ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
art
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 08 ก.ย. 2008
ตอบ: 8
ที่อยู่ (จังหวัด): Bkk
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2008, 6:34 pm |
  |
โลกเกิดจากอะไร? จักรวาลมาได้ยังไง? ความว่างเปล่าจะสร้างโลกขึ้นมาได้ยังไง จู่ๆ จะมีอะตอมโมเลกุลประกอบกันเป็นโลกหรือจักรวาลเฉยๆ ได้ยังงั้นหรือ ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นมาลอยๆ ได้หรอ หรือจิงๆ แล้วมีใครสร้างมันขึ้นมา
ศาสนาคริสต์สามารถอธิบายได้ว่าพระเจ้าสร้างโลกขึ้นมา แล้วทางศาสนาพุทธล่ะจะอธิบาบปรากฏการณ์นี้ได้อย่างไร? |
|
|
|
  |
 |
art
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 08 ก.ย. 2008
ตอบ: 8
ที่อยู่ (จังหวัด): Bkk
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2008, 6:42 pm |
  |
ต่ออีกนิด.. วิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้แต่ว่าโลกเป็นยังไง จักรวาลเป็นยังไง ลักษณะเป็นยังไง แต่... มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? |
|
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2008, 8:12 pm |
  |
คุณartครับ
โลกเกิดจากอะไร? จักรวาลมาได้ยังไง? ความว่างเปล่าจะสร้างโลกขึ้นมาได้ยังไง
ปัญหานี้มีแต่พระพุทธเจ้าจะตอบคุณได้อย่างครบถ้วนและถูกต้องจริงๆ ผมตอบ
ได้แค่บางส่วน
1. ตอนแรกเราทุกจิตเป็นอสังขตธาตุ หรือพระเจ้า หรือพระพุทธเจ้า พวกเราไม่
มีจุดเกิด ไม่มีจุดแก่ ไม่มีความตาย ไม่มีความทุกข์ อยู่เป็นอมตะนิรันดร
2. พวกเราเหล่าพระเจ้าไม่เคยรับรู้สภาพอื่นเลย นอกจากความไม่ทุกข์ ดังนั้น
เราก็อยากรับรู้สภาพอื่นบ้าง ต้องการใช้ขันธ์ 5 ต้องการรับรู้ความสุขจากอารมณ์ต่างๆ
พวกเราเหล่าพระเจ้าจึงร่วมกันสร้างสังขตธาตุ สร้างจักรวาล สร้างเวลา สร้าง
ขันธ์ 5 สร้างภพภูมิแห่งการเสวยสุขจากกามภูมิ (สวรรค์) และก็สร้างบทลงโทษผู้ที่ทำผิดศีล 5 คืออบายภูมิ
3. หลังจากนั้นพวกเราก็กำหนดกฎเกณฑ์แห่งจักรวาล และให้ทุกจิตลืมว่าตัวเอง
เป็นใคร และให้ตัวเองลงไปเกิดเป็นเทพ พรหม มนุษย์ ฯลฯ เรียนรู้ความสุขทุกข์
ในทุกภูมิ แล้วเราก็ให้โอกาสตัวเองหาตัวเองให้เจอว่า แท้จริงเราคือ พุทธะ
หรืออณูส่วนหนึ่งของพระเจ้า(พระพุทธเจ้า) ใครที่หาตัวเองได้เจอก่อนก็จะกลับไป
เป็นพระเจ้าเหมือนเดิม พระเจ้าก็คือ พระอรหันต์มวลรวมทั้งหมด ไม่มีราคะ
โทสะ โมหะ ฮินดูเรียกว่า ปรมาตมัน พระอรหันต์แต่ละองค์ก็คือ อาตมัน
4. ทุกอย่างล้วนเป็นความว่าง เป็นมายา เป็นจินตนาการของพวกเราที่ร่วมกัน
เพ่งจิตให้ควาร์ค ที่เป็นพลังงาน ไม่มีตัวตน ให้จับตัวแข็ง (energy freezing)
มีความเข้มข้นต่างๆกัน ควาร์คเลยมีสภาพเป็นของแข็ง ของเหลว และก๊าซ
เอาไว้แค่นี้ก่อน บอกมากกว่านี้คุณก็ไม่เชื่อ และเดี๋ยวพญามารก็สิงใจคนในเว็บ
ให้รุมกันสับผมแหลก ข้อหาโรคจิตบ้าง ตั้งศาสนาใหม่บ้าง ฯลฯ |
|
|
|
  |
 |
เมธี
บัวตูม

เข้าร่วม: 02 มี.ค. 2008
ตอบ: 222
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2008, 8:13 pm |
  |
โลกที่ว่าแบน น่ะหรือครับ
 |
|
|
|
    |
 |
tanaphomcinta
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 127
ที่อยู่ (จังหวัด): 138 หมู่ที่ 1 ต.โนนคูณ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ 36180
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2008, 8:19 pm |
  |
เอ... ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ เรื่องโลกนี้เกิดอย่างไร รู้แต่ว่าการเกิดในทางพระพุทธศาสนาท่านกล่าวไว้ว่าการเกิดขึ้นมีอยู่ ๔ อย่าง (ไม่ต้องว่าบาลีนะ)
๑.เกิดจากไข่ ๒.เกิดจากครร ๓.เกิดจากเทาใคร ๔.จุติพุดขึ้นมาเอง(เทวดา)
ไม่รู้ว่าอันไหนก่อนหลังนะ เพราะจบมานานแย้ว และก็ไม่ค่อยได้ใช้เลยลืมไปบ้างเพราะสัญญาความจำไม่แน่นเหมือนเดิม ฮิฮิฮิ (แก่ย้งไม่แล้วอีก)
และประเภทที่เกิดขึ้นมาแล้วคนก็ไม่เหมือนกันอีกมีอยู่ ๔ ประเภทด้วยกัน
๑.มนุษย์สะมนุษย์โส ตัวเป็นมนุษย์ร่างกายก็เป็นมนุษย์ ใจก็เป็นมนุษย์ด้วย ยืนเดินนั่นอนกินดื่มทำพูดคิดจิตก็เป็นมนุษย์
๒.มนุษย์สะเทโว ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่จิตใจท่านมีพรหมวิหาร ๔ มีเมตตา กรณา มุทิตา และอุเบกขาด้วยนะสิบอกให้
๓.มนุษย์ติระสาโณ ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่จิใจเป็นสัตว์เดรัสสาน
๔.มนุษยสเปโต ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่จิตใจเป็นเปรตนรก ฮิฮิฮิ
ขอภัยนะภาษาไทยไม่แข็งแรง
ส่วศาสนาอื่นบอกว่าพระเจ้าสร้างโลก ก็อยากถามกับไปว่า ทำไมไม่สร้างให้มันมีแต่ความสุขความสบาย ทำไมต้องสร้างมาให้มีที่ร้อนที่เย็นที่สูงที่ต่ำ ทำไมต้องสร้างให้คนมีคนจนต่างกัน ทำไมไม่สร้างให้มีแต่คนรวย
และก็รวยๆๆๆรวยเสียให้เค็ด ฮิฮิฮิฮิ |
|
_________________ ทำบุญตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาทำบุญอุทิศหา รักษาศีลตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาเคาะโลงลุกขึ่นมารักษาศีล
แก้ไขล่าสุดโดย tanaphomcinta เมื่อ 09 ก.ย. 2008, 8:27 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
       |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2008, 8:22 pm |
  |
คุณartครับ
ในสมัยก่อนผู้คนเชื่อว่าทุกสรรพสิ่งจะต้องมีอณูเล็กที่สุดประกอบอยู่ และ
อณูก็ต้องเป็นสสาร ยุค 50-200 ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์ค้นพบโมเลกุล
และเล็กลงกว่านั้นก็คือ อะตอม ในอะตอมก็ประกอบด้วย โปรตอน อีเลต
รอน และนิวตรอน ซึ่งก็ยังเป็นอณูป็นสสารอยู่
ในช่วง 30 ปีมานี้ นักวิทยาศาสตร์จึงพบความจริงว่า เล็กลงไปกว่าโปรตอน อีเลตรอน และนิวตรอน ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสรรพสิ่งคือ ควาร์ค ควาร์คคือความไม่มีอะไรเลย พูดง่ายๆ ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นความว่างทั้งสิ้น
องค์ประกอบพื้นฐานของสรรพสิ่ง คือ ความว่างเปล่านั้นเอง |
|
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2008, 8:30 pm |
  |
tanaphomcinta พิมพ์ว่า: |
ส่วนศาสนาอื่นบอกว่าพระเจ้าสร้างโลก ก็อยากถามกับไปว่า ทำไมไม่สร้างให้มันมีแต่ความสุขความสบาย ทำไมต้องสร้างมาให้มีที่ร้อนที่เย็นที่สูงที่ต่ำ ทำไมต้องสร้างให้คนมีคนจนต่างกัน ทำไมไม่สร้างให้มีแต่คนรวย
และก็รวยๆๆๆรวยเสียให้เค็ด ฮิฮิฮิฮิ |
ก็แต่เดิมพวกเราอยู่ในนิพพานอยู่แล้ว มันไม่มีความทุกข์ ไม่มีความร้อนกว่าเย็นกว่า
พวกเราต้องการรับรู้ภูมิอื่น รับรู้การใช้ร่างกาย ถ้าทุกคนรวยหมด กฎแห่งกรรมก็ใช้ไม่ได้ซิ
วิญญาณของคนที่ทำไม่ดีในชาติก่อน ก็ต้องเกิดมาจน อัปลักษณ์ ฯลฯ วิญญาณคนที่ทำ
แต่ความดี ก็ต้องเกิดมารวย ฯลฯ นั่นคือ กฎแห่งความยุติธรรม หรือกฎแห่งกรรมครับ |
|
|
|
  |
 |
art
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 08 ก.ย. 2008
ตอบ: 8
ที่อยู่ (จังหวัด): Bkk
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2008, 9:12 pm |
  |
เรียนคุณ พลศักดิ์
คุณจะบอกว่าจริงๆแล้วพวกเราคือคนสร้างโลกยังงั้นหรือ?
จิงๆแล้วพวกเราเป็นพระเจ้ามาก่อนเป็นอมตะนิรันด์ แต่ต้องการรู้ขันธ์5 ต้องการรับรู้อารมณ์เลยร่วมกันสร้างโลก และให้ทุกจิตลืมว่าตัวเองเป็นใครยังงั้นหรือ? ยังงั้นพระเจ้ามีเป็นพันล้านคนอ่ะหรอ?- -" แล้วเมื่อก่อนจำนวนประชากรไม่ได้เยอะแบบนี้นี่ครับ
อ้างอิงจาก: |
tanaphomcinta พิมพ์ว่า:
ส่วนศาสนาอื่นบอกว่าพระเจ้าสร้างโลก ก็อยากถามกับไปว่า ทำไมไม่สร้างให้มันมีแต่ความสุขความสบาย ทำไมต้องสร้างมาให้มีที่ร้อนที่เย็นที่สูงที่ต่ำ ทำไมต้องสร้างให้คนมีคนจนต่างกัน ทำไมไม่สร้างให้มีแต่คนรวย
และก็รวยๆๆๆรวยเสียให้เค็ด ฮิฮิฮิฮิ
ก็แต่เดิมพวกเราอยู่ในนิพพานอยู่แล้ว มันไม่มีความทุกข์ ไม่มีความร้อนกว่าเย็นกว่า
พวกเราต้องการรับรู้ภูมิอื่น รับรู้การใช้ร่างกาย ถ้าทุกคนรวยหมด กฎแห่งกรรมก็ใช้ไม่ได้ซิ
วิญญาณของคนที่ทำไม่ดีในชาติก่อน ก็ต้องเกิดมาจน อัปลักษณ์ ฯลฯ วิญญาณคนที่ทำ
แต่ความดี ก็ต้องเกิดมารวย ฯลฯ นั่นคือ กฎแห่งความยุติธรรม หรือกฎแห่งกรรมครับ |
แล้วเท่าที่ผมรู้ ความรวยความจนการแบ่งชนชั้นวรรณะ เริ่มมีเมื่อสมัยกรีกยุคกลางไม่ใช่หรอครับ งั้นสมัยก่อนกรีกยุคกลางที่ยังไม่มีแบ่งชนชั้นวรรณะความรวยความจน ช่วงนั้นก็ไม่ต้องใช้กฏแห่งกรรมยังงั้นหรอครับ?
[/quote] |
|
|
|
  |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2008, 9:30 pm |
  |
คุณ พลศักดิ์
คุณเห็นหรือยังมีใครเค้าเชื่อคุณบ้าง
กลับใจเสียเถอะ |
|
|
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2008, 9:35 pm |
  |
ท่าทีของพุทธเถรวาทต่อเรื่องโลก และกำเนิดของโลกนั้น
ท่านไม่ตอบ ไม่สนใจ และห้ามไม่ให้สนใจด้วย
ดังแสดงในอจินไตยสุตร 4
เพราะคนเราไม่มี "เครื่องมือ" เพียงพอ ที่จะพิสูจน์ทราบ
และความรู้ที่ได้ ก็ไม่อยู่ในขอบเขตใบไม้ในกำมือของพระพุทธเจ้า
เช่นเดียวกับอภิปรัชญาอื่น หรือปรมัตถธรรมอื่นๆจำนวนมาก
ที่ศาสนาพุทธเราไม่ให้สนใจ
เพราะไมใช่ทางพ้นทุกข์
ศาสนาเราเป้าหมายคือพ้นทุกข์
สนใจคำตอบในขอบเขตที่ทำให้พ้นทุกข์
มีครั้งหนึ่ง คนมาถามพระพุทธเจ้าว่า "ดาวบนฟ้ามีกี่ดวง"
เพราะพุทธเจ้าตอบว่า "มากเท่าเม็ดทรายในท้องทะเล."
ท่านไม่ได้หมายความตรงๆ
ว่าจำนวนสัมพัทธ์ของเม็ดทราย เท่ากับจำนวนสัมพัทธ์ของดวงดาว
แต่ท่านหมายความว่า ถ้ารู้วิธีนับเม็ดทราย ย่อมรู้วิธีนับดวงดาว
ถ้ามีความเพียรที่จะนับเม็ดทราย ย่อมมีความเพียรที่จะนับดวงดาวได้
ถ้าสามารถนับเม็ดทรายได้ ท่านก็จะสามารถนับดวงดาวได้
เรียกว่าพระพุทธเจ้า บอกวิธีหาความรู้ให้
ปรากฏว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตอบดังนั้
เขาก็ไม่ประสงค์จะนับเม็ดทรายแต่อย่างใด
ท่าทีจุดยืนของพระพุทธเจ้าคือ
ในบรรดาปรมัตถธรรมทั้งปวง ความจริงทั้งปวงในจักรวาล
มันมากเหมือนใบไม้ในผืนป่า
แต่มี่เพียงกำมือหนึ่งที่พระพุทธเจ้าคว้าขึ้นมา
ท่านบอกว่า มีแค่นี้เอง ที่อยู่ในวิสัยที่มุษย์จะรับได้ เข้าใจได้
เป็นธรรมะที่มีคุณลักษณะเด่นคือ สามารถจะพิสูจน์ทราบได้แบบสิ้นสงสัย
และเพียงกำมือเดียวเท่านั้น ที่เพียงพอจะช่วยให้สัตว์โลกพ้นจากวัฏฏะสงสารได้
อภิธรรม/ปรมัตถธรรม/ความจริง/Truths
ในขอบเขตกำมือของพระพุทธเจ้ามีคุณสมบัติ 6 ประการ
แสดงไว้แล้วใน "ธรรมคุณ 6"
... หนึ่งในนั้นคือการสามารถจะพิสูจน์รู้ความจริงเหล่านั้นได้ด้วยตนเอง
เป็นการพิสูจนืรู้แบบสันทิฏฐิโก คือประสบพบเห็นด้วยตนเอง รู้ด้วยตนเองอย่างสิ้นสงสัย
ไม่ใช่รู้แบบ..."พระเจ้าสอนว่า พระเจ้าให้เชื่อว่า..พระพุทธเจ้าบอกว่า"
ซึ่งเป้นเพียงการฟังๆมาแล้วเราเชื่อผู้พูดเท่านั้น
หรือเช่น "ดูทีวีแล้วรู้ว่ามีหอไอเฟลอยู่" อันนี้คือ"รู้"แบบหนึ่ง
แต่คน"รู้"แบบสันทิฏฐิโก คือคนที่ไปยืนบนหอนั้นมาแล้ว ไปพบมาแล้ว
เรื่องจักรวาลกำเนิด โลกกำเนิด
คริสต์อธิบายอย่างนั้น อิสลามอธิบายอย่างนั้น
แล้วท่านเชื่อหรือไม่ ท่านสิ้นสงสัยหรือไม่ในคำตอบนั้น
ถ้าพระพุทธเจ้าพูดว่าโลกมีกำเนิดอย่างนั้น อย่างนี้
ท่านจะเชื่อหรือไม่ ท่านจะสิ้นสงสัยหรือไม่
ดังนั้นแล พระพุทธเจ้าท่านจึงไม่ตอบ .....
การไม่ตอบ คือวิธีตอบอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า
ท่านเอาไว้ตอบเวลาคนถามเรื่องนอกกำมือ เรื่องอภิปรัชญา |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
tanaphomcinta
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 127
ที่อยู่ (จังหวัด): 138 หมู่ที่ 1 ต.โนนคูณ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ 36180
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2008, 9:57 pm |
  |
อ้างอิง
นั่นคือ กฎแห่งความยุติธรรม หรือกฎแห่งกรรมครับ
สุดท้ายก็มาอยู่ที่กฏของธรรมชาติจะหนีของจริงไม่ได้ เพราะของจริงในที่นี้คือการเกิดแก่เจ็บตายไม่เที่ยงเปรี่ยนแปลงไปตลอดเวลาฮิฮิฮิ
ลืมบอกไป พระพุทธเจ้าท่านรู้ว่าโลกเกดขึ้นอย่าไรและจะเป็นไปอย่างไร
เพราะท่านเป็น (โลกวฑู) คือรู้แจ้งโลก มีคนถามท่านว่า พระองค์รู้หมดทุกอย่าง รู้ว่าดวงดาวมีกี่ดวง ดวงอาทิตย์มีกี่ดวง รู้ในจักรกาวนี้หมด
ขอพระบอกได้ไหม ท่านตอบว่า เมื่อรู้แล้ว จะทำให้หมดทุกข์ได้หรือ
คนถามบอกว่า ไม่ได้พระยะขะ ถ้ารู้แล้วไม่ทำให้หมดทุกข์จะรู้ไปทำไมไม่มีประโยชน์ ท่านก็สอนต่อเลย เราควรจะมาพิจารณาดูการขึ้นและดับไปของจิตรเราดีกว่า แล้วท่านอื่นจะว่าอย่างไรก็เชิญ ฮิฮิฮิ |
|
_________________ ทำบุญตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาทำบุญอุทิศหา รักษาศีลตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาเคาะโลงลุกขึ่นมารักษาศีล |
|
       |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2008, 10:18 pm |
  |
สำหรับเรื่องกฏแห่งกรรม
มองว่าใครเป้นคนหาคำตอบ
คุณต้องมองเป็น Session
ใครเป้นคนหาคำตอบ
1. พระพุทธเจ้า
ลำพังแค่คุณอ่านพระไตรปิฏก ที่เป็นตัวหนังสือ
โดยไม่ต้องสนใจอภินิหาร หรือเรื่องพิศดาร
เอาแค่เฉพาะแนวคิด วิธีคิด หลักคิด การมองความจริง การหาคำตอบ การใช้เหตุผล ของพระองค์
คุณก็จะพบว่า พระพุทธเจ้า มีปัญญามากจนไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นคน
ฉลาดล้ำลึกรู้แจ้งได้มากชนิดที่หาประมาณวิสัยไม่ได้เลย
เหมือนเราไม่รู้ขอบเขตของจักรวาลฉันนั้น
ศึกษาว่าท่านมีความสามารถอะไรบ้าง จาก "ทศพลญาน"
ท่านมีพิสัยในการรู้ หรือหาความรู้ ได้อย่างไร้ขีดจำกัด
และถ้าคุณศักษาไปเรื่อยๆ คุณจะพบว่า "ทศพลญาน" นั้นไม่เกินความจริงเลย
เอาแค่สาวกที่รู้จักกันดีในยุคนี้ อย่างหลวงพ่อชา หลวงปู่สิม หลวงปู่ดุลย์ หลวงตาบัว
ท่านเหล่านี้สามารถอ่านใจคนได้ว่าคิดอะไร
ลองถามพระชื่ออะไรจำไม่ได้ ที่เป้นชาวอังกฤษสอนคนคุกในอังกฤษ
ท่านเป้นศิษย์หลวงพ่อชา ท่านยืนยันได้
และยังมีคนยืนยันเรื่องนี้ได้มากมาย
ดังนั้น เรื่องที่กล่าวอ้างว่าพระพุทธเจ้ามี วิสัย 10 อย่าง ดังนั้น
ผมจึงเชื่อว่า ไม่เกินความจริง
เพราะแค่การอ่านใจคนได้ มันก็เกินความจริงไปแล้ว เหตุผลอะไรก็ไม่สามารถอธิบายได้เลย
2. เราทุกคน
เรามีพิสัยในการรู้ หรือหาความรู้ ได้อย่างจำกัด
อะไรที่เราไม่สามารถจะพิสูจน์ด้วยผัสสะ เราก็ปฏิเสธว่าไม่มี
มองเป็น Session
ถ้าจะพิจารณาตั้งแต่ชาติที่แล้ว...ชาตินี้...ไปจนถึงชาติหน้า
ทั้งหมดหมด 3 ชาติ ....
แล้วเราพยามหาคำตอบว่า
1. ชาติที่แล้วทำอะไร จึงมีผลในชาตินี้
- พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามีจริง
แต่ท่านไม่บอกให้คนอย่างเราสนใจว่าที่ทนทุกข์ในชาตินี้เกิดจากอะไรในชาติก่อน(อจินไตยสุตร)
นอกจากจะเกินวิสัยของเราแล้ว เรายังแก้ไขอดีตไม่ได้
ป่วยการจะไปรู้
แล้วถ้ามีใครมาพูดกับคุณว่าชาติก่อนเป้นอย่างนี้อย่างนั้น
คุณจะรู้เชื่อแบบดูหอไอเฟลจากทีวี หรือรู้เชื่อเพราะไปยืนที่บนหอมาแล้ว?
2. ชาตินี้ทำอะไร แล้วได้จะผลชาติหน้า
- อันนี้พระพุทธเจ้าก็ยืนยันว่ามี
อ้างอิงจาก: |
ปญฺญํ สุขํ ชีวิตสงฺขยมฺหิ บุญนำสุขมาให้ในเวลาสิ้นชีวิต
สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย ความสั่งสมบุญ นำสุขมาให้
ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมึ ปติฏฺฐา โหนฺติ ปาณินํ
บุญเป็นที่พึ่งของสัตว์ในโลกหน้า
อิธ นนฺทติ เปจฺจ นนฺทติ กตปุญโญฺ อุภยตฺถ นนฺทติ
ปุญฺญํ เม กตนุติ นนฺทติ ภิยฺโย นนฺทุติ สุคตึ คโต
ผู้ทำบุญแล้วย่อมยินดีในโลกนี้
ตายแล้วย่อมยินดีชื่อว่ายินดีในโลกทั้งสอง
เขาย่อมยินดีว่าเราทำบุญไว้แล้ว ไปสู่สุคติย่อมยินดียิ่งขึ้น |
แต่ท่านไม่บอกว่าทำเหตุการณ์ A และจะได้ผล A ในชาติหน้า
เรื่องพวกนี้ คนอย่างพวกเรามาแต่งเติมเอาเอง
โดยเฉพาะในยุคอย่างพันๆปีที่แล้วก่อนจะมาสู่ยุควิทยาศาสตร์
คนไม่ฉลาดเหมือนทุกวันนี้
เช่น จะพูดจะปกครองคนก้ต้องใช้อาณัติสวรรค์
แต่ยุคนี้ ระบบ อาณัติจากสวรรค์หายไปเกือบหมดแล้ว
เพราะคนมีความรู้มากขึ้น และคนไม่เชื่อเรื่องแบบนี้
ท่าทีของพระพุทธเจ้าต่อชาติหน้า จึงเสมือนว่า
บอกสีแก่คนตาบอด พูดไปก็เท่านั้น
แต่ท่านรับรองว่าทำดีเถิด ถ้าโลกหน้ามีจริง จะให้ผลดีเอง
ดังบาลีข้างบน
3.ชาติปัจจุบัน
- กฏแห่งกรรมในชาตินี้ เราก็เห้นๆกันอยู่
ว่าถ้าหิว...กินข้าว...ก็หายหิว
ถ้าเราตีหัวเขา...ก้ก้ตีหัวกลับ
ยิ้มให้เขา...เขาก้ยิ้มกลับ
กฏแห่งกรรมในชาตินี้เป้นอย่างนี้
พระธรรมทั้งปวง ก้สอนให้ทำในชาตินี้
ไม่ได้สอนให้เก้บไว้ทำชาติหน้า
แต่คนเรา มักจะวุ่นวายกับการหาคำตอบว่า ชาติก่อนทำอะไร
และชาตินี้ต้องทำอะไรเพื่อชาติหน้า
วุ่นวายแต่อดีตกับอนาคต
แต่ลืมว่าปัจจุบัน มันมีอำนาจขนาดไหน
ขาดสติรู้ไปจากปัจจุบันกาลว่า
ไม่ใช้ว่าเรากำกับอนาคตไม่ได้
วินาทีปัจจุบันนี้แหละ ที่กำหนดอนาคต
ทำดี ... ผลย่อมต้องดี
ทำชั่ว...ผลต้องชั่ว
ทำอะไรกลางๆ...ผลย่อมกลางๆ
ไม่ทำอะไร....ย่อมไม่มีผลอะไร |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
art
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 08 ก.ย. 2008
ตอบ: 8
ที่อยู่ (จังหวัด): Bkk
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2008, 11:00 pm |
  |
สรุปแล้วโลกนี้เกิดมาเองโดยธรรมชาติ หรือมีคนสร้างมันขึ้นมา เพราะในโลกนี้มีอะไรเกิดขึ้นมาลอยๆจากความว่างเปล่าได้ยังงั้นหรือ?
สามารถเข้าฌาณเห็นสวรรค์นรกได้ แต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าโลกมีที่มาอย่างไร และถ้าไม่มีโลกจะมีมนุษย์มาให้ศึกษาหาความสุขกันหรอ |
|
|
|
  |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2008, 11:19 pm |
  |
คุณ art ครับ
คุณเกิดตายมาแล้วหลายภพชาติครับ
แล้วผมให้คุณนับภพชาติที่ผ่านมาของคุณนะครับ
ย้อนหลังไป ๑ ชาติ ก็นับ ๑
ย้อนหลังไป ๒ ชาติ ก็นับ ๒
ย้อนหลัง ไป ๓ ชาติ ก็นับ ๓
นับไปอย่างนี้เรื่อย ๆ ครับ
๔ ๕ ๖.................................
สมมตินะครับว่าคุณมีอายุยืน ๑๐๐ ปี
นับภพชาติไปอย่างนี่นะครับ ๑ ๒ ๓............
นับไปจนวันสุดท้ายของชีวิตคุณ
ก็ไม่หมดครับ
ไม่รู้ว่าภพชาติแรกของคุณเกิดเป็นอะไรครับ
เมื่อไม่รู้ว่าภพชาติแรกคุณเกิดเป็นอะไร
แล้วคุณจะรู้ได้มั้ยว่าโลกเกิดมาได้ยังไง |
|
|
|
  |
 |
art
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 08 ก.ย. 2008
ตอบ: 8
ที่อยู่ (จังหวัด): Bkk
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2008, 11:28 pm |
  |
มันคนละส่วนกันนะครับ ผมไม่ได้อยากรู้ว่าโลกในอดีตเป็นยังไง แต่ผมอยากรู้ว่าโลกมีขึ้นมาเอง หรือมีใครสร้างมันขึ้นมาหรือเปล่านะครับ พระเจ้าสร้างโลกมีจริงหรือเปล่า ศาสนาคริสต์เขาสงสัยว่าจู่ๆจะมีโลกขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าไม่มีใครทำมันขึ้นมา เปรียบเสมือนแก้วน้ำเปล่าๆ ถ้าไม่มีใครใส่น้ำใส่ทรายลงไปมันจะมีสิ่งนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร |
|
|
|
  |
 |
art
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 08 ก.ย. 2008
ตอบ: 8
ที่อยู่ (จังหวัด): Bkk
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2008, 11:35 pm |
  |
เปรียบเสมือนมนุษย์เกิดมาได้เพราะเกิดจากการปฏิสนธิ
แผ่นcdมีขึ้นมาได้เพราะมนุษย์ทำมันขึ้นมา
แล้วมีไหมครับที่ว่าอยู่เฉยๆก็มีเด็กเกิดขึ้นมาเอง โดยที่ไม่มีใครไปผลิตมันขึ้นมา หรือแผ่นcdจู่ๆก็มีขึ้นมาโดยที่มนุษย์ไม่ได้ไปผลิตมัน แล้วโลกล่ะมันมีอยู่ก่อนโดยธรรมชาติอยู่แล้ว หรือที่จริงมีใครสร้างมันขึ้นมา |
|
|
|
  |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2008, 11:41 pm |
  |
คุณ art ครับ
โลกนี้มีมานานแสนนานแล้วครับ
หาเงื่อนต้นไม่เจอครับ
เป็นของมีอยู่แล้ว
หาที่มาที่ไปไม่ได้ครับ
ว่าเป็นมายังไง
ส่วนเรื่องศาสนาอื่นผมจะไม่ขอกล่าวครับ
แต่ขอกล่าวว่า
พระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกของพวกเรา
เป็นผู้สิ้นกิเลส
พระองค์ทรงสอนสัตว์โลก
สอนด้วยความสิ้นกิเลสครับ
พระองค์ไม่มีความอยากดัง
ไม่มีความต้องการให้คนมากราบไหว้
ยกย่อง บูชา พระองค์
แต่พระองค์สอนด้วยความเมตตาสุดส่วน
พระองค์ทรงชี้ทางปฏิบัติให้ทุก ๆ คน
สามารถสิ้นกิเลสเช่นพระองค์ได้
และท้าทายให้ผู้สงสัยปฏิบัติดูได้
เมื่อปฏิบัติไปก็จะเหมือนที่พระองค์ทรงตรัสไว้ครับ
ไม่มีผิดพลาด
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของการปฏิบัติ
เพื่อให้เกิดการรู้จริงเห็นจริงคือ ปฏิเวธ |
|
แก้ไขล่าสุดโดย guest เมื่อ 09 ก.ย. 2008, 11:43 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.ย. 2008, 11:43 pm |
  |
art พิมพ์ว่า: |
สรุปแล้วโลกนี้เกิดมาเองโดยธรรมชาติ หรือมีคนสร้างมันขึ้นมา เพราะในโลกนี้มีอะไรเกิดขึ้นมาลอยๆจากความว่างเปล่าได้ยังงั้นหรือ?
สามารถเข้าฌาณเห็นสวรรค์นรกได้ แต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าโลกมีที่มาอย่างไร และถ้าไม่มีโลกจะมีมนุษย์มาให้ศึกษาหาความสุขกันหรอ |
สำหรับพุทธ เรายืนยันแค่ว่า
โลกมันเกิดเองโดยธรรมชาติ มีที่มา และมีที่ไป
มีเกิด ย่อมมีดับ
ไม่สนใจต่อไปว่าเกิดยังไง
ถามศาสนาพุทธ เราตอบแค่นี้
เรามีความสามารถจะคอยตามสังเหตุแมลงวัน ว่ามันมีอายุ 1 วัน
แต่เราไม่สามารถจะมีชีวิตตามดูโลกว่าเกิดอย่างไร ดับอย่างไร
เราหาพยานที่สามารถเห็นด้วยตาได้ว่าแมลงวันมีชีวิตหนึ่งวันได้
แต่เราหาพยานที่เห็นโลกเกิดดับ 1 ครั้งไม่ได้
ถ้าถามปรัชญา ถามศาสนา
แต่ละศาสนาก็มีจุดยืนอย่างนี้
ถ้าถามทางวิทยาศาสตร์ ทางกายภาพ ทางรูปธรรม
วิทยศาสตร์มีคำตอบอยู่แล้ว
ดีที่สุดเท่าที่จะสามารถคิดกันได้
จึงต้องไปถามวิทยาศาสตร์ |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
10 ก.ย. 2008, 12:14 am |
  |
คุณ"art" ครับ
คุณจะบอกว่าจริงๆแล้วพวกเราคือคนสร้างโลกยังงั้นหรือ? .......ถูกต้องครับ พวกเรา
ร่วมกันสร้าง เพราะพวกเราเป็นอณูของพระเจ้า(พระพุทธเจ้า)
จิงๆแล้วพวกเราเป็นพระเจ้ามาก่อนเป็นอมตะนิรันด์ แต่ต้องการรู้ขันธ์5 ต้องการรับรู้อารมณ์เลยร่วมกันสร้างโลก และให้ทุกจิตลืมว่าตัวเองเป็นใครยังงั้นหรือ? ยังงั้นพระเจ้ามีเป็นพันล้านคนอ่ะหรอ?- -" แล้วเมื่อก่อนจำนวนประชากรไม่ได้เยอะแบบนี้นี่ครับ
.....อณูของพระเจ้ามีเป็นอนันต์ครับ จำนวนประชากรในโลกเป็นแค่ 1 ส่วนในล้านๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆส่วนของวิญญาณที่รอการเกิด และในทุกวิญญาณก็มีอณูของพระเจ้าอยู่ เพระทุกจิตต่างบรรจุพุทธะไว้ภายใน
แล้วเท่าที่ผมรู้ ความรวยความจนการแบ่งชนชั้นวรรณะ เริ่มมีเมื่อสมัยกรีกยุคกลางไม่ใช่หรอครับ งั้นสมัยก่อนกรีกยุคกลางที่ยังไม่มีแบ่งชนชั้นวรรณะความรวยความจน ช่วงนั้นก็ไม่ต้องใช้กฏแห่งกรรมยังงั้นหรอครับ?
......คุณเข้าใจผิดแล้ว โลกเราเกิดแล้วดับมาไม่เคยจบสิ้น วิญญาณ
ของเราทำกรรมกันมาเมื่อเกิดเป็นคนและสัตว์ นับแค่กองกระดูกของเราก็สูงกว่า
ภูเขาเสียอีก |
|
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
10 ก.ย. 2008, 12:22 am |
  |
คุณartครับ
คุณจะเรียกว่าพระเจ้าสร้างโลกและจักรวาลก็ได้ จะเรียก ปรมาตมัน เต๋า
อนุตรมารดา อัลเลาะห์ ยะโฮวา ฯลฯ ก็ได้ ในทางมหายาน พระพุทธเจ้าของเราเรียกว่า อาทิพุทธ หรือพระไวโรจนพุทธเจ้า หรือต้นธาตุ ทาง
เถรวาท เรียกว่า นิพพาน อสังขตธาตุ เป็นผู้ทำให้เกิดสังขตธาตุ หรือ
สรรพสิ่งในโลกและจักรวาล
พวกเรากำลังเล่นเกมค้นหาตัวเองว่าเราเป็นใคร |
|
|
|
  |
 |
|