Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 พระพุทธโอวาท 3 เดือนก่อนปรินิพพาน (อ.วศิน อินทสระ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2007, 11:07 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระพุทธองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า
"อานนท์ ! เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว
เธอทั้งหลายอาจจะคิดว่า
บัดนี้พวกเธอไม่มีศาสดาแล้ว จะพึงว้าเหว่ไร้ที่พึ่ง"

"อานนท์เอ๋ย ! พึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า
ธรรมวินัยอันใดที่เราได้แสดงแล้วบัญญติแล้ว
ขอให้ธรรมวินัยอันนั้น จงเป็นศาสดาของพวกเธอแทนเราต่อไป
เธอทั้งหลายจงมีธรรมวินัยเป็นที่พึ่งเถิด
อย่าได้มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย"

เมื่อพระอานนท์มิได้ทูลถามอะไร พระธรรมราชาจึงตรัสต่อไปว่า

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ผู้มาประชุมกันอยู่ ณ ที่นี้
ผู้ใดมีความสงสัยเรื่องพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
ในมรรคหรือปฏิปทาใดๆ ก็จงถามเสียบัดนี้
เธอทั้งหลายจะได้ไม่เสียใจภายหลังว่า
มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระศาสดาแล้ว มิได้ถามข้อสงสัยแห่งตน"

ภิกษุทุกรูปเงียบกริบ บริเวณปรินิพพานมณฑลสงบเงียบ
ไม่มีเสียงใดๆ เลย แม้จะมีพุทธบริษัทประชุมกันอยู่เป็นจำนวนมากก็ตาม
ทุกคนปรารถนาจะฟังแต่พระพุทธดำรัส
เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจเป็นครั้งสุดท้าย


บัดนี้ พละกำลังของพระผู้มีพระภาคเจ้าเหลืออยู่น้อยเต็มทีแล้ว
ประดุจน้ำที่เทราดลงไปในดินที่แตกระแหง
ย่อมพลันเหือดแห้งหายไป มิได้ปรากฏแก่สายตา
ถึงกระนั้นพระบรมโลกนาถก็ยังประทานปัจฉิมโอวาท
เป็นพระพุทธดำรัสสุดท้ายว่า

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแห่งเราแล้ว
เราขอเตือนเธอทั้งหลายให้จำมั่นไว้ว่า
สิ่งทั้งปวงมีความเสื่อมและสิ้นไปเป็นธรรมดา
เธอทั้งหลายจงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด"

ย่างเข้าสู่ปัจฉิมสยาม พระจันทร์โคจรไปทางขอบฟ้าทิศตะวันตก
แสงโสมสาดส่องผ่านทิวไม้ลงมา
ท้องฟ้าเกลี้ยงเกลาปราศจากเมฆหมอก
รัชนีแจ่มจรัสดูเหมือนจะจงใจส่องแสงเปล่งปลั่งเป็นพิเศษครั้งสุดท้าย
แล้วสลัวลงเล็กน้อย เหมือนจงใจอาลัยในพระศาสดา
ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์

พระผู้มีพระภาคมีพระกายสงบ หลับพระเนตรสนิท
พระอนุรุทธเถระ ซึ่งเป็นพระเถระผู้ใหญ่อยู่ในเวลานั้น
และได้รับยกย่องจากพระผู้มีพระภาคว่าเป็นเลิศทางทิพยจักษุ
ได้เข้าฌานตาม ทราบว่า พระพุทธองค์เข้าสู่ปฐมฌาน
ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว
เข้าสู่อรูปสมาบัติคือ อากาสานัญจายตนะ วิญญานณัญจายตนะ
อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ
และสัญญาเวทยิตนิโรธ ตามลำดับ
แล้วถอยออกมาจากสัญญาเวทยิตนิโรธ
จนถึงปฐมฌานแล้วเข้าสู่ปฐมฌาน
จนถึงจตุตถฌานอีก เมื่อออกจากจตุตถฌาน
ยังไม่ทันเข้าสู่อากาสานัญจายตนะ
พระองค์ก็ปรินิพพานในระหว่างนี้เอง


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2007, 11:09 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ในที่สุดแม้พระองค์ก็ต้องประสบอวสาน เหมือนคนทั้งหลาย
พระธรรม ที่พระองค์เคยพร่ำสอนมาตลอดพระชนม์ชีพว่า
สัตว์ทั้งหลายมีความตายเป็นที่สุดนั้น
เป็นสัจธรรมที่ไม่ยกเว้น แม้แต่พระองค์เอง


นึกย้อนหลังไปเมื่อสี่สิบห้าปีก่อนปรินิพพาน
พระองค์เป็นผู้โดดเดี่ยว เมื่อปัญจวัคคีย์ทอดทิ้งไปแล้ว
พระองค์ก็ไม่มีใครอีกเลย ภายใต้โพธิบัลลังก์ครั้งกระนั้น
แสงสว่างแห่งการตรัสรู้ได้โชติช่วงขึ้น
พร้อมด้วยแสงสว่างแห่งรุ่งอรุณ
พระองค์มีเพียงหยาดน้ำค้างบนใบโพธิพฤกษ์เป็นเพื่อน
ต้องเสด็จจากโพธิมณฑลไปพาราณสีด้วยพระบาทเปล่าถึงสิบวัน
เพียงเพื่อหาเพื่อนผู้รับคำแนะนำของพระองค์สักห้าคน
แต่มาบัดนี้พระองค์มีภิกษุสงฆ์สาวกเป็นจำนวนแสน จำนวนล้าน
มีหมู่ชนเป็นจำนวนมากเดินทางมาจากทิศานุทิศ
เพียงเพื่อได้เข้าเฝ้าพระองค์
บุคคลทั้งหลายรู้สึกว่าการได้เห็นพระพุทธเจ้านั้นเป็นความสุขอย่างยิ่ง

เมื่อสี่สิบห้าปีมาแล้ว พระองค์ทรงมีเพียงหญ้าคามัดหนึ่ง
ที่นายโสตถิยะนำมาถวาย และทรงทำเป็นที่รองประทับมาบัดนี้
มีเสนาสนะมากหลายที่สวยงาม
ซึ่งมีผู้ศรัทธาสร้างอุทิศถวายพระองค์เช่น
เชตวัน เวฬุวัน ชีวกัมพวน มหาวันปุพพาราม
นิโครธาราม โฆสิตาราม ฯลฯ เศรษฐี คหบดี
ต่างแย่งชิงกันจอง เพื่อให้พระองค์รับภัตตาหารของเขา
แน่นอนทีเดียวหากพระองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์
คงจะไม่ได้รับความนิยม เลื่อมใสถึงขนาดนี้
และไม่ยืนนานถึงปานนี้

เมื่อสี่สิบห้าปีมาแล้ว ภายใต้โพธิพฤกษ์อันร่มเย็น
ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา พระองค์ได้บรรลุแล้วซึ่งกิเลสนิพพาน
กำจัดกิเลสและความมืดให้หมดไป
และบัดนี้ภายใต้ต้นสาละทั้งคู่
และความเย็นเยือกแห่งปัจฉิมยาม
พระองค์ก็ดับแล้วด้วยขันธ์นิพพาน

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระรูปอันวิจิตร
ด้วยมหาปุริสลักษณะสามสิบสองประการ
ประดับด้วยอนุพยัญชนะแปดสิบ
มีพระธรรมกายอันสำเร็จแล้ว ด้วยนานาคุณรัตนะ
มีศีลขันธ์อันบริสุทธิ์ ด้วยอาการทั้งปวงเป็นต้น
ถึงฝั่งแห่งความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ด้วยยศ ด้วยบุญ
ด้วยฤทธิ์ ด้วยกำลังและด้วยปัญญา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ยังต้องดับมอดลงแล้ว
ด้วยการตกลงแห่งฝนมรณะ เหมือนกองอัคคีใหญ่ต้องดับมอดลง
เพราะฝนห่าใหญ่ตกลงมาฉะนั้น


พระองค์เคยตรัสไว้ว่า "ไม่ว่าพาลหรือบัณฑิต ไม่ว่ากษัตริย์
พราหมณ์ ไวศยะ ศูทร หรือจัณฑาล
ในที่สุดก็ต้องบ่ายหน้าไปสู่ความตาย
เหมือนภาชนะไม่ว่าเล็กหรือใหญ่
ในที่สุดก็ต้องแตกสลายเหมือนกันหมด"
นั้นช่างเป็นความจริงเสียนี่กระไร

อันว่าความตายนี้มีอิทธิพลยิ่งใหญ่นัก
ไม่มีใครสามารถต้านทานต่อสู้ด้วยวิธีใดๆ ได้เลย
ก้าวเข้าไปสู่ปราสาทแห่งกษัตริยาธิราช
และแม้ในวงชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างสง่าผ่าเผย
ปราศจากความสะทกสะท้านใดๆ
เช่นเดียวกับก้าวเข้าไปสู่กระท่อมน้อยของขอทาน
พระยามัจจุราชนี้ เป็นตุลาการที่เที่ยงธรรมยิ่งนัก
ไม่เคยลำเอียงหรือกินสินบนของใครเลย
ย่อมพิจาณาคดีตามบทพระอัยการและอ่านคำพิพากษา
ด้วยถ้อยคำอันหนักแน่นเด็ดเดี่ยว
ไม่ฟังเสียงคัดค้านและขอร้องของใคร
ท่ามกลางเสียงคร่ำครวญอันระคนด้วยกลิ่นธูปควันเทียนนั้น
ท่านได้ยื่นพระหัตถ์ออก
กระชากให้ความหวังของทุกคนหลุดลอย
และแล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามพระบัญชาของพระองค์
เมื่อมาถึงจุดนี้ ความยิ่งใหญ่ของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย
ก็จะกลายเป็นเพียงนิยายที่ไว้เล่าสู่กันฟังเท่านั้น

มงกุฎประดับเพชรก็มีค่าเท่ากับหมวกฟาง
พระคทาอันมีลวดลายวิจิตร ก็เหมือนท่อนไม้ที่ไร้ค่า
เมื่อความตายมาถึงเข้า พระราชาก็ต้องถอดมงกุฎเพชรลงวาง
ทิ้งพระคทาไว้ แล้วเดินเคียงคู่ไปกับชาวนาหรือขอทาน
ผู้ได้ทิ้งจอบ เสียม หมวกฟาง และคันไถ
หรือ ภาชนะขอทานไว้ให้ทายาทของตน

พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานไปแล้ว
พระกายของพระองค์เหมือนของคนทั้งหลาย
ซึ่งจะต้องแตกสลายไปในที่สุด
แต่ความดีและเกียรติคุณของพระองค์ยังคงดำรงอยู่ในโลก
ต่อไปอีกนานเท่าใด ไม่อาจจะกำหนดได้
ความดีนี่เองที่เป็นสาระอันแท้จริงของชีวิต


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 24 มี.ค.2007, 11:11 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

"โอ ! พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐ
พระองค์ผู้ทรงพระมหากรุณากว้างใหญ่ดุจห้วงมหรรณพ
มีน้ำพระทัยใสบริสุทธิ์ดุจน้ำค้างเมื่อรุ่งอรุณ
ทรงมีพระทัยหนักแน่นดุจมหิดล รับได้ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย
ทรงสละความสุขส่วนพระองค์
ขวนขวายเพื่อความสงบร่มเย็นของปวงชน
พระองค์เป็นผู้ประทานแสงสว่างแก่โลกภายใน
คือ ดวงจิตประดุจพระอาทิตย์ให้แสงสว่างแก่โลกภายนอก
คือ ท้องฟ้า ปฐพี บัดนี้พระองค์ปรินิพพานเสียแล้ว
มองไม่เห็นแม้แต่เพียงพระสรีระซึ่งเคยรับใช้พระองค์
โปรยปรายธรรมรัตน์ประหนึ่งม้าแก้วแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ
เป็นพาหนะนำเจ้าของ ตรวจความสงบสุขแห่งประชากร"

"โอ ! พระมหามุนีผู้เป็นจอมชน
บัดนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นประดุจนกในเวหา
ไร้โพธิ์หรือไทร ที่จะจับเกาะ ประดุจเด็กน้อยผู้ขาดมารดา
เหมือนเรือที่ลอยคว้างอยู่ในมหาสมุทร
อ้างว้างว้าเหว่สุดประมาณ
จะหาใครเล่าผู้เสมอเสมือนพระองค์"

แม้พระอานนท์พุทธอนุชาเอง
ก็ไม่สามารถจะอดกลั้นน้ำตาไว้ได้
เป็นเวลายี่สิบห้าปี จำเดิมแต่รับหน้าที่พุทธอุปัฏฐากมา
เคยรับใช้ใกล้ชิดพระพุทธองค์เสมือนเงาตามองค์
บัดนี้พระพุทธองค์เสด็จจากไปเสียแล้ว
ท่านรู้สึกว้าเหว่และเงียบเหงา ไม่ได้เห็นพระองค์อีกต่อไป
เวลายี่สิบห้าปี นานพอที่จะก่อความรู้สึกสะเทือนใจ
อย่างรุนแรงเมื่อมีการพลัดพราก

แต่แล้วเรื่องทั้งหลายก็มาจบลงด้วยสัจธรรม
ที่พระองค์ทรงพร่ำสอนอยู่เสมอว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา
สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่ในท่ามกลาง และดับไปในที่สุด
บัดนี้พระพุทธองค์ดับแล้ว ดับอย่างหมดเชื้อ
ทิ้งวิบากขันธ์และกิเลสานุสัยทั้งปวง
ประดุจกองไฟดับลงแล้วเพราะหมดเชื้อฉะนั้นแล ฯ


สาธุ สาธุ สาธุ



----- จบ -----


คัดลอกจาก...
http://se-ed.net/platongdham/3_month/index.html
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง