Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 จิตไม่ใช่สมอง 2 อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 07 มิ.ย.2008, 5:49 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
พระอภิธรรมท่านก็กล่าวชัดแล้วว่า จิตตั้งอยู่ในหทัยรูป ไม่ได้หมายถึงซุกตัวอยู่ในหทัยรูป

การเปลี่ยนหัวใจ ก็เปลี่ยนไป เพราะจิตไม่ได้อยู่ในนั้นเสียเมื่อไหร่

เปลี่ยนหัวใจใหม่ได้ จิตก็มาตั้งที่หัวใจอันใหม่ได้ อย่าลืมว่าจิตเป็นนามธรรม

จิตเป็นที่เก็บ บุญ-บาป กรรมต่างๆ ที่มาตั้งอยู่ในกายสัตว์หรือ มนุษย์ ก็เพราะวิบากกรรมที่สะสมในจิตแสดงผลออกมาให้ต้องเป็นไป

การตายของร่างกาย จึงไม่ใช่การดับสลายของจิต บุญ-บาป ยังไม่ตาย กรรมยังให้ผลให้ต้องเป็นไปอีก




สาธุ สาธุครับคุณnamsai


http://larndham.net/index.php?showtopic=30642&per=1&st=123&#entry489104

หทยวัตถุ เป็นรูปที่เล็กมาก ( รูปปรมาณู = เมล็ดข้าวเปลือกแบ่งเป็น ๘๒ ล้าน ๓ แสนส่วน )

หทยวัตถุ เกิดดับตลอดเวลา มีอายุเท่ากับ ๑๗ ขณะจิต (จิตเกิดดับ ลัดมือเดียวแสนโกฏิ (ลัดมือเดียว = ๑/๔ วนาที ) เพราะฉะนั้น หทยวัตถุเกิดดับต่อครั้ง= ๔.๒๕/๑,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ วินาที

หยวัตถุ เป็นที่อาศัยเกิด(ดับ)ของมโนธาตุ และ มโนวิญญาณธาตุ



แนวคิดเรื่องจิตในพระอภิธรรม

http://www.abhidhamonline.org/thesis/thesis2.files/thesis2.htm

4. รักษาไว้ซึ่งวิบากที่กรรมและกิเลสสั่งสมไว้ หมายความว่า จิตนี้ย่อมรักษาผลของการกระทำและผลของกิเลส ซึ่งได้สั่งสมอำนาจไว้มิได้สูญหายไปไหน เกิดขึ้นกับจิตที่เป็นวิบาก เพื่อรับผลของกรรมนั้น ๆ เมื่อมีโอกาส



5. สั่งสมสันดานของตนเอง หมายความว่า จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับลง เป็นปัจจัยให้จิตอีกดวงหนึ่งเกิดขึ้นติดต่อกันไม่ขาดสาย เป็นสันตติสืบเนื่องกันไป ลงสู่ภวังค์แล้วเกิดขึ้นใหม่อีก



6. มีการวิจิตรด้วยอารมณ์ต่าง ๆ หมายความว่า จิตนี้ย่อมรู้อารมณ์ต่าง ๆ จิตขณะที่รู้อารมณ์นี้ จะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วิญญาณ เช่น จิตทางตารู้รูปารมณ์ (เห็นสี) ก็จะเรียกว่า จักขุวิญญาณ หรือจิตทางหู รู้สัททารมณ์ (ได้ยินเสียง) จิตทางจมูก รู้คันธารมณ์ 12 (รู้กลิ่น) จิตทางลิ้น รู้รสารมณ์ (รู้รส) จิตทางกาย รู้โผฏฐัพพารมณ์ (เครื่องกระทบ เย็น, ร้อน, อ่อน, แข็ง) จิตทางมโนรู้ธรรมารมณ์ (รู้เรื่องราวต่าง ๆ มีปสาทรูป 5 สุขุมรูป 16 จิต เจตสิก นิพพาน บัญญัติ)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 07 มิ.ย.2008, 5:58 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คงจะเป็นการยากที่จะอธิบายให้ผู้คัดค้านพระอภิธรรม อย่างคุณหมอตรงประเด็นเข้าใจได้


ในเมื่อคุณหมอปฏิเสธ เรื่องของรูป ในพระอภิธรรม ที่มีทั้งรูปหยาบ และรูปละเอียด


คุณหมอมุ่งเน้นแต่รูปหยาบที่ส่องกล้องจุลทัศน์เห็นอย่างเดียว ปฏิเสธรูปปรมาณูในพระอภิธรรม ( ในพระสูตร มีพระพุทธพจน์ตรัสถึงรูป ละเอียด )

ในอนาคตคุณหมอตรงประเด็น อาจถึงขั้นปฏิเสธ นามธรรม ในเรื่องจิต ตามอย่างท่านพุทธทาส ซึ่งตอนนี้คุณหมอตรงประเด็น ได้ยอมรับคำสอนของท่านพุทธทาส ในเรื่อง ชาติ - มรณะ คือ การเกิดดับของอุปาทานขันธ์ ๕ หรือ ความรู้สึกยึดมั่นในตัวกูของกู(ไม่เกี่ยวกับการแตกดับของขันธ์ ๕ ที่เกี่ยวเนื่องกับ จุติ-ปฏิสนธิ จิต ในภพภูมิต่าง ๆ )

ทั้ง ๆ ที่ไม่มีพระพุทธพจน์รองรับมีแต่การตีความของท่านพุทธทาสที่คุณหมอตรงประเด็นเข้าใจว่าท่านเป็นพระอรหันต์


จึงควรระวังความเห็นของคุณหมอท่านนี้ให้ดี
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 07 มิ.ย.2008, 6:04 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จากการบรรยายของท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร ( เจ้าของบทความ จิต..ไม่ใช่สมอง อันเป็นหัวข้อของกระทู้นี้)

http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=11132

ลูกศิษย์ของพระผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเป็นพระภิกษุ พยายามจะช่วยแก้ให้โดยกล่าวโจมตีผมว่า เห็นสอนพระอภิธรรมอยู่ดี ๆ แต่เดี๋ยวนี้เหตุใดจึงได้กลายเป็นพ่อมดหมอผีไปเสียเล่า ท่านไม่เคยได้ศึกษาพระอภิธรรมมาก่อนเลย แม้ในพระวินัยและพระสูตรท่านก็ยกเอาเรื่องผีสางเทวดาออกไปเสีย เพราะท่านเชื่ออาจารย์ใหญ่มิจฉาทิฏฐิของท่าน จึงหาได้ทราบไม่ว่าทั้ง ๓ ปิฎกนั้นสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดและผีสางเทวดาอยู่ทั่วไป มีเหตุมีผล มีข้อเท็จจริง มีบทพิสูจน์พร้อมบริบูรณ์

แม้ในวินัยปิฎกซึ่งเป็นกฎข้อบังคับของสงฆ์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังบัญญัติไม่ปรับอาบัติพระภิกษุเพราะถูกผีเข้า

ท่านไม่เชื่อการเวียนว่ายตายเกิด อันเป็นทุกข์ยิ่งใหญ่มหาศาลของสัตว์ทั้งหลาย เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาแล้ว ท่านเป็นภิกษุขึ้นมาได้อย่างไร เพราะภิกษุหมายถึงผู้เห็นทุกข์โทษภัยในวัฏฏะ คำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาไม่ยอมให้เอาไว้ จะเอาแต่ศีลธรรมจรรยาที่บรรดาโลกเขาก็สอนกันอยู่ทั่วไปเท่านั้นหรือ แล้วหนทางเดินอันเอกอันมีอยู่สายเดียวที่ขึ้นชื่อลือชาเพระสมารถทำให้เกิดปัญญาพาให้พ้นทุกข์ พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดไปเสียได้จะมีเอาไว้ทำไม แล้วพระพุทธศาสนาจะตั้งอยู่ต่อได้นานไปอีกสักเท่าใด ใคร ๆ เขาก็พากันเห็นว่า มีแต่ศีลธรรมจรรยาความตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน แล้วพระพุทธศาสนาจะไม่ล้มละลายไปโดยเร็วได้อย่างไร เพิ่งจะได้เพียง ๒๕๐๐ ปีเศษเท่านั้น จะรีบเร่งให้พระพุทธศาสนาสลายตัวไปเร็วนักทำไป แต่ไม่กลัวตกนรกเสียอย่างก็ทำได้ทั้งนั้น

บางท่านบวชมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ชรา แสดงธรรมะไปทั่วประเทศไทย หนังสือพิมพ์ออกจำหน่ายกองโตเป็นภูเขา แต่ไม่เคยแสดงการเวียนว่ายตายเกิดอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาเลยแม้แต่น้อย เฝ้าสอนแต่ศีลธรรมจรรยาไม่เคยได้อธิบายโทษภัยที่จะได้รับในชาติหน้า ประชาชนทั้งหลายก็เลยเข้าใจว่าชาติหน้าคงจะไม่มี เพราะแต่งตัวนุ่งเหลืองเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าก็ไม่เห็นท่านยืนยันแม้แต่สักครั้ง

ผมได้พยายามอยู่ทุกวิถีทางที่จะให้ประชาชนทั้งหลาย ได้ศึกษาความจริงของชีวิตอจิตใจ แต่ก็เป็นการแสนยากยิ่งที่จะให้คนทั้งหลายเห็นความจริงแล้วหันหน้ามาศึกษาได้ เพราะเรื่องของชีวิตจิตใจนั้นไม่ใช่ง่าย ๆ หากแต่ลึกซึ้งเกินกว่าผู้ใดจะคาดคะเนหรือหยั่งถึง ดังนั้น จึงต้องใช้วิธีการต่างๆ เท่าที่จะทำได้ แม้เรื่องนั้น ๆ บางท่านจะเห็นว่าเป็นความเพ้อฝัน ผมต้องยอมเอาอภิธรรมมูลนิธิเข้าไปเสี่ยงกับความเสียหาย แต่แน่ใจว่าประโยชน์ใหญ่จะต้องได้ในโอกาสต่อ ๆ ไป เพราะเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมาก จะเอาผลให้เกิดขึ้นมาโดยรวดเร็วกระไรได้อีกประการหนึ่ง จะให้ผมเอาเรื่องค้นคว้าหามาได้แสนยากยิ่งนั้นฝังจมดินตามผมไปเสียหรือ


-------------------------------------------------------------------------------------------

หวังว่าอนาคต คุณหมอคงไม่ส่งเสริมมิจฉาทิฏฐิ ให้คนปฏิเสธหลักกรรม การเวียนว่ายตายเกิด พระอภิธรรม พระสูตร พระวินัย (ที่เกี่ยวข้อง) เหมือนอย่างที่อาจารย์ของคุณทำนะครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 07 มิ.ย.2008, 7:05 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เฉลิมศักดิ์1 พิมพ์ว่า:


ในเมื่อคุณหมอปฏิเสธ เรื่องของรูป ในพระอภิธรรม ที่มีทั้งรูปหยาบ และรูปละเอียด


คุณหมอมุ่งเน้นแต่รูปหยาบที่ส่องกล้องจุลทัศน์เห็นอย่างเดียว ปฏิเสธรูปปรมาณูในพระอภิธรรม ( ในพระสูตร มีพระพุทธพจน์ตรัสถึงรูป ละเอียด )






คำว่า รูปปรมาณู มีกล่าวในพระอภิธรรมจริงหรือ?

ผมลองไปค้นมา ในพระไตรปิฎกทั้งหมดแล้ว
ผมไม่พบคำว่า รูปปรมาณู ในพระไตรปิฎกครับ

ส่วนการจะสรุปว่า รูปละเอียด ในพระสูตร คือ รูปรมาณู ก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปครับ

จาก พระสูตรที่ตรัสถึง


๔. รูปสูตร
[๒๕๑] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มี
พระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อรูปละเอียดกว่ารูป นิโรธละเอียดกว่าอรูป ฯ


จากพระสูตรนี้ ไม่ได้เปรียบเทียบ"ขนาดมิติ" ของ รูป อรูป นิโรธ น่ะครับ(อรูป และ นิโรธ ไม่มีขนาดมิติแน่นอนครับ)
พระสูตรนี้เปรียบเทียบความละเอียดของ รูป อรูป นิโรธ ในลักษณะ"ความละเอียดสุขุมของธรรม"มากกว่า



รูปปรมาณู ที่ใช้มาตรวัดพิศดารมาวัด(1คืบ เท่า กับ 84ความยาวเมล็ดข้าวเปลือก หรือ 70กว่า ซม.) เป็นคำกล่าวของอาจารย์รุ่นหลัง ไม่ใช่พระพุทธพจน์แน่นอนครับ

ถ้าใครอยากรู้ว่า คำสอนเรื่อง รูปปรมาณู สามารถยืนยงในยุคปัจจุบันนี้ได้ไหม?
ก็ให้ลอง ไปถามเด็กนักเรียนดูว่า เขาเชื่อไหมว่า 1คืบ เท่า กับ 84ความยาวเมล็ดข้าวเปลือก หรือ 70กว่า ซม. ดูเอาเอง......
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 07 มิ.ย.2008, 7:12 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ส่วนเรื่อง การโจมตี ท่านพุทธทาส พระป่ากรรมฐาน รวมทั้ง หลวงปู่-หลวงพ่อ ที่ไม่ได้อยู่ในแนวทางของคุณ เฉลิมศักดิ์ อย่างที่คุณเฉลิมศักดิ์ทำในลานธรรมเสวนานั้น....จนเขาต้องปิด ส่วนแยกอภิธรรม ปริยัติธรรม เพื่อยุติปัญหา

ถ้าคุณไม่หยุด และมาทำในลานธรรมจักรอีก... มันก็จะมาวุ่นวายที่นี่อีก
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 08 มิ.ย.2008, 4:59 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สสารและพลังงานในพระพุทธศาสนา (๑)(รูปสังคหวิภาค พระอภิธรรมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๖)
โดย. ท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร (ท่านเจ้าของบทความ จิต..ไม่ใช่สมอง)

http://www.abhidhamonline.org/Ajan/BM/energy.doc


เรื่องของปรมาณูนั้น เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ ขนาดของมันก็เหลือเชื่อ เช่นถ้าเราเอาน้ำหยดหนึ่งมาขยายให้โตเท่ากับโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ ปรมาณูในน้ำหยดนั้นจะโตเท่ากับลูกฟุตบอลเท่านั้นเอง หรือถ้าเอาปรมาณูของออกซิเจนมาวางเรียงแถว เรียงหนึ่ง ซึ่งยาวหนึ่งนิ้วฟุต ก็จะต้องใช้ปรมาณูเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า ๘ ล้าน

นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า สสารนั้นสร้างขึ้นมาจากปรมาณู แม้ว่าปรมาณูจะมองไม่เห็น ส่องกล้องดูไม่ได้ (ปรมาณูบางชนิดที่จับกลุ่มกันเป็นโมเลกุล หรือเรียงกันอยู่เป็นแถว หรือบางทีก็เป็นตัวๆ นั้น อาจมองเห็นได้โดยใช้กล้อง Electron microscope) แต่ทฤษฎีของปรมาณูนั้นก็ตั้งอยู่บนมูลฐานของข้อเท็จจริง การทดสอบด้วยวิธีการต่างๆ ของนักฟิสิกส์ สามารถทราบได้ถึงจำนวน น้ำหนัก และขนาดของมันทำให้เชื่อถือได้ว่าปรมาณูเกาะเกี่ยวยึดโยงกันอย่างมีระเบียบอย่างไร

ธาตุแต่ละอย่างประกอบไปด้วยปรมาณู ปรมาณูเป็นส่วนประกอบที่เล็กที่สุดของสสาร ปรมาณูเป็นอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า และปรมาณูทั้งหลายหาได้นิ่งอยู่เฉยๆ ไม่ หากแต่มีการเคลื่อนตัวหรือสั่นไหวอยู่ตลอดเวลา และการเคลื่อนไหวนั้นเอง ก่อให้เกิดความร้อนขึ้น ยิ่งถ้าทำให้มันเกิดความร้อนมากขึ้น การเคลื่อนไหวก็จะเพิ่มยิ่งขึ้น และถ้าหากสามารถเอาความร้อนออกไปจากปรมาณูให้หมดได้จริง จนอุณหภูมิถึงศูนย์องศาอนันต์แล้ว การเคลื่อนไหวก็จะชะงักลงทันที แต่อย่างไรก็ดี ยังไม่มีใครเอาความร้อนออกได้หมดจริงๆ นอกจากนี้ ปรมาณูของธาตุต่างๆ ย่อมจะมีน้ำหนักต่างกันด้วย องค์ประกอบของปรมาณูนั้น ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์พบว่า ตัวที่เล็กที่สุดของธาตุใดๆ ก็ตามอันมีอยู่แล้วยังรักษาลักษณะ รักษาคุณสมบัติของธาตุนั้นๆ เอาไว้ได้ เรียกว่า ปรมาณูของธาตุนั้น

ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เองจึงมีปรมาณูของธาตุต่างๆ เช่น Hydrogen Oxygen Copper Uranium ฯลฯ ปรมาณูของ Hydrogen เป็นปรมาณูที่เบาที่สุด และปรมาณูของ Uranium หนักที่สุด

ปรมาณูทุกๆ ตัวมีหลายส่วนรวมกัน ประกอบด้วยแกนกลางที่แน่นทึบเรียกว่า นิวเคลียส (Neuleus) แล้วมีอิเล็คตรอน(Electron) หลายตัวห้อมล้อมนิวเคลียส และนิวเคลียสประกอบด้วยอนุภาคที่สำคัญสองชนิด คือโปรตอน (Proton) และนิวตรอน (Neutron) และทั้งสองชนิดนี้มีมวล (Mass) เกือบจะเท่าๆ กัน โปรตอนมีประจุไฟฟ้าบวก แต่นิวตรอนไม่มีประจุไฟฟ้าเลย สำหรับอิเล็คตรอนมีประจุไฟฟ้าลบ

ปรมาณูนั้น แต่อดีตเชื่อกันว่าเป็นสิ่งที่เล็กที่สุด แบ่งแยกไม่ได้ แต่ความจริงปรากฏในปัจจุบันนี้ว่า ตัวปรมาณูมีส่วนประกอบซึ่งแยกออกเป็นอนุภาคได้

ลักษณะของปรมาณูนั้น มิได้หยุดอยู่นิ่งๆ เปรียบคล้ายกับจักรวาลของดาวนพเคราะห์ที่โคจรหมุนเวียนอยู่รอบๆ ดวงอาทิตย์ จึงเปรียบเหมือนดวงอาทิตย์เป็นนิวเคลียส ดาวนพเคราะห์ทั้งหลายที่วิ่งวนเวียนอยู่รอบๆ ดวงอาทิตย์เป็นอิเล็คตรอน

