Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ปล่อยวางอย่างเซน กับ ศีลพรหมจรรย์ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 06 ธ.ค.2007, 10:04 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ในอดีต ถ้ายังจำกันได้...

เคยมีผู้เผยแผ่แนวทางธรรมะด้วยกลอน ในแนวเซน..... ที่มีผู้ชื่นชอบอย่างมาก
(ขนาด นายกไทยในอดีตเคยสมัครตัวเป็นลูกศิษย์)



*** ประวัติของฉัน ***

เมื่อเขาถาม”วันเดือนปี”ที่ฉันเกิด
ฉันจึงเปิด”หีบเปล่า”ให้เขาถาม
ว่าหีบนี้มีอะไร?ให้ตรองตาม
หาฤกษ์ยามเดือนปีไม่มีเลย

ถ้าอยากรู้ภูมิลำเนาฉันเข้าอยู่
ก็จงดู พ.ศ.ศูนย์นู้นแหละเหวย
ถ้าฉันเกิด พ.ศ.หนึ่งที่พึ่งเคย
มี”ตัวกู” “ของกู”เกยฝั่งโลกา

แต่ภูมิหลังดั้งเดิมไม่มีตัว
พ.ศ.ศูนย์ย่อมไร้ทั่วทุกสิ่งสาร์
ไม่มีคน…..ไม่มีรูปและนามา
แล้วจะหาภูมิหลังฉันอย่างไร?

หากถามถึงการศึกษาสถาบัน
ว่าตัวฉันเรียนวิชชามาจากไหน?
ก็เหมือนถาม”หีบว่าง”….ว่างอย่างไร?
คงตอบได้แต่ว่า “ว่าง….ทุกอย่าง”แล ฯ

ทั้งนี้เพราะวิชชา “ปัญญาวิมุติ”
“คือความว่างอย่างที่สุด”….ทุกกระแส
“ว่างจากตัวของตัว” อย่างทั่วแท้
ไม่มีแม้”ตัวฉัน” “ของฉัน”จริง

ไม่ต้องมียศถาบรรดาศักดิ์
จึงไม่หนักไม่แบกทุกข์ไปทุกสิ่ง
เป็นอิสระอยู่ไปไม่ประวิง
เห็นทุกสิ่งไร้ค่าทุกท่าไป

จึงเหลือแต่”ความว่าง”อย่างมหันต์
ไม่มีฉันคือผลงานกว่างานไหน
ไม่มีทุกข์วิปโยคเศร้าโศกไซร้
คือรางวัลที่ฉันใฝ่จะได้มา

“สุญญตา”คือ “ความว่าง”ทุกอย่างแท้
ไม่มีแม้เกียรติยศระทดหา
ไม่ต้องมีโล่รางวัลกำนัลมา
สูงสุดค่าคือ”ความว่าง”ทุกอย่างเอย


อิสระมุนี
10 สิงหาคม 2543



ส่วนท่านอาจารย์เซนผู้ประพันธ์กวีนี้ ในตอนสุดท้ายเป็นอย่างไร ลองไปค้นดูเองน่ะครับ

นี่คือ ตัวอย่างให้เห็นว่า ถ้ามัวแต่พูดปรมัตถสัจจะอย่างเดียว โดยโยนสมมติสัจจะ(ศีล-วินัย)ทิ้ง..... ผลจะเป็นเช่นใด




ท่าน อ.วศิน อินทสระ ท่านกล่าวไว้ในหนังสือ "สาระสำคัญแห่ง พุทธปรัชญามหายาน"
ในหน้าที่ 172 ไว้ อย่างน่าสนใจว่า


บุคคลผู้มีทรรศนะในสุญญตานี้ จะต้องมีศีล และ สมาธิเป็นพื้นฐาน

(หาก)ปราศจากศีล และ สมาธิแล้ว..... ทรรศนะในสุญญตาของเขา ย่อมเป็นมิจฉาทิฏฐิ




และจาก หน้า 174


"มีพุทธศาสนิกบางคน เข้าวัดฟังธรรม ทำบุญให้ทานตามปกติ....

ต่อมา ไปศึกษาเรื่อง สุญญตา เรื่องอนัตตา หรือความว่างเข้า...... เห็นไปว่า ไม่มีอะไร

จึงเลิกทำบุญให้ทาน ถือแต่ความว่างอย่างเดียว...... นี่เรียกว่า ไปมีทรรศนะเรื่องสุญญตาเข้า โดยที่พื้นฐานทางศีลและสมาธิยังไม่พอ เลยเขวออกนอกทาง.....ๆลๆ "





การเห็นว่า "ไม่มีอะไร" หรือ "อะไรๆ ก็ไม่มี"นั้น....คือ นัตถิกทิฏฐิ นั่นเองครับ

ซึ่งถึงกับทำให้ละทิ้งโอวาทปาฏิโมกข์สองข้อแรก ซึ่งก็คือละเว้นชั่ว(รักษาศีล) และการทำดี(ทำบุญ)เอาง่ายๆครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง