฝ่ธรรมอย่างไม่เสื่อมคลาย

ท่านเป็นพระปฏิบัติที่ใฝ่ในธุดงควัตรมาตั้งแต่ยังหนุ่ม เมื่อท่านได้ยินกิตติศัพท์พระอาจารย์มั่นก็บุกป่าฝ่าดงตามหาท่าน และเที่ยวติดตามท่านจนภายหลังได้รับเมตตาเข้าไปจำพรรษากับท่านอาจารย์ใหญ่

คืนหนึ่งในพรรษา ขณะที่ท่านกำลังนั่งภาวนาอยู่ในกุฏิ ช้างบ้านใหญ่เชือกหนึ่งได้พลัดตรงเข้ามายังกุฏิท่าน แต่เผอิญกุฏิด้านหลังมีม้าหินใหญ่ก้อนหนึ่งบังอยู่ ช้างจึงไม่สามารถเข้ามาถึงตัวท่านได้ แต่กระนั้นก็เอางวงสอดเข้ามาในกุฏิจนถึงกลดและมุ้ง เสียงสูดลมหายใจดมกลิ่นท่านดังฟูดฟาด ๆ จนกลดและมุ้งไหวไปมา แต่ท่านเองไม่ไหวติง นั่งภาวนาบริกรรมพุทโธ ๆ ตลอด ๒ ชั่วโมง ช้างใหญ่ตัวนั้นไม่ยอมหนีไปไหนราวกับจะคอยทำร้ายท่าน ต่อมาก็เคลื่อนไปทางตะวันตกของกุฏิ แล้วล้วงเอามะขามมากิน

ท่านเห็นว่าหากนิ่งเฉยคงไม่ได้การ จึงตัดสินใจออกไปพูดกับมันให้รู้เรื่อง เพราะเชื่อว่าช้างนั้นรู้ภาษาคน หากพูดกับช้างดี ๆ มันคงจะไม่พุ่งมาทำร้ายเป็นแน่

เมื่อตกลงใจแล้ว ท่านก็ออกจากกุฏิมายืนแอบโคนต้นไม้หน้ากุฏิ แล้วพูดกับช้างว่า "พี่ชาย น้องขอพูดด้วยสักคำสองคำ ขอพี่ชายจงฟังคำของน้องจะพูดเวลานี้" ท่านว่าพอช้างได้ยินเสียงท่านก็หยุดนิ่งเงียบ แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า

"พี่ชายเป็นสัตว์ของมนุษย์นำมาเลี้ยงไว้ในบ้านเป็นเวลานานจนเป็นสัตว์บ้าน ความรู้สึกทุกอย่างตลอดจนภาษามนุษย์ที่เขาพูดกันและพร่ำสอนพี่ชายตลอดมานั้น พี่ชายรู้ได้ดีทุกอย่างยิ่งกว่ามนุษย์บางคนเสียอีก ดังนั้นพี่ชายควรจะรู้ขนบธรรมเนียมและข้อบังคับของมนุษย์ ไม่ควรทำอะไรตามใจชอบ เพราะการกระทำบางอย่างแม้จะถูกใจเรา แต่เป็นการขัดใจมนุษย์ก็ไม่ใช่ของดี เมื่อขัดใจมนุษย์แล้วเขาอาจทำอันตรายเราได้ ดีไม่ดีอาจถึงตายก็ได้ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ฉลาดแหลมคมกว่าบรรดาสัตว์ที่อยู่ร่วมโลกกัน สัตว์ทั้งหลายจึงกลัวมนุษย์มากกว่าสัตว์ด้วยกัน ตัวพี่ชายเองก็อยู่ในบังคับของมนุษย์ จึงควรเคารพมนุษย์ผู้ฉลาดกว่าเรา ถ้าดื้อดึงต่อเขาอย่างน้อยเขาก็ดี เขาเอาขอสับลงที่ศรีษะพี่ชายให้ได้รับความเจ็บปวด มากกว่านั้นเขาฆ่าให้ตาย พี่ชายจงจำไว้อย่าได้ลืมคำที่น้องสั่งสอนด้วยความเมตตาอย่างยิ่งนี้"

