ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
สรวงสวรรค์ ซอมิ่งเมือง
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 03 เม.ย. 2008
ตอบ: 36
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
24 ก.ย. 2008, 3:20 pm |
  |
คือเราคิดว่าการรับขันธ์เนี่ยไม่น่าจะใช่ของศาสนาพุทธ เราน่ะ
สำหรับเรามีแค่สามสิ่งก็ดีที่สุดแล้ว คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เราไม่ได้ไม่เชื่อนะ แล้วก็ไม่ได้ลบหลู่ด้วย
แต่เรื่องที่เกิดสับสนวุ่นวายอลหม่านไปหมดเนี่ย มีคนทักว่าเพราะไม่ยอมไปรับ เค้าจะทำให้เรารับขันธ์ให้ได้ว่างั้นเถอะ..เราเลยไม่รู้จะทำไงดี แล้วใครจะพอดูให้ได้บ้างก็ไม่รู้ ว่าดีร้ายประการใด
จิงๆ แล้ว เราก็มี อคติ กับการรับขันธ์อยู่บ้าง เพราะมีคนไปรับอะไรมาก็ไม่รู้ วันดีคืนดี โทรมาบอกพ่อแม่ว่าจะฆ่าตัวตาย ซะงั้น ก็เลยไม่ค่อยอยากจะสนใจการรับขันธ์อะไรนั่นสักเท่าไหร่ แต่ต้องมาเจอกับตัวเองนี่สิ..ปวดหัวจี๋ดเลย
แล้วก็ไม่รู้แน่ด้วยว่าใครมาอยู่ด้วยนี่สิยิ่งคิดหนักเลย
ยังไงรบกวนทุกท่านช่วยแจ้งด้วยนะคะ หรือมีวิธีบอกได้ว่าเค้าเป็นใครจะดีมากๆ ถ้าเค้ามาดีจิงก็อาจจะรับดูเหมือนกัน |
|
|
|
  |
 |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
24 ก.ย. 2008, 3:35 pm |
  |
สวด มนต์ ชินบัญชร ให้ทุกวันแล้ว อย่าไปรับขันธ์นะ เป็นกรรมจะทำให้ไม่เห็น พระรัตนไตรที่แท้จริง
ทำจิตให้สบายๆ แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร บ่อยๆ
ปวดหัวหรือ เครียด ก็อย่าไป เหมาว่าเป็นเรื่องของ การรับขันธ์
แต่ให้ กินยา ไทลินอล
ค่อยๆ ปฏิบัติ ธรรมด้วยการ เจริญสติ คือ พยายามรู้แล้ว ละ ความกังวล รู้แล้วละ อารมณ์ แล้วเปลี่ยน มุมมองหรือ วิถีชีวิตประจำวัน ให้ผ่อนคลาย
อยู่บนโลกก็ทำแบบโลกๆ ทำตามนี้แล้วจะพ้นจาก การรับขันธ์ทั้งปวง
เจริญสติให้มั่น |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
ฌาณ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์
|
ตอบเมื่อ:
24 ก.ย. 2008, 3:39 pm |
  |
ลำพังขันธ์ 5 ของเราคนเดียวก็หนักและเหนื่อย แบกทั้งชีวิตแล้วครับ
เดี๊ยว หิว กิน ขับถ่าย ง่วงนอน เจ็บ ไข้ ป่วย.....กว่าจะตาย
ถ้ามีลูกเมีย ก็แบกขันธ์ลูกเมียอีก....เฮอะ.....เหนื่อย..
ไม่ต้องไปรับขันธ์ใครมาเพิ่มอีกนะครับ....  |
|
_________________ ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ |
|
  |
 |
ฌาณ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์
|
ตอบเมื่อ:
24 ก.ย. 2008, 3:48 pm |
  |
ขันธ์ ๕ เป็นภาระอันหนัก
ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา
ภาราทานํ ทุกฺขํ โลเก
นิกฺขิปิตฺวา ครุ ํ ภารํ
สมูลํ ตณฺหํ อพฺพุยฺห ภารหาโร จ ปุคฺคโล
ภารนิกฺเขปนํ สุขํ
อญฺญํ ภารํ อนาทิย
นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโตติ.
“เราจำเป็นอยู่แล้วจะต้องวางต้องทิ้งขันธ์ ๕ นี่ถึงไม่ทิ้งเราก็ต้องทิ้ง ใครล่ะจะไม่ทิ้งได้ ถ้าไม่ทิ้ง แก่เข้าๆ ถึงเวลาก็ตายจะเอาไปได้หรือ ขันธ์ ๕ น่ะ คนเดียวก็เอาไปไม่ได้ ... แต่ของตัวก็ยังเอาไปไม่ได้ จะเอาของลูกไปได้อย่างไร พี่น้องวงศ์วานว่านเครือจะเอาไปบ้าง ไม่ได้หรือ เอาไปไม่ได้ ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างตาย ต่างคนต่างเกิด ตายๆ คนเดียว เกิดๆ คนเดียว เราอยู่คนเดียวน่ะนี่น่ะ ไม่ได้อยู่หลายคนนะ อยู่กี่คนก็ชั่ง ตายไปด้วยกันไม่ได้ เกิดคนเดียวตายคนเดียวทั้งนั้น ก็แฝดกันมาไม่ใช่ด้วยกันดอกหรือ จะแฝดหรือ จะติดกันอย่างไรก็ตามเถอะ คนละจิตละใจทั้งนั้น ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างตาย ต่างคนต่างเกิด”
เพราะว่าเราท่านทั้งหลายเกิดมาหญิงชายทุกถ้วนหน้า ล้วนแต่แบกภาระขันธ์ ๕ ด้วยกันทั้งนั้น ขันธ์ ๕ เป็นของหนัก ไม่ใช่ของเบา หนักอย่างไร หนักตั้งแต่อุบัติตั้งแต่อยู่ในท้อง ตั้งแต่เกิดในท้องมารดา หนักเรื่อยมา นั่นบังคับให้มารดาผู้ทรงครรภ์นั้นหนักแล้ว ตัวเองก็หนักไปไหนไม่ค่อยไหว ติดอยู่ในอู่มดลูกนั่นเอง เจริญวัยวัฒนา เป็นลำดับๆ ไป
เมื่อคลอดก็หนักถึงกับตายได้ ถ้าว่าขันธ์ที่เกิดนั้นไม่ตาย ขันธ์ของมารดาที่ให้เกิดนั้นถึงกับตายลำบากยากแค้นนัก หนักด้วย ลำบากด้วย ฝืดเคืองด้วย คับแค้นด้วย คับแคบด้วย ลำบากทั้งนั้น ขันธ์ ๕ เป็นของหนักจริงๆ ไม่ใช่ของเบา ไปไหนก็ไปเร็วไม่ได้ อุ้ยอ้าย เมื่อเจริญวัยวัฒนาเป็นลำดับแล้วก็ไปได้ด้วยตนของตนเอง แต่ว่าเป็นกายหนัก เหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ ไปเร็วไม่ได้ ต้องไปตามกาลสมัยตามกาลของขันธ์นั้น ไม่ใช่หนัก พอดีพอร้าย หนักกาย ต้องบริหารมากมาย
ผู้เกิดมานั้นต้องบริหารขันธ์ ๕ นั้นด้วย ต้องดูแลรักษา ครั้นเจริญวัยวัฒนาตัวของตัว เมื่อหลุดจากมารดาบิดาบริหารรักษาแล้ว ตัวของตัวต้องรักษาตัวเองอีก ตัวของตัวเองรักษาตัวเองก็ไม่ค่อยไหว บางคนถึงกับให้คนอื่นเขารักษาให้ ต้องให้เขาใช้สอยไปต่างๆ นานา รักษาขันธ์ ๕ ของตัวไม่ได้ ต้องบากบั่นตรากตรำมากมาย ในการเล่าเรียนศึกษา กว่าจะรักษาขันธ์ ๕ ของตนเองได้ จนกระทั่งรักษาขันธ์ ๕ ของตนได้ พอรักษาขันธ์ของตัวได้ ขันธ์ ๕ ก็เก่าคร่ำคร่า หนักเข้าขันธ์ ๕ ของตัวเองก็พยุงตัวเองไม่ไหว พยุงตัวไม่ไหวต้องอยู่กับที่ ขยับได้บ้าง ไปโน่นมานี่ได้บ้าง แต่หนักเข้าก็ลุกไม่ขึ้น หนักเข้าก็หมดลมอัสสาสะปัสสาสะเข้าโลงไป ๔ คนนั่นแหละต้องหาม ๔ คนก็เต็มอึดเชียวหนา มันหนักขนาดนี้ หนักอย่างโลกๆ ไม่ใช่หนักอย่างธรรมๆ
หนักอย่างทางธรรมน่ะนั่นลึกซึ้ง แบกขันธ์ทั้ง ๕ นำขันธ์ทั้ง ๕ ไปมากมายนัก ในมนุษย์โลกนี้แบกขันธ์ทั้ง ๕ ไปมากมายนัก ภาระคือ ขันธ์ ๕ นี้หนัก ไม่ใช่หนักแต่ในมนุษย์โลกนี้ ไปเกิดเป็นเทวดาก็หนักอีก ไปเกิดเป็นพรหมก็หนักอีก ไปเกิดเป็นอรูปพรหมก็หนักอีก หนักทั้งนั้น ไม่ใช่เบา
ถ้าไปเกิดเป็นสัตว์นรก หนักขึ้นไปกว่านั้นอีก ในสัญชีวะ กาฬสุตตะ สังฆาตะ โรรุวนะ มหาโรรุวนะ ตาปะ มหาตาปะ อเวจี หนักขึ้นไปกว่านั้น หรือไปเกิดในบริวารนรก รวมนรก ๔๕๖ ขุม ขุมใดขุมหนึ่ง หรือไปเกิดเป็นเปรตก็หนักขึ้นอีกเหมือนกัน ไปเกิดเป็นอสุรกายก็หนักขึ้นอีกเหมือนกัน ไปเกิดสัตว์ดิรัจฉาน ก็หนักอีกเหมือนกัน เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน เปรต อสุรกาย ก็หนักทั้งนั้น ขันธ์ ๕ นี่เป็นของหนัก
ท่านจึงได้ยืนยันตามพระบาลีว่า ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นของหนัก ภารหาโร จ ปุคฺคโล บุคคลผู้นำขันธ์ ๕ ที่หนักนั้นไป ภาราทานํ ทุกฺขํ โลเก การถือมั่นในเบญจขันธ์ทั้ง ๕ นั้นหนัก เป็นทุกข์ในโลก ภารนิกฺเขปนํ สุขํ สละขันธ์ ๕ ปล่อยขันธ์ ๕ วางขันธ์ ๕ ทิ้งขันธ์ ๕ เสียได้เป็นสุข นิกฺขิปิตฺวา ครุ ํ ภารํ การทิ้งภาระที่หนักอันนั้นเสียได้แล้ว
อญฺญํ ภารํ อนาทิย ไม่ถือเอาของหนักอื่นอีกต่อไป สมูลํ ตณฺหํ อพฺพุยฺห ชื่อว่าเป็นผู้ถอนตัณหาทั้งรากได้ นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโต หมดกระหาย ไปนิพพานได้ หมดกระหาย หมดร้อน หมดกระวนกระวาย ไปนิพพานได้ ให้ทิ้งขันธ์ ๕ เสีย ทิ้งขันธ์ ๕ เสียได้แล้ว ได้ชื่อว่าถอนตัณหาทั้งรากได้ นี้เป็นตัวสำคัญ ให้รู้จักดังนี้
(ลอกมาจากเทศนาของหลวงพ่อสดครับ)  |
|
_________________ ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ |
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
24 ก.ย. 2008, 5:42 pm |
  |
อ้างอิงจาก: |
คือเราคิดว่าการรับขันธ์เนี่ยไม่น่าจะใช่ของศาสนาพุทธ เราน่ะ
สำหรับเรามีแค่สามสิ่งก็ดีที่สุดแล้ว คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ |
ไม่ใช่พิธีของพุทธะครับ
ส่วนจะเป็นของใครก็สุดแต่คนทรงเขาทรงอยู่ เท่าที่เห็นในประเทศไทยเรียกจ้าวพ่อ...นั่น...จ้าวแม่...นี่ ส่วนมากมีชื่อออกไปทางแขก ชื่อจีนก็มี
ชื่อกุมาร...ก็มี ฯลฯ
ส่วนการ “รับขัน” คนที่ทรงบอกเองว่าใช้อะไร ที่เห็นๆ ก็มีขันใส่บายศรี... ประมาณนี้แหละ
พิธีรับขันต้องไปรับที่ตำหนักหรือที่บ้านของคนทรงนั้นๆ เขาจะทำพิธีให้ตามบัญญัติของเขา ต้องใช้เงินตามแต่เขาจะเรียก
เสร็จพิธีรับแล้ว เราเองเป็นสาวกของคนทรงนั้นโดยสมบูรณ์แล้ว หลังจากนั้นเราต้องนำขันมาบูชาที่บ้าน ถึงปีคนทรงนั้นจะจัดพิธีไหว้ครูครั้งหนึ่ง สาวกทั้งหมด (เท่าที่เขาหาได้) จะพากันแต่งชุดขาวไปกัน ประติดปะต่อเรื่องราวได้ประมาณเนี่ยคับ
อ้างอิงจาก: |
แต่เรื่องที่เกิดสับสนวุ่นวายอลหม่านไปหมดเนี่ย มีคนทักว่าเพราะไม่ยอมไปรับ เค้าจะทำให้เรารับขันธ์ให้ได้ว่างั้นเถอะ.. |
คุณสรวงสวรรค์ มีโรคประจำตัวหรือมีการแสดงออกทางกายผิดปกติอย่างไรหรือป่าวครับ จึงมีคนทักอย่างนั้น (มีคนทักว่าเพราะไม่ยอมไปรับ) |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
ศุภมณฑา
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 07 ม.ค. 2008
ตอบ: 43
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง
|
ตอบเมื่อ:
24 ก.ย. 2008, 8:17 pm |
  |
ดิฉันก็เคยมีคนทัก แล้วก็ไปศึกษาหาข้อมูลได้ประมาณหนึ่ง
คนทักก็ไม่รู้จะทักเพื่อประโยชน์อะไร ทำให้เรางงได้ สับสนได้
ตกลงคือไม่รับ คือไม่รับรู้อะไร (รับมาก็กลัวจะไม่ใช้เทพ กลัวเป็นผีหรือสัมประเวสีน่ากลัวจะตายไปค่ะ เค้าจะใช้ร่างเราเป็นทางผ่าน)
ก็ปฏิบัติธรรมบ้าง บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ
ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพพยาดา ฟ้าดินถ้ามีจริง ก็ปกป้องคุ้มครองลูกด้วย สาธุ สาธุ สาธุ
แค่นี้ก็พอค่ะ
(ถ้าอยากรู้เรื่องราวแบบนี้ ให้เข้าเวปองค์เทพ เค้าบอกว่าคนมีองค์จะมีลางสังหรณ์ที่แม่นย่ำ แล้วมีอาการแปลกๆอีกค่ะ แต่เห็นมีคนมีองค์เต็มไปหมดเลย ดิฉันว่ามีทั้งจริงและปลอมค่ะ ดูไม่ออก ) |
|
_________________ ขยัน อดทน ทำดี คิดดี พูดดี จะประสบความสำเร็จที่ดี |
|
   |
 |
พลับ
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2008
ตอบ: 24
ที่อยู่ (จังหวัด): ยโสธร
|
ตอบเมื่อ:
24 ก.ย. 2008, 8:19 pm |
  |
พระอาจารย์ที่เราเคารพทำพิธีรับขันธ์ครูบาอาจารย์ ที่เป็นพระภิกษุ
ท่านบอกว่า ครูบาอาจารย์ข้ามพ้นวัฏฏะแล้ว
เปรียบเหมือนคนข้ามฝั่งโดยใช้เรือ
เมื่อพ้นฝั่งแล้ว เรือก็ไม่มีประโยชน์ เราจึงทำพิธีเพื่อรับขันธ์ของท่าน
ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องเดียวกันหรือเปล่า |
|
|
|
   |
 |
ฌาณ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์
|
ตอบเมื่อ:
24 ก.ย. 2008, 9:43 pm |
  |
 |
|
_________________ ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ |
|
  |
 |
สุนันท์
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 05 เม.ย. 2008
ตอบ: 126
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ
|
ตอบเมื่อ:
24 ก.ย. 2008, 10:59 pm |
  |
ตัดอดีด ตัดอนาคต อยู่กับปัจจุบัน  |
|
|
|
    |
 |
บัวหิมะ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273
|
ตอบเมื่อ:
25 ก.ย. 2008, 8:23 am |
  |
สงสัยคนละขันธ์ กันจ้า (รับขันธ์ กับ ขันธ์ 5) |
|
_________________ ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ |
|
  |
 |
บุญชัย
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 29 ก.ค. 2008
ตอบ: 568
ที่อยู่ (จังหวัด): สงขลา
|
ตอบเมื่อ:
25 ก.ย. 2008, 11:26 am |
  |
รับขันธ์แลวเป็น ล่างเขาตลอดไป นะ ชอบเหรอ |
|
_________________ ทำดีทุกทุกวัน |
|
   |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
25 ก.ย. 2008, 11:32 am |
  |
เรื่องที่ว่า รับขัน แล้วเป็นสาวก เป็นทาสเขาไปชั่วนิรันดร์นี้
ผมไม่เห็นด้วย
เพราะว่า
ก่อนหน้าจะมีพระพุทธศาสนา มีศาสนาฮินดูอยู่ก่อนแล้ว มีพราหมณ์อยู่แล้ว
นอกจากนี้ยังมีลัทธิมากมาย
ศาสนาและลัทธิเหล่านี้ ล้วนเป้นเทวนิยม มีเทพ มีองค์
อย่างที่ในสังคมเรามีตำหนักเทพ ตำหนักองค์
ก้ล้วนแล้วแต่เป็นลักษณะเดียวกับก่อนมีศาสนาพุทธ
หากความเชื่อเรื่องการรับขัน รับองค์ สมัครเป็นสาวก
แล้วจะต้องตกเป็นทาสเขาขั่วนิรันดร์นั้นมีอยู่จริง
ผมว่า พุทธสาวกที่เป็นพระอรหันต์จำนวนมาก
ก้ต้องอยู่ในข่ายไม่เห็นธรรม ไม่บรรรลุธรรม และเป็นทาสพวกเทพเทวดาฤาษีพวกนี้ด้วย
เพราะคนที่เข้ามารับนับถือพุทธศาสนาในยุคพระพุทธเจ้ามีพระชนม์ชีพ
ก้ล้วนแล้วแต่เป้นพราหมณ์ ฮินดู ลัทธิบุชาต่างๆนาทั้งสิ้น
แล้วทำไม เขาถึง โสดาบัน โสดาบัน โสดาบัน กันเป็นระวิงอย่างนั้น
คำว่า "อย่าไปรับขันธ์นะ เป็นกรรมจะทำให้ไม่เห็น พระรัตนไตรที่แท้จริง "
จึงน่าจะเป้นลักษณะที่ว่า มัวแต่ไปสนใจเรื่องไร้สาระ
จึงไม่สนใจหลักพระสัทธรรมของพระศาสนา
เช่นตระเวนดูหมอ ตระเวนเข้าทรง
ไม่สนใจศึกษาจริงๆ จังๆ ว่าศาสนาพุทธสอนอะไร เพื่ออะไร แล้เราต้องทำอะไร
ถ้าสนใจเรื่องที่ไม่เป็นสาระ สนใจเรื่องนอกกำมือ...
ย่อมห่างออกไปจากพระรัตนตรัยอย่างไม่ต้องสงสัย
ถ้าสนใจแต่เรื่องในกำมือ ย่อมเข้าใกล้พระรัตนตรัย
ส่วนจะได้มากได้น้อย ก็แล้วแต่จะมีปัญญารับเอา
ดุจมนุษย์ผู้เพียรหาภาชนะต่างๆ มารองรับน้ำฝน ตามสติปัญญาของตน
กาละมังบ้าง แจกันปากแคบบ้าง โอ่งบ้าง เขื่อนบ้าง
แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ได้น้ำฝน
ผู้ไม่เพียรหาน้ำฝน ... ย่อมไม่ได้น้ำฝน |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
25 ก.ย. 2008, 7:02 pm |
  |
รอคำตอบประเด็นดังกล่าวจากคุณสรวงสวรรค์
เรื่องพันยังงี้ พึงพิจารณาดีดี
เรื่องราวความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ แม่พาลูกชายวัยรุ่นไปสะเดาะเคราะห์พระให้ดื่มน้ำมนต์ 3 บาตร จนชักตาตั้งเสียชีวิตอนาถ เปิดเผยเมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 2 ต.ค. ร.ต.ต.ประสิทธิ์ สุขวงค์ ร้อยเวร สภ.เขวาสินรินทร์ จ.สุรินทร์ ได้รับแจ้งเหตุมีคนดื่มน้ำมนต์เสียชีวิตที่วัดบึงวังน้ำเย็น หมู่ 6 ต.บ้านแร่ อ.เขวาสินรินทร์ จึงนำกำลังตำรวจพร้อมด้วย นพ.วิริยะ เหล่าบรรเทา แพทย์เวร รพ.สุรินทร์ และหน่วยกู้ภัยมูลนิธิจิบเต็กเชียงตึ๊งสุรินทร์ ไปร่วมตรวจสอบ
วัดที่เกิดเหตุตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน เป็นวัดขนาดเล็กมีพระจำพรรษา 2 รูป บริเวณสนามหญ้าลานวัดใต้ต้นไม้ใหญ่ ข้างศาลาวัดมีชาวบ้านมุงดูอยู่จำนวนมากพร้อมจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา พบศพ นายบุญยัง เครือ�เนียม อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 103 หมู่ 7 ต.บ้านแร่ สภาพนอนหงายเสียชีวิต ตามร่างกายไม่มีบาดแผล ข้างศพพบบาตรพระตั้งอยู่บนเก้าอี้ โดยมีรอยคราบน้ำจากการอาเจียนส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งรอบบริเวณ โดยมีนางเพลือน เครือเนียม อายุ 58 ปี มารดาผู้ตาย พร้อมญาติพี่น้อง และหลวงตาญวน อายุ 56 ปี เจ้าอาวาสวัด นั่งรอให้ปากคำตำรวจ
จากการสอบสวนนางเพลือน มารดาผู้ตายให้ราย ละเอียดด้วยความโศกเศร้าว่า ลูกชายถูกคนทักว่าจะมีเคราะห์ ด้วยความเชื่อทางไสยศาสตร์จึงพามาหาหลวงตาญวน เจ้าอาวาสวัด ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้เมื่อ 2 วันที่ผ่านมา และนัดให้มาทำพิธีต่อในวันเดียวกันนี้ โดยให้อดข้าวอดน้ำมาก่อน ในช่วงเช้าตนพร้อมญาติ 4 คน พาลูกชายมาถึงวัด หลวงตาญวนบอกให้เอาบาตรพระมาวางใต้ตนไม้ แล้วให้ญาติไปตักน้ำมนต์ในโอ่งที่ได้ทำพิธีแล้วตั้งอยู่ในศาลาวัดมาเทใส่บาตรจนเต็ม แล้วให้ลูกชายตักดื่ม เมื่อดื่มแล้วลูกชายจะอาเจียนออกมาทุกครั้ง โดยมีหลวงตาญวนยืนกำกับอยู่ใกล้ๆ บอกให้ตักน้ำมนต์ ดื่มจนหมด 3 บาตรพระถึงจะครบตามพิธีกรรม
ลูกชายก็ตักดื่มเข้าไปเรื่อยๆ พร้อมทั้งอาเจียนออกมาเรื่อยๆ จนครบ 3 บาตร จากนั้น นางธิพร เขียนดี อายุ 56 ปี ผู้ช่วยหลวงตาญวน ได้นำน้ำมัน 1 ขวดเครื่องดื่มชูกำลังมาทาตามลำตัวลูกชาย เพื่อขับไล่สิ่งไม่ดีออกจากร่างกาย ผ่านไปสักพัก จู่ๆ ลูกชายก็เกิดอาการชักเกรงจนหมดสติ กระทั่งเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยที่ญาติๆช่วยเหลือไม่ทัน
http://www.thairath.co.th/offline.php?section=hotnews&content=106376 |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
|