Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ปัญญาสร้างได้อย่างไร อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2008, 1:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พาดพิง

คุยกับเฉพาะคุณกรัชกายนะคับ
พาดพิงนิดเดียว


ที่กล่าวชื่อหลวงตา หลวงปู่ต่างๆนั้น ก็เพราะผมต้องการอ้างคำสอนของท่าน

1. เราเอาคำพูดใครมากล่าว เราก็ต้องให้เกียรติเขาด้วยการ อ้างชื่อผู้พูดด้วย
และเพื่อยืนยันว่าเราไม่ได้กล่าวลอยๆ ไม่ได้เป็นโรงน้ำแข็ง ปั้นน้ำขาย

2. การอ้างชื่อหลวงปู่ หลวงพ่อ ไม่ได้มีเจตนาจะไปล่วงเดินใครนะคับ

ไม่ได้อ้างในลักษณะที่ว่า "หลวงปู่ xxx พูดนะ ... ต้องเชื่อ "

แต่เป็นลักษณะว่า "มีคนเขาพูดว่าอย่างนี้ xxx .....คนที่พูดชื่อหลวงปู่ xxx"

3. สำหรับเนื้อหาที่นำมาคุยกันนั้น
- ก็สุดแล้วแต่ใครจะคิดพิจารณาอย่างไร
- ไม่ได้มีความประสงค์จะยืนกรานบังคับให้ใครเชื่ออะไรนะคับ
- ไม่จำเป็นต้องเชื่อถือเลื่อมใส เพียงเพราะผู้กล่าวเป้นครูบาอาจารย์ (กาลามะสุตร)
- ธรรมะของพระพุทธเจ้า ล้วนพิสูจน์รู้ได้ด้วยตนเอง ตามกำลังตนเอง

4. ผมรู้จักคุณกรัชกาย ดีพอสมควร คุณก้รู้จักผมดีพอควร
ว่าเราก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะไปกล่าวให้ร้ายพระรูปไหน
เมื่อเวลาอ้าง จึงไม่ต้องกังวล ว่าจะเป็นเจตนาที่เจือด้วยยาพิษ
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2008, 4:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณกรัชกราย ผมขุดมาให้คุณดูแล้วคุณไม่ดูเองนี่
ถ้ายังไม่รู้ผมจะถามดังนี้ แล้วคุณมองอย่างเป็นกลาง แล้วตอบตามความจริงอย่าเอาเหตุเอาผลอะไรมาประกอบ

1 คุณเป็นคนถามผมจริงหรือไม่ว่า ใครเป็นพระอริยะ

2 เมื่อผมตอบว่าใครที่ผมคิดว่าเป็นพระอริยะ คุณกลับลำตำหนิผมจริงหรือไม่

3 แสดงว่า การถามของคุณนั้นมันเป็นการถามแบบไม่ได้ต้องการคำตอบแต่ต้องการจับผิด จริงหรือไม่

สามข้อนี้ คุณกรัชกรายตอบผมให้ชัดเจน

การจะอ้างว่า เจตนาดี แต่ในเมื่อคุณถามมาแล้วกลับลำ แบบนี้เรียกว่าเจตนาดีได้หรือ กรัชกราย

ข้อนี้แหละ คุณกรัชกรายไม่ต้องบอก แต่ให้ถามใจตัวเองลึกๆ ว่า ศรัทธา หรือ เคารพผมจริงหรือไม่ หรือว่า พูดผ่านหน้าจอโดยใช้คำว่าเคารพ แต่แท้จริงแล้ว นึกตำหนิ ถ้าเป็นเช่นนี้จริง คุณกรัชกรายก็ควรทบทวนตัวเองว่า นี่คือมุสาหรือไม่
สำหรับ คุณ mes นะ
เรื่องที่ว่า หลวงตามหาบัวเป็นพระอริยะ ผมอธิบายเหตุผลไปแล้ว ว่าเมื่อคุณทราบอรรถอันลึกที่ท่านพูด และ คุณปฏิบัติถึงระดับหนึ่ง คุณจะทราบว่า ท่านพูดไม่ผิดเพี้ยน อีกทั้ง เมื่อคุณธรรมท่านสูงขนาดที่คุณปฏิบัติดีแล้วถือศีลไม่มุสาแล้ว คุณยังไม่ถึงท่าน ก็แน่นอนว่า ท่านย่อมไม่มุสา
หลวงตาประกาศตัวว่า กิเลสกับท่านขาดสะบั้นสิ้นเชิงแล้ว ข้อนี้ คุณจะยังไม่เชื่ออีกหรือ และสิ่งที่ผมพูดไป ไม่ได้เชื่อโดยไม่ได้พิสูจน์

ก็อธิบายเหตุผลไปแล้วนะครับว่า เมื่อครั้งปัญจวัคคีย์ พบกับพระพุทธเจ้า ตอนแรกก็ไม่เชื่อ แต่เมื่อทราบอรรถโดยลึกแล้ว ก็พบว่า คนที่ไม่รู้ไม่มีทางกล่าวคำนี้ได้ ก็เชื่อสนิทใจแม้ว่า ภูมิตนเองยังไม่ถึงพระพุทธองค์ก็ตาม ข้อนี้มิได้เป็นไปโดยขาดหลักกาลมสูตร
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2008, 5:51 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:

คุณกรัชกาย ผมขุดมาให้คุณดูแล้วคุณไม่ดูเองนี่



ตรงไหนครับกิเลสที่คุณขุดมาแล้วกรัชกายไม่ดู ร้องไห้ ไม่เห็นจริงๆนะ

ครับนี่ ตรงไหนครับ

อ้างอิงจาก:

ถ้ายังไม่รู้ผมจะถามดังนี้ แล้วคุณมองอย่างเป็นกลาง แล้วตอบตามความจริงอย่าเอาเหตุเอาผลอะไรมาประกอบ

1 คุณเป็นคนถามผมจริงหรือไม่ว่า ใครเป็นพระอริยะ



คุณขันธ์มองปัญหาขาดเป็นท่อนเป็นตอน มองเรื่องที่เกิดไม่ต่อเนื่องกัน

ลำดับความเดิมก่อนนะครับ เดิมที่เดียวกรัชกายชวนเรา สามคน คือ

guest คุณขันธ์ และกรัชกาย ในเราสามคนนี้ใครรู้วิธีกำจัดกิเลสขอให้

บอกกันและกัน

แต่คุณขันธ์บอกว่า กิเลสจะต้องให้พระอริยะขุดให้

นี่ล่ะคือสาเหตุที่ทำให้แสวงหาพระอริยะกัน

1. กรัชกายถามจริงๆ เพราะต้องการรู้ว่าใครเป็นพระอริยะ เพื่อต้อง

การให้มาขุดกิเลสกรัชกายให้เป็นพระอรหันต์ที ยิ้ม

อ้างอิงจาก:

2 เมื่อผมตอบว่าใครที่ผมคิดว่าเป็นพระอริยะ คุณกลับลำตำหนิผมจริงหรือไม่



ไม่ควรใช้คำว่าตำหนิ เพียงทักท้วงว่า ปุถุชนรู้ได้อย่างไรว่าผู้นั้นผู้นี้

เป็นอริยะ ท้วงประเด็นนี้ ก็เพราะคุณมิใช่อริยะ แต่เพราะศรัทธาเชื่อ

ว่า...ท่านองค์นั้นองค์นี้เป็นอริยะ คุณก็บอกอยู่เอง

กรัชกายจึงว่าศรัทธา...ยังไม่พอที่จะรับรองใครว่าเป็นพระอริยะ

เพราะมีพุทธพจน์บอกอยู่ว่าปุถุชนหยั่งรู้จิตของพระอริยะไม่ได้

สมมุติหากกรัชกายเชื่อคุณ...แล้วเดินเข้าไปหาผู้ที่คุณเชื่อว่าเป็นอริยะ...

แต่ท่านไม่ได้เป็นจริงๆอย่างที่คุณเชื่อ ทำไงทีนี้แทนที่พระองค์นั้น

จะมาขุดกิเลสให้กรัชกาย กรัชกายอาจไปขุดกิเลสให้พระองค์นั้นก็

เป็นได้ หมายความว่าไปโต้กับพระองค์นั้น นี่ล่ะคือเหตุผลว่า

เราไม่รู้จริงๆว่าท่านเป็นอริยะไม่พึงกล่าวอ้างชื่อท่านในที่เช่นนี้

อ้างอิงจาก:

3 แสดงว่า การถามของคุณนั้นมันเป็นการถามแบบไม่ได้ต้องการคำตอบแต่ต้องการจับผิด จริงหรือไม่



3. ข้อนี้วนกลับไปหาปมเดิม คือ การแสวงหาพระอริยะขุดกิเลส ก็ใน

เมื่อคุณรับรองพระองค์นั้นว่าเป็นอริยะ กรัชกายก็ถามว่ารู้ได้อย่างไร

คุณก็บอกว่า เพราะศรัทธาเชื่อ ก็วนที่เก่า
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2008, 5:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน


ทีนี้เอาตรงๆนะครับ กิเลสของใครก็ของคนนั้น ผู้นั้นจะต้องขุดต้อง

ขจัดกันเอาเอง ตามแนวทางที่พระพุทธองค์วางไว้ ตามหลักสติปัฏฐาน

เป็นต้น

การที่คุณกล่าวอ้างว่า กิเลสที่คนนั้นคนนี้ จะต้องให้พระอริยะขุด

ให้กำจัดให้ ขุดเองไม่ได้

กรัชกายขออนุญาตกล่าวตรงๆ ว่า คุณรู้ไม่จริง สาธุ
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2008, 7:15 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขันธ์ พิมพ์ว่า:
สำหรับ คุณ mes นะ
เรื่องที่ว่า หลวงตามหาบัวเป็นพระอริยะ ผมอธิบายเหตุผลไปแล้ว ว่าเมื่อคุณทราบอรรถอันลึกที่ท่านพูด และ คุณปฏิบัติถึงระดับหนึ่ง คุณจะทราบว่า ท่านพูดไม่ผิดเพี้ยน อีกทั้ง เมื่อคุณธรรมท่านสูงขนาดที่คุณปฏิบัติดีแล้วถือศีลไม่มุสาแล้ว คุณยังไม่ถึงท่าน ก็แน่นอนว่า ท่านย่อมไม่มุสา
หลวงตาประกาศตัวว่า กิเลสกับท่านขาดสะบั้นสิ้นเชิงแล้ว ข้อนี้ คุณจะยังไม่เชื่ออีกหรือ และสิ่งที่ผมพูดไป ไม่ได้เชื่อโดยไม่ได้พิสูจน์


ผมขอโทษจริงๆ ขอคุณขันธ์หยิบยกอรรถที่ท่านพูดนั้นมาแสดงอีกครั้ง พร้อมกับเหตุผลที่ทำให้เชื่อได้ว่าท่านคือพระอรหันต์อย่างไม่ต้องสงสัย


กิเลสกับท่านขาดสะบั้นสิ้นเชิงแล้ว

ผมขอยกตัวอย่างคร่าวๆก็แล้วกัน

มีพระภิกษุอยู่รูปหนึ่ง ชื่ออะไร ยุคไหนจำไม่ได้

ท่านปฏิบัติธรรมจนได้ฌานสมาบัติ ตัวตนหาย แต่จำไม่ได้ว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะหรือไม่

ท่านจึงเข้าใจผิดคิดว่าท่านบรรลุอรหันต์แล้วตลอดชีวิต

จนเมือวันหนึ่งท่านอยู่ในถ้ำเกิดฟ้าผ่าลงมาทำให้ท่านสดุ้ง ท่านจึงได้ทราบว่าตัวท่านเองยังไม่บรรลุอรหันต์


อีกประการหนึ่งศรัทธานั้นพระพุทธเจ้าทรงให้ใช่เพื่อเป็นเครื่องส่งเสริมให้เจริญในสิกขา และปฏิบัติธรรมได้รวดแล้วขึ้น แต่หากมีมากเกินไปจะทำให้ฟุ้นซ่าน

กรณีนำมาใช้กับตัวบุคคลยังไม่เคยได้เห็นพระองค์ตรัสเอาไว้ที่ใด

นอกจากจะเตือนเอาไว้ในกาลามสูตรว่าอย่าเพิ่งเชื่อเพราะคิดว่าบุคคลนั้นน่าเชื่อ

จริงอยู่ปรโตโฆษะกัลยาณมิตรเป็นบุพกาลแห่งความสำเร็จ

แต่พระพุทธเจ้าก็ยังทรงให้ยึดหลักธรรมมากกว่าบุคลลาธิฐาน

ที่สำคัญการยังไม่เชื่อว่าท่านใดบรรลุธรรมแล้ว สำเร็จพระอรหันต์แล้วเป็นการลบหลู่ท่าน

ตัวเองบางครั้งยังไม่รู้ว่าตัวเองบรรลุแล้งจริงหรือไม่

ความศรัทธาในทางธรรมมีความแตกต่างจากความคลั่งไคล้ดารา

และอวิชชาที่คิดไปว่าการด่าผู้อื่นอย่างบ้าคลั่ง ไร้ขอบเขต ไร้เหตุผล ที่เป็นตัวอย่างในการแสดงธรรมของบุคคลที่ตัวเองศรัทธากระทำเช่นนั้นแล้วมีคนมานับถือมากมาย จึงเกิดสังขาร และต่อๆไปเป็นความทุกข์ตลอดสาย อย่างที่เกิดขึ้นขณะนี้

อยางนี้เป็วจีกรรม ไม่ใช่ของแท้ ไม่ใช่กระกระแทกกิเลส

แต่เป็นกิเลส เป็นอวิชชาของผู้แสดงธรรมล้วนๆ

ผลที่ตามมาคือการวิวาทที่ไม่รู้จักจบสิ้น

การแสดงธรรมที่ดีต้องถ่อมตน

พระพุทธเจ้าสอนให้คนต้องถ่อมตน เป็นคุณธรรมประการหนึ่ง

และก็เป็นจริงเป็นสัจจธรรม

การไม่รู้จักถ่อมตนจึงก่อให้เกิดความอลม่าน

การเข้าใจผิดหรืออวิชชาที่เข้าใจว่าตนคืออริยะด้วยการเลี่ยนแบบคือมิจฉทิฏฐิ

คุณขันธ์ครับ

จะไม่ดีกว่าหรือ

ถ้าคุณจะกลับมาสนทนาธรรมด้วยสัมมาวาจา

องค์หนึ่งในมรรคที่มีองค์8 แห่งการสิ้นอาสวะ

เพราะการด่าว่าโง่ ไม่เป็นสัมมาวาจาแน่นอน

พอเขาตอกกลับคุณก็โกรธ

แล้วจะไปบอกเขาให้ไม่โกรธที่ถูกคุณด่าได้อย่างไร

คุณบอกเขาว่าจะต้องไม่เกิดกิเลสเมื่อถูกด่า

คุณเองกลับดิ้นฟาดหัวฟาดหางด้วยกิเลส

กลายเป็นแม่ปูสอนลุกปู

เอากันแต่เพียงพอสมควรเถิดครับ

และอย่าเลี่ยนแบบ

แต่ถ้คุณจะด่าว่าผมโง่

ผมก็ยอมรับ

เพราะไม่เช่นนั้นก็คงไม่มาคุยกับคุณอีก

ขอจงพิจารณาธรรมที่แท้จริงของปรโตรโฆตะในเวปนี้เทอญ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
guest
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254

ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2008, 10:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณ ขันธ์

คุณรู้มั้ยกิเลสมันก็มีเหตุมีผลของมัน
แต่ธรรมอยู่เหนือเหตุเหนือผลไปแล้ว

คุณไม่ต้องมาถามเหตุถามผลกับผมหรอก
เพราะเรื่องของคุณ
ผมดับที่เหตุแล้ว
แล้วจะให้หาผลมาจากไหน

ผมอยู่เหนือเหตุและผลของคุณแล้ว

ขอให้คุณนำธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ผมมอบให้ ไปพิจารณาเพื่อถอดถอนความหลงของคุณเถิด
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2008, 10:51 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณกรัชกราย

คุณ จับผิดข้อที่ไม่ใช่ประเด็น และคุณไม่ยอมรับความผิดของตนเองเลย
คุณแก้ต่าง ให้กิเลสในใจ ผมจะเรียงลำดับให้ดูแล้วให้คุณพิจารณาตาม

1 คุณกล่าวถามว่า พระอริยะขุดกิเลสได้หรือ
ผมก็ตอบไปตามเหตุผล
2 คุณถามว่า จะไปหาพระอริยะได้อย่างไรและเราตรวจสอบพระอริยะได้หรือ
ผมตอบว่า ตรวจสอบด้วยตัวเองนั้นไม่ได้ต้องใช้ความศรัทธาเป็นเบื้องต้นจนกว่า เราจะพบธรรมระดับหนึ่งเราก็จะทราบว่า นัยอรรถโดยลึกของคำพูดของพระอริยะท่านนั้นไม่มีทางที่ปุถุชนคนธรรมดาจะทราบได้

( คุณไม่เข้าใจคำนี้ เพราะว่าคุณยังไม่เคยถึงธรรม)
3 คุณถามว่า คุณขันธ์ว่าใครเป็นพระอริยะบ้าง
ผมตอบว่า หลวงตามหาบัว และ พระอาจารย์ทอง
4 คุณบอกว่า ไม่ควรเอ่ยชื่อ พระ
ผมบอกว่า ไม่มีธรรมข้อใดห้ามเอ่ย และผมบอกว่า คุณกรัชกรายกำลังกระทำสิ่งที่น่าเกลียดคือ ถามให้ผมตอบแล้วตำหนิ
5 คุณกรัชกรายออกมาบอกว่า ไม่ได้ตำหนิแต่ท้วงติง
ผมกำลังจะบอกว่า คุณกรัชกราย กำลังเลี่ยงบาลี ทุกอย่างอยู่ที่เจตนานะครับ

ผมว่าคุณกำลังสับสนในตัวเองนะครับ คุณกรัชกราย

และผมจะยกเรื่องอะไรให้ฟัง

ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ เดินทางไปเผยแพร่คำสอน
สาวกและคนสมัยนั้น ต่างทราบดี เมื่อ มีใครถามว่า ท่านชอบคำสอนของใคร ต่างก็บอกว่า พระศาสดาเอกคือพระพุทธองค์อุบัติแล้วอยู่ที่กรุงสาวัตถี เช่นนี้เป็นต้น มีหลายคน ที่เอ่ยว่าพระพุทธองค์ เป็นพระอรหันต์
ภายหลังท่านเหล่านั้นต่างสำเร็จธรรมก็มี อีกทั้ง ข้อความเหล่านี้ ถูก พระอรหันต์ ยกขึ้นมารจนาเป็นพระไตรปิฎก
ล้วนแล้วแต่ไม่มีใครห้าม ว่าไม่ควรเอ่ย

แม้ ใครต่อใครที่คุยกันทางธรรมกับผมมา ต่างก็คุยกัน ว่าท่านนั้นท่านนี้เป็นพระอรหันต์บ้าง เป็นพระอริยะสงฆ์บ้าง ตามแต่จะคุยกันเพื่อบันเทิงธรรม แต่คุณกรัชกราย ออกมาติติง และการติติงในครั้งนี้ เป็นไปเนื่องจาก คุณกรัชกรายเจตนาจะ ตั้งคำถามเพื่อจับผิดผมตั้งแต่แรก
หรือว่า คุณไม่เคย คุยกับใครว่า ใครเป็นพระอริยะบ้าง

ลองค้นดูใจตัวเองจริงๆ ว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ ถ้าปฏิเสธผมจะชี้ให้ดูเองต่อไป

คุณกรัชกราย ธรรมอันใด มันต้องปรากฎที่ใจไม่ใช่ ที่หัว แม้ว่าเราคิดได้ แต่ใจเราลึกๆ แล้วเราไม่รู้สึกตัวหรือปล่อยผ่านในกิเลสของเรา จนคุณไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2008, 11:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สำหรับ ท่านอื่น ผมพูดว่าหลวงตามหาบัวคือ พระอริยะ และจะพูดตรงนี้ว่า ท่านคือพระอรหันต์ ใครไม่เชื่อไม่เป็นไร เพราะผมไม่มีเหตุผลอะไรจะให้ท่านเข้าใจนอกจาก ปัจจัตตังในตัวผมเอง

แต่ การคาดคะเนของปุถุชนนั้น หยาบชนิดที่ว่า หากคุณรู้จักธรรม คุณจะสมเพชตัวเองอย่างที่สุด ในการคาดเดาจิตพระอริยะ

สำหรับ คุณ mes คุณจะให้ผมชี้ไหมหละ และคุณอยากจะลองทดสอบกับผมไหม ถ้าอยากผมจะพูดให้ฟัง

ข้อแรกคือ คุณเป็นคนไม่แน่จริง คุณกล่าวว่าหลวงตามหาับัว ว่าหยิบจับเงินชาติไม่ใช่พระอริยะ แต่ เมื่อครั้งมี คุณ guest มาบอกว่าหลวงตามหาบัวเป็นพระอริยะ รวมถึง คุณ คามิน ออกมายอมรับว่า หลวงตามหาบัวเป็นพระอรหันต์ ครั้งนั้น คุณไม่ออกมาโต้แย้งเลย คุณหดหัวอยู่ทำไมตอนนั้น ทำไมคุณไม่เถียงเขา และตอนนี้คุณ กลับมาปากดี จะมาค้านกับผมเรื่องหลวงตามหาบัวทำไม

ผมเชิญ คุณ ไปถามคุณ guest และ คุณ คามินว่า เพราะเหตุใดท่านทั้งสองจึงกล่าวว่า หลวงตามหาบัวเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่มาเถียงกับผม

อ้างอิงจาก:
การแสดงธรรมที่ดีต้องถ่อมตน

พระพุทธเจ้าสอนให้คนต้องถ่อมตน เป็นคุณธรรมประการหนึ่ง

และก็เป็นจริงเป็นสัจจธรรม

การไม่รู้จักถ่อมตนจึงก่อให้เกิดความอลม่าน



ข้อต่อมาคือ การถ่อมตน นั้นคนละเรื่องกับการแสดงธรรม อันดุดัน จริงจัง
ข้อนี้ เป็นประเพณีแห่งพระสายพระอาจารย์มั่น เพราะว่า กิเลสมันมักจะสะดุ้งต่อธรรม ความอ่อนน้อมถ่อมตนนั้น ศิษย์ไม่เคย ก้าวร้าวอาจารย์
และ อ่อนน้อมถ่อมตนกันอยู่แล้ว

คุณไม่เข้าใจและไม่รู้จักธรรมจึงแสดงธรรมออกมา เพื่อหมายจะสอนผมโดยคุณไม่รู้ จักธรรม

อ้างอิงจาก:
พอเขาตอกกลับคุณก็โกรธ

แล้วจะไปบอกเขาให้ไม่โกรธที่ถูกคุณด่าได้อย่างไร

คุณบอกเขาว่าจะต้องไม่เกิดกิเลสเมื่อถูกด่า

คุณเองกลับดิ้นฟาดหัวฟาดหางด้วยกิเลส


คุณ mes ความใดที่แสดงว่าผมโกรธ ผมไม่เคยไประรานใคร และไม่เคยตามไประราน ว่า คุณว่า เป็นคนไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้

ตอนนี้ใครเป็นคนระรานผมอยู่ คุณ mes มีกี่คน รวมถึงคุณด้วย คุณต้องย้อนกลับไปดูว่า ผมกำลังพูดอยู่กับ คุณกรัชกราย คุณไม่พอใจและคุณไม่แสดงความเป็นกลาง แต่คุณเลือกมาว่าผม ข้อนี้แสดงว่า คุณไม่โกรธหรือ
ตรงกันข้าม ผมไม่ได้ไปตามแสดงวาทะ ไม่พอใจคุณเลย

ข้อที่ผมว่า โง่ คุณไปดูว่า ผมพูดกับใคร และ และกี่ครั้ง คุณโกรธเคืองและไม่พอใจจนมาถึงตอนนี้ คุณเป็นคนดีอยู่หรือ

อ้างอิงจาก:
และอย่าเลี่ยนแบบ

แต่ถ้คุณจะด่าว่าผมโง่

ผมก็ยอมรับ

เพราะไม่เช่นนั้นก็คงไม่มาคุยกับคุณอีก

ขอจงพิจารณาธรรมที่แท้จริงของปรโตรโฆตะในเวปนี้เทอญ


คุณมาคุยกับผม ผมก็พูดให้ฟัง แบบนี้แหละครับ

สรุป คือ ความผูกโกรธ และ ความรู้สึกลึกๆ ในความไม่พอใจตัวผม
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2008, 11:22 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
คุณ ขันธ์

คุณรู้มั้ยกิเลสมันก็มีเหตุมีผลของมัน
แต่ธรรมอยู่เหนือเหตุเหนือผลไปแล้ว

คุณไม่ต้องมาถามเหตุถามผลกับผมหรอก
เพราะเรื่องของคุณ
ผมดับที่เหตุแล้ว
แล้วจะให้หาผลมาจากไหน

ผมอยู่เหนือเหตุและผลของคุณแล้ว

ขอให้คุณนำธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ผมมอบให้ ไปพิจารณาเพื่อถอดถอนความหลงของคุณเถิด


คุณ guest หากคุณดับเหตุแล้ว ผมก็ไม่ได้่ว่าอะไร และ ยินดีด้วย
แล้ว ว่าแต่ว่า คุณมาก่อเหตุกับผมอีกทำไม หรือว่า เมตตาผม
หากว่า คุณ เมตตาผม และจะมาโปรดผม ก็ยินดี แต่เชิญ เอาธรรมที่คุณเห็น มาพูด ว่า ทางที่ถูก คืออะไร ผมต้องดูอะไร ไม่ใช่มาตำหนิว่า ขันธ์เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ นี่หรือ พระอริยะที่ดับเหตุแล้ว ผมเกรงว่า มันจะเป็นอริ หยะ มากกว่า

และ คุณมีธรรมะอะไรจะโปรดคน ก็กรุณาตั้งกระทู้ แล้วผมจะไปถามคุณเอง และถ้าเป็นไปได้ คุณควรจะแสดงตน และ ชื่อของคุณที่ผมควรจะเรียกได้ถูกให้ผมรับรู้ด้วยก็จะดี ผมจะได้ทราบว่่า ใครที่ประลองธรรมกับผม
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2008, 11:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
ทีนี้เอาตรงๆนะครับ กิเลสของใครก็ของคนนั้น ผู้นั้นจะต้องขุดต้อง

ขจัดกันเอาเอง ตามแนวทางที่พระพุทธองค์วางไว้ ตามหลักสติปัฏฐาน

เป็นต้น

การที่คุณกล่าวอ้างว่า กิเลสที่คนนั้นคนนี้ จะต้องให้พระอริยะขุด

ให้กำจัดให้ ขุดเองไม่ได้

กรัชกายขออนุญาตกล่าวตรงๆ ว่า คุณรู้ไม่จริง สาธุ


ขอนุญาต ตอบหลายคำตอบหน่อยเพราะ เข้ามาทีก็เห็นแต่ละคนพาดพิงผมมาก ก็จะตอบหลายคำตอบ ตามแต่ที่จะอ่านเจอ

การขุดเอง นั้น จะต้องผ่านขั้นตอนแห่งวิปัสสนาญาณไปแล้ว จึงจะขุดเองได้ ถ้าจะขั้นตัดภพตัดชาติคือ มรรคญาณเกิดขึ้นแล้ว จึงจะขุดถอนสังโยชน์ได้

แต่สำหรับปุถุชนแล้ว ก็ยากที่จะเห็นเอง เว้นแต่พระพุทธเจ้า เพราะปัีญญาบารมีมากเหลือเกินจนเห็นเอง
รูปนาม และสิ่งที่ดองในใจมีมาก ขนาดว่า คุณกรัชกราย มุสา คุณก็ไม่ยอมรับ ลองเปิดใจจริงๆ แล้วพิจารณาย้อนกลับไปสิว่า หมั่นไส้ผมไหม
ไม่ชอบผมไหม แต่คุณกลับพูดว่า ด้วยความเคารพ และ ตำหนิผมนั้นแหละ คือ อาการของกิเลสในใจที่คุณไม่รู้ตัว อีกทั้งอัตตา มานะ และความคิดว่า ตัวเองรู้แล้ว นั้น จึงทำให้ลงให้คนไม่ได้ รวมถึง ความยึดในโลกธรรม คือ การยังชอบความสรรเสริญของคุณกรัชกรายเอง คุณเคยมองมันไหม หรือว่าปล่อยผ่าน หรือไม่ได้สนใจ

หรือว่า จะเป็น ความกลัว ความกังวล ความลังเลว่า อะไรคืออะไร ข้อนี้คุณตัดได้แล้วหรือ คุณเคยพิจารณามันไหม กรัชกราย


ประเด็น ที่ผมพูดว่าให้พระอริยะขุดให้ ก็หมายจะให้รับรู้ว่า พระอริยะท่านทราบวาระจิตของคน ว่ายังติดแบบใด ท่านก็ขุดให้ได้
ไม่ได้หมายความว่า ห้ามไม่ให้ปุถุชนศึกษาด้วยตนเอง หรือ ปฏิบัติเอาเอง ตามวาสนาบารมี
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
guest
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254

ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2008, 11:46 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณ ขันธ์

ถ้าคุณไปวัดป่าบ้านตาด บ่อย ๆ
คุณอาจจะได้พบผม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2008, 11:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ก็ ดีนะครับ คุณ guest ไปวัดป่าบ้านตาดบ่อยๆ ก็ดีแล้ว
รวดเร็วดีนะครับ ที่มาตอบ ผมเชิญคุณ ไปตั้งกระทู้ใหม่ แนะนำธรรมผม ผมจะได้รู้ว่า คุณที่ดับเหตุแล้วนั้น มีธรรมเกิดหรือยัง หรือว่าเพียงเข้าใจในธรรม
แต่ธรรมยังไม่เกิด

และ คุณกรุณาไปโต้ตอบกับ คุณ mes ที่เขากล่าวหาหลวงตามหาบัว
และคนในเว็บนี้ที่กล่าวว่าหลวงตามหาบัว แทนที่คุณจะมาเถียงกับผม
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
guest
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254

ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2008, 11:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณ ขันธ์

ผมตั้งใจมาหาธรรม
ผมไม่ได้มาหากิเลสของใคร

เวลาคุณกล่าวถึงองค์หลวงตาท่าน
คุณควรระมัดระวังให้มาก

ขอให้คุณพิจารณาให้ดี
หากเกิดอะไรขึ้นในภายภาคหน้า
ไม่มีใครช่วยคุณได้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2008, 11:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เอ้า คุณ guest ผมยกย่องเชิดชูหลวงตา แล้วไฉนคุณถึงมาตำหนิผมหละ

แต่ ทำไมในกรณีที่คุณ mes ออกมาพูดปาวๆ ว่า หลวงตาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทำไมคุณไม่ไปโต้แย้งหละครับ
คุณนี่เป็นลูกศิษย์หลวงตา หรือเปล่า อาจารย์ตนเองโดนตำหนิคุณก็ไม่ปกป้อง แต่ดันมาตำหนิคนที่ ปกป้อง หลวงตา

แปลกนะ คุณ guest คุณสำเร็จแล้วไม่ใช่หรือ เรื่องแค่นี้คุณน่าจะพิจารณาได้
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 12:01 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
ผมตั้งใจมาหาธรรม
ผมไม่ได้มาหากิเลสของใคร


ก็คุณ สำเร็จธรรมแล้วไม่ใช่หรือ มานั่งหาที่นี่ทำไม คุณมองไม่เห็นหรือไงว่า ที่นี่ไม่มีธรรมให้คุณเลย มีแต่คนด่าเก่ง จับผิดเก่ง
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 12:29 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณ guest ตรรกะ นั้นเป็นสมมติ ใช้ไม่ได้กับ พระอริยะ

คนหลง ว่า ตัวเองรู้แล้ว ก็ขอให้พิจารณาธรรมที่เกิดกับตนว่า ธรรมที่ผุดขึ้น เน้นว่า จะต้องผุดขึ้น ไม่ใช่อ่านแล้วเข้าใจ

จะต้องมีธรรมปรากฎในจิตตนแล้ว คือ เดินอยู่ เห็นธรรมปรากฎ ขึ้นเป็นสัจธรรม และไม่ใช่คิดขึ้น แต่เห็นตามความเป็นจริงด้วยตนเองอันปราศจากการนึกคิด และปราศจากจิตที่ว้าวุ่น

ธรรมเกิดทีเดียว อย่างเดียวก็ไม่ได้หมายความว่า ได้มรรคญาณ อันเป็นพระอริยะ

จะต้องบ่มเพาะจนมีธรรมผุดขึ้นเป็นประจำ เห็นตามสัจธรรมจนวางเฉยต่อ ความปรุงได้

นั้นแหละจึงเรียกว่า มีธรรมเกิดขึ้น อันเป็นวิปัสสนาญาณ แต่หากว่า เอาแต่เข้าใจ อ่านแล้วเห็นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แบบนี้เรียกว่า สัญญา

ตราบใดที่ยัง ไม่สามารถใช้สำนวนตนเองอธิบายธรรมแห่งพระพุทธองค์ ตามลำดับ ตั้งแต่ วิปัสสนาญาณขั้นต้น จนถึงบรรลุธรรม จนถึง มรรคญาณและผลญาณ ตราบนั้น เรายังไม่ได้เห็นธรรมเอง ยังอาศัยสัญญา

และจะต้องมองด้วยว่า ใจนี้กระเพื่อมมากน้อยแค่ไหน ยังกระเพื่อมมากอยู่ ก็แสดงว่า ยังไปไม่ถึงไหนเลย

และ ต้องมองอีกว่า โลกธรรมนั้นเรายังมีเต็มอยู่หรือไม่

เหล่านี้แหละที่จำเป็นต้อง ให้ผู้รู้ชี้
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 4:37 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ประยุทธ์ ปยุตฺโต) อธิบายความ
ต่างกันระหว่างความอยาก ที่เป็นตัณหากับฉันทะมากมายยาว 20 กว่า
ใบ
ลิงค์นี้ตัดลัดลงไว้พอให้เห็นความต่างกัน

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13590

หน้าสุดท้ายหน้า 528 เชิงอรรถท่านกล่าวสรุปว่า

ตัวอย่างพฤติกรรมเนื่องด้วยตัณหาและฉันทะ ต่อไปนี้ หากชี้แจงขยาย
ความไว้ ก็จะยืดยาวกินเนื้อที่มาก จึงเพียงเสนอเป็นข้อสำหรับพิจารณา

-บางคนชอบเรียบร้อย เพราะอยากหรูหรา
แต่บางคนชอบเรียบร้อย เพราะอยากให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี

อย่างแรกเป็นแรงจูงใจเกิดจากตัณหา ความอยากหรูหราเป็นเพียง
เงื่อนไขให้ต้องการเรียบร้อย จึงทำให้ฉาบฉวย ผิวเผิน เกินพอดี
และอาจก่อปัญหาได้มากมาย

ส่วนแรงจูงใจในกรณีหลังได้แก่ธรรมฉันทะ

คนทำการด้วยตัณหา คอยห่วงจะเอาชนะคน
คนทำการด้วยฉันทะ มุ่งแต่จะเอาชนะงาน
คนทำงานด้วยตัณหาทำฮือฮาใหญ่โตเมื่อเริ่มต้น พอหายโฉ่งฉ่างตื่นเต้น ก็ซบเซารามือ
หรือลักปิดลักเปิด

คนทำงานด้วยฉันทะ ทำจริงจังยั่งยืนจนเสร็จ
คนหนักในตัณหา เอาแต่สนุกสนานเฉฮาอยู่ไปวันๆ (กรณีนี้อาจมีปัจจัยซับซ้อน เช่น เอาความรู้แนววิปัสสนามาเป็นข้ออ้าง)

คนหนักในฉันทะสามารถคิดการ ทำการเพื่อผลดีงามระยะยาว (กรณีนี้อาจมีปัจจัยซับซ้อน เช่น ถ้ามีฉันทะมาก เมื่อตัณหาเข้าเป็น
ปัจจัยหนุน ก็อาจยิ่งวางแผนใหญ่โต)
ตัณหามักง่าย

ฉันทะไม่กลัวยาก

คนมีธรรมฉันทะ ใคร่รู้ข้อบกพร่องของตนและกิจของตน ยินดีปรีดาที่
ได้รับรู้รับฟัง เพราะได้เครื่องชี้ช่องที่จะปรับปรุงตนและกิจของให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น อย่างน้อยก็ได้แง่ที่จะตรวจตราให้มั่นใจในความสมบูรณ์นั้น

ส่วนคนหนักให้ตัณหา มัวห่วงความมั่นคงยิ่งใหญ่ของภาพตัวตน จึงคอยรับแต่ความกระทบกระเทือนบีบคั้น และวุ่นวายกับการ
ปกป้องตัวตนนั้นเสีย ไม่ได้ประโยชน์จากคำตำหนิวิจารณ์

ตัณหาทำให้มักง่ายในวิธีการ ตนจะสำเร็จไม่ว่าด้วยวิธีชั่วร้ายไร้ธรรมอย่างไร เอาทั้งนั้น

ส่วนคนมีธรรมฉันทะ นอกจากต้องฉลาดในวิธีการแล้ว ยังต้องให้วิธีการนั้นชอบธรรมด้วย
การใช้ธรรมฉันทะจึงต้องการสติปัญญา ความสามารถเหนือกว่าปกติ

ผู้มีธรรมฉันทะ พึงระวังทางผิดพลาดที่สำคัญ 2 อย่างคือ

1. ปล่อยให้ตัณหาเข้ามาแทรก สวมรับหรือชิงเอาบทบาทไปทำแทนหรือ
ต่อจากฉันทะ เช่น แก้ไขอะไรไม่สำเร็จแล้วเสียใจว่าตนไม่เก่ง (ตัวอย่างนี้อ่อนๆ ไม่เลวร้าย)

2. ขาดความรู้หรือไม่แสวงปัญญา ผู้รักธรรมจะต้องรู้แน่ชัดด้วยว่าอะไร
เป็นธรรม มิฉะนั้นอาจทำการผิดพลาดได้
ความรักธรรมและความรู้ธรรมต้องมาด้วยกัน จึงจะทำความจริง ความถูก
ต้องดีงามที่ประสงค์ให้สำเร็จได้ (ข้อนี้ช่วยเน้นหลักการใหญ่ของ
พุทธธรรมที่ถือปัญญาเป็นองค์ธรรมหลักในมรรคาแหงการพัฒนาชีวิต)
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา

แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 17 ส.ค. 2008, 5:45 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 4:43 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ส่วนลิงค์นี้ อธิบายความตื่นธรรม

http://www.free-webboard.com/view.php?user=vipassanatipani&wb_id=55&topic=ธัมมุธัจจ์%20-%20ความฟุ้งซ่านธรรม%20หรือ%20ตื่นธรรม
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 4:47 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:

คุณกรัชกราย
คุณ จับผิดข้อที่ไม่ใช่ประเด็น และคุณไม่ยอมรับความผิดของตนเองเลย
คุณแก้ต่าง ให้กิเลสในใจ ผมจะเรียงลำดับให้ดูแล้วให้คุณพิจารณาตาม

1 คุณกล่าวถามว่า พระอริยะขุดกิเลสได้หรือ



ควรมองปัญหาให้ถึงต้นเค้า มองให้เห็นปฏิจจสมุปบันธรรม

คุณขันธ์มองปัญหาไม่เชื่อมโยงทั้งกระบวนธรรม ตัดเฉือนเป็นท่อนเล็ก

ท่อนน้อยแล้วก็พูดซ้ำๆย้ำๆไม่ขยับไปไหน อย่างนี้ไม่มีวันที่แก้ปัญหา

นั้นๆได้หรอกครับ ไม่ว่าจะสนทนากับใครก็ตาม

คุณขันธ์ย้อนไปจุดเริ่มต้นอีกทีนะครับ หน้า 8 ว่าอริยะแตกออกมาจาก

ตรงไหน แตกออกมาเพราะเหตุใด

คห. ข้างล่าง จุดเริ่มที่กรัชกายตัดบทการสนทนาระหว่างคุณกับคุณ

guest ซึ่งโต้กันไปมาปัญหาซ้ำๆเรื่องเดิมๆวนไปวนมาเหมือนเรื่องอริยะ

ตอนนี้แหละ

ดูครับ

กรัชกาย พิมพ์ว่า:
ท่านทั้งสอง คือ คุณ guest และคุณขันธ์

สรุปว่า ประเด็นนี้ผ่านนะครับ ไม่รื้อฟื้นกันอีก โอ.เค.นะครับ สาธุ
แต่เราจะเปลี่ยนประเด็นสนทนากันใหม่ เพื่อให้เกิดประโยชน์โสตถิผล
เห็นพูดกล่าวหากันไปกันมาบ่อยๆ ว่า...มีกิเลส ว่า...เป็นกิเลส
อะไรๆก็กิเลสๆ แสดงว่ากิเลสไม่ดี สมควรตายใช่ไหมครับ ยิ้ม

ทั้งท่านและเราแสวงทางดับกิเลสกันไม่ดีรึครับ ว่าทำอย่างไรกิเลสในใจ
จึงจะหมดไป สิ้นไป หรือไม่หมดก็เอาแค่ให้เหลือน้อยลงๆๆก็พอไหว

ในเราทั้งหลายหนา ใครมีอุบายประหารกิเลสอย่างไรก็แนะนำกันและกัน
จะเป็นบุญอันยิ่งใหญ่ กว่าสร้างวิหาร ๙ ชั้น ๙ ยอด ซึ้ง



แล้วก็อ่านไล่ๆลงไปๆ เรื่อยๆ ขำ
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 5:19 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:

ผมว่าคุณกำลังสับสนในตัวเองนะครับ คุณกรัชกาย



กรัชกายไม่เคยปฏิเสธคำตักเตือนของผู้อื่น สาธุครับที่เตือนสติ

แต่ขอถามหน่อยเดียวครับว่า คุณรู้ได้อย่างไรว่ากรัชกายสับในตัวเอง

คุณขันธ์จะตอบว่าอย่างไรครับนี่

อ้างอิงจาก:

และผมจะยกเรื่องอะไรให้ฟัง
ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ เดินทางไปเผยแพร่คำสอน
สาวกและคนสมัยนั้น ต่างทราบดี เมื่อ มีใครถามว่า ท่านชอบคำสอนของใคร ต่างก็บอกว่า พระศาสดาเอกคือพระพุทธองค์อุบัติแล้วอยู่ที่กรุงสาวัตถี เช่นนี้เป็นต้น มีหลายคน ที่เอ่ยว่าพระพุทธองค์ เป็นพระอรหันต์
ภายหลังท่านเหล่านั้นต่างสำเร็จธรรมก็มี อีกทั้ง ข้อความเหล่านี้ ถูก พระอรหันต์ ยกขึ้นมารจนาเป็นพระไตรปิฎก

ล้วนแล้วแต่ไม่มีใครห้าม ว่าไม่ควรเอ่ย



นี่แหละลักษณะการแพร่ธรรมที่เรียกว่าจับแพะชนแกะ

โยงไปชาติหน้าภพหน้าบ้าง อดีตชาติบ้าง ละเลยเหตุการณ์

ปัจจุบัน ร้องไห้
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง