Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ทุกอย่างสำเร็จด้วยจิต อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
walaiporn
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2008, 10:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๒๐. เปิดประตูนรก

เคยมีท่านเจ้าอาวาสหลายแห่ง ได้มาถามข้อสงสัยในความแตกต่าง ระหว่างวัดของท่าน กับวัดที่อาตมาอยู่ ก็ได้ให้ข้อคิดไปว่า การที่วัดของ ท่านขัดสนกันดาร ไม่ค่อยมีผู้สนใจเข้าไปทำบุญให้ทาน ทั้งที่เป็นวัด เหมือนกัน มีภิกษุสามเณรอยู่เช่นกัน สาเหตุก็ขึ้นอยู่กับตัวท่าน และ ภิกษุสามเณรเอง มักจะย่อหย่อนในธรรมวินัย ไม่ยึดถือศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลักปฏิบัติ อยู่กันแบบหลวงตาเฝ้าวัด จึงไม่ทำให้ชาวบ้านเขาเกิด ศรัทธาเลื่อมใส พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ธรรมย่อมรักษาคุ้มครอง ผู้ปฏิบัติธรรม สาวกของพระตถาคต เมื่อปฏิบัติธรรมอยู่ ย่อมไม่ประสบ ความอดอยาก ดังนั้นทางที่ถูกที่ควร จึงต้องพากันปฏิบัติธรรม พระธรรม ก็จะเลี้ยงดูเรา

ตอนแรกหลวงพ่ออาจารย์ได้กล่าวว่า

“การเป็นสมณะเพียงการอุปสมบท นุ่งเหลืองห่มเหลือง ท่องเจ็ด ตำนาน สิบสองตำนานได้ ให้ศีล อ่านใบลานแล้วเทศน์ให้โยมเขาฟัง จะได้ ชื่อว่าเป็นสมณะก็หาไม่ จะต้องปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เคร่งครัดอยู่ใน พระธรรมวินัยด้วย ต้องรู้จักรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ต้องเจริญสมาธิให้ จิตตั้งมั่น มีสติ เพื่อเกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในธรรมด้วย จึงจะได้ชื่อ ว่าเป็นสมณะ เป็นเนื้อนาบุญของชาวบ้านอย่างแท้จริง

การอุปสมบทเข้ามาในพระพุทธศาสนานั้น อย่าคิดว่าบวชตาม ประเพณี จะได้บุญ ได้ขึ้นสวรรค์เพียงเท่านั้น ถ้าบวชแล้วมิได้ปฏิบัติ ตามธรรมวินัย มิได้เจริญสมาธิเพื่อแสวงหาความหลุดพ้นจากกองทุกข์ ก็เท่ากับเราอยู่ในความประมาท มีโอกาสจะลงนรกได้ง่ายนัก ศีล ๕ ที่ท่านเคยให้ชาวบ้านสมาทานนั้น ถ้าเราทำผิดเสียเอง ละเมิดเสียเอง จะเป็นบาปสักแค่ไหน ขอให้รู้ว่า บุญบาปมีจริง นรกสวรรค์มีจริง ทำ กรรมสิ่งใดไว้ ย่อมจะได้รับผลของกรรมนั้น พระพุทธศาสนาของเรา ถือกรรมเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าไม่มีการกระทำ ก็จะไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น

การเทศน์ธรรมให้ชาวบ้านฟัง หรือตามที่เขานิมนต์ไป ท่านถือว่า เป็นการให้ธรรมเป็นทาน สืบต่อพระประสงค์ของพระบรมศาสดา ท่านจึง ใช้คำว่าโปรดสัตว์ ช่วยผู้อื่นให้เห็นความจริง ไม่มัวเมาอยู่ในกิเลสตัณหา เมื่อโปรดสัตว์ก็ไปหวังผลอะไรไม่ได้ ใครไปหวังโลภอยากได้ เครื่อง กัณฑ์บูชาธรรมของเขา ก็เป็นบาปถึงตกนรก ไปได้รับทุกข์ทรมานแสน สาหัส ท่านเชื่อไหมว่านรกสวรรค์มีจริง”

หลวงพ่ออาจารย์เงียบไปพักหนึ่ง แล้วหันมาทางอาตมาบอกว่า

“คุณช่วยเปิดนรก ให้ท่านอาจารย์ทั้งหลายเห็นหน่อยซิ เอา แค่พระเทศน์เพื่อหวังลาภ จะได้รับผลอย่างไรก็พอ”

เจ้าอาวาสทุกวัดหันมามองอาตมาด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าจะเปิด นรกอย่างไร จึงได้เรียนกับท่านว่า

“พระคุณเจ้า…นิมนต์นั่งในท่าสมาธิ หลับตาลง ทำจิตให้สงบ อย่านึกอย่าคิดอะไรทั้งสิ้น ประเดี๋ยวผมจะเปิดนรกให้ดู”

พระคุณเจ้าทั้งหมด พากันกระทำตาม เมื่อพิจารณาวารจิตของ แต่ละรูปว่า จิตสงบดีแล้ว อาตมาก็เริ่มเปิดนรก ทำให้มโนภาพของ พระคุณเจ้าเหล่านั้น เป็นภาพขึ้น

แดนนรกนั้น เป็นสถานที่อันกว้างใหญ่ มองไปทางไหน ก็เห็นแต่ เปลวไฟ แลบเลียอยู่ทั่วไป จนรู้ได้ถึงความร้อนแรงกว่าไฟใดๆ ที่มีอยู่ ในมนุษย์โลกนี้ ควันไฟกระจายไปทั่ว ประดุจหมอกดำและขาวปกคลุม ออกไปเป็นระยะไกล ไม่สามารถจะมองเห็นได้ทั่วถึง นอกจากจะเข้าไป ใกล้ๆ

ทันใดนั้น ก็เกิดภาพที่ชัดเจนปรากฏเฉพาะหน้า เป็นภาพภิกษุ รูปหนึ่งครองจีวรเรียบร้อย ท่าทางสำรวม นั่งอยู่บนธรรมาสน์ปิดทอง ประดับด้วยกระจกสีต่างๆ แวววาวน่าเลื่อมใส ในมือทั้งสองประคอง ใบลานเทศน์ อยู่ในระดับหน้าอก ปากก็เทศน์ส่งเสียงก้องกังวาน

เพียงชั่วขณะหนึ่ง กลับมีไฟติดพรึ่บขึ้นที่ใบลานธรรม ไหม้จน ใบลานธรรมมอดลง แล้วลุกลามไปที่ปาก ที่ตัว ไฟยิ่งลุกโพลงขึ้นจนท่วม แล้วร่างภิกษุนักเทศน์ก็ไหม้ดำ กลายเป็นขี้เถ้ากองหนึ่ง เป็นที่น่าสังเวช สลดใจยิ่งนัก

สักพักหนึ่งกองขี้เถ้า ก็กลับเป็นรูปร่างอย่างเดิมขึ้นมาใหม่ แล้วไฟ ก็ติดใบลานอีก เป็นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า นับเป็นหมื่นครั้ง ทุกข์ ทรมานสาหัสเพราะไฟลวกเผาให้ปวดแสบ เพราะความโลภในเครื่อง กัณฑ์เทศน์ คิดแต่จะให้เขาถวายปัจจัยมากๆ พยายามเทศน์ให้ถูก ใจคนฟัง

เพียงความโลภอยากได้กัณฑ์เทศน์ มีผลเห็นปานนี้ ก็ที่พวกอ้าง ว่าเป็นอุบาสกอุบาสิกา พากันกระทำผิดคิดมิชอบ เช่น ยักยอกเอาเงิน ที่เขาอุทิศถวาย สร้างโบสถ์ศาลาไปใช้ส่วนตัว หยิบฉวยเอาของวัดที่ไม่ ได้รับอนุญาต และอีกมากมาย จะได้รับผลกรรมสักเพียงไหน

พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า “ความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า”

ก็ด้วยเหตุนี้ ผลบาปนี้มันน่าสะพรึงกลัวสยดสยองจริงหนอ เรามา บวชแล้ว กินของอันชาวบ้านเขาถวาย หมายจะส่งเสริมให้มีโอกาสปฏิบัติ ดีปฏิบัติชอบ เพื่อเป็นเนื้อนาบุญของเขาแล้ว แต่ไม่ปฏิบัติ จะบาปกรรม สักแค่ไหน เราเป็นผู้ประมาทโดยแท้ ถึงแม้พระพุทธเจ้าจะทรงเมตตา ก็ คงช่วยเราไม่ได้ เพราะเราไม่ช่วยตัวเอง

“พระคุณเจ้า ออกจากสมาธิลืมตาได้แล้ว”

อาตมาบอกด้วยเสียงเรียบๆ อ่อนโยน พร้อมกันนั้นหลวงพ่ออาจารย์ ได้ถามขึ้นว่า

“พระคุณเจ้า…รู้สึกอย่างไรบ้าง นรกมีจริงไหม นี่เป็นเพียงเปิด ทางให้เห็นเป็นส่วนน้อยเท่านั้น ถ้าท่านพากเพียรปฏิบัติกรรมฐาน ด้วยตนเอง ก็จะเห็นด้วยตนเองชัดเจนยิ่งกว่านี้”

ท่านเจ้าอาวาสทุกรูปต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นนั่งคุกเข่า กราบหลวงพ่อ อาจารย์ แล้วหันมาพร้อมกับพนมมือให้อาตมา พูดเหมือนนัดกันว่า

“ต่อไปนี้ กระผมจะขอปฏิบัติพระกรรมฐาน ตั้งมั่นอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา อย่างเคร่งครัด กินข้าวสุกชาวบ้านเปล่าๆ มานานแล้ว บาป คงจะเกาะอยู่เต็มตัว ของหลวงพ่อและท่านอาจารย์ จงสั่งสอนให้พระ กรรมฐานแก่กระผมด้วย”

เป็นอันว่า เจ้าอาวาสทุกวัดภายในตำบล ได้พากันหันมาปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ฝึกสมาธิกันจริงจัง ตามความคิดที่ได้คิดกันไว้ อันการปฏิบัติ ธรรมนี้ ไม่เหมือนวิชาความรู้ที่กำหนดเป็นชั้น เป็นเวลา ชั้นประถมจะ สำเร็จในกี่ปี มัธยมจะสำเร็จในกี่ปี มหาวิทยาลัยจะสำเร็จในกี่ปี จะได้ รับประกาศนียบัตรหรือปริญญา แสดงว่าเรียนจบแล้ว

การปฏิบัติธรรมย่อมขึ้นอยู่กับความเพียรพยายาม ความมานะ อดทน และวาสนาบารมีที่สร้างสมมาในอดีตชาติ หรือสร้างขึ้นใหม่ใน ปัจจุบันชาติ บางท่านปฏิบัติวันเดียว หรือ ๗ วัน ๗ ปีจึงสำเร็จ แต่ที่ แน่นอน เมื่อปฏิบัติไปโดยติดต่อสืบเนื่อง กล้าเสียสละแม้แต่ชีวิต จะเป็น จะตายก็ไม่ย่อท้อ ไม่เสียดายอาลัยในชีวิต จะช้าหรือเร็วก็ต้องบรรลุผล แน่นอน

พระพุทธเจ้าของเรา ท่านทรงสร้างสมบารมีมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชาติ แม้ในชาติสุดท้าย จะได้ตรัสรู้สัมโพธิญาณ ก็ต้องใช้เวลาถึง ๖ ปี ยากที่ ใครจะทำได้ และไม่มีใครทำมาก่อนเลย แล้วเราจะมาเหยาะแหยะ ไม่เอา จริง จะสำเร็จได้อย่างไร

และเมื่อสำเร็จแล้ว ก็รู้ได้เฉพาะตน จะมาเอายศ เอาเกียรติ เอา โด่งดังก็ไม่ได้อย่างชาวโลก ถ้าเรามีเมตตาปรารถนาจะช่วยเพื่อนร่วมโลก ที่อยู่ในกองทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน ก็เพียงแต่เอาคำสั่งสอน ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่ทรงกล่าวไง้ดีแล้ว และเราได้รู้เห็น มาบอก แก่ชาวโลกเท่านั้น

คำสอนนั้นเป็นแต่วิธีการปฏิบัติเพื่อถึงความพ้นทุกข์ ส่วนใครจะ เชื่อถือปฏิบัติตามหรือไม่ ก็สุดแต่ตัวเขา เราไม่มีอำนาจใดๆ จะไป บังคับหรือหยิบยื่นผลการปฏิบัติให้แก่เขาได้ การขยายเผยแพร่ธรรมปฏิบัติ จึงต้องการเวลา

ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมะแห่งอัตตะโน นาโถ คือ ต้อง พึ่งตนของตนเอง ช่วยตัวเอง ไม่มีพระเจ้าองค์ใดจะช่วยได้ ไม่ว่าจะจุด ธูปเทียนถวายดอกไม้สักการะจนเสียงแหบแห้ง หรือหัวใจจะแตกสลาย จนสายเลือดแทบจะนองแผ่นดิน

ท่านทั้งหลายเอ๋ย…ขึ้นชื่อว่าทุกข์นั้น บางทีเราก็มองไม่เห็นว่าเป็น ทุกข์ จงพิจารณาการดำเนินชีวิตของตน ให้เห็นเสียก่อนว่า มันเป็น ทุกข์อย่างไร น่าเหน็ดเหนื่อยเบื่อหน่ายแค่ไหน ทรมานจิตใจเพียงใด

แม้เห็นแล้ว เรามองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ทนต่อทุกข์นั้นได้ เราก็คงจะ ขวนขวายที่จะหาทางขจัดทุกข์ หรือหนีทุกข์ให้พ้นได้ เพราะกิเลส ตัณหา อุปาทาน มันครอบงำให้เห็นเป็นเช่นนั้น

ดังนั้นจะต้องทำจิตให้สงบ ตั้งมั่น ทำจิตให้ว่างเปล่า ให้อยู่เหนือ กิเลส ตัณหา อุปาทาน ขันธ์ ๕ ให้ได้เสียก่อน นั่นแหละ จึงจะเห็น ว่า กองทุกข์นั้นใหญ่เท่าภูเขาหลวง เราจะกวาดมันออกไปได้อย่างไร?

การเปิดนรกสวรรค์ ทำให้พระคุณเจ้าของวัดต่างๆ ในตำบล ได้ ตระหนักถึงผลบุญผลบาป แล้วน้อมนำให้ท่านเหล่านั้นหันมาปฏิบัติธรรม สมาธิอย่างจริงใจ

วิธีนี้อาตมาจึงเห็นว่า น่าจะเป็นวิธีที่จะเผยแพร่กับคนที่ยังมีจิต หยาบ ไม่เชื่อถือ ให้เขาเชื่อถือได้ อาตมาจึงได้นำมาใช้กับคนอื่นๆ ตามความเหมาะสม

ดังนั้นเมื่อจะชักจูงจิตใจให้เขาเป็นผลแห่งคุณความดี ยินดีในทาน ในศีล ก็ให้เขาได้เห็นภาพสวรรค์วิมาน เทพยดานางฟ้าที่ได้ไปเสวยสุข เพราะเหตุนั้นๆ

แต่เมื่อจะทรมานคนที่มีจิตใจหยาบ ไม่เชื่อถือพระพุทธศาสนา ถือว่า เป็นมิจฉาทิฐิ เห็นว่าทำบุญแล้วไม่ได้บุญ ทำบาปก็ไม่เกิดผล ตายแล้ว ไม่ไปเกิดอีก ก็จะแสดงนรกให้เขาเห็นผลกรรมที่เขาได้กระทำขึ้น ก็จะ ได้รับผลดีตามสมควร

ที่ว่าตามสมควรนั้น ก็เพราะว่าในชาติก่อน บางคนไม่ได้สะสมบุญ วาสนามาเลย เป็นสัตว์นรกเพิ่งพ้นโทษมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ในชาตินี้ จิตยังมืดมน ไม่รู้ถูกรู้ผิด ถึงจะแนะนำอย่างไร เขาก็ไม่ยอมรับความเชื่อ เรื่องบุญบาปได้โดยง่าย

ทั้งนี้ก็เหมือนเรือที่สร้างด้วยไม้ เอาเกลือบรรทุกไปจนเต็มลำ ไม้ก็ ไม่รู้จักว่ารสเกลือเป็นอย่างไร เป็นพวกมามืดไปมืด เป็นดอกบัวที่อยู่ใน โคลนตม นับแต่จะเป็นเหยื่อของเต่า ปู ปลา อย่างเดียว

บางคนพ้นโทษทุกข์จากนรก จากในอดีตชาติมาแล้ว มีบุญหนุน ส่งอยู่บ้าง ก็พอรู้ดีรู้ชั่ว แบบหลับๆ ตื่นๆ พอจะสอดแทรกความผิดถูก เข้าไปได้บ้าง

บางคนมีวาสนาบารมีทำไว้จากอดีตชาติดีพอสมควร แต่ยังไม่เต็ม เปี่ยม เพียงสะกิดให้รู้ก็ยินดีในการปฏิบัติ

บางคนไม่ต้องมีใครสะกิดให้รู้ แต่เมื่อถึงเวลา เขาก็เข้าหาธรรม ปฏิบิติได้เอง
 

_________________
ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
walaiporn
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2008, 10:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๒๑. อดีตชาติคือหลวงปู่ร่างไม่เน่า

เรื่องราวในชีวิตของอาตมาในปัจจุบันชาตินี้ ก็มีตามที่เขียนเล่ามา แล้ว บัดนี้ก็จะเล่าถึงชีวิตในอดีตชาติที่ส่งเสริมให้มารับผลในปัจจุบันดูบ้าง

ตามที่ได้เล่ามาแล้วว่า อาตมาได้เคยไปที่วัดหนึ่งซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ ของท่านมหาจำเริญ กับท่านมหาเอง และได้ไปพบหลวงปู่ในตู้กระจก นั่งมรณภาพในสมาธิ เนื้อหนังไม่เน่าเปื่อย แต่แห้งไปบ้าง

ขณะนั้นอาตมารู้ด้วยจิตว่า หลวงปู่ในตู้กระจกก็คือ อาตมาในอดีตชาติ เมื่อกายทิพย์ออกจากกายธาตุแล้ว ก็มาเกิดใหม่ เป็นตัวของอาตมาเอง

ด้วยจิตอันปฏิบัติมาดีแล้วนั้น ทำให้อาตมามีหูทิพย์ ตาทิพย์ ผิดกับ เด็กทั้งปวง เมื่อย้อนไปดูอดีตลึกลงไปอีก จึงรู้ว่าก่อนจะมาเป็นหลวงปู่นั่ง อยู่ในตู้กระจกนั้น มีความเป็นมาอย่างไร

หลวงปู่ซึ่งเป็นอดีตชาติของอาตมา ท่านเกิดมาดี ในครอบครัวที่มี ศีลธรรม ชอบเข้าวัดถือศีลฟังธรรม ฐานะมีอันจะกิน เลี้ยงดูลูกๆ ซึ่งมี ๓ คนด้วยกันให้เป็นสุขได้

สำหรับหลวงปู่แม้จะเกิดมาในฐานะดี บิดามารดาก็เป็นคนดีมีศีลธรรม แต่ตัวท่านซึ่งเป็นลูกคนสุดท้อง ก็มีร่างกายอ่อนแอ ๓ วันดี ๔ วันไข้ ไป หาหมอที่ไหนรักษา ก็ไม่มีทางดีขึ้น แต่ก็ไม่ถึงกับเจ็บหนัก

เพราะความเป็นคนขี้โรค หลวงปู่จึงไม่ค่อยได้ไปวิ่งเล่นซุกซนกับ เพื่อนๆ นอกจากพี่ๆ และมักจะเล่นอยู่แต่ในบริเวณบ้านของตน บาง ครั้งก็นั่งเงียบสงบอยู่ตามลำพัง เป็นคนช่างนึกช่างคิด

ครั้นโตขึ้นหน่อย อายุถึงเกณฑ์ต้องเข้าเรียน ก็มีกำลังจะไปเรียน ได้ บางทีก็ต้องหยุด แต่ก็เรียนได้จนจบชั้นประถม เพราะความอ่อนแอ ทางร่างกาย จึงได้รับความรักสงสาร และเป็นที่ห่วงใยจากบิดา มารดาเป็นอันมาก

หลวงปู่ตอนนั้น มักจะตื่นเช้า เพราะชอบดูตอนมารดาตักบาตร พระที่หน้าบ้านเป็นประจำ เห็นพระห่มผ้าเหลือง เดินเรียงกันมาเป็นแถว จิตใจก็ชุ่มชื่นมีความสุข ทำให้นึกอยากบวชเป็นพระบ้าง ความ รู้สึกอยากบวชนี้ นับวันจะเพิ่มมากขึ้น

พอหลวงปู่อายุได้ ๑๘ ปี ค่ำวันหนึ่ง หลวงปู่ก็บอกกับบิดามารดาว่า

“ลูกอยากบวชพระ”

มารดามองหน้าอย่างแปลกใจ เพราะไม่เคยได้ยินลูกพูดถึงเรื่องการ บวชมาก่อนเลย ก็ถามว่า

“ลูกเป็นคนขี้โรคอย่างนี้ จะทนอดข้าวเย็นไหวหรือ”

“เรื่องอาหารนี้ บางครั้งลูกเบื่ออาหาร ทำให้ไม่หิวอยู่แล้ว ไปบวช ก็คงจะไม่ลำบากอะไร อยู่อย่างนี้ ลูกก็ไม่ค่อยจะแข็งแรง จะช่วยพ่อแม่ ทำงานก็ไม่ได้ ทำให้พ่อแม่เป็นห่วงกังวลอยู่เสมอ หากไปบวชแล้ว จะ ตายในผ้าเหลืองลูกก็ยินดี”

เมื่อบิดามารดาเห็นความตั้งใจแน่วแน่อย่างนั้น ก็ไปหาอาจารย์ที่วัด จะขอฝากให้บวชเณรดูก่อน และได้พาหลวงปู่ไปด้วย

ท่านอาจารย์ที่วัดแห่งนั้น เป็นคนที่มีความรู้ เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติ ชอบ และเก่งในวิชาอาคมต่างๆ เมื่อท่านนั่งพิจารณาอยู่พักหนึ่ง จึง พูดขึ้นว่า

“ลูกโยมคนนี้ เมื่อบวชแล้วจะไม่สึกนะ โยมเต็มใจหรือ”

มารดาตอบว่า “ก็แล้วแต่วาสนาบารมีของเขา ตัวเขาเองก็บอกว่า ขอให้ได้บวช จะตายในผ้าเหลืองก็ยินดีเจ้าค่ะ ดิฉันเป็นห่วงแต่ว่า ร่างกาย ของลูกไม่ค่อยจะแข็งแรงนัก ขี้โรค สามวันดีสี่วันไข้ จะทนอดอาหาร ไม่ไหวเท่านั้น”

ท่านอาจารย์หัวเราะ “เรื่องนี้คงไม่เป็นไร บวชแล้วปฏิบัติดี โรคภัย มันจะหายไปเอง”

อีกไม่กี่วันต่อมา หลวงปู่ก็ได้บวชเณรสมตามความตั้งใจ

“สิ่งแรกของการบวชก็คือ ต้องทำจิตใจให้เป็นสมาธิเสียก่อน ส่วน การเล่าเรียนปริยัติธรรม เอาไว้ว่ากันทีหลัง”

แล้วท่านอาจารย์ถามว่า “ตอนบวชนั้น พระอุปัชฌาย์ก็สอนกรรม ฐานให้แล้ว เณรจำได้ไหม ที่ท่านบอกเกศา (ผม) โลมา (ขน) นขา (เล็บ) ตะโจ (หนัง) ทันตา (ฟัน) นะ”

“จำได้ขอรับ” หลวงปู่เมื่อครั้งเป็นสามเณรตอบ

“นั่นแหละกรรมฐานบทแรกล่ะ เณรต้องหมั่นพิจารณาไปทีละ อย่าง ผมก็เป็นของไม่เที่ยง ขนก็เป็นของไม่เที่ยง เล็บก็เป็นของไม่ เที่ยง หนังก็เป็นของไม่เที่ยง ฟันก็เป็นของไม่เที่ยง คือ เปลี่ยนแปลง ได้เสมอ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

จงพิจารณาว่ามันเกิดขึ้นอย่างไร ดับไปอย่างไร เมื่อพิจารณาอยู่ อย่างนี้ จิตก็จะค่อยๆ สงบลง

จากนั้นจึงใช้องค์ภาวนาว่า พุทโธ – พุทโธ อยู่ในใจ จะนั่ง ยืน เดิน นอน ก็ให้นึกถึง พุทโธ เรื่อยไป เณรทำได้ไหม”

“ได้ขอรับ ผมจะทำตามท่านอาจารย์สั่ง”

ท่านอาจารย์บอกว่า “ที่วัดนี้ไม่มีสำนักเรียนปริยัติ ต้องไปเรียน ไกลถึงวัดในเมือง อีกอย่างหนึ่ง การเรียนนักธรรมนั้น ต้องปรับจิต ปรับใจให้มีพื้นฐานเสียก่อน คือให้มีสมาธิ จึงจะเรียนธรรมะเข้าใจ”

ขณะนั้นหลวงปู่ซึ่งยังเป็นสามเณรอยู่ ก็ได้ปฏิบัติตามอาจารย์อย่าง เคร่งครัด เมื่อได้ภูมิจิตภูมิธรรม มีสมาธิมั่นคง จนถึงระดับฌาน ๔ แล้ว จึงหันมาเรียนปริยัติ เริ่มแต่นักธรรมตรี

การเรียนนักธรรมตรีนั้น นอกจากจะเป็นการทดสอบและทบทวน ว่า การปฏิบัติกับปริยัตินั้นตรงกันหรือไม่ หรือมีสิ่งใดคลาดเคลื่อนไป บ้าง ก็ทำให้การเรียนปริยัติ เกิดความเข้าใจทะลุปรุโปร่งไปเป็นอันมาก

ครั้นเรียนจนได้นักธรรมเอกแล้ว ก็นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับความรู้ ในสมัยนั้น หลวงปู่จึงไม่สนใจที่จะเข้าไปเรียนต่อในกรุงเทพฯ ฝักใฝ่ แต่การที่จะปฏิบัติธรรมให้ยั่งยืนไปเท่านั้น

หลังจากอุปสมบทได้ ๕ พรรษาแล้ว หลวงปู่จึงออกธุดงค์ เข้าป่า ไปเป็นเวลาช้านาน ได้ท่องธุดงค์ไปทุกภาคของประเทศ ขึ้นเหนือล่องใต้ ไปอีสาน และทางภาคตะวันออก

นอกจากนี้ยังเลยเข้าไปยังป่าชายแดนของพม่า เขมร และวนเวียน อยู่ในประเทศลาว ได้พบครูบาอาจารย์ที่ธุดงค์อยู่ในป่าเป็นอันมาก

นับเป็นเวลาหลายสิบปีที่หลวงปู่ได้ท่องธุดงค์อยู่ในป่า สมดังที่สาวก ของพระพุทธองค์ ได้ยึดถือกันมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลว่า เมื่ออุปสมบทแล้ว ก็ไม่มีญาติในทางโลก แม้แต่บิดามารดาหรือญาติพี่น้อง ก็ต้องถือว่าไม่มี จะมีอยู่ก็แต่ญาติในทางธรรมเท่านั้น

ต่อเมื่ออายุหลวงปู่ย่างเข้าวัยชรา จึงได้ย้อนกลับสู่วัดบ้านเดิม ซึ่ง บิดามารดาและพี่น้องบางคนก็ได้สูญหายตายจากไปหมดแล้ว แม้ท่าน สมภารที่วัด ซึ่งมีอายุไล่เลี่ยกัน ก็จำกันไม่ได้ ต้องรื้อฟื้นความจำอีก พักใหญ่

หลวงปู่ได้กลับมาอยู่วัดบ้านเดิม อย่างพระลูกวัดธรรมดารูปหนึ่ง เมื่อเห็นว่าทางวัดก็ดี ทางบ้านก็ดี ยังไม่มีความเจริญในการปฏิบัติธรรม ทั้งยังขาดถาวรวัตถุสำหรับวัดอีกเป็นอันมาก โบสถ์ และศาลาที่มีอยู่ เดิม ก็ชำรุดทรุดโทรมจนแทบจะใช้การไม่ได้อยู่แล้ว

ดังนั้น หลวงปู่จึงปรึกษากับท่านเจ้าอาวาส ถึงการทำนุบำรุงวัด และการอบรมสั่งสอนชาวบ้าน ท่านเจ้าอาวาสก็เห็นดีด้วย แต่วิตกว่า ชาวบ้านยังยากจน คงยังไม่มีปัจจัยพอเพียงที่จะมาช่วยบูรณะถาวรวัตถุ ให้สำเร็จได้ ตัวท่านเองก็ไม่มีเกียรติคุณความรู้อะไร เท่ากับเป็นสมภาร เฝ้าวัดอยู่เท่านั้น

หลวงปู่ก็บอกว่า “ไม่เป็นไร ขอให้ท่านรับธุระจัดการที่จะทำนุ บำรุงให้ดีเท่านั้น ส่วนปัจจัยนั้นอาตมาจะช่วยอธิษฐานจิตให้ ไม่ช้าก็จะ มีมาเอง เพราะขึ้นชื่อว่ากุศลแล้ว เริ่มขึ้นที่ไหน กุศลอื่นๆ ก็จะมา รวมตัวกันเอง”

หลังจากนั้น หลวงปู่ก็ร่วมมือกับท่านเจ้าอาวาส แล้วปรึกษาว่า พระเณรภายในวัดนี้จะบวชเฉยๆ แล้วกินนอนไปวันๆ ไม่ได้ ท่องสวดมนต์ เจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน ก็ยังไม่พอ ต้องเรียนปริยัติและปฏิบัติควบคู่ กันไป

ต่อจากนี้ไปหลวงปู่จะเอาเวลากลางวันสอนนักธรรม ตอนกลางคืน สอนการปฏิบัติ ทำเช่นนั้นอยู่สองพรรษา ก็ปรากฏว่าพระเณรในวัด รู้จัก ความสงบและสำรวมอินทรีย์ เป็นเนื้อนาบุญสำหรับชาวบ้าน

ด้วยเหตุนี้ก็ทำให้ญาติโยมเกิดศรัทธาเลื่อมใสมากขึ้น ผู้เฒ่าผู้แก่แม้ หนุ่มสาวบางส่วน ต่างก็พากันเข้าวัด ถือศีล ฟังธรรม และปฏิบัติตาม ที่หลวงปู่สั่งสอนอบรมไว้ มีความสบายจิตสบายใจมากขึ้น ใครเจ็บไข้ได้ ป่วย มาเอาน้ำมนต์จากหลวงปู่ไปดื่มกิน ก็หายอย่างอัศจรรย์

เมื่อชาวบ้านรอบๆ วัดมีความศรัทธา ไม่ช้าก็กระจายความศรัทธา เป็นวงกว้างออกไป จนถึงตำบลหมู่บ้านใกล้เคียง ถึงอำเภอ จังหวัด จน กระทั่งต่างจังหวัดออกไปถึงกรุงเทพฯ

เมื่อมีผู้ศรัทธาในหลวงปู่มากขึ้น ปัญหาเรื่องปัจจัยก็หมดไป ใคร ที่ได้รับการรักษาจากหลวงปู่ เมื่อหายจากเจ็บไข้ได้ป่วยแล้ว ก็เอาปัจจัย เอาวัตถุก่อสร้างมาช่วยตามกำลังศรัทธาของตน

ทั้งนี้หลวงปู่ไม่เคยรับปัจจัยด้วยตนเอง ใครถวายก็ให้เอาเข้ากอง กลางเป็นเงินทุนก่อสร้าง แม้จะถวายเป็นการส่วนตัว ท่านก็ไม่รับ บอก ว่าไม่รู้จะเอาไปทำอะไร เพราะตัวหลวงปู่ก็ฉันเพียงหนเดียว

บางคนคิดว่าหากเอาไทยทานอย่างอื่นมาถวาย คงจะเป็นประโยชน์ แก่หลวงปู่ ท่านก็รับ แต่แจกจ่ายไปให้พระเณรหมด ไม่เก็บสะสมอะไรไว้เลย

อีก ๔ - ๕ ปีต่อมา วัดที่ทรุดโทรมใกล้จะพัง ก็กลายเป็นวัดพัฒนา มีโบสถ์ ศาลา หอระฆัง กุฏิสร้างขึ้นใหม่อย่างสมบูรณ์

ส่วนหลวงปู่กลับไปปลูกกุฏิเล็กๆ ทำด้วยไม้ไผ่มุงแฝกอยู่ในป่าช้า กลางวันออกมารับแขกญาติโยมที่ศาลา กลางคืนกลับไปอยู่ในป่าช้า ตามเดิม

แม้วัดจะพัฒนาไปครบถ้วนแล้ว ก็ยังมีญาติโยมไปมามิได้ขาด หลวงปู่อยู่โปรดญาติโยมจนอายุกว่า ๙๐ ปี จึงมรณภาพ

การมรณภาพนั้น ท่านมรณภาพขณะอยู่ในสมาธิ และเข้าใจกันว่า ท่านได้ถึงขั้นพระโสดาบันแล้ว เพราะจิตท่านแน่วแน่อยู่ในการปฏิบัติ

เมื่อดับขันธ์แล้วไม่นาน ก็มาจุติในครรภ์มารดาของอาตมา พอ เติบโตขึ้นก็เป็นอาตมานี่แหละ ส่วนร่างเดิมในชาติก่อนของอาตมาเป็น อริยบุคคลแล้ว สังขารจึงไม่เน่าเปื่อย

ที่แปลกก็คือ ท่านมหาจำเริญเคยเป็นศิษย์รักของหลวงปู่ เมื่อ หลวงปู่มาเกิดเป็นอาตมา ท่านมหาจำเริญก็ยังมีชีวิตอยู่ และได้มีความ สัมพันธ์สนิทสนมกันอีก แม้อาตมาจะยังเป็นสามเณรอยู่ ก็สามารถให้คำ แนะนำในทางปฏิบัติแกท่านมหาจำเริญได้

ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า สังขารร่างกายนั้นเปลี่ยนแปลงได้ แต่จิตยังเป็น ดวงเดิม และสืบเนื่องต่อมาในอีกสังขารหนึ่ง เรียกว่าเป็นคนละสังขาร แสดงว่าจิตเป็นของไม่ตาย ยังคงอยู่ตลอด ไม่ว่าจะไปจุติในภพหนึ่งภพ ใด หรือในสังขารของอะไร สุดแต่ตนได้กระทำมาในชาติที่แล้ว จะผิด กันก็แต่จิตนั้น ซึ่งได้ปรับปรุงขัดเกลาให้เป็นจิตที่ละเอียดอ่อน สะอาด บริสุทธิ์ขึ้น หรือกลับกระด้างหยาบช้า พอกด้วยกิเลสเท่านั้น ทั้งนี้ก็ ด้วยกรรมของตนที่ได้กระทำดีหรือกระทำชั่ว

ฉะนั้น การปรับปรุงหรือขัดเกลาจิต จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของ มนุษย์เรา การเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ไม่รู้จักปรับปรุงขัดเกลาจิต ก็เท่ากับ เสียชาติเสียเวลาเกิด เพราะเกิดครั้งใด ก็สะสมกิเลสตัณหาพอกพูนขึ้น เรื่อยๆ เมื่อดับจากชาติปัจจุบันไป ก็ต้องไปเกิดในอบายภูมิ หรือใน นรก แต่ไม่เข็ดหลาบต่อความทุกข์ทรมานอันสาหัสในนรกเลย กลับ เวียนไปหานรก ชาติแล้วชาติอีก ภพแล้วภพอีก กว่าจะเกิดเป็นมนุษย์ แต่ละครั้ง ไม่ใช่ของง่ายเลย ตายจากภพมนุษย์แล้ว ไปเกิดเป็นสัตว์ก็มี แม้แต่พระพุทธเจ้า ท่านต้องไปเกิดเป็นสัตว์นับชนิดไม่ถ้วน

ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงตรัสสอนว่า “ขึ้นชื่อว่าความชั่วแล้ว ไม่ทำเลยดีกว่า” เพราะความชั่วนั้น ย่อมทำให้ไปเกิดเป็นสัตว์ เป็นเปรต อสุรกาย ทนทุกข์ทรมานอยู่ในนรกได้ทุกอย่าง สุดแต่กรรมของตน

อย่างที่วัดแห่งหนึ่งทางอำเภอจอมทอง สมภารวัดนี้เมื่องมรณภาพ แล้วได้ไปเกิดเป็นหมาวัด เพราะขณะที่เป็นสมภารได้เอาของที่เขาถวาย เป็นของสงฆ์ไปใช้เป็นของส่วนตัว

มนุษย์ผู้มีปัญญาทั้งหลาย จะต้องพิจารณาไตร่ตรองให้ลึกซึ้งว่า ที่ ได้เกิดเป็นมนุษย์นั้น นับว่าโชคดีกว่าสัตว์ทั้งหลาย เพราะพระพุทธเจ้า ทรงตรัสว่า เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม อยู่ในสวรรค์วิมานเมืองฟ้า ก็ยังไม่เท่าเกิดเป็นมนุษย์

เพราะการเกิดเป็นมนุษย์นี้ มีสิทธิ์ที่จะเลือกทำดีทำชั่วได้ตามความ ต้องการของตน มีโอกาสที่จะให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา และประกอบ ความดีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน จนกระทั่งปรารถนาจะขึ้นสวรรค์ หรือเป็นพระอริยบุคคล เป็นพระอรหันต์ ไปถึงพระนิพพานก็ได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับจะทำดี หรือทำชั่วเท่านั้น
 

_________________
ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
walaiporn
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2008, 10:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๒๒. เคยเกิดเป็นชาวนา

อาตมายังระลึกชาติย้อนไปอีกชาติหนึ่งได้ว่า ก่อนจะมาเกิดเป็น หลวงปู่ ซึ่งมรณภาพแล้วร่างกายไม่เปื่อยเน่านั้น ในชาตินั้นอาตมาได้เกิด เป็นชาวนายากจน

ชีวิตตั้งแต่เด็กในอีกชาตินั้น ก็ช่วยบิดามารดาทำมาหาเลี้ยงชีพ ด้วยการหาฟืนและจับปลาอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะการจับปลานั้น ได้ทำมากที่สุด ทั้งตกเบ็ด ทอดแห ทั้งดักด้วยไข

บิดาเคยสอนว่า กุ้งปลาที่จับขึ้นมาได้นั้น ถ้าปรากฏว่าเป็นกุ้ง ปลา เวลาไข่ ก็ควรปล่อยไปเสีย เพราะกุ้ง ปลา เหล่านั้นจะต้องไข่ออกมาเป็น ตัว และแพร่พันธุ์ต่อไป ถ้าขืนเอามากินมาขายเสียหมด ก็จะสูญพันธุ์ ปลาที่จะนำไปขายส่วนมากยังเป็นๆ อยู่ ส่วนปลาที่ตายแล้วก็เหลือเอา ไว้กิน ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ก็จะไม่มีกิน เพราะที่นาทำกินมีน้อย ได้ข้าว มาก็แทบจะไม่พอกิน

ชาวนาส่วนมากนั้น เรื่องจับปลาแล้วก็ทำกันทั่วไป เพราะปลาเป็น อาหารหลักแก่ชาวนาทั่วไป

เมื่ออาตมาเติบโตขึ้น บิดามารดาผู้ชราภาพก็ตายจากไป ในเวลา ไล่ๆกัน พี่น้องก็ไม่มี เพราะในชาตินั้นอาตมาเป็นลูกชายคนเดียวของ บิดามารดา แต่แรกคิดจะหาภรรยาสักคน จะได้มาช่วยกันทำมาหากิน แต่เพราะความยากจน ทั้งยังมองไม่เห็นว่า ใครจะมารักใคร่ไยดี ยอม เป็นภรรยาคนจน ที่นาที่เป็นมรดกก็มีเพียง ๖ - ๗ ไร่เท่านั้น บ้านก็เป็น บ้านหลังเล็กๆ หลังคามุงจาก

ตอนที่บิดามารดาเสียชีวิตนั้น อาตมาว้าเหว่มาก เงินทองสะสมไว้ก็ ไม่มีพอที่จะทำศพ

ด้วยเหตุนี้อาตมาจึงไปหาท่านอาจารย์เจ้าอาวาสใกล้บ้าน ท่าน อาจารย์ก็บอกว่า

“อย่าเศร้าโศกเสียใจอะไรเลย ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์อย่าง นั้นแหละ หมดพ่อแม่แล้ว ลูกเมียก็ไม่มี เท่ากับตัวคนเดียว ไม่ต้อง ห่วงใจอะไรอีกแล้ว หันหน้าเข้ามาหาพระพุทธศาสนาเถอะ บวชเรียนเสีย จะได้อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้พ่อแม่ ท่านจะได้ไปจุติในภพภูมิที่ดี แล้ว จงตั้งหน้าปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธองค์เถอะ เพราะจะเป็น หนทางเดียวเท่านั้นที่พ้นทุกข์ได้

อาตมาในชาตินั้น ก็รู้สึกเห็นคล้อยตามท่านอาจารย์เจ้าอาวาส เพราะมีเพียงตัวคนเดียว จะเหนื่อยยากไปทำไม และเพื่ออะไรกัน บวช แล้วก็ปฏิบัติธรรม เพื่อหาทางพ้นทุกข์ดีกว่า อย่างน้อยเราก็ทำปาณาติบาต มามาก จะได้ลบล้างบาปให้หมดไป

หลังจากนั้นอาตมาจึงกลับบ้าน แล้วบอกขายที่นา มีเพื่อนทำนาที่ ติดกัน เขารับซื้อไว้ เมื่อได้เงินมาก็เอามาจัดการเผาศพบิดามารดาจน เสร็จเรียบร้อย

ครั้นเหลือเงินอยู่ก็เอามาซื้ออัฐบริขารแล้วโกนหัวเข้าวัด ทำการ อุปสมบทอย่างเงียบๆ โดยท่านอาจารย์เจ้าอาวาส ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ให้

ในชาตินั้น อาตมาก็บวชอยู่ได้จนตลอดชีวิต บวชเรียนแล้วก็ได้ ศึกษาจนถึงนักธรรมโท

ต่อมาในพรรษาที่ ๓ อาตมาก็ติดตามท่านอาจารย์เจ้าอาวาสออก ธุดงค์ไปตามป่าเขาต่างๆ ซึ่งในสมัยนั้น เมื่อออกพรรษารับกฐินแล้ว มักนิยมออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมกันส่วนมาก และท่านอาจารย์ก็ออกธุดงค์ เป็นประจำมิได้ขาด

พอพรรษาครบ ๕ จึงได้ออกเดี่ยวไปตามลำพัง บางทีก็ไม่กลับมา จำพรรษาที่วัดเดิม เอาถ้ำเป็นที่อธิษฐานเข้าพรรษา ๓ เดือน ออกพรรษา แล้วก็ธุดงค์ต่อไป อยู่มาจนอายุได้ ๙๐ ปี จึงถึงอายุขัย

ในชาติที่กล่าวนี้ อาตมาได้บรรลุแค่ฌาน ๔ ซึ่งเป็นฌานโลกีย์ ประกอบกับได้อธิษฐานว่า เมื่อมีกรรมอยู่ เป็นหนี้เจ้ากรรมนายเวรอยู่ ก็ยินดีชดใช้ให้หมดกันไป

ด้วยเหตุนี้เมื่ออาตมาถึงอายุขัย จิตจึงลงไปใช้กรรมในนรกขุม ปาณาติบาต อยู่ในระยะหนึ่ง

เมื่อใช้หนี้กรรมแล้วอาตมาจึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ครั้นอายุ ๑๒ ขวบ ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณร จนกระทั่งได้อุปสมบทเป็นภิกษุในพุทธ ศาสนานี้

พรรษาที่ ๒๐ (ในชาติที่เป็นหลวงปู่ ร่างกายไม่เน่าเปื่อย) จึงข้าม โลกิยฌานมาได้ บรรลุถึงพระโสดาบัน จึงสิ้นอายุขัย

ด้วยบุญกุศลที่อาตมาได้ปฏิบัติธรรมสมาธิต่อเนื่อง ไม่มีจิตฟุ้งซ่าน ไม่มีความปรารถนาไปสู่สวรรค์วิมานใดๆ มุ่งแต่จะให้พ้นทุกข์ เข้าถึงพระ นิพพานอย่างเดียว จึงไม่ต้องรอถึง ๗ ชาติ จึงได้มาเกิดเป็นอาตมาใน ชาตินี้
 

_________________
ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
walaiporn
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2008, 10:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๒๓. จิตมุ่งพระนิพพาน

ทำไมจิตอาตมาตอนนี้ จึงมุ่งความพ้นทุกข์ ปรารถนาพระนิพพาน ก็เพราะได้บรรลุพระโสดาบันแล้ว จัดเป็นผู้ไม่ย้อนกลับ มีแต่จะสูงขึ้น ไป อาตมาจึงปรารถนาแต่ทางพระนิพพาน

พระนิพพานนี้ มนุษย์ชาวโลกพากันสงสัยยิ่งนักว่าเป็นอย่างไร?

สมัยหนึ่งมีความเชื่อถึงกับมีภาษิตขึ้นมาว่า “นิพพานํ ปรมํ สูญญํ นิพพานเป็นของสูญ ไม่เกิด ไม่ตาย” คนไม่เข้าใจก็มักกลัว ไม่คิด จะไปสู่ทางพระนิพพาน

ส่วนผู้ทำบุญให้ทานรักษาศีล ก็ตั้งความปรารถนาในสวรรค์สมบัติ เพียงเท่านั้น เพราะขึ้นชื่อว่าสวรรค์แล้ว ย่อมเป็นแดนบรมสุข สำหรับ ชาวโลกผู้ปรารถนาแต่ความสุข จึงไม่ปรารถนาพระนิพพาน เพราะไม่ อยากถึงความสูญเช่นนั้น ครั้นกาลเวลาผ่านมา ความเชื่อดังกล่าวนี้จึง หายไป และต่างก็ทราบความจริงว่า “นิพพานไม่สูญ”

เป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชน ที่มีเกราะเหล็ก คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ห่อหุ้มอยู่อย่างแน่นหนา ความทุกข์ไม่ ปรารถนา ต้องการแต่ความสุขเพียงประการเดียว แม้นิพพานก็มองเห็น ว่า ไม่ใช่ความสุขที่ตนปรารถนา หากเข้าสู่พระนิพพานแล้ว อะไรก็ สูญสิ้นหมด

อย่างไรก็ตาม ชีวิตมนุษย์ปุถุชน ไม่ใช่จะมีความสุขเพียงอย่างเดียว ความทุกข์ก็ย่อมมีอยู่ด้วยเป็นธรรมดา ไม่มีใครจะเลือกสุขเวทนา โดยไม่ มีทุกข์เวทนาปะปนอยู่ด้วยเลย จะสุขน้อยหรือสุขมาก จะทุกข์น้อยหรือ ทุกข์มาก ก็แล้วแต่ผลกรรมของตนเอง

แต่จะสุขหรือทุกข์อย่างไร ก็ยังเป็นวิสัยของชาวโลก ที่จะพ้นจาก พระไตรลักษณ์ คือ “อนิจจัง” ความไม่เที่ยง “ทุกขัง” ความทนได้ยาก และ “อนัตตา” คือ ความไม่มีตัวตน

เพียงอนิจจังอย่างเดียว ก็เปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์อย่างตั้งตัวแทบไม่ ติด ไม่ว่าจะเกิดจากการกระทำของมนุษย์ และผลที่ตามมา

มนุษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ เกิดมา รวย เกิดมาจน เกิดมาสุขสำราญ เกิดมายากจนแสนเข็ญ บางทีตายจาก มนุษย์ไป ก็ยังเกิดเป็น สัตว์ เปรต อสุรกาย เทวดา มีความไม่ยั่งยืน แปรปรวนไปได้ทุกขณะ

ในเรื่องเหล่านี้ เราจะต้องทำความเข้าใจเรื่องกรรมให้ดี เพราะความ รู้เรื่องกรรม เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง หรือเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ถ้าเราไม่ รู้เรื่องกรรม เราก็จะไม่รู้ว่าพระนิพพานเป็นอย่างไร

แม้แต่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็จำเป็นต้องเอาเรื่องกรรมเป็น หลัก และทรงยืนยันว่า “กรรมเป็นสิ่งที่ทรงอำนาจใหญ่ยิ่ง ในการเกิด การตาย การได้ดี หรือการตกยากของมนุษย์เรา”

ในหมู่พุทธบริษัทส่วนมาก ต่างก็ยอมรับว่า แรงใดจะสู้แรงกรรม เป็นไม่มี ดูแต่องค์พระมหาโมคคัลลานะ แม้บรรลุพระอรหันต์แล้ว ก็ ยังต้องรับผลกรรมที่สืบเนื่องกันมาในอดีตชาติ ขนาดมีฤทธิ์มาก ก็ยัง ต้องรับกรรม ให้พวกโจรทุบตีเอา แม้พระบรมศาสดาของเราท่านทั้ง หลาย ก็ยังต้องทรงรับสนองผลกรรมในบางกรณี

สำหรับผู้มีความรู้ดีในเรื่องของกรรม ย่อมอดทนในเมื่อต้องเสวยผล ของกรรม ไม่ทำการโต้ตอบ ให้เกิดกิเลสสืบต่อไป ให้มันสิ้นกระแสไป เพียงเท่านั้น

ทั้งนี้ไม่เหมือนสามัญสัตว์ทั่วไป เมื่อได้เสวยผลของกรรมที่ตนทำ ไว้ แทนที่จะรู้สำนึก และยอมรับผลกรรมแต่โดยดี กลับรู้สึกไม่พอใจ แล้วทำกรรมใหม่เพิ่มเติมและโต้ตอบ ทำให้เป็นเวรสืบเนื่องไม่ขาดสาย ลงได้ อาจสืบต่อซ้ำซากกันไปตั้งกัปตั้งกัลป์ ร้อยชาติพันชาติ อย่างอีกา กับนกเค้าแมว หรืออย่างงูกับพังพอน พบกันก็ต้องตีกันกัดกัน ไม่รู้ว่า เป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาแต่ครั้งไหน

พระพุทธเจ้าทรงทราบชัด เรื่องกรรมสนองกรรมอย่างชัดเจน จึง ทรงสอนมิให้สืบต่อเวรกรรมต่อไป ให้อดทนและยอมรับผลกรรม เพื่อ ให้หมดสิ้นกันไป ทรงดำรัสเป็นใจความว่า

“ในกาลไหนๆ เวรในโลกนี้ ย่อมไม่ระงับด้วยเวรเลย แต่จะระงับ ได้ด้วยการไม่จองเวรเท่านั้น”

กรรมนั้นมีอยู่สองประเภท อย่างหนึ่งเป็นกรรมของคนฉลาด เป็น ความดีที่มีอำนาจ สามารถบังคับความชั่วและล้างความชั่วได้ ท่านเรียก ว่า “กุศลกรรม” หรือ “บุญกรรม”

อีกอย่างเป็นกรรมที่ทำด้วยความโง่ เป็นความชั่วที่มีอำนาจเผาลน ให้ร้อนรุ่มดับถูกไฟเผาไหม้ เรียกว่า “อกุศลกรรม” หรือ “บาปกรรม” มีลักษณะทำให้สกปรกเศร้าหมอง

บางแห่งท่านเรียกกรรมดีว่า “สุกกะ” (ขาว) และเรียกกรรมชั่ว ว่า “กัณหะ” (ดำ) ดังนั้นบัณฑิตพึงละ “กรรมดำ” เสีย พึงเจริญแต่ “กรรมขาว” เมื่อละกรรมทั้งหลายหายกังวลแล้ว ย่อมยินดียิ่งในพระ นิพพาน อันเงียบสงัด

อย่างไรก็ตาม การกระทำกรรมดีก็ตาม กรรมชั่วก็ตาม เมื่อพูดถึง ความรู้สึก เราย่อมทราบว่า เป็นกิริยาของจิตใจ และจิตใจนี้เองเป็นตัว การทำกรรมขึ้น โดยพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

“ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า เจตนาเป็นกรรม การจงใจทำ พูด คิด คือ เจตนาของจิตใจ และจิตใจนั้นเอง จะต้องรับผิดชอบการกระทำ ของตนเอง จะปัดความรับผิดชอบนั้นไม่ได้”

ธรรมดา เจตนาในการทำ พูด คิด นั้นมีน้ำหนักแตกต่างกัน ถ้า ความรู้สึกมีกำลังดันแรงที่สุด เจตนาก็ย่อมแรงที่สุด ถ้าแรงพอประมาณ เจตนาก็แรงพอประมาณ ถ้าแรงเพลาๆ ก็ย่อมเพลาตามกัน สังเกตได้ จากผู้มีโทสะแรงกล้า ก็อาจฆ่าคนได้ทันที จนแทบไม่รู้สึกตัว ถ้ามี โทสะแรงพอประมาณ แม้คิดจะฆ่า ก็ยังคิดก่อนทำ ถ้าเพลาเบาลง ก็ เพียงคิดแต่ไม่ฆ่า

ผลของกรรมก็เช่นเดียวกัน ย่อมให้ผลสนองตอบ ตามกำลังของ เจตนานั้นๆ ถ้ารู้สึกแรง ผลก็มาแรง เช่น อนันตริยกรรม ๕ มีการ ฆ่าบิดามารดา ผู้ที่จะทำเช่นนั้นได้ ต้องมีความรู้สึกฝ่ายกิเลสแรงกล้า เจตนาที่ทำก็แรงด้วย และมักให้ผลในขณะที่ทำนั้นเอง

เพราะแรงกรรมแตกต่างกันดังนี้ ท่านจึงแยกกรรมและผลของกรรม ไว้ดังนี้

๑. กรรมที่สามารถให้ผลให้ปัจจุบันชาติ ที่เรียกว่าให้ผลทันตา ได้แก่ กรรมประเภทประทุษร้ายผู้ทรงคุณ เช่น บิดา มารดา พระอรหันต์ แม้แต่เพียงการด่าว่าติเตียนท่านผู้ทรงคุณเช่นนั้น ก็เป็นกรรมที่แรง สามารถ ห้ามมรรคผลนิพพานได้

ด้วยเหตุนี้เมื่อ องคุลิมาล จะฆ่ามารดาเป็นคนสุดท้าย จึงจะ ครบพันคนตามที่อาจารย์สั่งฆ่า พระพุทธเจ้าจึงต้องเสด็จไปยับยั้งไว้ เพราะการเบียดเบียนสัตว์ หรือทรมานสัตว์บางจำพวก ก็มักให้ผลใน ปัจจุบันทันตาได้เหมือนกัน เช่น การเบียดเบียนแมว เป็นต้น นี่เป็น กรรมฝ่ายอกุศล ฝ่ายกุศลก็สามารถให้ผลทันตาเช่นกัน

อย่างผู้ประพฤติพรหมจรรย์ทั้งยังมีศีลบริสุทธิ์ ผลที่มองเห็นก็คือ ได้รับการอภิวาทกราบไหว้ ได้รับการยกเว้นภาษีอากรจากรัฐบาล ได้รับ การคุ้มครองจากรัฐบาล ได้รับปัจจัยที่เขาถวายด้วยศรัทธา เลี้ยงชีพเป็น สุขในปัจจุบัน ได้รับความเงียบสงัดใจ ความแช่มชื่นเบิกบานใจ ความสุข สบายทั้งกายและใจ เพราะใจสงบเป็นสมาธิ ได้ฌานสมาบัติ ได้ไตร วิชชาหรืออภิญญา สิ้นอาสวะในปัจจุบันชาติ แต่ถ้ายังมีกิเลสอยู่ ก็จะ เข้าถึงโลกที่มีสุขเมื่อตายไป

๒. กรรมที่สามารถให้ผล เมื่อเกิดใหม่ในชาติหน้า ถ้าเป็นกุศลกรรม ก็อำนวยผลให้มีความสุขตามสมควรแก่กรรมในคราวใดคราวหนึ่ง ถ้า เป็นอกุศลกรรมก็ให้ผลเป็นทุกข์เดือดร้อน ตามสมควรแก่กรรมในคราวใด คราวหนึ่ง สมมติชาติปัจจุบันเราเกิดเป็นมนุษย์ ได้กระทำกรรมไว้หลาย อย่าง ทั้งบุญและบาป ตายแล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ด้วยอำนาจ กุศลกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถแต่งกำเนิดได้ในชีวิตใหม่นี้ ที่เราได้รับ สุขสมบูรณ์เป็นครั้งคราว เพราะกุศลกรรมในประเภทนี้ให้ผล เราได้รับ ความเดือดร้อนเป็นบางครั้ง นั่นคืออกุศลกรรมในประเภทนี้ให้ผล

๓. กรรมที่สามารถให้ผลสืบเนื่องไปหลายชาติ ตัวอย่างในข้อนี้มีมาก

ฝ่ายกุศลกรรม เช่น พระบรมศาสดาทรงแสดงบุพกรรมของ พระองค์ไว้ว่า ทรงบำเพ็ญเมตตาภาวนาเป็นเวลา ๗ ปี ส่งผลให้ไปเกิด ใน พรหมโลก นานมาก แล้วมาเกิดเป็น พระอินทร์ ๓๗ ครั้ง มา เกิดเป็น พระเจ้าจักรพรรดิ ๓๗ ครั้ง

ฝ่ายอกุศลกรรม เช่น พระมหาโมคคัลลานะเถระในอดีตชาติ หลง เมียและฟังคำยุยงของเมียให้ฆ่าบิดามารดาผู้พิการ ท่านทำไม่ลง เพียงแต่ทำ ให้มารดาลำบาก กรรมนั้นส่งผลให้ไปเกิดในนรกนาน ครั้นมาเกิดเป็น มนุษย์ ถูกเขาฆ่าตายมาตามลำดับทุกชาติถึง ๕๐๐ ชาติ ทั้งชาติปัจจุบัน ที่บรรลุพระอรหันต์แล้ว ก็ถูกโจรฆ่า

๔. กรรมที่ไม่มีโอกาสจะให้ผล เพราะไม่มีช่องที่จะให้ผล เลย หมดโอกาส และสิ้นอำนาจสลายไป เรียกว่า “อโหสิกรรม”

ในฝ่ายอกุศล เช่น องคุลิมาล ได้หลงกลของอาจารย์ จึงได้ฆ่า คนเกือบพัน เพื่อนำไปขึ้นครูขอเรียนมนตร์

พระพุทธองค์ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหันต์ผลมีอยู่ ทรงเกรงว่า จะฆ่ามารดา แล้วทำลายอุปนิสัยแห่งพระอรหันต์เสีย จึงรีบเสด็จไปโปรด และตรัสพระวาจาเพียงว่า

“เราหยุดแล้ว แต่ท่านซิยังไม่หยุด”

องคุลิมาลเกิดรู้สึกตัว จึงเข้าเฝ้าขอบรรพชาอุปสมบท

๕. ชนกกรรม กรรมที่สามารถแต่งกำเนิดได้ กำเนิดของสัตว์ใน ไตรโลก มี ๔ อย่างด้วยกันคือ ชลาพุชะ เกิดจากน้ำสัมภะของมารดาบิดาผสมกัน เกิดเป็นสัตว์ ครรภ์ แล้วคลอดออกมาเป็นเด็ก ค่อยเจริญเติบโตขึ้นโดยลำดับกาล ฝ่ายดีเกิดเป็นมนุษย์ ฝ่ายไม่ดีก็เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานบางจำพวก อัณฑชะ เดิมเป็นฟองไข่ก่อน แล้วจึงเกิดเป็นตัวออกจากกะเปาะ ฟองไข่ แล้วเจริญเติบโตโดยลำดับกาล ฝ่ายดีได้แก่กำเนิดดิรัจฉานที่มี ฤทธิ์ เช่น นาค ครุฑ ฝ่ายชั่วได้แก่กำเนิดดิรัจฉาน เช่น นกทั่วๆไป สังเสทชะ เกิดจากสิ่งโสโครก เหงื่อไคล ฝ่ายดี เช่น นาค ครุฑ ฝ่ายชั่ว ได้แก่ กิมิชาติ มีหนอนที่เกิดจากน้ำครำ เป็นต้น รวมทั้งเลือด ไร หมัด เล็น ที่เกิดจากเหงื่อไคลหมักหมม เป็นต้น

ง. อุปปาติกะ เกิดขึ้นเป็นวิญญูชนทันที ฝ่ายดี เช่น เทวดา ฝ่าย ชั่ว เช่น สัตว์นรก เปรต อสุรกาย รวมความว่ากรรมดีแต่งกำเนิดดี กรรม ชั่วแต่งกำเนิดชั่ว นี้เป็นกฎแห่งกรรมที่ตายตัว ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอื่นไป

๖. อุปปัตถัมภกรรม เป็นกรรมที่คอยสนับสนุนกรรมอื่นซึ่งเป็น ฝ่ายเดียวกัน กรรมดีก็สนับสนุนกรรมดี กรรมชั่วก็สนับสนุนกรรมชั่ว เช่น กรรมดีแต่งกำเนิดดีแล้ว กรรมดีอื่นๆ ก็ตามมาอุดหนุนส่งเสริมให้ได้รับ ความสุขความเจริญยิ่งขึ้น กรรมชั่วแต่งกำเนิดทราม กรรมชั่วอื่นๆ ก็ตาม มาอุดหนุนส่งเสริมให้ได้รับทุกข์เดือดร้อนในกำเนิดนั้นยิ่งๆ ขึ้น อย่างที่ เราเห็นๆกัน คนทำดี เช่น ให้ทาน รักษาศีล เจริญสมาธิ ความดีก็จะ ส่งเสริมให้ได้ดีมีความสุขยิ่งขึ้น บางคนเกิดมายากจน ชีวิตก็ยิ่งได้รับ ความยากจนตลอดมา

๗. กรรมที่เป็นปรปักษ์ต่อกรรมอื่นที่ต่างฝ่ายกับตน คอยเบียดเบียน ให้ฝ่ายตรงข้ามมีกำลังอ่อนลง ให้ผลไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เช่น เกิด เป็นมนุษย์ แล้วมีกรรมชั่วเข้ามาขัดขวางริดรอนอำนาจของกรรมดีลง เช่น ได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว ก็ให้มีอันเจ็บป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน มี แต่ความทุกข์โศกสูญเสีย พลัดพราก ทั้งนี้ก็เพราะกรรมชั่วแต่งให้เกิด มาทราม แต่ยังมีกรรมดีเข้ามาสนับสนุน ให้มีผู้เมตตาสงสารช่วยเหลือ ถึงเกิดเป็นสัตว์ ก็มีผู้เลี้ยงดูรักใคร่อุปถัมภ์ อย่างหมามีปลอกคอ

๘. กรรมที่เป็นปรปักษ์กับกรรมอื่น แต่มีอำนาจรุนแรงกว่า เช่น เกิดเป็นมนุษย์ แต่ไปฆ่าเขาตาย ก็เสียความเป็นมนุษย์ไป ดูเหมือน เป็นยักษ์มารชั่วร้ายป่าเถื่อน

นั่นคือ กรรมดีให้มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่กรรมชั่วทำให้เสียความเป็น มนุษย์ หรือเกิดมาเป็นเพศชาย แต่ประพฤติอย่างเพศหญิง หรือเพศหญิง อยากเป็นชาย ซึ่งมีให้เห็นกันมาอย่างทุกวันนี้ ในพุทธกาลเคยมีตัวอย่าง เช่น โสเรยยะบุตรเศรษฐี ไปหลงใหลพระสังกัจจายน์ ว่าท่านรูปงาม อย่างผู้หญิง มีจิตคิดเอาเป็นภรรยา ผลกรรมทำให้กลับเพศเป็นหญิง ต้องหนีจากบ้านไปอยู่เมืองอื่น ไปได้สามี มีบุตรด้วยกัน ภายหลังมาขอ อโหสิกรรมจากพระเถระ ท่านอภัยโทษให้ จึงได้กลับเป็นชายตามเดิม เรื่องของพระอรหันต์จะไปล้อเล่นไม่ได้ บางคนไปเกิดเป็นเปรต ได้มีผู้ อุทิศบุญให้ ต่อมาได้ไปเกิดเป็นเทวดา

๙. กรรมที่หนักมาก สามารถให้ผลในทันทีทันใด หรือเรียกอีก อย่างหนึ่งว่า “ครุกรรม” ฝ่ายกุศล ได้แก่ ฌานสมาบัติ ฝ่ายอกุศล ได้แก่ อนันตริยกรรม ๕ อนันตริยกรรมนี้มีผลร้ายแรงมาก แม้เป็นผู้มี อุปนิสัยจะได้สำเร็จมรรคผลถึงขั้นพระอรหันต์ แต่ถ้าไปทำผิดเข้า ก็จะ ตัดมรรคตัดผล ต้องไปเสวยกรรมอีกช้านาน

๑๐. กรรมอีกอย่างเรียกพหุกรรม หรืออาจิณกรรม คือต้องทำ เป็นประจำจนเคยชิน เป็นกรรมหนักรองจากครุกรรมลงมา ทางฝ่ายดี เช่น เป็นผู้บำเพ็ญทาน ถือศีล เจริญสมาธิ มีเมตตาภาวนา เป็นต้น แต่ยังไม่ถึงได้ฌานสมาบัติ กรรมนี้ก็จะเป็นปัจจัยให้มีกำลังในจิต ที่จะ ทำดีอยู่เสมอ สามารถให้ผลต่อเนื่องไปนาน ถ้าไม่ประมาท ในชาติ ต่อไปก็จะทำเพิ่มเติมอยู่เป็นอาจิณ ตัดโอกาสไม่ให้กรรมเล็กน้อยมาตัด รอนได้

ทางฝ่ายอกุศลก็เช่นเดียวกัน เช่น พรานป่าล่าสัตว์ หรือชาวประมง ทำปาณาติบาตอยู่เป็นประจำ แม้แต่คนมีอาชีพฆ่าหมูขาย เชือดไก่ เชือดเป็ด หรือขายสัตว์เป็นประจำ คนพวกนี้แม้จะมีกรรมดีอยู่บ้าง ก็ ยากที่จะเข้ามาช่วยได้ เพราะกรรมชั่วติดสันดานเสียแล้ว เวลาใกล้ตาย ก็จะส่งเสียงร้องเหมือนสัตว์ที่ตนฆ่า พอสิ้นใจก็ไปนรกทันที โรงงาน ใหญ่ๆ ที่ฆ่าไก่ส่งนอกวันละเป็นพันเป็นหมื่น เขามักจะจ้างคนอิสลาม มาฆ่า ก็ไม่มีผลอะไรในเรื่องของบุญบาป เพราะเจ้าของผู้ให้ฆ่า และคน ฆ่า จะนับถือศาสนาอะไร ก็ต้องรับผลทั้งนั้น

เจ้าของผู้ให้ฆ่าหรือจ้างวานให้ฆ่า จะว่าไปแล้วก็ถือว่าเป็นบาปกว่า คนฆ่าเสียอีก เขาเหล่านี้ แม้จะร่ำรวยเป็นพันเป็นหมื่นล้าน เมื่อถึง คราวจะสิ้นชีวิต ทรัพย์นั้นก็จะละลายหายสูญ เช่นเดียวกับที่ถูกเผาไหม้ อยู่ในนรก

ยังมีกรรมอีกสองประเภท กรรมแรกเรียก “อาสันนกรรม” เป็น กรรมที่ให้ผลในเวลาใกล้ตาย ไม่ว่าจะเป็นกรรมหนักหรือกรรมเบา

ตัวอย่างในสมัยพุทธกาลเล่าว่า มีบุรุษคนหนึ่งโดยสารไปในเรือเดิน ทะเล แล้วเกิดพายุทำให้เรือแตกอับปางลง จึงได้สมาทานศีลก่อนตาย เพียงเล็กน้อย เมื่อตายแล้วได้ไปเกิดในสวรรค์ มีนามว่า สตุลลปายิกาเทวา

ตัวอย่างการอาราธนาศีลก่อนตาย คนไทยชาวพุทธแต่โบราณมา ยึดถือปฏิบัติกันทั่วไป บิดามารดาก็ดี ญาติพี่น้องก็ดี เมื่อเห็นว่าใกล้จะ สิ้นใจ เขาจะบอกให้ผู้ใกล้ตายระลึกถึงสิ่งที่ดีงาม เช่น บอกให้ระลึกถึงคุณ พระพุทธเจ้า เช่น พุทโธ หรือ สัมมาอะระหัง เมื่อสิ้นใจแล้วจะได้มีสติ ไปจุติในที่ดีเอาไว้ก่อน

แต่บางทีถ้าทำบาปเอาไว้มาก จะบอกอย่างไรก็ไม่มีสติจะระลึกได้ เพราะเจ้ากรรมนายเวรที่เขาอาฆาตได้ปิดบังเอาไว้

พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนนักหนาว่า “ขึ้นชื่อว่าบาป ไม่ทำเสียเลย ดีกว่า” แต่ถึงจะเคยทำบาปมา ภายหลังสำนึกได้ กลับทำความดี ให้ทาน รักษาศีล บำเพ็ญสมาธิภาวนา ก็ยังพอเอาตัวรอดได้ โดยเฉพาะการทำ สมาธินั้น เป็นเหตุให้มีสติดี เมื่อมีสติดี ก็สามารถจะระลึกถึงความดี เช่น พุทโธ ได้ก่อนสิ้นใจ

ดังนั้นท่านทั้งหลายจึงไม่ควรจะตายอย่างคนเลอะเทอะ หาสติมิได้ จะเป็นการเสียชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์

กรรมอีกประเภทหนึ่ง เรียก “กตัตตากรรม” เป็นกรรมที่เบา ที่สุด หรือจะเรียกว่า กรรมเล็กกรรมน้อย ทำด้วยเจตนาอ่อนๆ แทบไม่มี เจตนาเลย เช่น การฆ่ามดแมลงของเด็กๆไม่เดียงสา แสดงคารวะต่อพระ รัตนตรัย ตามที่ผู้ใหญ่สอนให้ทำ เด็กก็จะทำด้วยเจตนา ที่ชื่อว่าสักแต่ ว่าทำ ถ้าไม่มีกรรมอื่นให้ผลเลย กรรมชนิดนี้ก็ให้ผลได้บ้าง

อย่างไรก็ตาม กรรมต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด แสดงว่าพระพุทธ ศาสนาไม่ได้สอนแบบกำปั้นทุบดิน อย่างที่บอกว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่ได้แยกแยะกรรมต่างๆ ไว้เป็นอันมาก ทำดีขนาดไหน ทำอย่างไร ทำชั่วขนาดไหน ทำอย่างไร และให้ผลอย่างไร ท่านแสดงไว้หมด ผู้ที่ วิตกว่า ได้ทำบาปมามาก กลัวจะใช้กรรมไม่หมด ก็ไม่ต้องกลัวขนาด นั้น เมื่อรู้ตัวว่าทำบาปมาก ก็ยังมีทางแก้อยู่ คือ หันมาทำบุญให้มาก ท่าน ศีล ภาวนา ต้องทำให้มากกว่าบาปที่ทำมาแล้ว ก็อาจแก้ไขให้ร้าย กลายเป็นดีได้ แต่ต้องทำให้มาก ชนิดที่กรรมชั่วตามไม่ทัน

อย่างองคุลิมาลได้ฆ่าคนมาร่วมพัน ยังได้บรรลุอรหันต์ พอบรรลุ อรหันต์ก็เป็นผู้เหนือโลก พ้นโลกเสียได้แล้ว กรรมอื่นก็เป็นอันพ้นไป หมดทางที่จะชดใช้อีกแล้ว เว้นแต่กรรมบางชนิด แม้เป็นอรหันต์แล้ว ก็ยังต้องใช้ อย่างที่กล่าวมาแล้ว

ยังมีผู้เข้าใจผิดในเรื่องของกรรมอีกมาก เช่น ทำดีได้บาป หรือทำ บาปแล้วยังได้ดี ถ้าทำความเข้าใจเรื่องกรรมที่กล่าวมาแล้วให้ดี ก็จะ เห็นว่า ที่ทำบาปกลับได้ดีนั้น เขายังมีกรรมอื่นสนับสนุนอุปถัมภ์อยู่ บุญกุศลที่เคยทำไว้ในอดีต ยังมีเหลืออยู่ บาปในชาตินี้ยังส่งผลให้ไม่ได้ ส่วนทำดีได้บาปนั้น ก็เช่นเดียวกัน บาปเก่ายังส่งผลอยู่ กรรมดีก็เข้าไป สนับสนุนไม่ได้ ต้องรอจนบาปเก่าสิ้นไป จึงจะได้รับผลดีตอบแทน จึง เชื่อว่าจะไม่สับสนในเรื่องของกรรม หรือรู้เรื่องกรรมแบบกำปั้นทุบดิน

นอกจากนี้ยังมีลักษณะของกรรมที่อยากให้รู้ไว้ให้ชัดอีก ๖ ประการ คือ

๑. กรรมจากการฆ่าสัตว์ ย่อมส่งผลให้ไปสู่อบายภูมิ ครั้นกลับมา เกิดเป็นมนุษย์อีก ก็เป็นคนอายุน้อยหรืออายุสั้น ตายเสียก่อนวัยอันควร

ส่วนกรรมที่ไม่ฆ่าสัตว์ มีเมตตาปรานีในสรรพสัตว์ ตายแล้วย่อมไป สู่สุคติโลกสวรรค์ เมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นคนอายุยืน

๒. กรรมจากการเบียดเบียนสัตว์ ด้วยการตบตี ขว้างปา แทง ฟัน ส่งผลให้ไปสู่อบายภูมิ ครั้นได้กลับมาเป็นมนุษย์อีก ก็เป็นคนมีโรคภัย ไข้เจ็บมาก

๓. กรรมจากความมักโกรธ ถูกว่าเล็กน้อยก็โกรธพยาบาทปอง ร้าย แสดงความโกรธ ความดุร้าย ความน้อยใจให้ปรากฏออกมา ส่ง ผลไปสู่อบายภูมิ ครั้นมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะเป็นคนผิวทราม ส่วนคน ที่ไม่มักโกรธ เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ผิวงาม น่าเลื่อมใส ผ่องผุด เกลี้ยงเกลา

๔. กรรมจากความมีใจริษยา อยากได้ เข้าไปขัดขวางในลาภ สักการะของผู้อื่น หรือผู้อื่นมีใจนับถือ นบไหว้ผู้อื่น ก็ไปขัดขวางเขา ต้องการให้นับถือตัวผู้เดียว ตายไปก็ลงสู่อบายภูมิ ครั้นเกิดเป็นมนุษย์ อีก ก็เป็นคนมีศักดาต่ำ ไม่ค่อยมีใครยกย่องนับถือ ส่วนตรงกันข้าม ก็ไปสู่สวรรค์ เกิดเป็นมนุษย์มีศักดาใหญ่ ได้รับความนับถือจากผู้อื่น

๕. กรรมจากการไม่ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยานพาหนะ ดอกไม้ของหอม ที่อาศัยหลบนอน ให้แสงสว่าง แกสมณะและคนดี เพราะความตระหนี่ เหนียวแน่น ตายไปก็ส่งผลให้ไปสู่อบายภูมิ ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อีก ย่อมเป็นคนมีโภคะน้อย หรือมีสมบัติน้อย ส่วนตรงกันข้ามย่อมเป็นผู้มี โภคะมาก

๖. กรรมจากความกระด้างถือตัว ไม่ไหว้คนควรไหว้ ไม่ลุกรับคน ควรลุกรับ ไม่ให้อาสนะแก่คนควรให้ ไม่หลีกทางแก่คนควรหลีก ไม่ สักการะคนควรสักการะ ไม่เคารพคนควรเคารพ ไม่นับถือคนควรนับถือ ไม่บูชาคนควรบูชา ทั้งนี้ก็สามารถส่งผลดีและผลร้ายได้เช่นเดียวกัน

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า กรรมที่กล่าวมานี้ เป็นเรื่องของจิตใจโดยตรง เป็นกรรมทางจิต ก็จิตของมนุษย์เรานั้น ถ้าปล่อยให้จิตเศร้าหมอง ขุ่นมัว ด้วยกรรมต่างๆ กัน ย่อมเป็นพิษภัยแก่ตัวเองทั้งสิ้น ท่านจึง สอนให้ทำจิตให้สะอาด สว่าง และสงบ เป็นจิตบริสุทธิ์ ประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นจิตใจที่อ่อนโยน

๗. กรรมอีกอย่างหนึ่ง คือ การไม่เข้าหาเพื่อศึกษา หรือไต่ถาม สมณพราหมณ์ หรือผู้รู้มีปัญญาในสิ่งที่ควรถาม เช่น กุศล อกุศล สิ่งมีโทษ ไม่มีโทษ สิ่งควรเสพ ไม่ควรเสพ กรรมที่เป็นไปเพื่อทุกข์ กรรมที่เป็นไปเพื่อสุข หรือสิ่งที่ส่งผลไปสู่อบาย หรือกรรมที่ส่งผลไปสู่ สุคติโลกสวรรค์ นิพพาน

การที่ท่านบัญญัติกรรมนี้ไว้ ก็เพราะถือว่า มนุษย์ที่เกิดมา จะทำดี หรือไม่ดี ก็เพราะความไม่รู้ที่เรียกว่า “อวิชชา” การไม่แสวงหาความรู้ จึงเป็นต้นเหตุแห่งกรรมดีกรรมชั่วของมนุษย์ ผลที่เห็นได้ง่ายก็คือความ โง่เขลา และความเฉลียวฉลาดมีปัญญา

เมื่อได้รู้เรื่องกรรม ตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด ท่านผู้มัปัญญา ย่อมจำแนกแยกแยะ ความหยาบ ความละเอียด หนักเบาของกรรม นั้นๆ ได้ และเป็นจริง

แสดงให้เห็นว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน มีกรรมเป็นผู้ ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเครื่องจำแนกแยกให้เห็นว่า มนุษย์ จะดีหรือจะชั่ว จะร่ำรวยหรือยากจนเข็ญใจ จะรูปงามหรือต่ำทราม จะลง นรกหรือขึ้นสวรรค์ จะเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ หรือจะหลุดพ้น ไปสู่พระนิพพาน แดนแห่งจิตอมตะก็ด้วยกรรม คือ การกระทำของตน เองทั้งสิ้น

ทั้งนี้ไม่มีพระเจ้าองค์ใดจะบันดาลให้ได้ แม้พระพุทธเจ้าผู้รู้แจ้งโลก ทั้ง ๓ ก็เป็นแต่ผู้แนะนำสั่งสอน ชี้ให้เห็นทางถูกผิด กุศล อกุศล ให้ เท่านั้น ตัวเรา มนุษย์เรา จะเป็นผู้เลือกทางเดินของตนเอง จะเลือกอย่าง คนโง่ดักดาน หรือจะเลือกอย่างคนฉลาดมีปัญญา ก็เป็นเรื่องของมนุษย์ เองทั้งสิ้น

พระพุทธศาสนา ไม่มีคำสอนให้คนหลงใหลงมงาย แต่สอนให้รู้จัก ความเป็นตัวของตัวเอง เชื่อตนเอง และให้พยายามค้นหาความเป็น จริง ในกายในจิตของตนเอง มากกว่าดูจากภายนอก เพราะภายนอกนั้น ยังเป็นสิ่งลวงตาอยู่

เมื่อรู้จักเรื่องของกรรมแล้ว ก็ย่อมจะเข้าใจนิพพานได้ถูกต้องขึ้น ว่า แท้จริงแล้ว “นิพพาน” มิได้สูญหายไปไหน คำว่า “นิพพานํ ปรมํ สูญญํ” นิพพานสูญนั้น ได้สร้างความเข้าใจผิด หวาดกลัวมาสมัยหนึ่ง ใครๆ ก็ไม่อยากไปนิพพาน ไปทำไมเมื่อมีความสูญสลาย สู้เป็น มนุษย์อยู่อย่างนี้ไม่ได้ บริบูรณ์ด้วยรูป รส กลิ่น เสียง หรือไม่ได้เป็น มนุษย์ ไปสวรรค์ยังดีเสียกว่า

ก็นี่แหละมนุษย์ ที่ยังติดรูป รส กลิ่น เสียง มีความโลภ โกรธ หลง เป็นเจ้าเรือนอยู่ ไม่ใช่จะสละละวาง ไปนิพพานกันได้ง่ายๆ เอกเพียง แค่ไม่ทำบาป ก็เป็นของยากแสนเข็นเสียแล้ว ก็ยากที่จะเอาชนะกิเลสได้

คำบาลีมีอีกประโยคหนึ่งว่า “นิพพานํ ปรมํ สุขํ” แปลว่า “นิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง” ซึ่งมีความหมายที่ถูกต้องที่สุด ความสุขอย่างยิ่ง เป็นลักษณะของพระนิพพาน แต่สุขอย่างยิ่งอย่างไร จึงจะเป็นสุขของ พระนิพพาน

ธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย มีทุกขเวทนาเป็นพื้น ฐาน เกิดก็ทุกข์ แก่ก็ทุกข์ เจ็บก็ทุกข์ ตายก็ทุกข์ เพียงความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ครั้งหนึ่งก็พอทน แต่มันมีคำว่าเวียนว่ายตายเกิดเพิ่มขึ้นมา ชีวิต มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ต่างเวียนว่ายตายเกิดเช่นนี้ นับภพนับชาติไม่ ถ้วน เกิดแต่ละภพแต่ละชาติ ต่างก็ต้องทนทุกขเวทนาซ้ำแล้วซ้ำอีก

ผู้มีปัญญา ได้สร้างทานบารมี ศีลบารมี สมาธิบารมี จนเป็นผู้ มีปัญญา มีจิตเป็นกุศล ย่อมเห็นทุกขเวทนาในการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย เวียนว่ายตายเกิด ซ้ำซาก ย่อมเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด แสวงหาความพ้นทุกข์ หวังมรรคผลนิพพาน

ส่วนผู้มีอวิชชาครอบงำอยู่ ย่อมไม่รู้สึกรู้สา ต่อการละวางกิเลส ตัณหา ยังติดอยู่ในรูป รส กลิ่น เสียง ซึ่งเป็นธรรมดาโลก ทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับผลกรรมของตน ใครทำกรรมใดไว้ จะดีหรือชั่ว ย่อมเป็นไปตาม กรรมนั้น

นิพพานที่ว่าเป็นสุขอย่างยิ่ง ต้องทราบก่อนว่า ธรรมชาติจิตเป็น ธาตุอมตะ ไม่ใช่ของสูญได้ จิตย่อมเวียนว่ายตายเกิดตามกรรมของตน การที่เราจะเข้าถึงนิพพานที่เป็นสุขอย่างยิ่ง คือ ทำให้จิตไม่ต้องเกิดตาย ต่อไป เป็นจิตที่สุขอย่างเดียว เหนือธรรมชาติของจิตธาตุอมตะธรรมดา ขึ้นไปอีก และเป็นจุดสุดยอดที่พระพุทธเจ้าทรงเข้าถึง และเป็นจุดสุดยอด ของพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่ใช่จะเข้าถึงได้โดยง่าย อย่างที่คนโดยมากคิดกัน ต้องอาศัยบารมีที่สร้างสมมาหลายภพหลายชาติ เกื้อกูลส่งเสริมด้วย

ฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่มนุษย์สามัญชนเรา จะมานั่งกลัวว่า ตน จะต้องไปนิพพาน ที่เข้าใจว่าเป็นการสูญ

มนุษย์สามัญชนผู้ไม่รู้อดีตชาติ ไม่รู้กรรมดีกรรมชั่วที่เคยกระทำมา ถ้าเรามีจิตเป็นกุศล เราอาจปรารถนานิพพานได้ แต่จะช้าหรือเร็ว ก็ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง สุดแต่วาสนาบารมีที่เราเคยกระทำมา ซึ่งไม่ทราบว่ามี แค่ไหน

แต่เมื่อปรารถนานิพพาน แล้วตั้งใจทำกรรมดี ก็จะต้องได้สักวัน หนึ่ง หรือในชาติหนึ่งจนได้ ข้อสำคัญในปัจจุบัน เราทำอะไรอยู่ ถ้าเราทำ ในสิ่งที่เป็นกุศล เช่น ให้ทาน รักษาศีล ทำสมาธิ ทำไปจนเคยชินเป็น ปกติ ไม่ให้ตกไปอยู่ในความชั่วหรืออกุศลกรรม แม้ไม่ปรารถนาสวรรค์ นิพพาน ก็ย่อมไปถึงจนได้ เพราะกุศลกรรมความดีนั้น เปรียบเหมือน เมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์ เมื่อได้น้ำดี ดินดี ก็จะมีแต่ความงอกงาม เจริญ ยิ่งๆ ขึ้นไป

ดังนั้น แต่ละชีวิต แต่ละจิตวิญญาณ ก็ใช่ว่าเมื่อเกิดมาในภพใดภพ หนึ่งหรือชาติใดชาติหนึ่ง ซึ่งต่างก็ผ่านมานับภพนับชาติไม่ถ้วน จะมีโอกาส สร้างสมกุศลบารมี ทุกชาติทุกภพก็หาไม่ บางชาติบางภพ ก็มีโอกาส สร้างสมกุศลบารมีติดต่อกันมา แต่บางชาติบางภพ ก็มีอกุศลกรรม มาทำ ให้หลงผิดเป็นชอบ สร้างบาปกรรมทำลายตนเองมากมาย เพียงผิดศีล ๕ ก็ทำให้ตกนรกภูมิ เสียเวลาไปนับเป็นกัปเป็นกัลป์ เพราะอวิชชา ครอบงำ และส่วนมากก็ตกอยู่ในสภาพที่จะต้องรับผลจากอกุศลกรรม มากกว่ากุศลกรรมด้วยซ้ำไป เราเรียกเจ้าตัวอุปสรรคขัดขวางว่าเป็น มาร หรือกิเลสมาร อันเป็นฝ่ายอกุศล

ด้วยเหตุนี้ทำให้เห็นว่า ทุกชีวิตผู้มีจิตวิญญาณ ต่างก็ต้องพบกับ การทำความดี และการทำความชั่วสลับกันไป ข้อสำคัญอยู่ที่เราทำกรรมดี หรือกรรมชั่วมากกว่ากัน มันขึ้นอยู่กับชีวิตความคิดของเราเอง

เคยมีพระนักปฏิบัติบางรูป ท่านปรารภให้ฟังว่า ถ้าท่านเกิดทันใน พุทธกาล คือ ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงดำรงค์พระชนม์อยู่ ก็คงจะบรรลุ เป็นพระอรหันต์ไปแล้ว

คำที่ท่านปรารภออกมานี้ มันไม่แน่เสมอไป เพราะผู้ที่เกิดทันพระ พุทธเจ้า ได้สนทนากับพระพุทธเจ้า ไม่ได้เป็นแม้เพียงโสดาบันก็มี ส่วนผู้ ที่เกิดภายหลังพระพุทธเจ้านับเป็นพันๆปี เมื่อปฏิบัติตามพระธรรมคำ สอนอย่างจริงจังแล้ว ได้บรรลุพระอรหันต์ก็มี มันขึ้นอยู่กับกุศลบารมี ได้สร้างสมมาเต็มเปี่ยมหรือยัง

ดูแต่ อุปกาชีวก ซิ เขาเดินสวนทางกับพระพุทธเจ้า ไดทักถาม สนทนากับพระพุทธเจ้า ตอนที่มุ่งหน้าไปโปรดปัญจวัคคีย์ ที่ป่าอิสิป ตนมฤคทายวัน เมื่อพบพระองค์กลางทาง เขาทักว่า

“ดูกร อาวุโส…อินทรีย์ทั้งหลายของท่านผ่องใสพิเศษแล้ว พรรณนา แห่งผิวบริสุทธิ์ผุดผ่องโดยรอบ ท่านได้บรรพชาเฉพาะซึ่งผู้ใด ใครหนอ เป็นศาสดาของท่าน ท่านชอบใจธรรมของผู้ใด”

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “เราเป็นผู้ครอบงำซึ่งธรรมทั้งปวงในภูมิ ๓ เราตรัสรู้แจ้งด้วยตนเอง เราละเสียซึ่งเตภูมิกรรม เป็นผู้น้อมไปแล้ว ซึ่งอารมณ์พระนิพพาน อันเป็นที่สิ้นตัณหา เป็นผู้มีวิมุตติหลุดพ้นจาก อาสวะทั้งปวง เราตรัสรู้เองแล้ว จะพึ่งใครเป็นศาสดาเล่า”

แต่อุปกาชีวก กลับแสดงอาการเย้ยหยัน ไม่เชื่อ แล้วหลีกไปเสีย นี่ก็แสดงว่าการพบพระพุทธเจ้า ไม่ได้ทำให้เขาบรรลุมรรคผลแต่อย่างใด แทนที่จะทูลซักถามให้ละเอียด และขอฟังธรรมของผู้สิ้นอาสวะแล้ว

การแสดงความไม่เชื่อ เย้ยหยันพระพุทธเจ้านั้น ก็อาจทำให้เขา ตกนรกได้ เพราะพระพุทธศาสนานั้น ถือเรื่องความคิดเป็นเรื่องสำคัญ คนที่มีทิฐิ แสดงความไม่เชื่อว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่ามีอยู่จริง หรือไม่เชื่อบาปอกุศล ไม่เชื่อกุศลบารมี ทำให้ตกนรกอวจี ได้เหมือนกัน

“จิตมนุษย์” ล้วนมีความโลภ โกรธ หลง กิเลส ตัณหา อุปาทาน เป็นสัญชาติญาณประจำตัวก็ว่าได้ จึงเท่ากับมีทุนทางอกุศล เป็นทุนอยู่ แล้ว เรื่องการทำชั่วทำบาป จึงกระทำกันได้ง่าย จนกระทั่งถือเป็นธรรมดา ไปก็มี คือ ทำกันจนเคยชิน เช่น การฆ่าสัตว์ เมื่อทำเป็นอาจิณ ผู้ทำก็ไม่ รู้สึกถึงความผิดบาปแต่อย่างใด หรือการพูดโกหกมดเท็จ บางคนพูดจน กลายเป็นนิสัย วันไหนไม่ได้พูดมุสา จะรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ คล้ายขาด อะไรไปอย่างหนึ่ง

ที่ท่านกล่าวว่าบาปทำได้ง่าย ก็เพราะมันมีบาปมากมาย ให้เลือก ทำได้ทุกโอกาส ผิดกับการทำกุศลหรือการทำบุญสร้างความดี ต้องฝืนทำ ต้องพากเพียร ต้องตั้งใจให้จริง จึงจะทำได้

อันที่จริง การระลึกชาติได้นี้ มีคนในโลกระลึกได้ไม่น้อย เป็น การระลึกในลักษณะแตกต่างกันไป บางคนก็ระลึกได้ในชาติที่แล้ว สามารถ บอกเล่าตรงกับความเป็นจริงได้ บางคนก็ระลึกได้ด้วยฌาณ อันปฏิบัติ ธรรมดีแล้ว ที่เรียกว่า “อตีตังสญาณ” จะระลึกได้น้อยชาติหรือมาก ชาติ ก็ขึ้นกับปัญญาบารมีของแต่ละคน

พระอรหันต์ระลึกได้น้อยกว่าพระพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ สามารถย้อนหลังระลึกชาติไปไม่มีสุด

สำหรับอาตมา ที่เล่าการระลึกชาติมานี้ ก็เป็นเรื่องเฉพาะตน เพื่อ ยืนยันว่า ชาตินี้ชาติหน้า การเวียนว่ายตายเกิด เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง แต่ ไม่อาจเปิดเผยนามได้ และนามนั้นก็สมมติขึ้น ชีวิตก็เป็นอนัตตา เพียง ให้รู้ว่าเราท่านไม่ควรประมาทในชีวิต ก็น่าจะจบได้แล้ว


นำมาจาก http://www.dharma-gateway.com/monk-secret-memoir-index-page.htm
 

_________________
ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
บัวหิมะ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.ย. 2008, 12:13 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เชื่อแล้วว่า ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยจิต สาธุ ยิ้มเห็นฟัน
 

_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
walaiporn
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.ย. 2008, 7:50 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณขันธ์

เห็นน้องบอกว่าเป็นหลวงปู่เณรคำ ยังไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ เพราะดิฉันเองก็กำลังอ่านบันทึกของครูบานท่านนี้อยู่ น้องเขาบอกว่ารอให้ได้หนังสือของหลวงปู่เณรคำมาก่อน แล้วจะมาบอกว่าใช่หรือไม่

ที่นำบันทึกของครูบาฯท่านนี้มาให้ได้อ่านกัน เพียงอยากบอกกับทุกๆคนว่า พยายามอ่านให้ละเอียด สิ่งที่ท่านได้พูดมาทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องที่ผู้ปฏิบัติแล้วได้ฌานติดตัวมาจากชาติก่อนๆนั้น ว่าควรจะทำอย่างไรต่อ ท่านบอกไว้ทั้งทางตรงและทางอ้อม
 

_________________
ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
walaiporn
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.ย. 2008, 7:17 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

walaiporn พิมพ์ว่า:
บันทึกลับ ภิกษุนิรนาม
๑. ทุกอย่างสำเร็จด้วยจิต

ท้องฟ้าสีคราม ประดับด้วยปุยเมฆสีขาวลอยฟ่องอยู่เป็นกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ ภายใต้แผ่นนภาอันกว้างไกล แสดงถึงความแจ่มใสของโลกที่พ้นฤดูฝนมาแล้ว

ท้องฟ้าสีคราม ปุยเมฆสีขาว เป็นสิ่งที่มีมานานแล้วตั้งแต่โลกเกิดและจะมีอยู่ต่อไปเป็นนิรันดร เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่ใครและผู้ใดไม่อาจจะลบเลือนได้ มันเป็นสภาวธรรม หรือธรรมชาติแห่งความเป็นจริง

แต่แม้กระนั้น ก็ใช่ว่าจะหนีกฎแห่งอนิจจังไปได้ มนุษย์พากันวิตกว่า โลกอาจถูกทำลายให้พินาศเป็นจุณไปสักวันหนึ่ง และผู้ที่จะทำลายโลกก็คือ มนุษย์ เอง

แต่ความวิตกนั้นมันเป็นอนาคตที่เราคาดคิดกันไปอย่างลมๆแล้งๆชีวิตแต่ละชีวิตอาจไม่คงอยู่จนถึงเวลานั้น ทำไม?เราจะต้องไปวิตกถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ปัจจุบันต่างหากที่เราควรมองดูว่าเรากำลังทำอะไรกันอยู่

เรามองเห็นว่า ปัจจุบันมนุษย์กำลังใช้นามธรรม ประดิษฐ์คิดค้นสิ่งที่เป็นรูปธรรมขึ้นมา รูปธรรมที่ค้นคิดขึ้นมานั้น มีทั้งสิ่งที่เป็นประโยชน์และสิ่งที่จะทำลายโลกให้พินาศ

ระหว่าง ๒ สิ่งนี้ สิ่งที่เป็นประโยชน์ย่อมมีพลังอำนาจน้อยกว่าสิ่งทำลายมากมายนัก ซึ่งเรามองเห็นได้ชัดว่า ประโยชน์จะมีสักเท่าใดเมื่อถูกทำลายเสียแล้วประโยชน์ก็จะหมดไปด้วย มนุษย์ก็จะไม่ได้อะไรเลย แม้แต่ชีวิตของตนเองก็จะต้องหมดไป โลกจะเหลือแต่น้ำกับฟ้าอย่างเดิม

แสดงว่าในปัจจุบันนี้ มนุษย์กำลังใช้นามธรรมอย่างผิดทางเราสร้างสิ่งที่สมมติขึ้น จนเกินความต้องการของชีวิต และบัดนี้เราไม่รู้ว่าชีวิตมนุษย์เราต้องการอะไรกันแน่… มันไม่มีสิ้นสุด… มันไม่มีจุดหมายปลายทาง…

สิ่งที่เป็นนามธรรม แม้จะไม่มีรูปร่างตัวตนให้มองเห็นได้ แต่มันก็มีความสำคัญยิ่งใหญ่เหนือกว่ารูปธรรมเป็นอันมาก

รูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของ เครื่องประดิษฐ์คิดค้นทางวิทยาศาสตร์ หรือแม้แต่สังขารร่างกายของคนและสัตว์ ล้วนเกิดขึ้นมีขึ้นโดยนามธรรมเป็นผู้บันดาลอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น ถ้านามธรรมไม่บันดาลสมบัติปรุงแต่งขึ้นมา มันก็จะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นรูปร่างที่เรียกว่า รูปธรรม เลย

พระพุทธเจ้าบรมศาสดาเอกในโลก จึงทรงตรัสว่า ทุกอย่างสำเร็จด้วยจิต จิตก็คือนามธรรมอันซ่อนเร้นแอบแฝงอย่างลับๆอยู่กับร่างกายของคนและสัตว์ทั้งหลาย

ผู้มีปัญญารู้ความจริงว่า จิตหรือนามธรรมมีความสำคัญยิ่งใหญ่ย่อมจะปรับปรุงจิตของตน บำรุงรักษาจิตของตน ทำความสะอาดบริสุทธิ์ให้แก่จิตของตน ยิ่งกว่าสังขารทั้งหลาย และถือว่าการงานของจิตเป็นสิ่งควรทำอย่างยิ่ง

แต่ผู้โง่งมงาย ไม่รู้ความสำคัญของจิต จะพากันปรนเปรอบำรุงรักษาสังขารร่างกายตามใจกิเลส อันมีความโลภ โกรธ หลง อย่างไม่ว่างเว้น และเต็มกำลังความสามารถ

และดูเหมือนว่า มันเป็นธรรมชาติที่จะต้องดำเนินไปเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า หมุนเวียนอยู่ไม่มีวันจบสิ้น จนกลายเป็นความยึดมั่นถือมั่นตัวเราเป็นของเรา ยากที่จะแก้ไขปรับปรุงได้ มนุษย์เกิดมาเป็นวัวตามฝูง สุดแต่หัวหน้าฝูง คือ ความโลภ โกรธ หลง จะนำไป ช่างน่าสงสารเหลือเกิน

เส้นทางของชีวิต ไม่ว่ามนุษย์หรือสรรพสัตว์ เป็นระยะทางอันไกล เลยขอบฟ้าที่เห็นอยู่ลิบๆโน้น มันข้ามภพข้ามชาติ หมุนเวียนเกิดดับอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

อะไรเล่าคือความหมายของคำว่า "ยุติ" อะไรเล่าคือความหมายของคำว่า "หลุดพ้น" ไปจากการเกิดการดับ ถ้าเราสามารถจะหยั่งรู้ไปถึงกาลในอดีตได้ ก็คงจะเหน็ดเหนื่อย เบื่อหน่าย อ่อนระโหยโรยแรงไปกับการเกิดดับที่ซ้ำซากอยู่เช่นนั้น

ชีวิตในอดีตชาติ หลายภพหลายชาติ กระทั่งถึงชีวิตปัจจุบันเราผ่านความทุกข์มากมายเหลือเกิน ถ้าจะนำความทุกข์ที่เราได้รับมากองไว้ตรงหน้า ก็จะเห็นว่าทุกข์นั้นใหญ่เท่าภูเขาหลวง ทุกข์เกิดจากความโลภ ทุกข์เกิดจากความโกรธ ทุกข์เกิดจากความหลง เป็นกิเลสที่มีประจำ สิงสู่อยู่ในชีวิตของเรามันเหมือนดวงอาทิตย์ที่กระจายแสงไปทั่วจักรวาล ครอบคลุมเราและสรรพสัตว์ให้มืดหน้าตาฟางอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่รู้จักคิดพิจารณา เราก็ไม่อาจรู้ว่าทุกข์นั้นเป็นฉันใด หนักหนาสาหัสสักเพียงไหน

เรามักปล่อยให้มันผ่านไป…ผ่านไปเหมือนความทุกข์นั้นเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต มันเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป มีทุกข์ใหม่เข้ามาแทนที่ไม่มีวันสิ้นไปหมดไป

บางทีเราก็ไปไขว่คว้าแสวงหาทุกข์มาใส่ตน เหยียบย่ำกองทุกข์นั้นให้จมไปกับการเวลา บางทีเราก็เดินเข้าไปเผชิญหน้า แม้จะรู้ว่าจะพบกับความตาย แต่บางครั้งก็ทนไม่ไหว เพราะอารมณ์กิเลสมันเร่งรัดผลักดันให้คะมำไปข้างหน้า ไปเจอกับความเศร้าโศกที่เกิดจากความพลัดพราก ไปเจอกับความเสียใจที่เกิดจากความผิดหวัง

ด้วยเหตุนี้กระมัง จึงมีผู้คนมากมายทำลายชีวิตตนเองด้วยวิธีการต่างๆ โดยไม่ยอมหยุดคิดสักนิดว่า ทุกข์นั้นเกิดจากสิ่งใด

นี่แหละอำนาจของอารมณ์กิเลส มันรุนแรง พัดกระหน่ำยิ่งกว่าลมมรสุมใดๆทั้งสิ้น

ทำอย่างไรเราจะมีโอกาสหยุดคิดสักนิดหนึ่ง ว่าเหตุแห่งทุกข์นั้นเกิดจากอะไร จึงเป็นผลให้เราทุกข์ถึงเพียงนี้…

มันเป็นกรรมของสัตว์โลกเราอย่างนั้นหรือ ที่ไม่สามารถจะหยุดคิดถึงเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์นั้นได้ และเป็นเช่นนี้มานับแต่โลกและสรรพสัตว์ได้เกิดขึ้น

เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีมานี้ นามธรรมได้ถูกพัฒนาขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งโดยพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เกิดขึ้นในโลก พระองค์ได้ทรงค้นพบถึงวิธีที่จะหยุดคิด เพื่อให้ชาวโลกได้รู้เหตุให้เกิดทุกข์ และประทานวิธีหยุดคิดให้แก่มนุษย์ทั้งหลาย ตามที่พระองค์ประสบผลมาแล้วด้วยพระองค์เอง นับเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ชาติทีเดียว

วิธีการของพระองค์ฟังดูง่ายๆ ใครได้รับฟังก็คิดว่าน่าจะทำได้ทำกายให้บริสุทธิ์ด้วยการรักษาศีล เพราะการรักษาศีล ทำให้ละเว้นความชั่วได้หลายอย่าง เช่น

ละเว้นจากการฆ่าสัตว์

ละเว้นจากการลักทรัพย์

ละเว้นจากการพูดเท็จ

ละเว้นจากการผิดลูกเมียผู้อื่น

ละเว้นจากการดื่มสุรายาเสพติด

ซึ่งเรียกว่า ศีล ๕ เมื่อเราละเว้นจากการทำชั่ว ๕ ประการนี้ได้นอกจากเป็นเบื้องต้นของการละเว้นแล้ว ในขั้นต่อไปที่เรียกว่า ศีล ๘ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ก็ทำให้กายของเราบริสุทธิ์ ครั้นกายบริสุทธิ์แล้วก็ทำให้จิตบริสุทธิ์ต่อไป

การทำให้จิตบริสุทธิ์นั้น คือ ทำจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิเมื่อเราทำสมาธิมากๆ แล้ว ก็จะเกิดสติสัมปชัญญะตามมา

สติ ก็คือ การระลึกได้

สัมปชัญญะ ก็คือ การรู้ตัว

คนเราเมื่อระลึกได้ รู้ตัวได้เท่าทันกิเลสอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น เข้ามาออกไปในจิตของเราอยู่ทุกเวลาและโอกาสจนแทบตั้งตัวไม่ติด มันก็จะถอยห่างออกไป เพราะอารมณ์กิเลสทั้งหลายนั้น มันมีความกลัวอยู่อย่างหนึ่งคือ กลัวการรู้ทัน เหมือนขโมยที่คิดจะเข้าไปขโมยของในบ้าน ถ้ามันรู้ว่าเจ้าของบ้านยังตื่นอยู่ ถือปืนคอยจ้องจะยิงมัน แน่นอน! มันย่อมไม่เข้าไป

เมื่อไม่มีขโมยเข้ามา จิตก็ว่าง มีเวลาหยุดคิดว่า เจ้าความทุกข์มันเกิดจากอะไร พอรู้สาเหตุที่มันเกิดทุกข์ เราก็จะมองเห็นว่า ทางแก้ทุกข์นั้นยังมีอยู่ ถ้าเรารู้เหตุก็ย่อมจะรู้ทางแก้ เช่น ตัดเหตุนั้นเสียผลที่ทำให้เกิดทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้น หรือถ้าทุกข์นั้นเกิดขึ้นแล้ว เราก็จะมองเห็นว่าควรจะแก้อย่างไร แล้วก็แก้ตามเหตุนั้น มันก็จะระงับดับทุกข์เสียได้ถึงความพ้นทุกข์ที่เกิดขึ้น

เมื่อพระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ คนในสมัยพุทธกาลที่พระพุทธองค์ยังทรงดำรงพระชนม์อยู่ ก็พากันทำตาม เพราะคนเหล่านั้นเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย มีใจอ่อนละเอียด รู้จักเหตุรู้จักผล มีคุณธรรมอันสร้างไว้ดี เป็นบารมีอันติดตามมาแต่อดีตชาติ ต่างพากันปฏิบัติตามอาศัยศีลบริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์ ทำให้เกิดปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงถึงความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง เป็นจำนวนมากมายตามขั้นตอนแห่งบารมีของตน

ในรอบพันปี หลังจากพระพุทธองค์ทรงดับขันธปรินิพพานแล้วมหาชนชาวโลกที่พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์แพร่ขยายไปถึงก็ยังประพฤติดี ปฏิบัติชอบตามคำสอนของพระองค์ โดยถือมั่นว่าคำสั่งสอนนั้นเป็นตัวแทนของพระตถาคตเจ้าอยู่

ผู้ประพฤติปฏิบัติตามด้วยความอดทน พากเพียรพยายามไม่ท้อถอยก็ยังได้ประสบความสำเร็จ ได้บรรลุถึงโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีและอรหัตมรรคอรหัตผลอยู่เป็นจำนวนมาก ท่านเหล่านี้ได้ถึงความเป็นอริยบุคคล เป็นผู้ไม่ย้อนกลับมาสู่การเกิดดับ อันเป็นสมมติของชาวโลกอีกแล้ว

ส่วนท่านที่บุญบารมียังไม่เต็มเปี่ยม ต่างก็ได้ฌานตามกำลังของตน เช่น ฌาน ๑ ฌาน ๒ ฌาน ๓ จนถึง ฌาน ๔ หรือมิฉะนั้นก็ได้เป็นผู้ถือศีล ปฏิบัติสมาธิโดยเคร่งครัด เมื่อล่วงลับจากโลกมนุษย์นี้ไปแล้ว กุศลผลบุญก็ได้ส่งเสริมให้ไปบังเกิดเป็นเทวดา เป็นพรหมอยู่ในวิมานแดนสวรรค์ ส่วนจะยั่งยืนช้าเร็วเท่าใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเอง เพราะกุศลอันน้อยนิดยังเป็นโลกียชนอยู่ ย่อมเสื่อมได้ไม่พ้นจากอำนาจของกิเลสมาร ซึ่งเป็นเสมือนบ่วงที่ร้อยรัดสรรพสัตว์ไว้

คำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ไม่ถือว่าใครเป็นพระเจ้าถึงจะมีพระเจ้าที่ชาวโลกยกย่องในภายหลัง พระเจ้านั้นๆก็ไม่สามารถจะให้บุญให้บาปแก่ใครได้ แม้พระองค์เองก็มิได้ยกย่องพระองค์ว่าเป็นพระเจ้าของใคร เพราะพระเจ้าที่แท้จริงก็คือ มนุษย์ เอง และขึ้นอยู่กับการกระทำ ที่เรียกว่า กรรม ของตนเองทั้งสิ้น

มนุษย์นับว่ามีวาสนายิ่งกว่าสัตว์ใดในโลก มีสิทธิอันสมบูรณ์ที่จะเลือกทำกรรมดี หรือกรรมชั่วของตนเอง ถือว่าเป็นสัตว์อันประเสริฐซึ่งพระพุทธเจ้าทรงรับสั่งว่า เกิดเป็นมนุษย์นั้น ประเสริฐกว่าเกิดเป็นเทพ เป็นพรหมเสียอีก เพราะเทพพรหมถึงอย่างไรก็เป็นนามธรรม ไม่มีสังขารร่างกายที่จะทำกรรมสิ่งใดให้เป็นไปตามความประสงค์ได้ แม้จะรวมกำลังแรงให้เห็นเป็นรูปร่างได้ในบางครั้งบางโอกาส ก็เป็นเพียงภาพเนรมิตเท่านั้น

พระองค์ยังทรงชี้ให้เห็นว่า กรรมเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องสำคัญของมนุษย์และสรรพสัตว์ มนุษย์จะเกิดมาได้ก็เพราะกรรม เรียกว่ากรรมเป็นแดนเกิด มนุษย์จะสืบเชื้อสายเผ่าพันธุ์กันมาได้ ก็เพราะกรรมนั่นเอง

กรรมยังเป็นเครื่องจำแนกให้มนุษย์และสรรพสัตว์แตกต่างกันออกไป เกิดมารูปชั่วก็มี เกิดมารูปงามก็มี เกิดมารูปร่างสมบูรณ์ด้วยอาการ ๓๒ ก็มี เกิดมาพิกลพิการก็มี เกิดมาลำบากยากจนอดอยากก็มีเกิดมาร่ำรวยก็มี เกิดมาใจบาปหยาบช้าก็มี เกิดมาใจบุญกุศลก็มีและนี่แหละที่ถือว่าเป็นกฎเกณฑ์ประจำโลกมนุษย์เรา ท่านเรียกว่าเป็น กฎแห่งกรรม ที่ไม่มีใครจะเปลี่ยนแปลงได้ นอกจากมนุษย์เอง

กรรมนั้นเป็นเหตุ ถ้ามนุษย์เลือกทำกรรมดีเป็นกุศล ก็จะได้รับผลดีเป็นการตอบสนอง ถ้าทำกรรมชั่วเป็นอกุศล ก็จะได้รับผลชั่วไปด้วย เราสามารถจะมองเห็นผลของกรรมดีกรรมชั่วในโลกมนุษย์แห่งนี้ได้ง่ายๆ ถ้าเรารู้จักพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นมีขึ้นตามความเป็นจริง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มนุษย์จะต้องต่อสู้อย่างหนักหน่วงยิ่งกว่าสงคราม ก็คือ ความดีและความชั่ว หรือ กุศล อกุศล ซึ่งขึ้นอยู่ในจิตใจของตนเอง และส่วนมากก็มักจะพ่ายแพ้แก่อกุศลกรรม ซึ่งเป็นฝ่ายกิเลสมารร้ายไปครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะความอ่อนแอในจิตใจของตนอีกเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ สรรพสัตว์ทั้งหลายจึงคงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า "วัฏสงสาร" ชาติแล้วชาติเล่า ภพแล้วภพเล่า โดยไม่มีใครคิดสงสารตัวเองแต่อย่างใด ผู้พ่ายแพ้ต่ออกุศลกรรมดังกล่าวนี้ได้กลายเป็นหมู่สัตว์ชนิดหนึ่งไป เขาจะต้องชดใช้กรรมชั่วของเขาตามที่เขากระทำขึ้น

อันนี้เป็นสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ เป็นสัจธรรมที่มีประจำโลกจักรวาล อันไม่มีใครจะเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่ามนุษย์จะพัฒนาโลกให้เจริญก้าวหน้าไปสักเท่าใด ผลกรรม บุญบาปก็เป็นอยู่เช่นนั้น เช่นเดียวกับที่ทรงตรัสถึงความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทรงตรัสถึงไตรลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาซึ่งไม่ว่ามนุษย์ สรรพสัตว์ วัตถุที่คิดปรุงแต่ง ประดิดประดอยกันขึ้นมา จะต้องตั้งอยู่ในสภาพเดียวกันทั้งสิ้น

แม้กระพันพระธรรมคำสอนที่ตรัสไว้มากมายถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ พระองค์ก็ยังตรัสว่า เป็นเพียงใบไม้แห้งกำมือเดียวเท่านั้น พระธรรมคำสอนที่ยังมิได้ตรัสถึง ยังมีอีกมากเท่ากับใบไม้ในป่า

เพราะเหตุนี้กระมัง พระอริยเจ้าก็ดี ท่านผู้ใครถึงความเป็นพระอริยะก็ดี จึงยินดีชื่นชมที่จะเข้าไปค้นหาพระธรรมคำสอนในป่า อันเป็นที่สงัดวิเวก พระพุทธเจ้าเองก็ได้พบธรรมในป่า ทรงเกิดในป่าตรัสรู้ในป่า นิพพานในป่า พุทธสาวกในครั้งกระโน้น เมื่อบวชเรียนแล้ว พระองค์ก็ทรงชี้แนะให้ไปบำเพ็ญเพียรค้นหาธรรมในป่า

ธรรมในป่าที่พระองค์นำมาสอนชาวโลก ก็คือทางที่จะนำสัตว์ในพ้นจากวัฏสงสาร ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด ไม่ต้องตกอยู่ในอำนาจของไตรลักษณ์ และทำให้สามารถจะต่อสู้กับกิเลส ตัณหาจนถึงความพ้นทุกข์ได้ในที่สุด

ซึ่งโดยสรุปโดยย่อแล้ว อาวุธที่ทรงประทานให้ต่อสู้นั้น ก็คือ ศีลสมาธิ ปัญญา ซึ่งมีอานุภาพปราบได้ทั้งไตรจักร และหักหาญเอากิเลส ตัณหา ที่สิงอยู่ในจิตวิญญาณของมนุษย์และสรรพสัตว์มารวมไว้ในกำมือเดียว

แต่ช่างน่าสงสารนัก ที่ชาวโลกเป็นส่วนน้อยจะสนใจไยดีในเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อชำระความประมาทมัวเมากับกิเลสตัณหา ความโลภ ความโกรธ ความหลง เพื่อลดความยึดมั่นถือมั่นในรูปนามขันธ์ ๕ ให้หมดไป จะได้ถึงความพ้นทุกข์กันเสียที เพราะความทุกข์นี้ ดังได้กล่าวมาแล้วว่า ไม่มีพระเจ้าองค์ใดจะช่วยได้ นอกจากตัวของเราเอง

เอาล่ะ…จะอารัมภบทไปมากนัก ท่านผู้อ่านก็จะเบื่อหน่าย เพราะขึ้นชื่อว่าธรรมแล้ว นับเป็นสิ่งที่ชาวโลกเบื่อหน่ายมากที่สุด โดยเฉพาะธรรมะในพุทธศาสนานี้ มันสวนทางกับความนิยมพอใจของชาวโลกมาโดยตลอด

ชาวโลกเขานิยมชื่นชมกิเลส ตัณหา เขาพอใจความโลภ โกรธหลง เขาติดในรูป เวทนา สัญญา สังขาร ว่าเป็นของรักของชอบใจจนยึดมั่นว่าเป็นตัวเราของเรา ยึดมั่นได้เท่าไร สะสมมากเท่าไรก็จะพอใจยินดีผูกพันเหนียวแน่นไม่ยอมปล่อย แม้จะรู้ว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็รู้ไปตามสัญญาที่สืบต่อกันมา แต่ไม่ยอมรับ ไม่ยอมสนใจ นี่แหละที่ว่า โลกกับธรรมมันเดินสวนทางกันจึงอยากจะขอเล่าเรื่องสนุกๆให้ฟังกันบ้าง

ก่อนจะเล่า ก็ใคร่ขอเรียนให้ทราบโดยย่อ ถึงผลของการปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา เสียหน่อยว่า ผู้ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญานั้น จะได้รับผลเป็นขั้นตอนแตกต่างกันไป บางท่านได้เคยสร้างบุญบารมีมาเต็มเปี่ยมแล้ว อย่างเคยเป็นผู้บริจาคทานมาเป็นอันมากในอดีตชาติ เคยรักษาศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์มาในอดีตชาติ เคยปฏิบัติธรรมสมาธิมาเต็มขั้น หรือมีพื้นฐานมาก่อน ผู้นั้นก็สามารถจะบรรลุธรรมขั้นเสขบุคคลได้โดยง่าย

อย่างในพุทธกาลท่านกล่าวว่า เพียงได้ฟังพระธรรมของพระพุทธเจ้าจบลง ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน เป็นอนาคามี สกิทาคามี หรือเป็นพระอรหันต์ไปเลย

บางท่านบุญบารมียังไม่เต็มเปี่ยม ก็ยังต้องปฏิบัติต่อไปอีก เร็วบ้าง ช้าบ้าง บางทีก็ต้องปฏิบัติข้ามชาติข้างภพ อย่างได้โสดาบันแล้ว ยังไม่สำเร็จพระอรหันต์ในชาตินั้น ก็จะต้องไปเกิดอีกอย่างมากเพียง ๗ ชาติ

นอกจากนี้ก็ยังมีขั้นตอนของความสำเร็จอีก เช่น ขั้นต้น จะได้ขั้นขณิกสมาธิ ขึ้นไปอุปจารสมาธิ จนถึงขึ้นอัปปนาสมาธิ หรือได้ฌานที่ ๑ คือ ปฐมฌาน ฌานที่ ๒ คือ ทุติยฌาน ฌานที่ ๓คือ ตติยฌาน ฌานที่ ๔ คือ จตุตถฌาน ผู้ที่ได้ฌาน ๔ นี้ยังถือเป็นโลกิยฌานอยู่ ยังไม่ถึงขั้นโสดาบัน ได้แล้วไม่ปฏิบัติสืบเนื่องให้เกิดวสี คือความคล่องแคล่วชำนาญ ก็อาจเสื่อมได้ เพราะกิเลสตัณหา ความโลภ โกรธ หลง เพียงสงบลง แต่มันยังไม่ตายเด็ดขาดเมื่อกระทบสิ่งยั่วยุเข้า ก็เกิดขึ้นมาอีก

ผู้ปรารถนาความหลุดพ้น ต้องบำเพ็ญเพียรข้ามโลกิยฌานไปให้ถึงโลกุตรฌานอันดับแรก คือโสดาบันให้ได้ แม้กระนั้นกิเลสตัณหา ความโลภ โกรธ หลง ก็ยังมีอยู่ แต่ถือว่าเป็นขั้นไม่ย้อนกลับไปสู่อำนาจของกิเลสตัณหาแล้ว คือจะต้องขึ้นไปถึงธรรมที่สูงขึ้นไปจนบรรลุถึงอรหัตผล จึงจะพ้นวัฏสงสาร ไม่เกิด ไม่ตายได้เด็ดขาด

เพียงขั้นโลกิยฌานนี้ ก็ทำให้มีฤทธิ์ได้ เช่น ได้ตาทิพย์ หูทิพย์ระลึกชาติได้ เป็นต้น แต่เป็นการได้ในวงแคบ เช่น เห็นได้ไม่ไกลได้ยินไม่ได้ไกล หรือระลึกชาติถอยหลังไปได้เพียง ๔-๕ ชาติ ไกลกว่านั้นไม่ได้ ถ้าไปถึงขั้นโลกุตระแล้ว ก็จะเห็นได้ไกล รู้ได้ไกลยิ่งขึ้น และเห็นชัดเจนถูกต้องมากกว่า เอาแค่นี้ก่อน



ควรอ่านพร้อมกับโยนิโสมนสิการ สาธุ สาธุ
 

_________________
ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
walaiporn
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ

ตอบตอบเมื่อ: 20 ก.ย. 2008, 12:05 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ภิกษุนิรนามท่านนี้คือ หลวงปู่เณรคำ
 

_________________
ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง