Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 “ชาติสิ้นแล้ว”...ชาติแบบไหนที่ทรงตรัสว่า ”สิ้นแล้ว” อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2006, 4:53 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คำว่าวิญญาณดวงแรกที่อาศัยจิตดวงแรก นั้นสื่อถึงปฏิสนธิวิญญาณ ที่ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ท่านกล่าวว่า"จิตที่เป็นปฐม คือวิญญาณแรก ซึ่งปรากฏในครรภ์มารดา".......

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า วิญญาณที่มีสังขารเป็นปัจจัยอันเป็นต้นสายของวงจรปฏิจจสมุปบาทในวิภังคสูตรนี้ ไม่ใช่ความหมายเดียวกันกับปฏิสนธิวิญญาณโดยตรง(ต้องขอเน้นคำว่า"โดยตรง")......

เพราะว่า วิญญาณนั้นมีการสืบต่อกัน วิญญาณดวงเก่าดับไป วิญญาณดวงใหม่เกิดสืบต่อรับช่วงกัน...... วิญญาณหกหมวดที่ผมกำลังพิมพ์ข้อความอยู่นี้ ก็ไม่ใช่ปฏิสนธิวิญญาณโดยตรง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกันเลยกับปฏิสนธิวิญญาณ..... ถ้าฟังแล้วเข้าใจยาก ขอเสนอให้ดูวงจรชีวิตของกบมาเปรียบเทียบ แรกเกิดเป็นไข่ ต่อมาเป็นลูกอ๊อด ต่อมาเป็นกบ...... ไข่ หรือ ลูกอ๊อด ก็ไม่ใช่กบโดยตรง แต่กบก็มีความสืบเนื่องมาจากไข่ หรือลูกอ๊อด...... ฉันใดก็ฉันนั้น ปฏิสนธิวิญญาณนั้น ถ้าสัตว์ที่เกิดไม่ตายเสียก่อน ก็จะมีการเกิดดับสืบเนื่อง เป็นวิญญาณหกในปัจจุบันนี้นั้นเอง.......

ดังนั้นจึงอาจจะกล่าวได้ง่ายๆว่า

1.จิตรับรู้แบบผิดๆผ่านทางวิญญาณหกหมวด เพราะมีสังขารสามเป็นปัจจัย จึงเกิดทุกข์ขึ้นในที่สุด

และ จิตที่รับรู้แบบถูกผ่านทางวิญญาณหกหมวด เพราะปราศจากสังขารสามเป็นปัจจัย จึงไม่เกิดทุกข์


2.วิญญาณหกหมวดในปัจจุบันที่มีสังขารสามเป็นปัจจัยนั้น จะเป็นปัจจัยผ่านไปทางนาม-รูป สาฬยตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ...... และจะเป็นปัจจัยให้สัตว์ต้องเกิดอีก คือมีปฏิสนธิวิญญาณในขั้นตอนของชาติ

และ ปฏิสนธิวิญญาณที่เกิดขึ้นในขั้นตอนของชาติก็จะมีการเกิด-ดับสืบเนื่องไปเป็นวิญญาณหกหมวดในต้นสายของปฏิจจสมุปบาทนั้นเอง

และถ้าจะให้วงจรปฏิจจสมุปบาทนี้ยุติลง..... ก็จะต้องดับสังขารสามที่เป็นปัจจัยของวิญญาณหกหมวด...... และการที่จะดับสังขารสามนั้นก็โดยการดับอวิชาที่เป็นปัจจัยของสังขารสาม หรือการทำวิชาให้บังเกิดขึ้นนั้นเอง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2006, 5:34 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ครับ..... มีพระพุทธวจนะที่ตรัสไว้ว่า "ผู้ใดฉลาดในปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นจะฉลาดในเรื่องกรรม" สาธุ สาธุ สาธุ


ปฏิจจสมุปบาทกับเรื่องกฏแห่งกรรม จึงแยกออกจากกันไม่ได้.....


ผมเคยได้ยินบางท่านที่ปฏิเสธขาดในเรื่องการให้ผลของกรรมข้ามภพชาติบ่อยๆ(เพราะเขาปฏิเสธขาดเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพชาติแบบเกิดเป็นคนเป็นสัตว์นั้นเอง) โดย อ้างพระสูตร"มหากัมมวิภังคสูตร".........

บางท่านศึกษาพระสูตรนี้ไม่ดีแล้วเกิดความเข้าใจผิดว่า
พระพุทธองค์ ไม่อนุมัติ ให้กล่าว เรื่อง กฎแห่งกรรม โลกนี้ โลกหน้า........

ซึ่งแท้ที่จริง ความเห็นถูกเรื่อง กฎแห่งกรรมนี้
จัดเป็น ปัญญา ที่เรียกว่า กัมมสกตาสัมมาทิฏฐิเลยทีเดียว



พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์

๖. มหากัมมวิภังคสูตร (๑๓๖)
http://larndham.net/cgi-bin/stshow.pl?book=14&lstart=7749&lend=7977&word1=มหากัมมวิภังคสูตร

พระสูตรนี้ยาวมากและอ่านต้องสรุปให้ดี ไม่เช่นนั้นจะเข้าใจผิด ว่าพระพุทธองค์ไม่อนุมัติให้กล่าวเรื่อง กฏแห่งกรรม โลกนี้ โลกหน้า........ ลองอ่านดูน่ะครับ.

ผมขออนุญาตสรุปประเด็นที่ผมอ่านมาให้ฟังด้วยแล้วกันครับ

==================================


บุคคล4จำพวกตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้นั้นสรุปได้ว่า

1.บุคคลบางคนที่มักทำผิดศีล(ในภพชาติปัจจุบัน) ตายไปเข้าถึงอบายๆก็มี

2.บุคคลบางคนที่มักทำผิดศีล(ในภพชาติปัจจุบัน) แต่ตายไปกลับเข้าถึงสุคติๆก็มี

3.บุคคลบางคนรักษาศีล(ในภพชาติปัจจุบัน) ตายไปเข้าถึงสุคติๆก็มี

4.บุคคลบางคนรักษาศีล(ในภพชาติปัจจุบัน) แต่ตายไปกลับเข้าถึงอบายๆก็มี......

.....................................................................


พระสูตรนี้มีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้


1.มีสมณะพราหมณ์นอกพระพุทธศาสนาบางพวก.....สมณพราหมณ์เหล่านั้น เจริญสมาธิจนได้ตาทิพย์ มองเห็นบุคคลบางคนหลังจากตายไปแล้ว ไปยังอบายๆหรือสุคติๆด้วยญาณของตนเองจริงๆ

2.สมณพราหมณ์เหล่านั้นพูดแบบ"ปักลงไป"(แง่มุมเดียว) และเชื่อมั่นอย่างถึงที่สุดในสิ่งที่เขาเห็นด้วยตาทิพย์(เขาเห็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ยังไม่แจ้งแทงตลอดถึงความสลับซับซ้อนของการให้ผลของกรรม)....เขาจึงเกิดทิฏฐิที่ผิดว่า" ที่เขาเห็นมาเท่านั้นจริง....นอกนั้นไม่จริง"ๆ

3.จากพระสูตรนี้แสดงว่า ความจริงแล้ว คนที่มักจะทำดีเป็นประจำ ตายไปแล้วอาจจะไม่ไปสุคติทั้งหมด.......และคนที่มักทำชั่ว ตายไปแล้วอาจจะไม่ไปทุคติทั้งหมด.....เพราะ
3.1กรรมชั่วและกรรมดีที่ทำในภพชาติปัจจุบันนี้นั้น อาจจะให้วิบากในชาตินี้ก็ได้ ในชาติหน้าก็ได้ หรือในชาติต่อๆไปก็ได้.... ไม่จำเป็นจะต้องจำกัดว่าต้องให้ผลตอนเปลี่ยนแปลงภพ-ชาติ จากชาตินี้ไปชาติหน้าเท่านั้น
3.2กรรมนั้นมีลำดับการให้ผลตามแต่ชนิดของกรรม.....
ไม่ใช่ว่าบุคคลทุกคนที่ในชาตินี้ทำดีแล้ว ชาติต่อไปอีกหนึ่งชาตินับจากนี้จะต้องไปสู่สุคติทั้งหมด มันขึ้นกับว่ากรรมดีที่ทำในชาตินี้นั้นจะไปให้ผลตอนไหนต่างหาก.....
และเช่นเดียวกัน ไม่ใช่ว่าบุคคลทุกคนที่ชาตินี้ทำชั่วแล้ว ชาติต่อไปอีกหนึ่งชาตินับจากนี้จะต้องไปทุคติทั้งหมด มันขึ้นกับว่ากรรมชั่วที่ทำในชาตินี้นั้นจะไปให้ผลตอนไหนต่างหาก.....
ถ้ากรรมดีหรือกรรมชั่วที่บุคคลบางคนทำ ไปให้ผล(วิบาก)ในตอนเปลี่ยนภพ-ชาติ ก็จะพาบุคคลไปเกิดในสุคติ(ถ้าเป็นวิบากของกรรมดี) หรือทุคติ(ถ้าเป็นวิบากของกรรมชั่ว).....

4.และที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในพระสูตรนี้คือ จิตสุดท้ายตอนจะตาย(จากพระพุทธวจนะ"....ทิฏฐิพรั่งพร้อม สมาทานแล้วในเวลาจะตาย.....")นั้นมีส่วนสำคัญมากๆ.
แม้นตลอดชีวิตบุคคลบางคนจะทำความดีมาตลอด แต่จิตสุดท้ายมีมิจฉาทิฏฐิ(เป็นอกุศล) ผู้นั้นก็ไปอบายๆได้.
แม้นตลอดชีวิตบุคคลบางคนจะทำความชั่วมาตลอด แต่จิตสุดท้ายมีสัมมาทิฏฐิ(เป็นกุศล) ผู้นั้นก็ไปสุคติๆได้.

......... ซึ่งนี่เป็นมหากัมมวิภังค์ของพระพุทธเจ้า ที่สมณพราหมณ์นอกพระพุทธศาสนาไม่มี......
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง