Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ร่วมสร้างพุทธสถานอุโบสถ วัดมเหยงคณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
wilawant
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 ก.ย. 2006
ตอบ: 31

ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.ย. 2006, 1:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



maheayong2_600.jpg


mayong3 resize_400.jpg


ร่วมสร้างพุทธสถานอุโบสถ วัดมเหยงคณ์
ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมรังสี)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
wilawant
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 ก.ย. 2006
ตอบ: 31

ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.ย. 2006, 1:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วัดมเหยงคณ์ เดิมเป็นพระอารามหลวง โดยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ทรงสร้างขึ้นและได้รับการปฏิสังขรณ์มาหลายครั้งหลายสมัย แต่สุดท้ายต้องกลายสภาพเป็นวัดร้างนับตั้งแต่ เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 3 เมื่อ 2310 ล่วงเลยมาสองร้อยปี

ครั้นถึงปี พ.ศ. 2527 พระอธิการสุรศักดิ์ เขมรํสี (พระครูเกษมธรรมทัต) ได้จาริกมาพบเข้าในขณะที่วัดมเหยงคณ์มีสภาพเป็นวัดร้างโบราณสถานถูกปกคลุมด้วยป่าเปลี่ยวรกชัฏ มองไม่เห็นซากปรักหักพังของอุโบสถ-พระเจดีย์ หลายองค์ที่รายล้อมอยู่ระหว่างกำแพงแก้ว 2 ชั้น ไม่มีถนนหนทางเข้าออก

พระอาจารย์สุรศักดิ์ ได้น้อมนำศรัทธาจากคณะพระสงฆ์-สามเณร และญาติดยม พากันมาพัฒนาหักร้างถางพงปรับแต่งให้สะอาดเรียบร้อยดำเนินการให้ทางกรมที่ดินเข้าไปสำรวจทำรังวัดออกโฉนดที่ดินของวัดมเหยงคณ์ ปรากฏว่าได้ที่ดินประมาณ 43 ไร่

แล้วได้จัดตั้งเป็นสำนักปฏิบัติกรรมฐานขึ้น ในบริเวณพื้นที่นอกโบราณสถานโดยตัดถนนเข้าสู่วัดและพยายามขอซื้อที่ดินของเอกชนขยายออกไปทางทิศตะวันออกทำให้ปัจจุบันได้มีที่ดินเพิ่มขึ้นใหม่ประมาณ 92 ไร่
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
wilawant
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 ก.ย. 2006
ตอบ: 31

ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.ย. 2006, 1:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สำนักปฏิบัติกรรมฐาน วัดมเหยงคณ์

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2544 ด้วยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม กระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศตั้งเป็นวัดขึ้นใหม่ในนามว่า “วัดมเหยงคณ์” เป็นวัดที่พระสงฆ์อยู่ประจำพรรษา เท่ากับเป็นการฟื้นฟูสภาพวัดอรัญญวาสี (วัดป่า)

ซึ่งมีพระสงฆ์ปฏิบัติวิปัสสนาธุระ ในอดีตสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีให้กลับคืนมาปรากฏขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่เนื่องจากพระอุโบสถเดิม กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาณ และเป็นมรดกโลก ต้องอนุรักษ์ให้คงไว้ตามสภาพซากโบราณสถาน และอยู่ในพื้นที่วัดร้าง ฉะนั้น พระครูเกษฒธรรมทัตเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน จึงดำริร่วมกับพระสงฆ์ คณะกรรมการ และศรัทธาญาติโยมของวัด ที่จะสร้างอุโบสถขึ้นใหม่

โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้

1. เพื่อเป็นสถานที่ทำสังฆกรรมของพระสงฆ์
2. เพื่อเป็นพุทธสถาน ประดิษฐานพระพุทธปฏิมากรองค์ประธาน และ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
3. เพื่ออนุรักษ์ศิลปะแบบอยุธยาโบราณ
4. เพื่อน้อมเกล้าอุทิศถวายเป็นพระราชกุศล แก่อดีตบูรพกษัติรย์ไทย
5. เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
wilawant
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 ก.ย. 2006
ตอบ: 31

ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.ย. 2006, 2:05 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขณะนี้ทางวัดมเหยงคณ์ (สำนักปฎิบัติกรรมฐานวัดมเหยงคณ์) ได้ทำการวางศิลาฤกษ์โบสถ์หลังใหม่เป็นทีเรียบร้อยแล้ว โดยทางวัดยังเปิดให้ผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันเป็นเจ้าภาพงานบุญอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ เนื่องจากว่ายังขาดปัจจัยอีกเป็นจำนวนมากในการก่อสร้างอุโบสถ์หลังดังกล่าว หากท่านใดมีความประสงค์จะร่วมกันสร้างบารมีกุศลดังกล่าวสามารถติดต่อโดยตรงได้ที่

วัดมเหยงคณ์ ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.อยุธยา 13000
โทร 035-242-892 , 035-244-335
โทรสาร 035-245-112 หรือท่านสามารถโอนเงินเข้าบัญชี “สร้างอุโบสถ วัดมเหยงคณ์”
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาตลาดเจ้าพรม บัญชีสะสมทรัพย์ เลขที่ 478-0-90872-1
www.maheayong.org
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
wilawant
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 ก.ย. 2006
ตอบ: 31

ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.ย. 2006, 2:15 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



mayong4_400.jpg


การบริจาค
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
wilawant
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 ก.ย. 2006
ตอบ: 31

ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.ย. 2006, 2:19 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



mayong6_400.jpg


พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมรังสี)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
wilawant
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 ก.ย. 2006
ตอบ: 31

ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.ย. 2006, 2:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



maheayong1_400.jpg


ปฏิบัติการทางจิต โดย เขมรํสี ภิกขุ (พระครูเกษมธรรมทัต)
ที่ระลึกงานประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ สร้างอุโบสถ
วัดมเหยงคณ์ ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
วันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม 2549 (แรม 5 ค่ำ เดือน 9
)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
wilawant
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 ก.ย. 2006
ตอบ: 31

ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.ย. 2006, 2:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



mayong5_400.jpg


แผนที่ในการเดินทางไปวัดมเหยงคณ์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 17 ก.ย. 2006, 7:16 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปฏิบัติการทางจิต
โดย เขมรํสี ภิกขุ
ที่ระลึกงานประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ สร้างอุโบสถ
วัดมเหยงคณ์ ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
วันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม 2549 (แรม 5 ค่ำ เดือน 9)


การหาจิตให้เจอ
ผู้รู้จักควบคุมรักษาจิตใจ จะพ้นไปได้จากบ่วงมาร
นมตฺถุ รตฺตนตยสฺส ขอถวายความนอบน้อมแด่พระ
รัตนตรัย ขอความผาสุก ความเริญในธรรม จงมีแก่ญาติ
สัมมาปฏิบัติธรรมทั้งหลาย

โอกาสต่อไปนี้จะได้ปรารถธรรมะตามหลักธรรมคำสั่ง
สอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อส่งเสริมสติ
ปัญญา ความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติ โดยเฉพาะการปฏิบัติ
วิปัสสนากรรมฐาน เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ ถ้า
ระลึกไม่ตรงต่อสภาวะหรือธรรมชาติที่เป็นจริงก็ไม่สามารถ
จะรู้แจ้งรู้จริงตามความเป็นจริงได้ เพราะฉะนั้นสติต้องระลึก

ให้ครงต่อของจริง คือ ปรมัตถธรรม สติต้องระลึกสัมผัสให้
ถูกตรง ถูกต้อง ตรงต่อปรมัตถธรรม หรือที่เรียกปรมัตถ์ว่า
รูปธรรม นามธรรม อันได้แก่ จิต เจตสิก รูป สติต้องระลึก
สัมผัสให้ตรง ถ้าไม่ระลึกตรงต่อรูปนาม ไม่ระลึกให้ตรงต่อ
ปรมัตถ์ก็จะปสู่บัญญัติปรู้ที่บัญญัติอารมณ์อันเป็นส่วนสมมติ
เป็นของปลอม สมมติไม่มีสภาวะ ไม่มีสภาพแห่งความเป็น

จริงโดยแท้จึงไม่มีการเกิดการดับการเปลี่ยนแปลงไม่มีอนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา ต้องระลึกให้ตรงกับปรมัตถ์ ปรมัตถธรรมนั้น
จะมีการเกิดดับ รูปนามมีความเกิดดับ เมื่อมีเกิดดับก็เท่ากับ
ไม่เที่ยง คือเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นแล้วก็แปรสภาพไป ดับไป การ
ที่ดับไปเพราะเป็นทุกข์ ทุกขสภาวะ ทุกขลักษณะ คือสภาพที่
ทนอยู่ในสภาวะเดิมไม่ได้ เกิดขึ้นแล้วต้องดับไป เป็นทุกข์
สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นก็เป็น
อนัตตา คือบังคับบัญชาไม่ได้ มันจะเกิดจะดับเป็นตามเหตุ
ปัจจัยของธรรมชาติเท่านั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าสติระลึกตรงต่อปรมัตถ์ บ่อยๆ
เนืองๆ มีสติสัมปชัญญะที่แยบคาย ก็จะเห็นความเกิดดับ
ของรูปนามของปรมัตถ์ เรียกว่าเห็นความจริง เห็นสภาวะ
ตามความเป็นจริง เห็นของจริงตามความเป็นจริง เห็นรูป
นามเกิดดับ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ฉะนั้น เมื่อเราฝีก
ปฏิบัติมามากขึ้นมากขึ้น ก็ต้องทิ้งสมมติออกไป เพิกบัญญัติ
ออกไป ให้ระลึกอยู่กับปรมัตถธรรมล้วนๆ ให้มากขึ้นต่อเนื่อง
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 17 ก.ย. 2006, 7:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตอนที่ 2