ในพระพุทธศาสนาได้สอนถึงการแยกรูปออกให้เล็กลงๆ ไปเป็นลำดับขนถึงอณู ปรมาณูเหมือนกัน แต่มิได้สอนให้ทำปรมาณูเพื่อช่วยในการผลิตสร้างสิ่งใดในทางสันติ หรือให้ทำลูกระเบิดปรมาณูเพื่อแก่การทำลายกันในเวลาเกิดสงคราม หากแต่สอนเรื่องปรมาณูเพื่อให้บังเกิดความเข้าใจในเรื่องของชีวิต เฉพาะอย่างยิ่งทางฝ่ายรูปธรรม เพื่อให้เข้าใจตามความเป็นจริง จริงๆ (ปรมัตถ์) เพื่อมิให้หลงผิดหรือละเมอเพ้อฝันจนเป็นเหตุให้ตั้งอยู่ในความประมาทในปัญหาของชีวิต แล้วยังเป็นหนทางที่จะเข้าไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้ชีวิตหลุดรอดไปจากความทุกข์ด้วย

ปรมาณูในพระพุทธศาสนาแยกจากเม็ดข้าวเปลือกให้เล็กลงๆ ไปเรื่อยๆ จนถึงปรมาณู

ดังคาถาจาปลินิคัณฑุ (อภิธานนัปปทีปิกา) คาถาที่ ๑๙๔ และคาถาที่ ๑๙๕ ในภูมิกัณฑ์ว่า

ฉตฺตึส ปรมาณูน เมโก ณุจ ฉตึ เต
ตชฺชรี ตาปี ฉตฺตึส รถเรณูจฺ ฉตึส เต
ลิกฺขา ตา สตฺต อูกา ตา ธญฺญมาโสติ สตฺเต
๓๖ ปรมาณู เป็น ๑ อณู
๓๖ อณูเหล่านั้น เป็น ๑ ตัชชารี
๓๖ ตัชชารีเหล่านั้น เป็น ๑ รถเรณู
๓๖ รถเรณูเหล่านั้น เป็น ๑ ลิกขา
๗ ลิกขา เป็น ๑ อูกา
๗ อูกาเหล่านั้น เรียกว่า ธัญญามาส

ถ้าจะกลับเสียก็ได้ดังนี้
๑ เม็ดข้าวเปลือก = ๗ อูกา
๑ อูกา = ๗ ลิกขา
๑ ลิกขา = ๓๖ รถเรณู
๑ รถเรณู = ๓๖ ตัชชารี
๑ ตัชชารี = ๓๖ อณู
๑ อณู = ๓๖ ปรมาณู

๑ ปรมาณูนั้น เป็นหน่วยที่เล็กที่สุด ที่สอนกันในพระพุทธศาสนา ขอให้ท่านผู้อ่านลองเปรียบเทียบกันดูกับปรมาณูในทางวิทยาศาสตร์ ว่าจะมีขาดแตกต่างกันอย่างไร การศึกษาปรมาณูในพระพุทธศาสนา มุ่งหมายเพื่อจะให้เห็นว่า รูปทั้งหลายเหล่านั้นล้วนเป็นธาตุ มิใช่สัตว์มิใช่บุคคล

เป็นหน่วยเล็กๆ ที่มองเห็นไม่ได้มาประชุมรวมกันแล้วก็เกิดขึ้นด้วยอาศัยเหตุปัจจัยต่างๆ ไม่ได้เกิดจากการดลบันดาลขึ้นมาของใคร และมีการสลายตัวอยู่ตลอดเวลา ในวินาทีหนึ่งตั้งมากมาย ล้วนแต่เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้แน่นอนรวมอยู่กันชั่วคราวเท่านั้น ทั้งเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่เรื่อยไป ไม่มีหยุดเลย จะไม่มีใครมีความสามารถไปบังคับยับยั้งให้มันหยุดการเปลี่ยนแปลงได้เลยเป็นอันขาด เมื่อมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เช่นนี้แล้ว จึงเอาเป็นที่พึ่งอันถาวรไม่ได้ จึงเป็นทุกข์

ความสำคัญของเรื่องปรมาณูในพระพุทธศาสนาอีกบางประการจะละเลยไม่กล่าวเสียหาได้ไม่ คือ ในหนึ่งปรมาณูนั้นแยกออกเป็น ๘ อย่างรวมกัน คือมีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ สี กลิ่น รส โอชะ เรียกว่า อวินิพโภครูป และปรมาณูนั้น ย่อมจะมีธาตุทั้ง ๘ นี้อยู่รวมกันเสมอไป จะเอาอันใดอันหนึ่งออกเสียมิได้เลย พูดง่ายๆ ก็ว่า มีปรมาณูอยู่ที่ไหน ธาตุทั้ง ๘ นี้ก็จะอยู่ในที่นั้น
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 08 มิ.ย.2008, 5:09 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
ดังคาถาจาปลินิคัณฑุ (อภิธานนัปปทีปิกา) คาถาที่ ๑๙๔ และคาถาที่ ๑๙๕ ในภูมิกัณฑ์ว่า

ฉตฺตึส ปรมาณูน เมโก ณุจ ฉตึ เต
ตชฺชรี ตาปี ฉตฺตึส รถเรณูจฺ ฉตึส เต
ลิกฺขา ตา สตฺต อูกา ตา ธญฺญมาโสติ สตฺเต
๓๖ ปรมาณู เป็น ๑ อณู
๓๖ อณูเหล่านั้น เป็น ๑ ตัชชารี
๓๖ ตัชชารีเหล่านั้น เป็น ๑ รถเรณู
๓๖ รถเรณูเหล่านั้น เป็น ๑ ลิกขา
๗ ลิกขา เป็น ๑ อูกา
๗ อูกาเหล่านั้น เรียกว่า ธัญญามาส


------------------------------------------------------------


http://larndham.net/index.php?showtopic=12737&st=16

ลัทธินัตถิกทิฏฐิ กล่าวโดยเนื้อหาก็คือปรัชญาจากการมีรากฐานอยู่ก่อนแล้วในระบบความคิดความเชื่อเดิมของสังคมอินเดียหากเทียบกับลัทธิปรัชญาตะวันตกนัตถิกทิฏฐิก็คือปรัชญาวัตถุนิยม (Mate-rialistic philosophy) ซึ่งผู้ศึกษาปรัชญาสายตะวันออกและตะวันตกย่อมจะรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว
หลักการทั่วไปของลัทธินัตถิกทิฏฐิ หรือปรัชญาวัตถุนิยมของตะวันตก(Materialistic philosophy) มีเนื้อหาสอดคล้องกันตรงที่ต่างยอมรับว่าโลกและชีวิตเป็นผลผลิตของการรวมกันอย่างลงตัวของวัตถุหรือสสาร ไม่มีจิตวิญญาณที่เป็นนามธรรม ความจริงมีอยู่เฉพาะในโลกแห่งวัตถุและความจริงนี้ต้องพิสูจน์ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัสเท่านั้น ไม่มีความจริงอื่นนอกเหนือไปกว่านี้

แต่พระพุทธศาสนากล่าวว่า ความจริงไม่ได้มีอยู่เฉพาะในโลกแห่งวัตถุหรือสสารเท่านั้น ยังมีความจริงอีกมากมายที่เรามองไม่เห็น พิสูจน์ไม่ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ แต่อาจพิสูจน์และสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสที่ ๖ (ESP = Extra Sensory Perception) คือจิตหรือใจ
เมื่อวัตถุนิยมปฏิเสธความจริงทางนามธรรม ก็เท่ากับปฏิเสธเรื่องบุญ บาป ความดี ความชั่ว กฏแห่งกรรม เทวดา พระนิพพาน และพระอรหันต์ผู้รู้แจ้งพระนิพพานด้วย การปฏิเสธบุญบาป เป็นต้น ก็เท่ากับเป็นการปฏิเสธระบบคุณค่าหรือกฏเกณฑ์ทางศีลธรรมจริยธรรมที่ทำให้สังคมดำรงอยู่อย่างสงบร่มเย็นไปด้วยโดยปริยาย
ผู้ที่เชื่อในลัทธิวัตถุนิยมจึงใช้ชีวิตอย่างสุดโต่งไปในการแสวงหาความสุขจากการสนองตัณหา หรือการกิน ดื่ม สืบพันธุ์ หรือกิน กาม เกียรติ และการเสพบริโภคอย่างเต็มที่ ไม่คำนึงถึงคุณค่าทางจิตใจ ให้ความสำคัญต่อวัตถุและสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างเงิน รถ บ้าน กามารมณ์ เป็นต้น ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่อาจถือเอาเป็นสรณะที่สามารถให้คำตอบสุดท้ายกับชีวิตได้แทบทั้งหมด กล่าวโดยรวมคือสนใจโลกียสุขมากกว่าจะแสวงหาโลกุตรสุขที่อยู่เลยพ้นขึ้นไปจากสุขทางประสาทสัมผัสทั้ง ๕
เมื่อกล่าวโดยเคร่งครัดลัทธิวัตถุนิยมของพระเจ้ายาปาสิจึงไม่ได้หายไปจากความคิดความเชื่อและวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมปัจจุบัน หากแต่ได้คลี่คลายขยายตัวมาอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรมิ่งนักในนามของลัทธิวัตถุนิยม บริโภคนิยม ที่กำลังแผ่อิทธิพลครอบงำไปทั่วโลกอยู่ในเวลานี้นั่นเอง

-----------------------------------------------------

คุณหมอตรงประเด็นสืบค้นให้ดีก่อนที่จะแสดงความเห็นว่า พระพุทธศาสนาไม่สอนเรื่องรูปปรมาณู หรือ รูปที่ละเอียด ๆ ที่มองไม่เห็น


ผมว่าอีกหน่อย คุณหมอคนนี้ คงจะเป็นพวกที่ยอมรับแต่สิ่งที่ตนเองพิสูจน์ได้ แล้วปฏิเสธความจริงทางด้าน นามธรรม หรือ วัตถุนิยม แบบอาจารย์ใหญ่ของท่าน คือท่านพุทธทาส

ปากบอกไม่ใช่ลูกศิษย์ แต่ออกมาปกป้อง อาจารย์ยิ่งกว่า พระไตรปิฏก อรรถกถา แถมหัวเราะเยาะ กล่าวดูหมิ่นดูแคลนอีกต่างหาก (พูดถึงเรื่อง สีน้ำเลี้ยงหัวใจ และ หทยวัตถุ ที่ตั้งที่อาศัยของจิต คุณหมอขำกลิ้งเลยครับ)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 08 มิ.ย.2008, 5:19 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
ส่วนเรื่อง การโจมตี ท่านพุทธทาส พระป่ากรรมฐาน รวมทั้ง หลวงปู่-หลวงพ่อ ที่ไม่ได้อยู่ในแนวทางของคุณ เฉลิมศักดิ์ อย่างที่คุณเฉลิมศักดิ์ทำในลานธรรมเสวนานั้น....จนเขาต้องปิด ส่วนแยกอภิธรรม ปริยัติธรรม เพื่อยุติปัญหา




แค่สมาชิกที่ลานธรรม สงสัยว่า หลวงปู่สายวัดป่าที่คุณนับถือ สอนถูกหรือผิด ?


จึงทำให้คนที่เคยรู้จักเปลี่ยนไป ไม่ยอมศึกษาพระไตรปิฏก อรรถกถา เห็นเป็นเรื่อง งมงายไร้สาระ สู้ยึดถือคำสอนของหลวงปู่หลวงพ่อที่คุณนับถือไม่ได้

แฟนเก่าผม เชื่อหลวงปู่ แต่ไม่เชื่อพระไตรปิฎก
http://larndham.net/index.php?showtopic=29620&st=43


สังเกตนะครับ ผู้ที่ยึด อาจาริยวาท เป็นใหญ่ ปกป้องอาจาริยวาท ยิ่งกว่าพระไตรปิฏก อรรถกถา

ปากก็บอกว่า ธรรมทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ไม่มีตัวกู ของกู

แต่ใครมาว่า อาจาริยวาทไม่ได้ครับ โกรธเป็นฟืน เป็นไฟ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 08 มิ.ย.2008, 5:55 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้อความบางตอนจากอรรถกถาวิภังคปกรณ์มีกล่าวถึงเรื่องนี้ดังนี้

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 377

ในเถรวาทแห่งอันเตวาสิกของท่าน กล่าวว่า การเปิดเผยโดยการ

ออกด้วยสติ ชื่อว่า การรื้อถอนออก เพราะความเป็นผู้ต้องอาบัติ. สำหรับใน

ที่นี้ ภิกษุเห็นปานนี้ ชื่อว่า ย่อมเห็นโทษทั้งหลายมีประมาณน้อย โดยความ

เป็นโทษ โดยความเป็นภัย. เพื่อแสดงซึ่งโทษมีประมาณน้อย โดยความเป็น

โทษ โดยความเป็นภัยนั้น ท่านกล่าวมาตรา (ประมาณ) ดังนี้.

๑. ชื่อว่า ปรมาณู ๒. ชื่อว่า อณู

๓. ชื่อว่า ตัชชารี ๔. ชื่อว่า รถเรณู

๕. ชื่อว่า ลิกขา ๖. ชื่อว่า โอกา (อูกา)

๗. ชื่อว่า ธัญญมาส ๘. ชื่อว่า อังคุละ

๙. ชื่อว่า วิทัตถิ ๑๐. ชื่อว่า รตนะ

๑๑. ชื่อว่า ยัฏฐิ ๑๒. ชื่อว่า อุสภะ

๑๓. ชื่อว่า คาวุต ๑๔. ชื่อว่า โยชน์

แปลว่า บรรดาชื่อเหล่านั้น ชื่อว่า ปรมาณู เป็นส่วนแห่งอากาศ

(อนุภาคที่เล็กที่สุดซึ่งเห็นด้วยตาเนื้อไม่ได้ เห็นได้ด้วยทิพยจักษุ) ไม่มาสู่คลอง

แห่งตาเนื้อ ย่อมมาสู่คลองแห่งทิพยจักษุเท่านั้น. ชื่อว่า อณู คือรัศมีแห่ง

พระอาทิตย์ที่ส่องเข้าไปตามช่องฝา ช่องลูกดาล เป็นวงกลม ๆ ด้วยดี ปรากฏ

หมุนไปอยู่. ชื่อว่า ตัชชารี (สิ่งที่เกิดจากอณูนั้น) เพราะเจาะที่ทางโค ทาง

มนุษย์ และทางล้อแล้วปรากฏพุ่งไปเกาะที่ข้างทั้งสอง. ชื่อว่า รถเรณู (ละออง

รถ) ย่อมติดอยู่ที่รถนั้น ๆ นั่นแหละ. ชื่อว่า ลิกขา (ไข่เหา) เป็นต้น

ปรากฏชัดแล้วทั้งนั้น.

ก็ในคำเหล่านั้น พึงทราบประมาณดังนี้

๓๖ ปรมาณู ประมาณ ๑ อณู

๓๖ อณู " ๑ ตัชชารี (สิ่งที่เกิดจากอณูนั้น)

๓๖ ตัชชารี " ๑ รถเรณู (ละอองรถ)

๓๖ รถเรณู " ๑ ลิกขา (ไข่เหา)

๗ ลิกขา " ๑ โอกา (ตัวเหา)

๗ โอกา " ๑ ธัญญมาส (เมล็ดข้าวเปลือก)

๗ ธัญญมาส " ๑ อังคุละ (นิ้ว)

๑๒ อังคุละ " ๑ วิทัตถิ (คืบ)

๑๒ วิทัตถิ " ๑ รัตนะ (ศอก)

๗ รตนะ " ๑ ยัฏฐิ (หลักเสา)

๒๐ ยัฏฐิ " ๑ อุสภะ (ชื่อโคจ่าฝูง)

๘๐ อุสภะ " ๑ คาวุต

๔ คาวุต " ๑ โยชน์

๑๐,๐๖๘ โยชน์ (ส่วนสูง) " ๑ ภูเขาสิเนรุราช.



--------------------------------------------------------------------

คุณหมอตรงประเด็นลองนั่งคำนวนดู คืบมีขนาดใหญ่กว่า คืบมือของตนเอง ถึงกับหัวเราะว่า คงเป็นคืบไดโนเสาร์

http://larndham.net/index.php?showtopic=31314&per=1&st=29&#entry509747

คืบคนน่ะครับ.... ไม่ใช่คืบไดโนเสาร์ จะได้ยาวขนาดนั้น

และ คนในสมัยของคัมภีร์นั้น ก็ไม่ได้ตัวใหญ่ขนาดไดโนเสาร์เสียหน่อย

ลองดูเครื่องใช้ ของคนในสมัยจิ๋นซีสิครับ (ประมาณ200ปี หลังพุทธกาล) ...น่าจะใกล้เคียงกับพระคัมภีร์ ตัวไม่ใช่ใหญ่ขนาดไดโนเสาร์เสียหน่อย


ดังนั้น เรื่อง รูปปรามณู ที่กล่าวมาทั้งหมดในพระคัมภีร์ยุคหลัง
รวมทั้ง กลละรูปเป็นรูปรมาณู ที่อาจารย์รุ่นหลังกล่าวไว้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 08 มิ.ย.2008, 6:08 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=7323&Z=7551


อ้างอิงจาก:
เหตุที่พระสาวกเป็นผู้ทำตามคำสอนและเป็นพระอรหันต์
[๔๐๑] สัจจกนิครนถ์ ทูลถามว่า ด้วยเหตุเท่าไร สาวกของพระโคดม จึงชื่อว่าเป็น
ผู้ทำตามคำสั่งสอน ทำถูกตามโอวาท ข้ามความสงสัยเสียได้ ปราศจากความแคลงใจอันเป็นเหตุ
ให้กล่าวว่าข้อนี้เป็นอย่างไร ถึงความแกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น อยู่ในคำสอนของศาสดาตน?
พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ สาวกของเราในธรรมวินัยนี้ ย่อมเห็นเบญจขันธ์นั้นด้วยปัญญา
อันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันใดอันหนึ่ง ทั้งที่
ล่วงไปแล้ว ทั้งที่ยังไม่มาถึง ทั้งเกิดขึ้นเฉพาะในบัดนี้ ที่เป็นภายในก็ดี ที่เป็นภายนอกก็ดี
หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี ในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี ทั้งหมด ก็เป็นแต่รูป
เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ได้เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตนของเรา
ดังนี้. ดูกรอัคคิเวสสนะ ด้วยเหตุเท่านี้แหละ สาวกของเราจึงชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสั่งสอน ทำถูก
ตามโอวาท ข้ามความสงสัยเสียได้ ปราศจากความแคลงใจอันเป็นเหตุให้กล่าวว่าข้อนี้เป็นอย่างไร
ถึงความแกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น อยู่ในคำสอนของศาสดาตน.


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๔ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๑
ธรรมสังคณีปกรณ์

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=34&A=4173&w=รูปละเอียด

อ้างอิงจาก:
รูปหยาบก็มี รูปละเอียดก็มี
รูปไกลก็มี รูปใกล้ก็มี
รูปเป็นที่อาศัยเกิดของจักขุสัมผัสก็มี รูปไม่เป็นที่อาศัยเกิดของจักขุสัมผัสก็มี
รูปเป็นที่อาศัยเกิดของเวทนา อันเกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ ของสัญญา ฯลฯ ของ
เจตนา ฯลฯ ของจักขุวิญญาณก็มี รูปไม่เป็นที่อาศัยเกิดของจักขุวิญญาณก็มี
รูปเป็นที่อาศัยเกิดของโสตสัมผัส ฯลฯ ของฆานสัมผัส ฯลฯ ของชิวหาสัมผัส ฯลฯ
ของกายสัมผัสก็มี รูปไม่เป็นที่อาศัยเกิดของกายสัมผัสก็มี
รูปเป็นที่อาศัยเกิดของเวทนา อันเกิดแต่กายสัมผัส ฯลฯ ของสัญญา ฯลฯ ของ
เจตนา ฯลฯ ของกายวิญญาณก็มี รูปไม่เป็นที่อาศัยเกิดของกายวิญญาณก็มี
รูปเป็นอารมณ์ของจักขุสัมผัสก็มี รูปไม่เป็นอารมณ์ของจักขุสัมผัสก็มี


--------------------------------------------------------------

สังเกตนะครับคุณหมอตรงประเด็นจะไม่อ้างถึงพระอภิธรรม เพราะเชื่อว่าไม่ใช่พระพุทธพจน์

นี้จะเชื่อตามท่านพุทธทาสหรือเปล่า ที่เข้าใจว่า เป็นธรรมดำ ใครศึกษาแล้วเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่เชื่อใครง่าย ๆ (รวมทั้งคำสอนส่วนตัวของท่าน )

เวลาอ้างอิงแทนที่จะอ้างอิง พระไตรปิฏก อรรถกถา กลับไปอ้างอัตตโนมติ ที่มีอคติกับพระอภิธรรม

จากลานธรรมเสวนา

http://larndham.net/index.php?showtopic=31840&st=84

จาก หนังสือ ธรรมะน้ำล้างธรรมะโคลน หน้า92


นักอภิธรรมอ้างผู้อื่น-ด่าผู้อื่น

ถาม: ทีนี้ ผมสงสัยว่าทำไมคนที่อ้างตนว่าเป็นนักอภิธรรม แล้วชอบไปอ้างคำของคนอื่น เพื่อด่าคนอื่นด้วยเล่าครับ?

ตอบ: นั่นคุณสงสัย เป็นเรื่องของคุณ ผมไม่ต้องตอบดอก
คนที่เป็นนักอภิธรรมนี้ ปรากฏว่ายังมีที่ด่าคนเก่ง โกรธเก่ง โกรธง่าย โกรธเร็ว หาเรื่องหาเลศได้มาก. และบางทีทำอะไรรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องผัวเมีย เรื่องกามารมณ์ด้วย.นี่ไม่ต้องตอบดอก ไม่ต้องตอบเพราะมันจะเป็นเรื่องด่าคนอื่นไปอีก.

โดยคุณตรงประเด็น



คุณตรงประเด็นครับ ผมว่าตั้งแต่คุณศึกษางานของท่านพุทธทาสมามาก ๆ คุณเริ่มโกรธง่ายขึ้น หาเรื่องได้มากขึ้นนะครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 08 มิ.ย.2008, 8:01 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เฉลิมศักดิ์1 พิมพ์ว่า:


แค่สมาชิกที่ลานธรรม สงสัยว่า หลวงปู่สายวัดป่าที่คุณนับถือ สอนถูกหรือผิด ?


จึงทำให้คนที่เคยรู้จักเปลี่ยนไป ไม่ยอมศึกษาพระไตรปิฏก อรรถกถา เห็นเป็นเรื่อง งมงายไร้สาระ สู้ยึดถือคำสอนของหลวงปู่หลวงพ่อที่คุณนับถือไม่ได้

แฟนเก่าผม เชื่อหลวงปู่ แต่ไม่เชื่อพระไตรปิฎก
http://larndham.net/index.php?showtopic=29620&st=43


สังเกตนะครับ ผู้ที่ยึด อาจาริยวาท เป็นใหญ่ ปกป้องอาจาริยวาท ยิ่งกว่าพระไตรปิฏก อรรถกถา

ปากก็บอกว่า ธรรมทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ไม่มีตัวกู ของกู

แต่ใครมาว่า อาจาริยวาทไม่ได้ครับ โกรธเป็นฟืน เป็นไฟ




กระทู้นั้น คุณOSIRIS เป็นเจ้าของกระทู้

กระทู้แฟนเก่าของคุณOSIRIS ที่ปรมาสพระอริยเจ้า.....

คุณOSIRISเองท่านคงเคยปรามาสพระอริยเจ้าเช่นนี้มาก่อนแล้วตั้งแต่อดีตชาติ คุณOSIRIS เลยมีความคิดแบบนี้ในชาตินี้
และ เขาก็ยังมาสานต่อ วิบากและกรรม ในลักษณะเดิมๆให้สังสารวัฏฏ์มันยืดยาวเข้าไปอีก.....แทนที่จะหักล้อกงกรรมให้จบในภพชาตินี้ เขากลับกระทำในลักษณะคล้ายๆกับคุณเฉลิมศักดิ์...... เหมือนเขาจะมีแนวคิดแบบเดียวกับคุณเฉลิมศักดิ์ ในมุมมองต่อพระสุปฏิปันโนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ครูบาอาจารย์ของตนเอง

โทษของการกล่าวโทษพระอริยะ ๑๐

๑. ไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ

๒. เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว

๓. สัทธรรมย่อมไม่ผ่องแผ้ว

๔. เป็นผู้เข้าใจว่าตนได้บรรลุในสัทธรรมทั้งหลาย

๕. ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์

๖. ต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง

๗. ย่อมถูกโรคอย่างหนัก

๘. ถึงความเป็นบ้ามีจิตฟุ้งซ่าน

๙. เป็นผู้หลงไหลกระทำกาละ (ตายอย่างขาดสติ)

๑๐. เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาตนรก

(พระไตรปิฎก เล่ม ๒๔ ข้อ ๘๘)




ย้อนกลับไปยังกระทู้นั้นกันดูน่ะครับ.....
แล้วจะพบว่า กรรม และ วิบาก มีจริง

ในกระทู้นั้น คุณOSIRIS กล่าวถึง หลวงตา มหาบัว ในคห นี้ ดังนี้ครับ


http://larndham.net/index.php?showtopic=29620&st=8

อ้างอิงจาก:
ที่มา (ส่วนนี้เป็นเหตุผลหนึ่งเท่านั้น ที่ทำให้เธอคิดแบบนี้ แต่ .... หรือว่าผมเข้าใจอะไรผิดไป )

เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ [ค่ำ]

ภาคปฏิบัติเป็นภาครื้อถอนกิเลส





ในกระทู้นั้น...ในขณะที่ สมาชิกท่านอื่นๆ ต่างพากันพยายามชี้แจง ให้คุณOSIRIS คลายทิฏฐิความเห็นเช่นนั้น
คุณเฉลิมศักดิ์เอง กลับ เข้ามาปรบมือ ชมและสนับสนุนคุณOSIRIR ดังนี้




http://larndham.net/index.php?showtopic=29620&st=43

อ้างอิงจาก:
ขอเป็นกำลังใจให้คุณ Osiris ครับ

แฟนหาเมื่อไหรก็ได้

หลวงปู่ / อาจาริยวาท/ อัตตโนมติ ก็มีตั้งมากมาย

แต่พระพุทธเจ้า / พระไตรปิฏก/ อรรถกถา / วิสุทธิมรรค / อภิธัมมัตถสังคหะ /(เถรวาท) / ครูบาอาจารย์ผู้ทรงพระไตรปิฏก เกิดขึ้นยากในโลกครับ






และ คุณเฉลิมศักดิ์ สมทบ ด้วยความเห็นนี้อีก


http://larndham.net/index.php?showtopic=29620&st=57

อ้างอิงจาก:
อาจารย์ไชยวัฒน์ ผู้ทรงพระไตรปิฏก วิจารณ์คำสอน ที่บอกว่าไม่ต้องเรียนปริยัติแต่ปฏิบัติอย่างไปอย่างเดียวแล้วจะรู้เอง แบบนี้ว่า กำลังสอนให้คนเป็นพระพุทธเจ้า ( ปฏิบัติแล้วรู้เอง )




คุณ เฉลิมศักดิ์ กำลังบอกกลายๆ ว่าคุณOSIRISคิดและทำถูกแล้ว ให้คิดและทำต่อไป

โดยยกเอา คำกล่าวของอาจารย์ปริยัติ มาสนับสนุน.... ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำเลย ไม่ว่าจะมองในแง่มุมใดๆ



....................................




เรียน เพื่อนสมาชิกครับ


อยากเสนอให้ย้อนกลับไปอ่าน ที่ผมเคยทักท้วง คุณOSIRISในกระทู้เก่า



http://larndham.net/index.php?showtopic=29620&st=97

อ้างอิงจาก:
เรียน ท่าน จขกท


ท่านเริ่มเห็นผล ที่เกิดจากการที่ท่านตั้งกระทู้นี้ขึ้น แล้วขาดสติไปนำบทเทศนาของหลวงตามหาบัวมาลง ในลักษณะนี้ หรือยังครับ???

คุณเอาบทเทศนาหลวงตามหาบัวมาลง คุณเองก็ไม่สามารถควบคุมประเด็นของกระทู้ได้ เมื่อมีผู้ที่มีอคติต่อ"ผู้ที่ศึกษาปริยัติเพียงพอสังเขปแล้วมุ่งปฏิบัติเลย"มาใช้พื้นที่กระทู้นี้ เป็นที่กระทบ-กระเทียบ-เหน็บแนม แนวทางที่ตนเห็นว่าผิด ในลักษณะที่ พยายามชี้จูงให้สมาชิกเห็นว่า คำสอนของหลวงตามหาบัวนั้น "เป็นแนวทางที่สอนให้ทิ้งปริยัติ"

และ ผมเองก็ไม่ได้เห็นคุณทักท้วงท่านที่กระทำการอันน่ารังเกียจ เหล่านั้นเลย

นอกเหนือจาก ความร้าวฉานในลานธรรมเสวนาที่เกิดขึ้นแล้ว
กรรมมีจริง แน่นอนครับ
และยุติธรรมเสมอ

การมีส่วนร่วมเปิดช่องให้บุคคลบางกลุ่มกล่าวโทษพระสุปฏิปันโนอย่างไม่เหมาะสมนั้น...... ไม่ใช่บาปเล็กน้อยน่ะครับ
ถึงแม้นในตอนต้นกระทู้คุณอาจจะไม่ได้เจตนา หรือไม่คาดว่าจะเกิดเรื่องถึงขนาดนี้ก็ตาม
แต่เมื่อเกิดขึ้น คุณไม่ได้พยายามที่จะจัดการใดๆที่เหมาะสม ที่จะระงับเหตุเหล่านั้น



ด้วยสัจจะ ในตอนนั้น ผมเองไม่ทราบเสียด้วยซ้ำ ว่าคุณOSIRISท่านมีปัญหาทางใดอยู่

(ผมมาทราบภายหลัง ว่า คุณ OSIRIS มีปัญหาเป็นแบบนี้ครับ

http://larndham.net/index.php?showtopic=31671&st=0&hl=ทานข้าว )


ในตอนนั้น ผมเพียงแต่รู้สึกว่า เขาทำกรรมหนัก และ อาจจะมีส่วนให้ผู้อื่นเข้าใจพระสุปฏิปันโนผิด.... อาจจะเจอวิบากหนักๆเอา

พอมาทราบภายหลังว่าคุณOSIRISมีปัญหาใดอยู่ ผมไม่แปลกใจเลยครับ...

คนเรามักจะทำผิดซ้ำเหมือนในอดีตชาติ
ลองอ่านในชาดกดูสิครับ พระเทวทัตเกิดกี่ภพกี่ชาติก็ง่ายมากที่จะทำเลว พระอานนท์เกิดกี่ภพกี่ชาติท่านก็มีแนวโน้มจะทำดี ๆลๆ
อธิวาสนาที่ข้ามภพข้ามชาติได้ นั้นมีแน่นอนครับ

และ ถ้าคุณOSIRIS ยังไม่ยุติ และดำเนินในลักษณะนี้ต่อ เขาก็จะพบกับสิ่งเหล่านี้อีกในอนาคตชาติไปเรื่อยๆ...ไม่มีที่สิ้นสุด

ผมมองว่า ความเห็นที่คุณเฉลิมศักดิ์แสดงต่อพระสุปฏิปันโนอื่นๆ(ที่ไม่ใช่ครูบาอาจารย์ของคุณเฉลิมศักดิ์เอง) มีส่วนที่ทำให้น้องเขามีความรู้สึกต่อพระสุปฏิปันโนเช่นนี้

ผมจึงต้องตามทักท้วงคุณเฉลิมศักดิ์ ในประเด็นแบบนี้มาตลอด ในเว็บต่างๆ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
RARM
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417

ตอบตอบเมื่อ: 10 มิ.ย.2008, 2:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สรุปสั้นๆ ง่าย ๆ

การฝึกสติ คือการฝึกสมาธินั่นเองครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง