ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
อิทธิกร
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 28 ส.ค. 2008
ตอบ: 137
ที่อยู่ (จังหวัด): ชลบุรี
|
ตอบเมื่อ:
01 ก.ย. 2008, 4:09 pm |
  |
ทำไมถึงต้องมี "บุญ" มี "บาป" |
|
_________________ ชีวิตที่รู้ |
|
  |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
01 ก.ย. 2008, 4:18 pm |
  |
เพราะมีกรรมที่เกิดจากเจตนาครับ |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
tanaphomcinta
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 127
ที่อยู่ (จังหวัด): 138 หมู่ที่ 1 ต.โนนคูณ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ 36180
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ย. 2008, 5:12 pm |
  |
มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เมื่อมีบุญ ก็ต้องมีบาป เมื่อมีได้ ก็ต้องมีเสีย
เมื่อมีผู้หญิ่ง ก็ต้องมีผู้ชาย เมื่อมีตาย ก็ต้องมีเกิด เมื่อมีเกิดแก่เจ็บตาย
ก็ต้องไม่มีเกิดแก่เจ็บตาย (พระพุทธเจ้าและสาวกท่านทำได้) แค่สำหรับพวกเราคงตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายอยู่อย่างนี้มั่ง
และยังมีอีกมากนะที่เป็นคู่กันที่ยังไม่ได้เอามาลง
หรือท่านใดมีความเห็นเป็นอื่นก็เชิญได้ตามสบายนะสิบอกให้? |
|
_________________ ทำบุญตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาทำบุญอุทิศหา รักษาศีลตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาเคาะโลงลุกขึ่นมารักษาศีล |
|
       |
 |
tanaphomcinta
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 127
ที่อยู่ (จังหวัด): 138 หมู่ที่ 1 ต.โนนคูณ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ 36180
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ย. 2008, 5:20 pm |
  |
ตอบยังไม่ตรงเท่าไหรขออภัยมณีสีสมุทรสุดสาครเด้อ
อ้างอิง ทำไมจึงต้องมี บุญ และ บาป
ตอบ เพื่อให้เราเลือดเอา ว่าเราจะเลือด บุญ หรือ บาป
บุญเป็นของเย็น บาปเป็นของร้อน จะเลือดเอาแบบไหนจะ
บอกด้วยนะจะ |
|
_________________ ทำบุญตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาทำบุญอุทิศหา รักษาศีลตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาเคาะโลงลุกขึ่นมารักษาศีล |
|
       |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ย. 2008, 5:33 pm |
  |
tanaphomcinta พิมพ์ว่า: |
มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เมื่อมีบุญ ก็ต้องมีบาป เมื่อมีได้ ก็ต้องมีเสีย
เมื่อมีผู้หญิ่ง ก็ต้องมีผู้ชาย เมื่อมีตาย ก็ต้องมีเกิด เมื่อมีเกิดแก่เจ็บตาย
ก็ต้องไม่มีเกิดแก่เจ็บตาย (พระพุทธเจ้าและสาวกท่านทำได้) แค่สำหรับพวกเราคงตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายอยู่อย่างนี้มั่ง
และยังมีอีกมากนะที่เป็นคู่กันที่ยังไม่ได้เอามาลง
หรือท่านใดมีความเห็นเป็นอื่นก็เชิญได้ตามสบายนะสิบอกให้? |
ธรรมชาตินั้นมีคู่ครับ แต่ธรรมนั้นไม่มีคู่ครับ เป็นเอก เป็นอมตะ แต่ถ้าเมื่อไร ธรรมนั้นมีชาติมาเกี่ยวข้อง ก็จะต้องมีคู่ขึ้นมาทันทีครับ....  |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
tanaphomcinta
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 127
ที่อยู่ (จังหวัด): 138 หมู่ที่ 1 ต.โนนคูณ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ 36180
|
ตอบเมื่อ:
05 ก.ย. 2008, 6:18 pm |
  |
อ้างอิง
ธรรมชาตินั้นมีคู่ครับ แต่ธรรมนั้นไม่มีคู่ครับ เป็นเอก เป็นอมตะ แต่ถ้าเมื่อไร ธรรมนั้นมีชาติมาเกี่ยวข้อง ก็จะต้องมีคู่ขึ้นมาทันทีครับ....
ทำไมจะไม่มีจ้า ก็ กุสลาธรรมมา อกุสลาธรรมมา นั้นไง และ ยังมีแบบว่ากลาง ๆ อีก คือ อัพพยากตาธรรมมา
กุสะลาธรรมมา คือ ธรรม ที่ เป็น กุศล คือ บุญ
อะกุสะลาธรรมมา คือ ธรรม มี่ เป็น อะกุศล คือ บาป จ้า
อัพพะยากะตาธรรมมา คือธรรม ที่เป็น กลาง ๆ ยังไม่เป็น บุญและบาปจ้า
ทุกย่างมีจองคู่กันทั้งนั้นแหละจ้า
มีวิปัสนากรรมฐาน ยังมีวิปัสนูปกิเลสเลย
วิปัสนากรรมฐาน คือการทำที่ถูกต้อง วิปัสนูปกิเลส คือการทำไม่ถูก จ้า
มีอะไรอีกจะ ผิดพาดต้องขออภัย ผิดใจต้องขอโทษด้วยเด้อสิบอกให้ฮิฮิ |
|
_________________ ทำบุญตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาทำบุญอุทิศหา รักษาศีลตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาเคาะโลงลุกขึ่นมารักษาศีล |
|
       |
 |
ฌาณ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์
|
ตอบเมื่อ:
06 ก.ย. 2008, 7:52 am |
  |
ถามง่ายแต่ตอบยากแฮ้.....
เหมือนถามว่าทำไมต้องมีหญิง-ชาย..
นึกไม่ออก...ครับ |
|
_________________ ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ |
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
18 ก.ย. 2008, 9:06 pm |
  |
อิทธิกร พิมพ์ว่า: |
ทำไมถึงต้องมี "บุญ" มี "บาป" |
อันนี้ ผมพูดจากความเชื่อส่วนตัวนะ
จิตนี่มีคุณสมบัติอย่างหนึ่งคือการ"ปรุง"
เมื่อได้รู้ได้เห้นอะไรเข้ามาแล้ว + กับความทรงจำ ค่านิยม ความเชื่อ = ความคิด
ความคิดนี้ มี 3 แบบ
1. คิดไปทางดี หรือเรียกว่ากุศลจิต (จิตเป็นกุศล หรือจิตเป็นบุญ)
2. คิดไปทางไม่ดี หรือเรียกว่า อกุศลจิต (จิตที่เป็นอกุศล จิตเป็นบาป)
3. คิด (ปรุง) แต่ไม่ได้ให้คุณค่าว่า ดี หรือ เลว เป็นจิตแบบกลางๆ ไม่เป้นทั้งบุญ และบาป
(เช่น จิตที่กำลังรับรู้การเดิน การนั่ง การยืน เหยียบตะปู โดนมีดบาด เจ้บป่วย แสบ ร้อน ... จิตเราปรุง แต่เราไม่ได้ตีคุณค่าว่าดี หรือเลว)
ผมอยากจะพูดในภาษา intrend ว่า
1. คิดบวก คือบุญ (กุศลจิต)
2. คิดลบ คือบาป (อกุศลจิต)
3. คิดกลางๆ ไม่บวก ไม่ลบ
ดังนั้น ในขณะจิตหนึ่งๆ จิตย่อมเป็นบุญ หรือไม่ก็บาป หรือไม่ก็จิตปรุงแต่เป้นกลางๆ
ผมจะยกตัวอย่างองค์คุลีมารดูนะคับ
ตอนองคุลีมารไล่ฟันนิ้วชาวบ้านนั้น เขาเชื่อโดยสุจริต (เชื่อไปจริงๆ) ว่าทำเช่นนั้นแล้วได้บุญ
ในใจเขาก็คิดบวก ปรุงบุญขึ้นมาอย่างมากมาย
ทั้งๆที่คนอื่นไม่ยอมรับว่าการกระทำอย่างนั้นเป้นบุญ ชาวบ้านมองว่าองคุลีมารเป็นมาร เป็นคนเลว
ซึ่งตรงนี้ สังเกตุได้ว่าการตัดสินว่าการกระทำใดๆนั้นจะเป้นบาปหรือบุญ
มันดันไปขึ้นอยู่กับจิตแต่ละคนว่าจะตีความเรื่องตัดนิ้วนี้ว่ายังไง
บุญใหญ่ขององคุลีมาร แต่เป้นบาปหนักในใจของชาวบ้าน??
ต่อมา องคุลีมารได้รับการแก้ไขความหลงผิดจากพระพุทธเจ้า
ช่วยชี้ทางสว่าง เปิดโลกความคิดให้องคุลีมาร
ความคิดความเชื่อที่ว่าตนได้ทำบุญไปมากมายมหาศาล
กลับกลายเป้นว่าตนได้ทำบาปมากมายมหาศาล (สำนึกผิดอย่างมากมาย)
ตรงนี้ลองสังเกตุนะครับว่าก่อนเจอพระพุทธเจ้าจิตยังคิดว่าเป้นบุญมหาศาลอยู่ พอเจอพระพุทธเจ้าไหงพลิกกลับมาเป็นบาปมหากาฬซะอย่างนั้น
บุญบาป จึงเป็นเรื่องของความคิดทั้งนั้น
ว่าคิดแล้วจะปรุงไปทางบุญ หรือปรุงไปทางบาป
คนเรานั้น หยุดคิดไม่ได้เลย มันคิดตลอด มันปรุงตลอด
แม้แต่นอนก้คิด (ฝัน)
ดังนั้น บาปบุญ จึงมีอยู่คู่กับคนเสมอ
ในขณะจิตหนึ่งๆ ย่อมเป็นบุญ หรือไม่ก็บาป หรือ กลางๆ (ปรุง แต่ไม่ตัดสินคุณค่าว่าบุญหรือบาป)
ท่านจึงสอนให้เราทำบุญมากๆ เพื่อจะได้ฝึกฝนจิตใจให้วนเวียนอยู่ในกุศลจิต
คุ้นชินกับกุศลจิตให้มากๆ มีจิตกุศลบ่อยๆ
เมื่อตายลงเมื่อใด (ซึ่งกะเกณฑ์ไม่ได้ว่าเมื่อใด) ก็จะโป๊ะเชะลงที่จิตกุศลที่เราได้ฝึกให้มีบ่อย
ก็จะได้ไปเกิดในที่ดีๆ เช่นสวรรค์ หรือ เกิดเป็นมนุษย์
แต่ถ้าไม่หมั่นฝึกกุศลจิต มีแต่วนเวียนกับโลภะ โทสะ โมหะ
เช้าโมโหร้าย บ่ายอยากเตะคน ค่ำอยากกกอีหนู
ทั้งวันคิดๆแต่เรื่องไม่ดี วนเวียนแต่อกุศลจิต
เมื่อตายแบบปัจุบันทันด่วน ก้ไปเกิดเป็นเปรต เป้นอสุรกาย
ซึ่งก็เป็นไปตามจิตที่เราวนเวียนทั้งวันนั่นแหละ
หรือถ้าขาดสติ เอ๋อ เบลอๆ หรือป่วยเป้นโรคสมอง
พอตายลงก้ได้โควต้าสัมพะเวสีทันที
นี่คือจิต 3 ลักษณะของเรา ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด
แต่การมุ่งให้เป้นพระอรหันต์ หรือนิพพานนั้น
ก้คือการฝึกให้จิตได้สามารถที่จะละวางทุกๆ สิ่งได้เด็ดขาด
ไม่มีการปรุงบุญหรือบาปหรือปรุงแบบกลางๆอีก
กล่าวคือ จิต ไม่ปรุงอะไรอีกเลย
จิตใจจึงใสสะอาด ปราศจากการปรุงแต่ง
ไม่มีเชื้อให้จิตให้ไปเกิดเป้นอะไรได้อีก
จึงกล่าวว่า พระอรหันต์ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก
ฟังดูง่าย แค่ไม่คิดก็ไม่ต้องไปเกิด?
ในชีวิตจริง เวลาใกล้ตาย เราไม่สามารถควบคุมจิตใจได้เลย
มันทั้งกลัว ทั้งห่วง ทั้งตกใจ ทั้งเสียดาย ทั้งมีความสุข มีความทุกข์
ยิ่งป่วยด้วย มันห้ทำให้จิตเราทุรนทุราย ปวดแสบปวดร้อน
สิ่งเหล่านี้แหละคือวความปรุงแต่ง
ท่านไม่สามารถควบคุมมันได้เลย
ดังนั้น เวลาใกล้ตาย จึงเหมือนกับแทงหวย
ว่าจิตสุดท้าย จะพาไปเกิดเป็นอะไร
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ อาจจะกว้างๆไปนิดหนึ่ง แต่ก้ต้องการให้เห็นหน้าที่ของบุญบาปในกระบวนการเวียนว่ายตายเกิด
บาปบุญนั้น มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ
เป็นสมบัติที่แน่นอนของบุคคลและสัตว์ |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
19 ก.ย. 2008, 4:07 am |
  |
การกระทำใดๆ ที่ทำลงไป ย่อมเกิดผล 2 อย่าง
1. ผลสำหรับตัวเอง - คือเกิดการปรุงบุญ หรือบาป ขึ้น
การกระทำหนึ่งๆ ...
1.1. เป็นได้ทั้งบุญ
1.2. เป็นได้ทั้งบาป
1.3. หรือไม่เป็นทั้งสองอย่าง
เช่นการฆ่าตัวตาย
ถ้าจิตมันคิดไป เชื่อไป ศรัทธาไป ว่าเป็นบุญใหญ่ จิตมันก็ได้บุญจริงๆ
แต่พอคมมีดปาดคอ ร่างกายก็ทุรนทุรายเจ็บปวด
และตายลงในขณะที่มีจิตทุรนทุราย และเราไม่สามารถควบคุมได้
จะมาควบคุมความคิดให้มีบุญมีบุญ ก็สู้แรงความเจ้บปวดไม่ไหว
บุญใหญ่ที่ได้มันจบลงไปก่อนหน้าที่จะปาดคอแล้ว
ดังนั้น คนคนนี้จึงตายลงไปในขณะที่จิตเป้นอกุศล
จึงไปเกิดในที่อบายภูมิต่างๆ
(ไม่แน่ใจว่าเกิดเป้นอะไรนะ แต่ไม่ได้ดีแน่ๆล่ะ เพราะตายด้วยความทรมาน)
2. ผลกับคนอื่น/สิ่งแวดล้อม -
ไม่ว่าการกระทำจะเป้นบุญหรือบาปหรือกลางๆก็ตาม
การกระทำใดๆของเรามันย่อมส่งผลกระทบกับคนอื่น ไม่มากก้น้อย
เช่นถ้าเราขับรถเร็วๆ ผ่านหมู่บ้าน จะไปวัด
คนเขาเดินมาแล้วหวิดจะเกือบถูกรถชน
อันนี้การกระทำที่จิตกำลังมีกุศล แต่ดันไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น
หรือในงานกฐิน
การป่าวประกาศบุญออกทางโทรโข่ง ด้วยเสียงอันดัง
จิตย่อมเป้นกุศลที่ปรุงว่าตัวเองกำลังทำบุญ
แต่ในหมู่บ้านมีคนป่วยอยู่ ต้องการความสงบ แต่เขาก็ไม่สงบ
เพราะถูกเบียดเบียนด้วยกิจกรรมอันเป็นบุญของคนอื่น |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
19 ก.ย. 2008, 4:25 am |
  |
การปฏิเสธกุศลจิต
เพราะคิดว่าในที่สุดแล้วบุญคือความปรุงแต่ง จึงไม่ทำบุญเสียเลย
ก็จัดว่าประมาทเอามากๆ
หัวใจศาสนาของเราคือ
ทำความดี (หมั่นเจริญกุศลจิต)
ละเว้นความชั่ว (ละเว้นอกุศลจิต)
ทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส (เจริญจิตภาวนาจนสิ้นความปรุงแต่ง)
อกุศลจิตนั้นมีอยู่ในกมลสันดานของเรา มีอยู่ปกติธรรมดาในใจเราทุกวัน
ไม่เชื่อลองสังเกตุตัวเองในหนึ่งวันเถิด ว่าเรามี ความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดขึ้นบ้างหรือไม่
ถ้าท่านไม่มี ก็ยินดีด้วยว่าท่านเป็นพระอรหันต์
แต่ถ้าท่านนับได้มากจนไม่หวาดไม่ไหว นับได้เยอะเหลือเกิน
นั่นก็แสดงว่า อกุศลจิตในใจนั้น มันมีอยู่แล้วตามธรรมชาติของใจคน
ถ้าเปรียบใจคนเป็นโถแก้ว
ก้จะเป้นโถแก้วที่มีน้ำโคลนบรรจุอยู่ภายในแล้ว (เลวอยู่แล้วตามธรรมชาติ)
ถ้าเราหมั่นเจริญกุศลจิต
ก็เหมือนเรามีน้ำดี ค่อยหยดลงไป มันก็เจือจางน้ำเสีย
มันก็กลบเกลื่อนความคิดอกุศลงไปได้
หยดลงเรื่อยๆ นานเข้าๆ สักวันหนึ่งย่อมกลายเป็นโถแก้วที่มีแต่น้ำใสสะอาด
แต่ถ้าไม่ทำความดีเลย โคลนล้วนๆเลยล่ะ ที่อยู่ในโถนั้น |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
19 ก.ย. 2008, 11:13 am |
  |
สังขตธรรม คือ ธรรมที่เป็นไปตามปัจจัยปรุงแต่ง
ทั้ง กุศล(บุญ) อกุศล(บาป) ต่างก็ล้วนเป็น สังขตธรรม
กล่าว คือ
เมื่อมีเหตุ-ปัจจัย เป็นทางแห่งกุศล ผลก็เป็นกุศลวิบาก
เมื่อมีเหตุ-ปัจจัย เป็นทางแห่งอกุศล ผลก็เป็นอกุศลวิบาก
ประเด็น บาป-บุญ มีอยู่จริงไหม?
ตรงนี้ ต้องเข้าใจ เรื่อง เหตุ-ปัจจัย และ ผล เสียก่อน
อนัตตา ไม่ใช่ว่า "ไม่มีอยู่จริง"....หรือ "ไม่มีตัวตน"
อนัตตา หมายถึง "ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง"
อนัตตาเป็นเรื่อง ของ เหตุ-ปัจจัย และผล
เมื่อ เหตุ-ปัจจัย ยังมีอยู่ สิ่งเหล่านั้น(รวมทั้ง บาป บุญ ) ก็ยังมีอยู่
เมื่อ เหตุ-ปัจจัย ของสิ่งเหล่านั้น(รวมทั้ง บาป บุญ )ยุติลง สิ่งเหล่านั้นก็ยุติลง
จึง ไม่เข้าไปข้องยังส่วนสุดทั้งหลาย
ไม่ใช่การมีอยู่อย่างถาวรนิรันดร์(สัสตวาทะ)
ไม่ใช่การสูญสิ้นไปเฉยๆ โดยที่ เหตุ-ปัจจัย ยังไม่ยุติ(อุจเฉวาทะ)
ไม่ใช่ว่า อะไรๆ ก็ไม่มี(นัตถิกวาทะ)
คำกล่าวที่ว่า
บาป-บุญ มีอยู่เที่ยงแท้แน่นอนตลอดกาล จึงไม่ถูก เพราะ เป็นสัสตวาทะ
บาป-บุญ ขาดสูญลงเฉยๆ ก็ไม่ถูก เพราะ เป็นอุจเฉวาทะ
บาป-บุญ ไม่มีอยู่จริง ก็ไม่ถูก เพราะเป็นนัตถิกวาทะ
ส่วนคำกล่าวที่ว่า บาป-บุญ เป็นเรื่อง แห่งเหตุปัจจัย จึงเป็นสิ่งที่ชอบด้วยเหตุผล
และที่สุดของคำสอน แห่งศาสดาผู้สัมมาสัมพุทธะ คือ...
การอยู่อย่าง เหนือบาป เหนือบุญ |
|
|
|
  |
 |
dd
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2008
ตอบ: 179
ที่อยู่ (จังหวัด): overseas
|
ตอบเมื่อ:
21 ก.ย. 2008, 4:23 pm |
  |
อ้างอิงจาก: |
ประเด็น บาป-บุญ มีอยู่จริงไหม?
ตรงนี้ ต้องเข้าใจ เรื่อง เหตุ-ปัจจัย และ ผล เสียก่อน
อนัตตา ไม่ใช่ว่า "ไม่มีอยู่จริง"....หรือ "ไม่มีตัวตน"
อนัตตา หมายถึง "ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง"
อนัตตาเป็นเรื่อง ของ เหตุ-ปัจจัย และผล
เมื่อ เหตุ-ปัจจัย ยังมีอยู่ สิ่งเหล่านั้น(รวมทั้ง บาป บุญ ) ก็ยังมีอยู่
เมื่อ เหตุ-ปัจจัย ของสิ่งเหล่านั้น(รวมทั้ง บาป บุญ )ยุติลง สิ่งเหล่านั้นก็ยุติลง
จึง ไม่เข้าไปข้องยังส่วนสุดทั้งหลาย
ไม่ใช่การมีอยู่อย่างถาวรนิรันดร์(สัสตวาทะ)
ไม่ใช่การสูญสิ้นไปเฉยๆ โดยที่ เหตุ-ปัจจัย ยังไม่ยุติ(อุจเฉวาทะ)
ไม่ใช่ว่า อะไรๆ ก็ไม่มี(นัตถิกวาทะ)
|
 |
|
_________________ ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ |
|
  |
 |
|