ขึ้น ฝึกปรับให้พอดี ให้ปล่อย ให้วาง ไม่ยึดไม่ติดไม่เอาอะไร
ทั้งหมดให้ทำความเข้าใจว่าปรมัตถ์นั้นต้องไม่ใช่รูปร่ง ท่าทาง
ทรวดทรง สันฐาน ไม่ใช่ความหมายไม่ใช่ชื่อ ภาษา ชื่อก็ดี ภาษา
ก็ดี ที่จิตไปนึกคิคถึง จดจำมาใช้เรียกชื่อ พอนึกถึงชื่อต่างๆ

ก็กลายเป็นภาษา เป็นคำเป็นประโยคเป็นอารมณ์ของจิตเกิดขึ้น
ขณะใดจิตนึกเป็นชื่อเป็นภาษา แสดงว่าจิตกำลังอยู่กับ
บัญญัติอารมณ์ ผู้ปฏิบัติต้องสังเกตให้ออก เพราะจะต้องมี
ทุกคน ในฐานะที่ยังอยู่ในระหว่างฝึกปฏิบัติ ไม่มีใครที่สติจะ
อยู่กับปรมัตถ์ตลอดเวลา ต้องกลับไปสู่บัญญัติบ้าง

ขณะที่เดินไปทำธุระถ้าจิตไม่รู้จักบัญญัติก็เดินไม่ถูกทาง
เลี้ยวไม่ถูกทาง เข้าห้องน้ำห้องส้วมไม่ถูก การเปิดประตู ปิด
ประตู จะต้องมีอารมณ์สมมติตลอด คือมีอารมณ์เป็นความ
หมาย รู้จักความหมายว่า ต้องทำอย่างนี้จึงเกิดอย่างนี้ ทำ
อย่างนี้เป็นอย่างนั้น นั่นคือบัญญัติอารมณ์

แต่ขณะที่มานั่งอยู่นิ่งๆ ปฏิบัติก็ไม่จำเป็นต้องเอา
บัญญัติ เราไม่ได้เดินเหินทำอะไร แค่อยู่เฉยๆ คัดบัญญัติ
ออกไปให้มากที่สุด แต่แม้จะคัดออก ก็ยังคอยนึกถึงบัญญัติ
นั่งไปแล้วก็คอยนึกถึง ชื่อภาษาเรื่องราวต่างๆ เป็นความหมาย
เป็นรูปร่าง เป็นมโนภาพ เป็นชื่อเรียก เมื่อเราคิดไปถึงอะไรก็
มีชื่อของสิ่งนั้น มีคำพูด เรียกว่าพูดอยู่ในใจตลอดเวลา พากย์
อยู่ในใจ เหมือนว่าดูหนังก็มีคนพากย์ให้ฟังว่าอย่างนั้นอย่างนี้

จิตก็เหมือนกัน รับอารมยณ์อันใด ก็ปรุงไปในชื่อ
ความหมายรูปร่างของสิ่งเหล่านั้น จิตจึงเหมือนพูดอยู่ตลอด ใน
ขณะที่จิตกำลังมีอารมณ์เป็นชื่อภาษา รูปร่างความหมาย สิ่ง
ที่เป็นปรมัตถ์ก็คือจิตที่มีเจตสิกต่างๆ ปรุงแต่งอยู่ มีวิตก มี
วิจารณ์ ตรึกนึก เคล้าไปในอารมณ์มีสัญญาความจำในอารมณ์

สิ่งเหล่านี้ เมื่อพูดขึ้นมาในจิต ปรุงแต่งจิตให้แล่นไปสู่อารมณ์
ที่เป็นสมมติ พอปรุงไปปรุงมา จิตก็จะมีอารมณ์เป็นเรื่องราว
เป็นภาษา เป็นชื่อ เป็นความหมาย ตามสิ่งที่จิตคิดไปนั้น คิด
ไปถึงบ้านก็เห็นภาพ บ้าน คิดไปถึงคนเห็นคน นึกชื่อนึกความ
หมายของคนของสถานที่ เรียกว่าจิตไปสู่อารมณ์ที่เป็นบัญญัติ

คนก็ดี บ้านก็ดี เหตุการณ์ก็ดี เรื่องราวความหมาย เป็นบัญญัติ
แต่ในขณะนั้นจิตที่เป็นปรมัตถ์ก็เกิดขึ้นอยู่ ก็คือความตรึก
ความนึกความคิดปรุงแต่ง ความคิดนึกนั่นเองกำลังเป็นปรมัตถ์ที่
เกิดอยู่

วิปัสสนานั้นสติต้องระลึกที่ปรมัตถ์ ฉะนั้นเมื่อจิตกำลัง
ตรึกนึกคิดไปในเรื่องราวชื่อภาษา ต้องเจริญสติระลึกเข้ามาที่จิต
คือระลึกที่ความคิด ที่การตรึก การนึก การวิพากษ์วิจารณ์
ความจำได้หมายรู้ที่เกิดขึ้นในจิต ต้องทำสติรู้เข้ามาที่จิต

อาการในจิต ความปรุงแต่งในจิต ถ้าระลึกเข้ามาที่นี่ เรียกว่า
ระลึกเข้ามาสู่ปรมัตถ์ ก็จะหลุดจากเรื่อง จากความหมาย จาก
ชื่อภาษา เหมือนกับว่า เรื่องขาดลง คำพูดหายไป ภาษาของ
จิต ชื่อ ความหมายขาดหายไป รูปร่างมโนภาพหายไป ความ
หมายหายไป คือเรืองขาดลง เหมือนการฉายภาพยนตร์เอา

แสงผ่านฟิลม์ไปที่จอภาพยนตร์ ก็เห็นเป็นภาพอะไรต่างๆ ตัว
ภาพที่จอหนังเหมือนกับอารมณ์ที่เป็นสมมติบัญญัติ เป็นคน
สัตว์ เป็นเหตุการณ์ แต่ตัวปรมัตถ์ คือที่กำลังอยู่ที่ฟิลม์อยู่ที่
แสงที่ฉายออกไป เมื่อดูของจริง ก็ย้อนมาดูที่นี่ ถ้าฟิลม์ขาด
ไม่ไปต่อ ภาพที่จอก็จะขาดหายไป
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 17 ก.ย. 2006, 7:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตอนที่ 3

อุปมาเหมือนผู้ปฏิบัติ เวลาคิดไปคิดไปสู่เรื่องนั้นเรื่องนี้
พอสติทวนเข้ามารู้ที่จิต ดูจิต ดูความคิด ดูการตรึกนึก เรื่องก็
ขาดหายไปเหมือนภาพที่จอหนังขาดหายไป แล้วเดี๋ยวก็ฉาย
ขึ้นอีกแล้ว เรื่องราวก็เกิดขึ้นอีก เป็นเรื่องเป็นราว เมื่อเรา
ระลึกเข้ามาที่จิต ดูความคิดดูการตรึกนึกเรื่องก็ขาดไป เรียก
ว่าเมื่อสติรู้เข้ามาสู่ปรมัตถ์ก็จะทิ้งบัญญัติ เหมือนกับความคิด

ขาดลงไป ความคิดที่ไปสู่เรื่องราวต่างๆ ขาดลง จะเห็นว่า
จิตมีความดับ มีการเกิด มีความหมดไป มีการเกิด มีการหายไป
เรียกว่าได้เริ่มสัมผัสสัมพันธ์กับธรรมชาติของจิต เริ่มเห็นจิตที่
ไม่ได้คงที่ ไม่ได้ตั้งอยู่ มีแล้วหายไปมีแล้วหมดไป หัดระลึกรู้
อย่างนี้บ่อยๆเนืองๆ

ถ้าบุคคลได้เจริญสติดูความคิดดูจิตดูใจ ดูความปรุง
แต่งให้เป็น คนนั้นสามารถทำจิตใจให้อยู่กับปัจจุบัน เ มื่อ
ใดจิตคิดไปสู่อดีต อนาคต สติรู้มาที่ความคิด รู้จิตรู้ใจ ก็กลับ
มาสู่ปัจจุบัน เรื่องอดีตเรื่องอราคตก็ขาดไป การที่สติอยู่กับ
อารมณ์ที่เป็นปัจจุบัน อารมณ์ที่เป็นปรมัตถ์ จิตก็มีความเบา

มีความสบาย มีความผ่องใส เพราะกิเลสก็ถูกขัดเกลาออกไป
ถ้าสติอยู่กับปรมัตถ์อยู่กับปัจจุบัน จิตใจก็จะมีความปกติขึ้น
แต่ถ้าหากเผลอปล่อยให้จิตคิดไปนึกไปสู่เรื่องอดีต อนาคต จิต
ก็จะวิพากษ์วิจารณ์ในอารมณ์นั้นๆ ให้เกิดความพอใจ ไม่พอใจ
เกิดโลภ โกรธ หลง ฟุ้งซ่าน หงุดหงิด จิตใจเร่าร้อนเป็นทุกข์
ในจิตในใจขึ้นมา นั่นเพราะว่าขาดสติดูแลรักษาจิต

ถ้าเราปฏิบัติกรรมฐานเป็น กำหนดจิตเป็น จิตคิดไป
นึกไป สติรู้มาที่ความคิด รู้มาที่การตรึกนึก ตัดเรื่องออกไป ไม่
แผลอลอยไปคิดเรื่องนั้น ตัดไปขาดไป มันเผลอคิดไปอีกก็
ระลึกรู้เข้าไปอีก ตัดอดีตอนาคตออกไป เข้าสู่ปัจจุบัน รู้บ่อยๆ
เข้า เรื่องราวของจิตขาดหายไป จิตก็เริ่มเบาลง สงบลง

คลี่คลายจากความฟุ้งซ่านหงุดหงิด แล้วทำให้เกิดสติปัญญา
ให้เห็นว่าจิตนี้ก็ไม่คงที่ มีเกิดมีดับ ไม่มีตัวไม่มีตน สักแต่ว่า
เป็นธรรมชาติ เป็นธาตุรู้ สภาพรู้มีความนึกความคิดแล้วก็ดับ
ลงเท่านั้นเอง
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 17 ก.ย. 2006, 7:28 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตอนที่ 4