แล้วท่านก็ขอให้ช้างรับศีลห้า และกำชับให้รักษาให้ดี เมื่อตายไปจะได้สู่ความสุข มีชาติที่สูงขึ้น จากนั้นท่านก็สรุปว่า "เอาละน้องสั่งสอนเพียงเท่านี้ หวังว่าพี่ชายจะยินดีทำตาม ต่อไปนี้ขอให้พี่ชายจงไปเที่ยวหาอยู่หากินตามสบาย เป็นสุขกายสุขใจเถิด น้องก็จะได้เริ่มบำเพ็ญภาวนาต่อไป และอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาให้พี่ชายเป็นสุขทุก ๆ วัน และไม่ลดละเมตตา เอ้าพี่ชายไปได้แล้วจากที่นี่"

ท่านว่าขณะที่ท่านกำลังให้โอวาทสั่งสอน ช้างยืนนิ่งราวก้อนหินไม่กระดุกกระดิกหรือเคลื่อนอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งแม้แต่น้อย ต่อเมื่อท่านให้ศีลให้พรเสร็จและบอกให้ไปได้ มันจึงเริ่มหันหลังกลับออกไปจากที่นั้น


เมตตาและปิยวาจานั้นไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้น แม้ช้างก็ซาบซึ้งและสัมผัสได้ด้วยใจ





ลำธารริมลานธรรม
เกร็ดชีวิตและปฏิปทาของพระดีพระแท้
พระไพศาล วิสาโล –รวบรวมและเรียบเรียง


.......ลำธารริมลานธรรม.....นี้ ผมนำมาจาก

http://www.khonnaruk.com/html/phra.html
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2006, 9:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตัวโกรธ
อืมม์


หลวงปู่บุดดา ถาวโร จัดว่าเป็น "รัตตัญญู" (ผู้เก่าแก่และมีประสบการณ์มาก) รูปหนึ่งของคณะสงฆ์ไทย ด้วยท่านมีอายุยืนนานถึง ๑๐๑ ปีก่อนที่จะมรณภาพเมื่อปี ๒๕๓๗

สมัยที่ยังหนุ่ม ท่านมีโอกาสพบปะครูบาอาจารย์ที่สำคัญหลายรูปเช่น พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท) และครูบาศรีวิชัย ท่านหลังนี้เคยทักหลวงปู่บุดดาเนื่องจากเห็นท่านไม่พาดสังฆาฏิว่า "เฮาเป็นนายฮ้อย ก็ต้องให้เขาฮู้ว่าเป็นนายฮ้อย ไม่ใช่นายสิบ" นับแต่นั้นมาหลวงปู่จึงพาดสังฆาฏิติดตัวตลอดเวลา จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของท่าน

หลวงปู่บุดดา เป็นพระป่า ชอบธุดงค์ ไม่มีวัดเป็นหลักแหล่ง จนเมื่ออายุ ๘๗ ปีจึงได้มาประจำที่วัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรีกระทั่งมรณภาพ

แม้หลวงปู่บุดดาจะไม่ได้เล่าเรียนในทางปริยัติมาก แต่ความที่ท่านเชี่ยวชาญในการปฏิบัติ จึงมีความสามารถในการสอนธรรมชนิดที่สื่อตรงถึงใจ มีคราวหนึ่ง ท่านได้รับนิมนต์ให้ไปเทศน์คู่กับท่านเจ้าคุณรูปหนึ่งซึ่งเป็นเปรียญธรรม ๘ ประโยค ท่านเจ้าคุณรูปนั้นคงเห็นหลวงปู่เป็นพระบ้านนอกจึงอยากลองภูมิหลวงปู่ ได้ถามหลวงปู่ว่า "จะเทศน์เรื่องอะไร"

หลวงปู่ตอบว่า "เรื่องตัวโกรธ กิเลสตัณหา"

ท่านเจ้าคุณซักต่อว่า "ตัวโกรธเป็นอย่างไร"

หลวงปู่ตอบสั้น ๆ ว่า "ส้นตีน ไงล่ะ"

เท่านั้นเองท่านเจ้าคุณก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ไม่ยอมเทศน์กับหลวงปู่ วันนั้นหลวงปู่จึงต้องขึ้นเทศน์องค์เดียว เมื่อเทศน์จบแล้ว ท่านก็ไปขอขมาท่านเจ้าคุณองค์นั้น พร้อมกับอธิบายว่า

"ตัวโกรธมันเป็นอย่างนี้เองนะ มันหน้าแดง ๆ นี้แหละ มันเทศน์ไม่ได้ คอแข็ง ตัวโกรธสู้เขาไม่ได้ ขึ้นธรรมาสน์ก็แพ้เขา ใครจะเป็นนักเทศน์ต่อไปจดจำเอาไว้นะ ตัวโกรธน่ะ นักเทศน์ไปขัดคอกันเอง มันจะเอาคอไปให้เขาขัด"

หลวงปู่บุดดารู้จักตัวโกรธดี ท่านรู้ว่า ตัวโกรธกลัวคนกราบ ท่านเล่าว่าตั้งแต่เริ่มบวช ท่านพยายามเอาชนะความโกรธด้วยการกราบ เวลาโกรธท่านจะลุกขึ้นกราบพระ ๓ ครั้ง โกรธ ๒ ครั้งก็กราบพระ ๖ ครั้ง โกรธ ๑๐๐ ครั้ง ก็กราบ ๓๐๐ ครั้ง ทำเช่นนี้หลายครั้ง ความโกรธก็ครอบงำท่านไม่ได้

เมื่อความโกรธเป็นใหญ่เหนือใจไม่ได้ ความเมตตาและอ่อนน้อมถ่อมตนก็ตามมา หลวงปู่บุดดาขึ้นชื่อในเรื่องนี้มาก คราวหนึ่งท่านกำลังจะเดินข้ามสะพาน ก็เห็นสุนัขตัวหนึ่งนอนขวางทางอยู่บนสะพาน แทนที่ท่านจะเดินข้ามสุนัขตัวนั้น หรือไล่มันให้พ้นทาง กลับเดินลงไปลุยโคลนข้างล่าง

ท่านว่าไม่อยากให้ผู้อื่นได้รับความขุ่นเคือง เพียงเพื่อเห็นแก่ความสะดวกของตนเอง แม้เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉาน ท่านก็ไม่ปรารถนาจะเบียดเบียน.




ลำธารริมลานธรรม
เกร็ดชีวิตและปฏิปทาของพระดีพระแท้
พระไพศาล วิสาโล –รวบรวมและเรียบเรียง

 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 23 ส.ค. 2006, 1:55 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วิชชาสามประการ


หลวงปู่บุดดา ถาวโร สาธุ

พระสุปฏิปันโน ผู้บรรลุวิชาสามประการ..... ท่านระลึกชาติได้มากมาย

ท่านเคยเล่าให้กับลูกศิษย์ฟังว่า ในอดีตชาติก่อนหน้านี้(ไม่ใช่ชาติสุดท้าย) ท่านได้เคยเกิดเป็นชายหนุ่ม รู้สึกชอบผู้หญิงคนหนึ่งเข้า จึงไปพูดคุยหวังจีบ. แทนที่ฝ่ายหญิง(ในอดีต)จะพูดคุยด้วยดี กลับเอาเรื่องในอดีตชาติที่ตนจำได้ก่อนหน้าชาตินั้นมาต่อว่าให้ชายหนุ่มฟังว่า ......ในชาติก่อนๆหน้านั้น หลวงปู่เป็นผู้ทำให้ผู้หญิงคนนั้นซึ่งตอนนั้นเกิดเป็นหมาถูกทุบตี และถูกจับผูกทรมานให้อดอาหารจนตาย.....

เรื่องมีอยู่ว่า ในชาตินั้นหลวงปู่เป็นเจ้าอาวาสวัดที่วัดแห่งหนึ่งในประเทศลาว และกำลังป่วยหนักอยู่ ได้ให้เด็กวัดไล่หมาตัวเมียที่มาโขมยกินอาหารในวัด.....เด็กวัดก็ตีหมาและเอาหมาไปผูกไว้เสียไกลจากวัดมากเพื่อจะได้ไม่หนวกหูเสียงร้องของมัน..... เด็กวัดมามัวสาละวนดูอาการเจ็บของเจ้าอาวาสและคอยวุ่นกับการตายของเจ้าอาวาสในเวลาถัดมา จึงลืมไปแก้มัดหมาตัวนั้น หมาตัวนั้นเลยอดอาหารตายอย่างอนาถ...... หมานั้นมาเกิดเป็นหญิงสาวและจำเหตุการณ์นั้นได้ จึงต่อว่าหลวงปู่(ในชาติก่อน)เอา

นี่เป็นตัวอย่างครับว่า บางครั้งการเกิดความรู้สึกชอบใคร อาจจะไม่จำเป็นต้องเคยรักใคร่กันแบบคนต่อคน อาจจะเป็นเจ้านายกับสัตว์เลี้ยงก็ได้.....ภพ-ชาติ มันเป็นเรื่องสลับซับซ้อน.....เกินที่เรา-ท่านจะไปคาดเดาเอาง่ายๆ......เอาเป็นว่า ปัจจุบัน ไม่ผิดศีล ไม่ต้องไปอบายก็เอาแล้วล่ะครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 23 ส.ค. 2006, 2:01 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขุดจนสุดแผ่นดิน


หลวงปู่สิม พุทธาจโร แห่งสำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ท่านเป็นลูกศิษย์อาวุโสหลวงปู่มั่นองค์หนึ่ง....ท่านเป็นผู้ที่มักน้อยสันโดษ ไม่ชอบคลุกคลีหมู่คณะ.แต่ท่านเคยจำเป็นต้องรับภาระเป็นเจ้าอาวาสวัดใหญ่พร้อ มๆกันถึงสามวัด คือวัดป่าสุทธาวาส สกลนคร(วัดที่หลวงปู่มั่นมรณภาพ) วัดอโศการาม ปากน้ำสมุทรปราการ(ภายหลังท่านพ่อลี มรณภาพ) วัดสันติธรรมเชียงใหม่ แถมด้วยถ้ำผาปล่องอีก......แต่ภายหลัง ท่านสามารถหาผู้มารับผิดชอบแทนท่านได้แล้วท่านก็ลาออกหมด เหลือเพียงถ้ำผาปล่องแห่งเดียว!!!
มันตรงข้ามกับพระในปัจจุบันอีกหลายแห่งที่ แย่งกันเพื่อลาภสักการะ.........
ดอยเชียงดาว ในตอนนั้น ธรรมชาติแถวนั้นงดงามมาก ไม่แปลกใจเลยที่พระธุดงค์กรรมฐานตั้งแต่อดีตกาลโพ้น จะมาวิเวกบำเพ็ญเพียรที่นี่.หลวงปู่มั่นท่านเคยเล่าให้ฟังว่าถ้ำเชียงดาวเป็ นสถานที่ ที่มีพระปัจเจกพุทธเจ้าเคยมานิพพานในอดีตอันนานมาแล้ว.......

ในสมัยหนุ่มๆ หลวงปู่สิมท่านจะท่องธุดงค์อยู่ในภาคอีสาน มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านไปแวะพักที่แห่งหนึ่ง.ที่นั้นขาดน้ำอย่างหนัก ท่านได้บอกให้ชาวบ้านและพระเฌรช่วยกันขุดบ่อ.แต่ขุดไปนานหลายวันมากก็ยังไม่ พบน้ำสักหยด!.....ชาวบ้านและพระเฌรต่างพากันเลิกรากันไปหมดแล้ว......เหลือหลวงปู่สิมขุดอยู่องค์เดียว!!! มีคนถามท่านว่า เมื่อไรถึงจะเลิกขุด?

ท่านตอบเรียบๆว่า" จะขุดไปจนสุดแผ่นดิน!!!" คนที่ถามเลยเลิกถามและคงคิดปลงอยู่ในใจ.......แต่หลังจากนั้นอีกครู่หนึ่ง เมื่อจอบกระทบกับพื้นดิน น้ำก็พุ่งสวนขึ้นมา. เรื่องนี้เป็นคติธรรมอันดีแสดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวและความเพียรอันกล้า ของหลวงปู่ท่าน.
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 23 ส.ค. 2006, 2:04 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แล้วจะรู้เอง


เคยมีผู้ไปกราบเรียนถาม หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ว่า....
"หลวงปู่เป็นพระอรหันต์หรือเปล่า? "

หลวงปู่ท่านตอบกลับเรียบๆว่า
"ให้ภาวนาเอาเอง จนกิเลสสิ้นไปจากใจ......
เมื่อเกิดจิตรู้(ญาณ?) แล้วใช้จิตรู้นั้นล่ะดูหลวงปู่" ยิ้มเห็นฟัน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 25 ส.ค. 2006, 7:15 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน


เกิด-ตาย กับ เกิด-ดับ



“เป็นคนเป็นสัตว์ มันก็มีเกิดมีตาย

ธรรมะไม่เกิด-ไม่ตาย มีแต่เกิด-ดับ

กิเลสตายไปแล้ว ไม่มาอีก

เหลือแต่ นิโรโธ นิพพานัง”



ธรรมลิขิตจากหลวงปู่บุดดา ถาวโร มกราคม 2536

(จาก พุทธจารปูชา ช่วงคำนำ น.16)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง