ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
25 เม.ย.2007, 5:46 pm |
  |
กราบขอบพระคุณคุณ "ปุ๋ย" เป็นคำตอบที่ตรงใจมาก การกำหนดให้รู้ตัวทั่วพร้อมที่ทำมาเป็นดังนี้ "เมื่อตัวโยกตั้งแต่ศีรษะจนถึงเอว โยกไปข้างหน้าพร้อมกัน เหมือนช่วงลำตัวส่วนบนจะหลุดออกไปจากเอว เมื่อรู้สึกตัวจึง ค่อยๆ ดึงกลับมาตั้งตรงแล้วตามดูทั่วๆ ตัว มีความรู้สึกว่าส่วนที่นั่งอยู่หนักมาก จากเอวขึ้นมาเบาสบายๆ แต่ไม่ทราบว่าจะดูสภาวะจิตอย่างไร ช่วงนี้อากาศร้อน จึงตามดูเหงื่อที่ไหลตามข้อพับ รู้ได้ชัดเจนว่าเม็ดเหงื่อผุดจากผิวกายแล้วค่อยไหลไปๆ แล้วก็ย้อนกลับมาดูใหม่ว่าผุดอีก ไหลอีก" ทำอย่างนี้ถูกทางหรือเปล่าคะ จะรอคำตอบค่ะ |
|
|
|
|
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
25 เม.ย.2007, 10:01 pm |
  |
กราบสวัสดี คุณtambun
ก็ที่คุณบอกว่าอากาศร้อนนั่นแหละค่ะ ร้อนก็คือความรู้สึกตรงกาย เหงื่อไหลออกมามันก็รู้สึก นั่นแหละค่ะ หนักก็คือความรู้สึกตรงกาย เบา สบาย ก็คืออารมณ์ ความรู้สึกที่ส่งผลตรงจิต หากมีกระแสลมเย็นพัดมาไม่ว่าจากลมธรรมชาติ หรือพัดลม หรือแอร์ที่เปิดอยู่ภายในห้องที่ปฏิบัติ ก็ให้ทำความรู้สึกว่าเย็นกายไปทั่วๆ จนเย็นลึกเข้าไปถึงอารมณ์ ความรู้สึกตรงจิต ปรับสลับไปสลับมาอย่างนี้แหละค่ะ ถูกทางแล้วค่ะ สาธุค่ะ
เจริญในธรรม
มณี ปัทมะ ตารา
 |
|
|
|
   |
 |
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
26 เม.ย.2007, 12:08 pm |
  |
สวัสดีค่ะ คุณปุ๋ย
คุยกับคุณแล้วได้ความรู้นำไปพัฒนาตนเองได้ดีจริง ๆ เคยไปท่องลานสนทนาธรรมมาหลายที่คำตอบที่ได้อาจเป็นภูมิรู้ที่สูงมากเกินความรู้ของเรา คล้าย ๆ กับว่าเรียนอนุบาลอยู่ เอาข้อสอบประถมมาให้สอบเลยทำไม่ได้ กราบขอบคุณอย่างสูงที่มอบบันไดแก้วทีละขั้นให้จะส่งผลการปฏิบัติมาขอรับคำแนะนำเรื่อย ๆ และขอใช้กระดานสนทนาห้องนี้ เพื่อให้ คำถาม - ตอบเป็นวิทยาทานไปด้วยในตัว และหากท่านใดเสนอแนะมาก็ขอน้อมรับคำแนะนำด้วยความเคารพค่ะ
(คนสูงอายุที่เพิ่งจะรู้สึกตัวก็สอนยากหน่อยนะคะ) |
|
|
|
|
 |
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
26 เม.ย.2007, 1:58 pm |
  |
ผลของการปฏิบัติอีกลำดับหนึ่ง เมื่อปรับจากการลืมหายใจ มาทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อม อาการตัวโยกคล้ายสัปหงกหายไป รู้สึกถึงลมหายแผ่วเบาเหมือนไม่ได้หายใจ แต่ก็ไม่อึดอัด ปล่อยวางความรู้สึกตรงนั้น มาดูกายตัวเอง เกิดอาการเหมือนมีความร้อนที่ถูกจุดประกายคล้ายจุดไฟแช็ค แต่ไม่มีเปลว แปล๊บๆ 2 ครั้ง ที่กึ่งกลางท้องน้อย แล้วความร้อนนั้นก็แผ่ซ่านเต็มช่องท้อง ตามดูอยู่ รู้สึกได้ถึงความร้อนที่เพิ่มขึ้นๆ และไหลจากช่องท้องแผ่ซ่านไปตามกระดูกสันหลัง เหมือนเรานั่งอยู่ในถังแกลลอนน้ำ แล้วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รอบกาย
- ถึงชายโครงรู้ว่าถึงชาย ซึ่ที่ 3
- เพิ่มขึ้นถึงอก รู้ว่าถึงอก เริ่มอึดอัด แต่ไม่วิตก
- ถึงคอ รู้ว่าถึงคอ ความอึดอัดเพิ่มขึ้น เหมือนความหนาแน่นของน้ำ
แต่นี่เป็นความร้อน
- ถึงปลายจมูก รู้ว่าถึงปลายจมูก แต่อาการไม่ใช่คนสำลักน้ำ มีแต่ความอึดอัด
- ถึงตา รู้ว่าถึงตา ความรู้สึกร้อนทำให้ตาดำหายไป เหมือนตาตุ๊กตาที่ไม่มีตาดำ เหมือนมองไม่เห็นแต่รู้สึกได้ถึงไอความร้อน ที่เป็นเปลวระยิบระยับ
เกิดคำถามขึ้นมาว่าตาบอดมั้ย ดับความร้อนทำเช่นไร
ความรู้สึกนั้นก็เด้งกลับมาที่ผิวกายซึ่งกระทบกับลมจากพัดลมเย็นแต่ไม่แผ่ซ่าน รู้สึกถึงเหน็บที่ชาตามขา ตามดูเหน็บชา ขาขวาหายไป แต่ขาซ้ายไม่หาย ยังคงปวดอยู่ และปวดมากขึ้นๆ จึงค่อยออกจากสมาธิ แผ่เมตตา..
อาการทั้งหมดนี้ใคร่ ***ขอน้อมรับคำแนะนำด้วยความเคารพ
***
คำถาม... ไม่ได้ตั้งสัจจะว่าจะนั่งนานเท่าไร ทำเท่าที่ทำได้ ถามว่า การตั้งสัจจะ กลับการเดินสายกลางคือพอเป็นเหน็บก็หยุด จะเลือกอย่างไร ? |
|
|
|
|
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
26 เม.ย.2007, 2:45 pm |
  |
อ้างอิงจาก: |
เกิดอาการเหมือนมีความร้อนที่ถูกจุดประกายคล้ายจุดไฟแช็ค แต่ไม่มีเปลว แปล๊บๆ 2 ครั้ง ที่กึ่งกลางท้องน้อย แล้วความร้อนนั้นก็แผ่ซ่านเต็มช่องท้อง ตามดูอยู่ รู้สึกได้ถึงความร้อนที่เพิ่มขึ้น ๆ และไหลจากช่องท้องแผ่ซ่านไปตามกระดูกสันหลัง เหมือนเรานั่งอยู่ในถังแกลลอนน้ำ แล้วเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ รอบกาย
....- ถึงตา รู้ว่าถึงตา ความรู้สึกร้อนทำให้ตาดำหายไป เหมือนตาตุ๊กตาที่ไม่มีตาดำ เหมือนมองไม่เห็นแต่รู้สึกได้ถึงไอความร้อน ที่เป็นเปลวระยิบระยับ |
เป็นพลังที่เกิดขึ้นของผู้ปฏิบัติสมาธิ เมื่อทำความรู้สึกตัวอยู่ที่ฐานสัมผัสพื้นคือก้นกบ กระแสพลังซึ่งเป็นผลปฏิบัติตามธรรมชาติจะไหลย้อนขึ้นตามแนวสันหลัง และแผ่ขยายไล่ไปตามรูพรุนกระดูก ไล่ไปทั่วทุกอณูของกายในกายนอก ซึ่งผลการปฏิบัติระดับนี้เป็นธรรมชาติของผู้ปฏิบัติซึ่งได้พบทางเข้าพิจารณากายใน จิตใน เวทนาใน ด้วยตัวท่านเอง
อ้างอิงจาก: |
คำถาม
..
ไม่ได้ตั้งสัจจะว่าจะนั่งนานเท่าไร ทำเท่าที่ทำได้ ถามว่า การตั้งสัจจะ กลับการเดินสายกลางคือพอเป็นเหน็บก็หยุด จะเลือกอย่างไร ? |
ให้เดินสายกลาง ขาซ้ายปวด แต่ขาขวาหาย พิจารณาได้ว่ากายของเราแท้ๆ ขาสองข้างที่ว่าเป็นของเราแท้ๆ มันยังประกาศความไม่เที่ยงให้เห็นเป็นสัจจธรรม แต่ทีนี้กล่าวถึงการตั้งสัจจะ ไม่ว่าจะเวทนาแสนสาหัสอย่างไร หากต้องตายขอให้ตายในสมาธิ ปวดช่างปวด ให้ปวดตายไปเลย กำหนดรู้ไว้ตรงจิตด้วยความเป็นกลาง รู้ไว้แค่นั้น ดูซิว่าจะผ่านเวทนาตรงนี้หรือไม่
เจริญในธรรม
มณี ปัทมะ ตารา
 |
|
|
|
   |
 |
นายก้องเกียรติ คืนดี
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 27 เม.ย. 2007
ตอบ: 7
ที่อยู่ (จังหวัด): Ubon
|
ตอบเมื่อ:
27 เม.ย.2007, 2:57 pm |
  |
ขออนุญาตนะครับ คือว่าการที่คุณเกิดอาการเช่นนั้นเพราะคุณเกิดการเพ่งเลยกลับเป็นวิตกนะครับกลายเป็นว่าคุณไปบังคับลมโดยไม่รู้ตัวครับ การปฏิบัติอานาปาณสตินั้นคุณตั้งกำหนดรู้อาการเยๆ นะครับไม่บังคับลม ปล่อยเป็นธรรมชาติ แต่ให้คุมแค่สติครับไม่ใช่ลม |
|
_________________ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน |
|
   |
 |
tambun
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
27 เม.ย.2007, 3:32 pm |
  |
ด้วยความเคารพ "ขอความกรุณาให้ คุณก้องเกียรติ ฯ อธิบายให้ละเอียดเพิ่มเติมอีกหน่อยนะคะ สงสารเด็กอนุบาลเถิด" คุณปุ๋ย ด้วยนะคะ (คนสูงอายุที่เพิ่งจะรู้สึกตัว) |
|
|
|
|
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
27 เม.ย.2007, 4:05 pm |
  |
คุณก้องเกียรติ อ่านที่ตอบไว้ในหน้านี้ด้วยค่ะ ได้ตอบคุณทำบุญไปแล้วค่ะ แล้วอธิบายอย่างไรเรียกเพ่ง อย่างไรเรียกว่าวิตก ขอความกรุณาด้วยค่ะ
เจริญในธรรม
มณี ปัทมะ ตารา
 |
|
|
|
   |
 |
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
01 พ.ค.2007, 10:27 am |
  |
เสาร์ช่วงแรก
พุทธโสธรทรงเมตตานำพาให้ จิตแจ่มใสสงบนิ่งอยู่ดุจภูผา
แลระยิบระยับท่ามกลางหว่างเมฆา เป็นปริศนามาให้ดูหมู่อเวจี
เกิดเป็นมนุษย์สุดระยำทำแต่บาป ไม่กำราบดวงจิตไว้บุญหน่ายหนี
เกิดอีกหนไม่ใช่คนอยู่คีรี ญาติไม่มีตัวก็เหม็นเป็นแร้งกา
รอซากเน่าซากเหม็นเห็นเลิศรส กินได้ทั้งหมดเพื่อชีวังสิ้นกังขา
โอ้..บาปกรรมติดน้ำนรกเลิศอุรา สุดท้ายมาเกิดเป็นแร้งแห่งภูพาน
เสาร์ช่วงหลัง
พอเริ่มนิ่งดิ่งลงตัวโคลงเคลง ก้นเขย่งขาโขยกอ้อ...โรคเจ็บขา
มันอยากปวดให้ปวดไปใช่กายา พลันแว่วเสียงหนึ่งมาเล่าขานตำนานตน
โอ้..ว่าฉันกรรมหนักหนาหู ตา ชั่ว เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้เอาแต่ผล
บุญไม่ทำทานไม่มีในใจตน พ้นจากคนจึงมาอยู่ข้างคูคลอง
ทุกเช้าค่ำพร่ำร้องขอของเหลือ วานแผ่เผื่อเจือจานให้หายหมอง
ขาดเสื้อผ้าที่อาศัยไร้คนมอง เดินกระย่องคลานกระแย่งหิวโรยรา
โอ้..อกเอ๋ยคิดได้สายเสียแล้ว ร้องเสียงแจ้ว กรี๊ด กรี๊ด หวีด หวีดหา
คนมีบุญที่ใจดีมีเมตตา ช่วยนำพาให้ฉันพ้นจากเปรตเทอญ..
อาทิตย์ช่วงหลัง
โอ้..พุทธะบังเกิดบรรเจิดจิต เป็นนิมิตจิตไม่สั่นไม่หวั่นไหว
เห็นลิบลิบไกลโพ้นสุดตาคณานัยน์ เป็นปริศนาใหม่ให้นึกและตรึกตรอง
เป็นมนุษย์ชั่วสุดแท้ทำแต่บาป ไม่เคยกราบรับศีลห้าพาหม่นหมอง
เข้าแต่บ่อนมั่วคลับบาร์บุญไม่มอง สิ้นชาติผยองยกเข้าเตาเผากายา
ถูกพิพากษ์ไว้ให้ไปผุดสุดนรก โอ้ว่าอกตัวเราเฝ้าโหยหา
บุญ ทาน ศีล หมดทั้งสิ้นไม่ภาวนา สุดท้ายมาโหยไห้ในนรกแห่งโลกันต์
 |
|
|
|
|
 |
tambun
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
03 พ.ค.2007, 3:17 pm |
  |
|
|
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
04 พ.ค.2007, 2:00 am |
  |
ฌาน นี้ แปลว่า เพ่ง หมายถึงการเพ่งอารมณ์ตามกฎแห่งการเจริญกรรมฐาน ถึงอันดับที่ ๑ เรียกว่าปฐมฌาน คือฌาน ๑ ถึงอันดับที่ ๒ เรียกว่าทุติยฌาน แปลว่าฌาน ๒ ถึงอันดับที่ ๓ เรียกว่า ตติยฌาน แปลว่าฌาน ๓ ถึงอันดับที่ ๔ เรียกว่า จตุตถฌาน แปลว่าฌาน ๔ ถึงอันดับที่แปด คือได้อรูปฌานครบทั้ง ๔ อย่าง เรียกว่าฌาน ๘
ขณิกสมาธิ อารมณ์สมาธิแบบเล็กน้อย คือตั้งใจมั่นได้เล็กน้อย แล้วฟุ้งซ่านไป องค์ฌาน : -
อุปจารสมาธิ เป็นอารมณ์สมาธิที่มีความตั้งมั่นใกล้จะถึงฌาน ๑ องค์ฌาน : วิตก วิจาร ปีติ สุข
อัปปนาสมาธิ เป็นสมาธิอันดับหนัก มีความตั้งมั่นสูง สามารถทำให้เกิดผลในทางฤทธิ์ อภิญญาได้ องค์ฌาน
ฌาน ๑ : วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
ฌาน ๒ : ปีติ สุข เอกัคคตา
ฌาน ๓ : สุข เอกัคคตา
ฌาน ๔ : เอกัคคตา อุเบกขา
วิตก จิตกำหนดนึกคิด โดยกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ว่าหายใจเข้าหรือออก ถ้าใช้คำภาวนา ก็รู้ว่าเราภาวนาอยู่ คือภาวนาไว้มิให้ขาดสาย ถ้าเพ่งกสิณ ก็กำหนดจับภาพกสิณอยู่ตลอดเวลา อย่างนี้เรียกว่า วิตก
วิจาร ถ้ากำหนดลมหายใจ ก็ใคร่ครวญกำหนดรู้ไว้เสมอว่า เราหายใจเข้าหรือหายใจออก หายใจเข้าออกยาวหรือสั้น หายใจเบาหรือแรง ในวิสุทธิมรรคท่านให้รู้ กำหนดลมสามฐาน คือ หายใจเข้า ลมกระทบจมูก กระทบอก กระทบศูนย์เหนือสะดือ หายใจออกลมกระทบศูนย์ กระทบอก กระทบจมูกหรือริมฝีปาก ถ้าภาวนา ก็กำหนดรู้ไว้เสมอว่า เราภาวนาถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ประการใด ถ้าเพ่งภาพกสิณ ก็กำหนดหมายภาพกสิณว่า เราเพ่งกสินอะไร มีสีสันวรรณะเป็นอย่างไร ภาพกสิณเคลื่อนหรือคงสภาพ สีของกสิณเปลี่ยนแปลงไปหรือคงเดิม ภาพที่เห็นอยู่นั้นเป็นภาพกสิณที่เราต้องการ หรือภาพหลอนสอดแทรกเข้ามา ภาพกสิณเล็กหรือใหญ่ สูงหรือต่ำ ดังนี้เป็นต้น อย่างนี้เรียกว่า วิจาร
ปีติ ความปลาบปลื้มเอิบอิ่มใจ มีจิตใจชุ่มชื่นเบิกบาน ไม่อิ่มไม่เบื่อในการเจริญภาวนา อารมณ์ผ่องใส ปรากฏว่าเมื่อหลับตาภาวนานั้นไม่มืดเหมือนเดิม มีความสว่างปรากฏ คล้ายใครนำแสงสว่างมาวางไว้ใกล้ๆ บางคราวก็เห็นภาพและแสงสีปรากฏ เป็นครั้งคราว แต่ปรากฏอยู่ไม่นานก็หายไป
อาการของปีติมีห้าอย่างคือ
๑. ขุททกาปีติ มีอาการขนลุกขนชัน ท่านเรียกว่าขนพองสยองเกล้า และน้ำตาไหลจากตาโดยไม่มีอะไรไปทำให้ตาระคายเคือง
๒. ขณิกาปีติ มีแสงสว่างเข้าตาคล้ายแสงฟ้าแลบ
๓. โอกกันติกาปีติ ร่างกายโยกโคลง คล้ายเรือกระทบคลื่น
๔. อุพเพงคาปีติ ร่างกายลอยขึ้นเหนือพื้นที่นั่ง
๕. ผรณาปีติ อาการกายเย็นซู่ซ่า คล้ายร่างกายโปร่ง และใหญ่โตสูงขึ้นอย่างผิดปกติ
อาการทั้งห้าอย่างนี้แม้อย่างใดอย่างหนึ่งก็เรียกว่าเป็นอาการของปีติ
สุข ความสุขชื่นบาน เป็นความสุขที่ละเอียดอ่อน ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยในชีวิต
เอกัคคตา เอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์เป็นหนึ่ง คือ ตั้งมั่นอยู่ในองค์ทั้ง ๔ ประการคือ วิตก วิจาร ปีติ สุข นั้นไม่คลาดเคลื่อน
อุเบกขา อารมณ์วางเฉย
ที่มา.... http://www.praruttanatri.com/ |
|
|
|
   |
 |
tambun
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
04 พ.ค.2007, 3:24 pm |
  |
เรียนคุณปุ๋ย..
บทกลอนที่ประมวลมาจากความจำ 70 % ตอนอยู่ในสมาธิ ทั้ง 3 ช่วงนั้นคืออะไรคะ ช่วงแรกก่อนที่จะมีคำตอบ เห็นเป็นนกกาฝูงหนึ่งบินมา แล้วทุกอย่างก็ไหลออกมาเป็นตัวหนังสือแบบนี้ อาจจะไม่ทั้งหมด แต่สรุปความแล้วได้เนื้อหาเช่นนั้นจริงๆ |
|
|
|
|
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
04 พ.ค.2007, 3:35 pm |
  |
อือม ...โพสบทกลอนดังกล่าวให้อ่านหน่อยค่ะ |
|
|
|
   |
 |
tambun
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
04 พ.ค.2007, 4:57 pm |
  |
อยู่หน้า 2 ชื่อ "ผู้เยี่ยมชม" ค่ะ |
|
|
|
|
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
04 พ.ค.2007, 9:25 pm |
  |
อ้างอิงจาก: |
เสาร์ช่วงแรก
พุทธโสธรทรงเมตตานำพาให้ จิตแจ่มใสสงบนิ่งอยู่ดุจภูผา
แลระยิบระยับท่ามกลางหว่างเมฆา เป็นปริศนามาให้ดูหมู่อเวจี
เกิดเป็นมนุษย์สุดระยำทำแต่บาป ไม่กำราบดวงจิตไว้บุญหน่ายหนี
เกิดอีกหนไม่ใช่คนอยู่คีรี ญาติไม่มีตัวก็เหม็นเป็นแร้งกา
รอซากเน่าซากเหม็นเห็นเลิศรส กินได้ทั้งหมดเพื่อชีวังสิ้นกังขา
โอ้..บาปกรรมติดน้ำนรกเลิศอุรา สุดท้ายมาเกิดเป็นแร้งแห่งภูพาน
เสาร์ช่วงหลัง
พอเริ่มนิ่งดิ่งลงตัวโคลงเคลง ก้นเขย่งขาโขยกอ้อ...โรคเจ็บขา
มันอยากปวดให้ปวดไปใช่กายา พลันแว่วเสียงหนึ่งมาเล่าขานตำนานตน
โอ้..ว่าฉันกรรมหนักหนาหู ตา ชั่ว เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้เอาแต่ผล
บุญไม่ทำทานไม่มีในใจตน พ้นจากคนจึงมาอยู่ข้างคูคลอง
ทุกเช้าค่ำพร่ำร้องขอของเหลือ วานแผ่เผื่อเจือจานให้หายหมอง
ขาดเสื้อผ้าที่อาศัยไร้คนมอง เดินกระย่องคลานกระแย่งหิวโรยรา
โอ้..อกเอ๋ยคิดได้สายเสียแล้ว ร้องเสียงแจ้ว กรี๊ด กรี๊ด หวีด หวีดหา
คนมีบุญที่ใจดีมีเมตตา ช่วยนำพาให้ฉันพ้นจากเปรตเทอญ..
อาทิตย์ช่วงหลัง
โอ้..พุทธะบังเกิดบรรเจิดจิต เป็นนิมิตจิตไม่สั่นไม่หวั่นไหว
เห็นลิบลิบไกลโพ้นสุดตาคณานัยน์ เป็นปริศนาใหม่ให้นึกและตรึกตรอง
เป็นมนุษย์ชั่วสุดแท้ทำแต่บาป ไม่เคยกราบรับศีลห้าพาหม่นหมอง
เข้าแต่บ่อนมั่วคลับบาร์บุญไม่มอง สิ้นชาติผยองยกเข้าเตาเผากายา
ถูกพิพากษ์ไว้ให้ไปผุดสุดนรก โอ้ว่าอกตัวเราเฝ้าโหยหา
บุญ ทาน ศีล หมดทั้งสิ้นไม่ภาวนา สุดท้ายมาโหยไห้ในนรกแห่งโลกันต์ |
จิตเป็นสมาธิ มีสติ พิจารณา กายใน จิตใน เวทนาใน ธรรมใน ได้ตามลำดับ จะสังเกตได้ว่าเมื่อธรรมปรากฏ เวทนาทางกายที่เจ็บขาหายไป นั่นแหละมันวิ่งออกแล้วมานั่งเล่าเรื่องให้คุณฟัง ไม่ต้องไปค้นหาว่าที่ไหน เพราะอยู่ตรงกาย ตรงจิต สาธุค่ะ
เจริญในธรรม
มณี ปัทมะ ตารา  |
|
|
|
   |
 |
Tambun
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
09 พ.ค.2007, 2:30 pm |
  |
ตั้งแต่วันที่ 5 จนถึงวันนี้ยังไม่หายเหนื่อยเลย ปวดเมื่อยไปทั้งตัว "ทำบุญบ้านเมื่อวันที่ 7 พ.ค." ไม่มีการบ้านส่งคุณปุ๋ยเลยค่ะ |
|
|
|
|
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
09 พ.ค.2007, 4:04 pm |
  |
สาธุค่ะ คุณTambun
ปฏิบัติให้เป็นปกติอย่างนี้ค่ะ สะสมกำลังไปค่ะ ทาน ศีล ภาวนา ควบคู่สั่งสมไปค่ะ
เจริญในธรรม
มณี ปัทมะ ตารา
 |
|
|
|
   |
 |
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
10 พ.ค.2007, 4:46 pm |
  |
คุณกรัชกาย พูดถูก และตรงกับหลวงตามหาบัวเทศน์ไว้น่ะค่ะ
ลองเข้าเว๊ป หลวงตา ท่านมักจะเทศน์ไว้แทบทุกหัวข้อเลยน่ะ ท่านจะเทศน์ตั้งแต่สมาธิเริ่มแรก จนปริโยสาน ท่านจะชี้ให้เห็นเลยว่า ขั้นนี้จิตอยู่ยังไง รับรองว่า..สุดยอดและมหัศจรรย์ธรรมเลยล่ะค่ะ ดิฉันยังโหลดไว้ฟังที่ทำงาน และที่บ้านเปิดไว้ให้ลูกฟังทุกคืนค่ะ
คุณเดินทางถูกแล้วล่ะ ขอโมทนา...สาธุ
อารมณ์ที่คุณได้บางคนฝึกมาเป็น 10 ปียังไม่เคยได้เลย แสดงว่าของเก่าคุณมี บารมีจึงนำพา แต่จิตคุณไม่เคยพบแบบนี้ ดิฉันก็เคยเป็นแบบคุณมาก่อนเหมือนกัน งงเป็นไก่ตาแตกเลย ช่วงนั้น
หมั่นทำความเพียรเถอะค่ะ แล้วคุณจะพบมหัศจรรย์ธรรมอีกมากมาย ที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ และทำได้ก็จะรู้ได้ด้วยตัวเอง ยิ่งทำก็ ยิ่งได้ ยิ่งลด ยิ่งละ กิเลสข้างในก็เริ่มหด ลดลงไปเรื่อยๆ จิตก็จะตั้งอยู่ศีล สมาธิ ปัญญา เองไปอัตโนมัติ  |
|
|
|
|
 |
tambun
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
11 พ.ค.2007, 5:15 pm |
  |
"หลังจากที่หยุดไปหลายวัน (ไม่ได้หยุดทั้งหมด ก่อนนอนอย่างน้อยก็ 5 นาที) อาการหลายๆ อย่างเบาบางลงแต่กลับเป็นอาการหายใจเร่งเร็ว เหมือนคนหอบ เหมือนจะหยุดไม่ได้ พอตามรู้ เป็นปกติ ได้เดี๋ยวเดียว ก็เป็นอีก จึงคิดจะถอนสมาธิออก กลับไม่ยอมออก เหมือนรู้สึกตัว แต่พอแผ่เมตตา ยังไม่ทันจบ กลับนิ่งเงียบไปเฉยๆ ทำใหม่ 2 ครั้ง ก็ยังเป็นเช่นเดิม...สุดท้ายต้องตัดใจลืมตาก่อนแล้วแผ่เมตตาทีหลัง...เหมือนทวนกระแสน้ำนะคุณปุ๋ย" |
|
|
|
|
 |
ปุ๋ย
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
11 พ.ค.2007, 9:08 pm |
  |
กราบสวัสดีคุณtambun
ถูกต้องแล้วค่ะ ให้ลืมตาทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมแล้วค่อยแผ่เมตตาก็ได้ จนกว่าอาการจะหายไป หรืออีกวิธีคือ การมีสติรู้ตรงความกระเพื่อมไหวของลมหายใจบริเวณกึ่งกลางอก คือให้ตามรู้ลมหายใจอย่างอ่อนโยน นิ่มนวล และแผ่วเบา เรียกว่ามีสติรู้ตรงกาย มันจะคลายจะเบาลงไปเองค่ะ สาธุค่ะ
เจริญในธรรม
มณี ปัทมะ ตารา
 |
|
|
|
   |
 |
|