จิตจึงต้องทวนกระแสของมันมารู้ตัวมันเอง โดยเอา
ความคิดที่คิดมาเป็นกรรมฐาน กลับมาระลึกที่ความคิด มัน

ตรึกมันนึกมันสงสัย จดจำ ก็เอาสติระลึกรู้เข้ามาที่ความปรุง
ความแต่งที่มันเกิดขึ้นในจิต กลับเข้าสู่ปัจจุบันสู่ปรมัตถ์ จะ
ทำให้ค่อยๆ เห็นธรรมชาติเหล่านี้ตามความเป็นจริง มีเกิดมี
ดับไม่ใช่ตัวตน

ในทางกายก็เหมือนกัน สติเมื่อเข้าไปรู้สึกที่กาย ก็ไม่
ขยายไปสู่รูปร่าง ไม่ขยายไปสู่ท่าทางความหมาย ทรวดทรง
สัณฐานของกาย ถ้าเผลอไป ก็จะขยาย ทำให้จิตมีการตรึกนึก
มีการสร้างเป็นรูปทรงสัณฐาน มโนภาพ เป็นเงาๆ บางส่วน
เป็นแท่งเป็นก้อน เป็นสัณฐาน ท่าทางของกายเรียกว่า จิต
ขยายไปสู่บัญญัติ ขณะนั้นก็หัดมีสติรู้จิตรู้ใจ รู้น้อมเข้ามาที่จิต

ที่สภาพรู้ ผู้รู้ หรือความรู้สึกที่กาย ก็รู้แค่ความรู้สึก ความไหว
ความกระเพื่อม ความสั่นสะเทือน ความสบาย ความไม่สบาย
ไม่ต้องนึกขยาย ออกเป็นท่าทาง รูปร่าง สัณฐาน ถ้าเป็น
ท่าทางเดี๋ยวก็นึกตีความหมาย พอนั่ง พอยินดีก็คิดว่า นั่งอยู่
ตรงนั้น น่งพับเพียบ นั่งปล่อยเท้า อย่างนี้เป็นการขยายไป
สู่สมสติ ก็ต้องพยายามปรับรู้เข้ามาที่จิต รู้ที่กายก็รู้แค่ความ
รู้สึกเท่านั้น ถ้าเจริญสติอยู่ในปรมัตถ์ก็จะค่อยๆ เห็นความเกิด
ความดับ ความสลายตัว

กายเป็นรูปธรรมต่างๆ มีเย็นมีร้อนมีอ่อนมีแข็ง มี
หย่อนตึง เป็นรูปธรรมต่างๆ เมื่อมากระทบก็สลายตัว เย็น
แล้วดับไป ร้อนแล้วก็ดับไป แข็งแล้วก็ดับไป ไหวแล้ว
เปลี่ยนแปลง กระเพื่อมแล้วเปลี่ยนแปลง สติเข้าไปเห็นรูป
ธรรมเหล่านี้ ก็ค่อยๆ เห็นรูปนี้มีเกิด
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 17 ก.ย. 2006, 7:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตอนที่ 5

ว่าต้องดูตรงนี้ แม้จิตคิดไปนึกไป จิตส่งออกนอก ก็ไม่มีการ
ดึงกลับเข้ามาถ้ายังมีการดึงกลับเข้ามา สู่ลมหายใจ สู่กาย นี้
เรียกว่ายังไม่เป็นปรกติ ยังมีการบังคับบัญชาอยู่ แต่ในระดับ
เบื้องต้นอาจทำเช่นนั้นได้ ตอนฝึกใหม่ๆ เมื่อเราตั้งสติดึงกลับมา
เผลอไปคิดไปก็ตั้งสติดึงกลับมา แต่ในชั้นสูงๆ ขึ้นมา ก็ไม่
ต้องทำอย่างนั้น เวลาคิดนึกสติระลึกความคิดมันก็กลับมา

เองอยู่ในตัว เพราะจิตรับได้ทีละอารมณ์ เมื่อจิตประกอบด้วย
สติมารู้ที่จิตก็จะทิ้งเรื่องต่างๆ เพราะจิตอยู่ในกายนี้ ส่วน
เรื่องราวอยู่นอกตัวไปไหนๆ พอสติรู้จิตก็ต้องทิ้งเรื่องเป็น
ธรรมดาอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องดึงมาดึงไป เพียงระลึกที่จิต ก็ทิ้ง
เรื่อง ทิ้งภายนอก แต่ถ้าเผลอมันไปอีก สติก็รู้จิตอีกก็กลับ
เข้ามาเอง

ต้องระลึกรู้บ่อยๆ เนืองๆ เพราะสติก็ดับไป ระลึก
แล้วไม่ใช่ว่ามันจะจบ ไม่ใช่จะบังคับอะไรอยู่ได้ สติก็ดับไป ดับ
ไปแล้วหากสติไม่เกิดต่ออีก จิตก็แล่นไปได้อีก ไปสู่เรื่องราว
ต่างๆ ฉะนั้นสติต้องเกิดขึ้นบ่อยๆ เนืองๆ

ฉะนั้นเมื่อปฏิบัติฝีกหัดมากขึ้น จึงเหมือนกับว่าหยุดอยู่
นิ่งอยู่ จิตไม่ได้ทะเยอทะยานไม่ได้บังคับจิตใจให้ไปดูตรงนั้น เพ่ง
ตรงนี้ เมื่อเราบังคับไปมันยังจัดแจงอยู่ ถ้าเราปฏิบัติสูงขึ้นมา
ไม่มีการจัดแจง ไม่มีการจัดระเบียบ ว่าจะต้องเอาตรงนั้นก่อน
ไปตรงนี้ก่อน ต้องแล้วแต่อะไรจะเกิดขึ้น เกิดขึ้นตรงไหนก็รู้
ตรงนั้น เกิดเมื่อไหร่ก็รู้เมื่อนั้น อะไรก็ได้ตรงไหนก็ได้พร้อมที่
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 17 ก.ย. 2006, 7:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตอนที่ 6

จะรู้เสมอ หรือเหมือนคนที่พร้อมเดินทาง อยู่ตรงไหนก็พร้อม
เสมอที่จะจัดการกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเป็นอยู่ เหมือนกับ
ว่าเราเดินไปไหน อยู่ตรงนี้ก็รู้สึกตัว อยู่มุมโน้นก็รู้สึกตัว ตรง
ไหนก็ได้ พร้อมทีจะรู้ ไม่มีการต้องไปตั้งต้นดึงไปตรงนี้ก่อน
ดึงไปตรงนั้นก่อน ต้องทำได้ทุกที่

อันนี้หมายถึงภายในจิต หมายถึงจิตไปตั้งอยู่กับ
อารมณ์อันใด ก็ระลึกรู้อารมณ์อันนั้นแล้วปล่อยอารมณ์นั้น มารู้
ที่กาย บางครั้งถ้าจิตมารู้กายส่วนบน เช่น มารู้ที่ใบหน้า ก็รู้ที่
ใบหน้า แต่รู้ที่ความรู้สึก แล้วไม่ต้องไปบังคับรู้ที่อื่น หากมัน
เคลื่อนไปรู้ที่หน้าท้องก็พร้อมที่จะไปรู้ที่หน้าท้อง ในขณะที่รู้
ความรู้สึกที่หน้าท้อง มันแว๊บมารู้ที่ตา ก็รู้ทันที่ตา มันแว๊บไปรู้

ความรู้สึกในสมอง ก็รู้ในสมอง มันไปตรงไหนก็รู้ตรงนั้น พร้อม
ที่จะทำงานให้ถูกต้องในที่ตรงนั้น พร้อมที่จะรู้พร้อมที่จะ
ปล่อยในตรงนั้นถ้าเป็นอย่างนี้ก็จะไม่มีการบังคับไม่มีการจัดแจง
การปฏิบัติก็จะเป็นปรกติขึ้น ไม่ยุ่งยาก ไม่ลำบากใจ อะไรที่
เราต้องไปฝึกไปฝืนไปขืนมันอยู่จะเป็นเรื่องลำบากใจ แต่นี่เรา
ไม่ได้ทำอย่างนั้น อยู่ตรงไหนเป็นอย่างไร ก็พร้อมที่จะทำได้
ตรงนั้น

ให้เราเข้าใจว่า การปฏิบัติเมื่อเราทำยิ่งขึ้นไปแล้ว มัน
ต้องไม่มีการบังคับ เราจะรู้สึกว่ามันเบาสบาย ให้หัดรู้สิ่งที่
อยู่ตรงหน้า ใกล้ๆ กับความรู้สึกนั่นแหละ ตรงหน้าไม่ได้
หมายถึงใบหน้าแต่หมายถึงที่มันมาปรากฏที่จิตที่เป็นปัจจุบัน
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 17 ก.ย. 2006, 7:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตอนที่ 7

ก็รู้กันตรงนั้น การที่หาสภาวะไม่เจอเพราะมันมองข้าม เหมือน
คนลืมตา แล้วมองเลยดวงตาตนเอง เลยจมูก ขนตาตัวเอง
ไปหมด หาไม่เจอ แต่การปฏิบัติที่จะรู้สภาวะก็ต้องกลับมารู้
สิ่งที่กำลังปรากฏต่อหน้าต่อตาใกล้ๆ อยู่ใกล้ๆ กับความรู้สึก
อยู่ใกล้ๆ กับจิต หรืออยู่ที่จิตนั้นแหละ ให้รู้สิ่งที่ใกล้ชิดกับ
จิตใจ ถ้าไม่ได้รับรู้มาที่จิตใจมัวแต่ไปมองหาที่อื่นก็ไม่เห็นจิต จิต
จึงรับรู้จิตได้

จิตมัวแต่ไปค้นหาก็ไม่รู้ตัวเอง ไม่รู้จิต อุปมาเหมือน
คนที่ใส่แว่นตาอยู่ แล้วเดินหาแว่นตา เอ๊ะ แว่นตาไปอยู่ตรงไหน
หรือคนที่เอาปากกาเหน็บหูแล้ว เดินหาปากกาไม่เจอ หรือคนที่
เอาผ้าโพกศรีษะอยู่ แล้วหาผ้าไม่เจอ ไม่เจอเพราะไม่หาที่ตัว
มัวแต่ไปหาที่อื่น อุปมาคนที่เดินหาเหมือนกับจิต จิตหาจิตไม่
เจอก็เพราะอย่างนี้เอง เพราะจิตเที่ยวหาอย่างอื่นหาอารมณ์
อื่นที่อยู่นอกจิต จึงหาจิตไม่เจอ

จิตจะหาจิตเจอ ก็ต้องมาดูที่ตัวมันเอง หันมากลับมาดู
ตัวเองจึงจะเห็นตัวเอง หรือให้จิตมันรู้สึกตัวเองมันจะได้รู้กับ
ตัวมัน
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 20 ก.ย. 2006, 9:27 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



73.gif


อนุโมทนาบุญกับทุกท่าน
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 24 ก.ย. 2006, 6:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จิตคืออะไร

จิตคืออะไร จิตคือสภาพรู้ รู้อารมณ์นั้นรู้อารมณ์นี้ หรือ
ในขณะที่ปฏิบัติ จิตที่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ ก็เหมือนผู้ดู
อะไรอยู่ เป็นผู้ดูกายดูใจ ดูโน้นดูนี่ แต่สภาพดูไม่เคยมาระลึก
ถึงตัวมันเอง ก็ทำให้หาจิตไม่เจอ

จิตจึงมีระดับของมัน จิตที่ถูกปรุงแต่งคิดนึกออกไป ยัง
กำหนดง่าย แต่บางคนก็ยังหาไม่เจอ บางคนเวลาคิด กำหนด
ความคิดไม่เป็น ในระดับจิตที่ถูกปรุงแต่งก็ต้องมีการนึกคิด
จิตประเภทแบบนี้ระดับนี้ก็ต้องรู้ สติต้องระลึก ดังที่กล่าวใน
ตอนต้นว่า เวลาคิดให้รู้ที่คิด ก็เป็นการรู้จิตเหมือนกัน แต่เป็น
จิตที่เจตสิกปรุงแต่ง

จิตอีกระดับหนึ่ง จะรู้ได้ยากขึ้นอีก คือจิตของผู้ที่
ปฏิบัติอยู่ เจริญสัมปชัญญะมีความสงบสำรวม ไม่แล่นไป
สู่เรื่องราวต่างๆ จิตตั้งมั่นรู้อยู่ในตัวเอง ไม่คิดอะไร มันอาจ
จะนิ่งๆ อาจจะสงบอยู่ไม่คิดอะไร แต่แม้ว่าจิตไม่ถูกปรุงแต่ง
ไม่คิดอะไรมันก็ยังเป็นกระแสสภาพรู้ นี่คือสิ่งที่ต้องเข้าไป
รู้จัก จิตในระดับนี้เป็นจิตที่ทรงตัวอยู่ นิ่งอยู่ไม่คิดอะไร
มันเฉยๆ มันนิ่งๆ แต่มันก็เป็นสภาพที่เกิดดับ สภาพรู้นั่น
แหละมันดับไปด้วย รู้-ดับ รู้-ดับ รู้-ดับ อย่างรวดเร็ว ถ้า
สภาพรู้มันหันมาดูสภาพรู้ ก็เห็นสภาพรู้ดับ
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 24 ก.ย. 2006, 6:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สภาพรู้ที่ดับไม่ใช่ดับเป็นภาพ เป็นดวง แต่เป็นการ
หายไปของสภาพรู้ แล้วเกิดสภาพรู้ใหม่ ก็หายไปใหม่ แล้วรู้ใหม่
แต่มันถี่ มันไว เมื่อจิตไปดูจิต เห็นจิตดับไปอย่างรวดเร็ว จิต
ที่เข้าไปดูก็ดับไปด้วยกัน จิตที่ถูกดูก็ดับ จิตที่เข้าไปดูก็ดับ

หากผู้ใดที่ปฏิบัติดูรู้เท่าทันจิตใจอย่างนี้ต้องทวนกระแส
ต้องรู้สึกตัวของมัน หัดดูใกล้ๆ กระชั้นเข้ามา อย่าขยายออก
ข้างนอก จิตจะรู้จิต ต้องกระชั้นกระชับเข้ามา ฉะนั้นการที่
จิตจะรู้ที่จิตได้ ก็ต้องทำให้มันหยุดอยู่ ไม่แล่นไป ไม่เพ่งค้นหา
ถ้าเราทำแบบเพ่งค้นหาอารมณ์ จิตก็ยากที่จะรู้ตัวมันเอง แต่
เมื่อทำจิตให้หยุดอยู่ เหมือนกับไม่ขวนขวายไม่ดูอะไร ไม่ฝักใฝ่
ไปหาอารมณ์อันใด จะอยู่เฉยๆ จะทำจิตให้อยู่กับที่นิ่งๆ เฉยๆ

นั่นล่ะจิตจะทวนเข้ามารู้ตัวมันเอง ทำจิตนิ่งๆเฉยๆ จิตก็รู้
จิต คือสภาพรู้ดูสภาพรู้ ที่เรียกว่าเป็นตัวก็ไม่ใช่ตัวจริงๆ ไม่
ใช่เป็นก้อนเป็นแท่ง เป็นรูปทรง ตัวคือสภาวะหรือสภาพ เรา
ใช้สมมติว่าตัวรู้ สภาพรู้คือจิต หรือตัวที่กำลังมองอยู่ กำลัง
ดูอยู่ หัดให้ระลึกดูตัวรู้ไว้ จะเรียกว่าผู้รู้ก็ได้
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2006, 12:39 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ผู้รู้ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงผู้รู้แจ้ง ผู้รู้แจ้งแทงตลอดใน
ทุกขสัจจะ เป็นผู้รู้แจ้งนิพพาน ไม่ใช่หมายถึงระดับนั้น ผู้รู้ในที่นี้
หมายถึงรู้อารมณ์อยู่ คือมีสภาวะที่กำลังรับรู้อารมณ์ รับรู้
อารมณ์หมดไปหมดไป กำลังเจริญสติ สติก็เกิดกับจิต ก็กำลัง
ดูอะไรต่ออะไรอยู่นี่คือผู้รู้ คือผู้รู้อารมณ์ ไม่ได้หมายถึงรู้
แจ้งแทงตลอด นั่นเป็นอีกระดับหนึ่ง บางครั้งใช้คำว่า ตัวดู

ตัวรู้ ตัวมอง ต้องการที่จะให้มีสติระลึกถึงสิ่งที่กล่าวเหล่านี้ ถ้า
การปฏิบัติมารู้จักจิตในระดับอย่างนี้ก็จะเห็นความดับไปของจิต
ความดับไปหมดไปอย่างรวดเร็วของจิต การปฏิบัติก็ไม่ไร้จาก
สภาวะ ไม่ว่างเปล่า

ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย ก็เป็นบัญญัติ เป็นสมมติใน
ความว่างเปล่านั้นมีตัวรู้หรือสภาวะรู้อยู่ มีตัวดูว่างอยู่ นั่นเป็น
ปรมัตถ์ที่เกิดที่ดับอยู่ ต้องน้อมสังเกตเข้ามาที่สภาวะที่รู้นิด
หนึ่งหมดไป นิดหนึ่งหมดไป ต้องอาศัยการเข้าใจและประคับ
ประคอง วางให้เหมาะสม การที่เราฝึกมามากๆ แล้ว กำลัง

ของการเพ่ง การค้นหาสภาวะของการติดตามสภาวะจะมีอยู่
แล้ว แม้จะทำจิตอยู่นิ่งๆ จิตก็คอยจะรู้อยู่แล้ว ไม่ดูมันก็
ดูอยู่ พยายามจะไม่ดูมันก็ดู ยิ่งจะไม่ดูก็ยิ่งรู้ ยิ่งจะดูก็ยิ่ง
ไม่เห็น ยิ่งจะทำก็ยิ่งไม่เป็น นี่เป็นเรื่องแปลก
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2006, 12:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



pp-06.jpg


ยิ่งจะดูก็ไม่เห็น คนที่ทำพยายามจะดูจะค้นหายิ่งไม่เห็น
หยุดดูก็จะรู้ได้ ฉะนั้นการปฏิบัติ เมื่อมีการฝึกหัดมากๆ ขึ้นก็
หยุดที่จะไปดู ไปฝักใฝ่ค้นหา พอมาทำแบบหยุดมันกลับยิ่งรู้
ยิ่งรู้ได้ดีกว่าเข้าไปติดตามค้นหา คือจิตมันจะรู้ตัวมันเอง
แล้วเห็นอาการของมันเอง เห็นสิ่งที่มา สัมพันธ์ตัวของมันเอง

เห็นความจริงของตัวมันองที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมยิ่งดูก็ยิ่งรู้
ยิ่งไม่ทำก็ยิ่งทำ เรียกว่าทำเหมือนไม่ได้ทำ ยิ่งจะทำก็ยิ่งไม่เป็น
พูดมาเช่นนี้ คงทำให้ท่านทั้งหลายไม่เข้าใจ งง แต่คง
พอจะเป็นประโยชน์กับบางท่าน สำหรับบางท่านที่ปฏิบัติอยุ่ใน
ระดับฝึกมามากขึ้น เรื่องนี้ก็คงเป็นประโยชน์ได้ในการดูจิต
ดูใจ การปฏิบัติเช่นนี้ยังไงก็หนีไม่พ้นต้องมารู้ที่จิตใจ มาดูที่จิต

ถ้าปฏิบัติดูจิตไม่เป็น การปฏิบัติก็คงไม่ก้าวไปไหน ดูเป็นแต่ดู
กายเรื่อยๆ แต่ดูจิตไม่ได้ จะไม่ไปไหน อย่างดีก็อยู่แค่ความ
ว่าง พอกายไม่รู้สึกแล้ว ก็แค่ว่างเปล่าสงบใจสบาย นิ่ง ว่าง
หรือดับความรู้สึกไปหมด ก็ได้แค่นั้นไม่เห็นสภาวะรูปนาม
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง