Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ทำดีให้ดีปรากฏ (ท่านปิยโสภณ)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ทัพหลวง
บัวเริ่มพ้นน้ำ
เข้าร่วม: 28 มิ.ย. 2008
ตอบ: 161
ตอบเมื่อ: 07 ก.ย. 2008, 8:27 am
ข้าพเจ้าเขียนหนังสือเรื่อง
ทำดีให้ดีปรากฏ
เล่มนี้ด้วยเหตุผล ๒ ประการคือ ต้องการยืนยันว่า ทำดีดีจริง ทำชั่วชั่วจริง หว่านพืชเช่นใดได้รับผลเช่นนั้นจริง ความดีเหมือนเกลือ เกลือจะไม่เค็มก็ต่อเมื่อถูกเจือจ้างด้วยน้ำที่มากเกินปริมาณ ดีจะยังไม่ให้ผลเป็นดี เพราะถูกบดบังด้วยดีปลอม ดีเทียม ประการที่ ๒ คือให้คนเชื่อกฎแห่งความดีและความชั่ว ที่ให้ผลข้ามภพข้ามชาติว่าเป็นความจริง ความล้มเหลวของระบบศีลธรรม เกิดจากสังคมไม่มั่นใจในเรื่องทำดีได้ดี ยังคลางแคลงสงสัยการให้ผลของกรรมซึ่งมีทั้งระยะสั้นระยะยาว คือให้วันนี้ พรุ่งนี้ ชาตินี้ หรือตามไปให้ข้ามภพข้ามชาติ เมื่อคิดสั้นไม่คิดยาว ต้องการเห็นผลทันที ก็อาจปฏิเสธอดีตอนาคตที่เป็นภพชาติไปได้ ระบบศีลธรรมถูกทำลายเพราะสังคมเรื่องสงสัยเรื่องการให้ผลของกรรมและเรื่องภพชาติระยะยาว
.............เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้สังคมคิดพึ่งพาเฉพาะกฎหมาย คือการให้ผลระยะสั้น ไม่สนใจกฎแห่งกรรมที่จะให้ผลระยะยาว ในที่สุด คนทำดีจึงหมดแรงทำดีต่อไป เพราะเห็นว่าดีที่ทำนั้นไม่ยอมให้ผลสักที บ่นว่านานเกินรอ ความจริงเขาลืมนึกไปว่า
ความดีเป็นไม้ยืนต้น ชื่อเสียงเกียรติยศลาภสักการะบริวารเป็นไม้ล้มลุก
ดีแท้ต้องใช้เวลาบ่มเพาะปลูกฝังนานมาก กว่าไม้นั้นจะเจริญเติบโต มีแก่นแข็งแร็งพอจะทำเสาเรือนได้ บางครั้งกินเวลานานถึง ๖๐ ปี
.............ความดีมีพลังยิ่งใหญ่ ความดีเหมือนดวงอาทิตย์ ปกติดวงอาทิตย์ทอแสงตลอดเวลา การที่โลกมืดในเวลากลางคืนมิได้หมายความว่าพระอาทิตย์หยุดทอแสง หากแต่เพราะโลกหมุน และมุมโลกอีกด้านไปรับแสงอาทิตย์แทน ทำให้อีกด้านมืด และอีกด้านสว่างสลับกันไป การที่ความดียังไม่ให้ผล มิได้หมายความว่าดีที่ทำไว้ไร้ผล การที่โลกเรายังมืดก็เพราะโลกยังหมุนตัวไปไม่ถึงแสงอาทิตย์ เรารอเพียงไม่กี่ชั่วโมง โลกก็สว่างแล้ว
.............ความดีอยู่ที่จิต จิตของมนุษย์เหมือนดวงอาทิตย์ แต่มีพลังยิ่งใหญ่กว่าดวงอาทิตย์หลายล้านเท่า จิตไม่เคยหยุดฉายแสง แสงของจิตคือความคิดหรือปัญญา เหมือนอาทิตย์ไม่เคยหยุดอุทัยแสง แต่ที่เรารู้สึกมืดบอดทางความคิดในบางครั้ง ท้อใจในบางคราว ก็เพราะดวงปัญญาถูกเมฆหมอกคือกิเลสปิดบัง จึงทำให้มองเห็นกรงจักรเป็นดอกบัว อาจเป็นเพราะสังคมพาไป เพราะค่านิยมที่คนส่วนใหญ่สร้างขึ้นมา แต่เมื่อถึงวัยอันสมควรแล้ว ทุกชีวิตก็ล้วนพูดเป็นภาษาเดียวกันว่า ชีวิตเหมือนละคร สุดท้ายต่างก็หาทางวางสิ่งที่เคยแบกหามมาอย่างหนักในชีวิต ทั้งเกียรติยศ ลาภ สักการะ หรือแม้แต่สังขารของตนก็ต้องละทิ้งไม่ยอมหอบหิ้วข้ามภพชาติไปด้วย ดังโคลงพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๕ ว่า
.............พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง.............โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี
.............นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์.............สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา
...................ฝูงชนกำเนิดคล้าย............. คลึงกัน
.............ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ............. แผกบ้าง
.............ความรู้อาจเรียนทัน ..................กันหมด
.............ยกแต่ชั่วดีกระด้าง ...................อ่อนแก้ฤาไหว
..................................................................ปิยโสภณ
http://www.rama9temple.org/index.php?topgroupid=1&groupid=%20%20%20%20%209&subgroupid=&contentid=40
ทัพหลวง
บัวเริ่มพ้นน้ำ
เข้าร่วม: 28 มิ.ย. 2008
ตอบ: 161
ตอบเมื่อ: 07 ก.ย. 2008, 8:28 am
การทำดีคือการปลูกไม้ยืนต้น กว่าจะให้ผลต้องใช้เวลานาน บางครั้ง ต้องใช้เวลาให้ผลข้ามภพข้ามชาติ ดูตัวอย่างการสร้างบารมีของพระพุทธองค์ กว่าจะบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้า ต้องเกิดตายหลายภพ เพื่อสร้างบารมีอย่างต่อเนื่อง นั่นเป็นการพิสูจน์เรื่องกรรมและการให้ผลของกรรมที่ดียิ่ง
การทำดีในโลกปัจจุบัน ผลที่ต้องการมักเป็นไปคนละด้าน บางคนทีดีเพื่อความดี แต่มีไม่น้อยทำดีเพื่อเอาเด่นเอาดังเอาผลเป็นโลกธรรม
.............การทำดีให้ปรากฏผล โดยที่คนไม่ปรากฏตัว เป็นการปิดทองหลังพระ เป็นการทำดีแท้ เมื่อใดดียังไม่ปรากฏผล แต่คนปรากฏตัว ความดีจะวิ่งหนี เหลือเพียงความเด่นดัง ความดีให้ผลสุขใจ แต่เด่นดังจะมีภัยจากอิจฉา
.............ชาวพุทธทุกคน ได้รับคำสอนทางพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็กว่า หว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
.............คำสอนนี้ หลายคนบอกว่าจริงแท้แน่นอนเพราะได้พิสูจน์ด้วยตนเองแล้ว แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยทีเดียว ยังสงสัยว่า เป็นจริงอย่างที่พระพุทธองค์ตรัสไว้หรือไม่ และมีไม่น้อยที่ปฏิเสธไปเลย เพราะทำดีอย่างไร ก็ยังไม่ได้รับผลดีตอบแทน
.............คำสั้น ๆ เพียง ๒ ประโยคนี้ ได้ทำให้ข้าพเจ้าต้องขบคิดมากว่า ความดีคืออะไรกันแน่ ทำอย่างไรเรียกว่าทำความดี ผลของความดีปรากฏที่ไหน นานเท่าไรความดีจึงจะให้ผล
.............การทำดีเหมือนการเพาะปลูก ข้าพเจ้าขอให้ท่านผู้อ่านมองภาพของเกษตรกรที่กำลังปลูกพืช พืชแต่ละชนิดไม้แต่ละพันธุ์ให้ผลเร็วช้าต่างกัน พืชบางชนิดให้ผลเร็วภายใน ๗ วัน บางชนิด ๑ เดือน บางชนิด ๔ เดือนเช่นปลูกข้าว บางชนิด ๑ ปี บางชนิด ๕ ปี แต่ถ้าเราต้องการแก่น มิใช่ผล ไม้ยืนต้นบางชนิดต้องใช้เวลานานถึง ๒๐-๓๐ ปี จึงจะมีแก่นแข็งแรงพอจะทำเสาได้ ความดีที่เราทำลงไปก็เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่า เราทำดีอะไร และหวังผลอย่างไร
.............บางคนใช้การตลาดมาประชาสัมพันธ์ความดี ทำให้ดีดูดี แต่อาจเป็นดีที่ไร้แก่น เพราะดีนั้นเห็นผลเร็วเหมือนผักชีหรือถั่วงอก เป็นเหมือนไม้ยืนต้นไม่ยั่งยืน ซึ่งดีชนิดนี้กำลังเกิดขึ้นอย่างดาดดื่นในสังคมไทย
.............เมื่อมองดูหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาที่ว่า ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส แล้ว จะเห็นว่า การทำดีให้ปรากฏ จะอยู่ตรงกลางระหว่างการละชั่ว และการทำใจให้ผ่องใส แปลว่า เราจะลงมือทำดีอย่างเดียว โดยไม่ละชั่วไม่ได้ เมื่อละชั่วแล้ว ต้องทำดีด้วย และเมื่อทำดีแล้ว ต้องดูว่าใจเราผ่องใสหรือยัง ถ้ายังขุ่นมัวไม่สบายใจ เมื่อคิดถึงดีที่ทำไว้แล้วยังไม่ภาคภูมิใจ ก็ชื่อว่าดีแท้ยังไม่ปรากฏผล
.............แปลว่า ก่อนจะลงมือทำดี ต้องละชั่วให้ได้ก่อน ถ้าละชั่วยังไม่ได้แต่ไปทำดีผสมชั่ว ก็เหมือนทาสีขาวผสมกับสีอื่นๆ ซึ่งย่อมจะไม่ได้สีขาวบริสุทธิ์ วิธีละชั่ว ท่านเน้นไปที่รักษาศีล ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการละเมิดศีล ๕ ข้อเป็นโทษอาญา ก่อการทะเลาะ ชีวิตหมดศักดิ์ศรี สังคมไม่ไว้วางใจ ประสบอุบัติเหตุ ทำให้ชีวิตเราเดือดร้อนได้ภายในพริบตา บัญญัติ ๕ ประการนี้ เป็นพื้นฐานในการปกครองของรัฐ เป็นแม่แบบในการออกกฎหมายทุกประเภทในสังคม
.............การทำดีผสมชั่ว ย่อมไม่ต่างอะไรกับผสมสีผิดสูตร อยากได้สีขาวเนียน แต่กลับผสมสีดำคือความชั่ว ใส่สีแดงคือความริษยาลงไปด้วย ย่อมปรากฏผลตรงกันข้าม
.............ข้าพเจ้าขอย้ำว่า นอกจากละชั่วทิ้ง และหมั่นทำดีเพิ่มแล้ว เรายังจะต้องพิจารณาอีกว่า ดีที่ทำลงไปนั้น ทำให้ใจเราผ่องใสได้หรือไม่ จะผ่องใสหรือไม่นั้น ขอให้ดูที่ว่า เราภูมิใจในความดีที่ทำหรือไม่
บางคนทำดีเพราะต้องการผลอย่างอื่น คือใช้ความดีเป็นเครื่องหมายการค้า เหมือนนักการเมืองที่ไม่ดี มักกล่าวอ้างประชาชน ไม่หาทางทำดีให้ดีปรากฏผล แต่ชอบทำตนให้ปรากฏ โดยที่ประชาชนไม่ภาคภูมิใจ
.............มีไม่น้อยที่ทำดีเพราะจะได้เกียรติในวันข้างหน้า ทำดีเพราะต้องการยศถาบรรดาศักดิ์ ทำดีเพราะหวังว่า เขาจะยกย่องเรา ให้รางวัลสำคัญแก่เราในรูปแบบต่างๆ
.............เมื่อใดเราตั้งเป้าทำดีมิใช่เพื่อให้ดีปรากฏผลเป็นความภูมิใจ เป็นใจที่ผ่องใส เป็นอุปกรณ์ขัดเกลาจิตใจเรา แต่ต้องการให้คนยกย่องว่าตัวเราดี หรือเพื่อคะแนนเสียงในวันข้างหน้า เมื่อนั้นเราจะไม่ได้พบดีแท้ในชีวิตเลย
.............การทำดีเพื่อรอคอยให้คนยกย่องเป็นดีเทียม คนที่จะมายกย่องเรา เรากำหนดเขาให้ทำตามที่เราปรารถนาไม่ได้ แต่ถ้าตั้งเป้าขอทำดีให้ดีปรากฏ ทุกอย่างก็จะหมดปัญหา
.............ถ้าเปรียบความดีเหมือนสีขาว ดีที่ทำลงไปด้วยการหวังผลจากคำยกย่องของคนอื่น ย่อมไม่ต่างจากการ..ผสมสีดำสีแดงสีเขียวลงไปในสีขาวนั้นด้วย เมื่อนำไปทาผนัง จะบอกได้อย่างไรว่า นั่นคือสีขาวบริสุทธิ์
.............ฉะนั้น เมื่อเราจะพิสูจน์ว่า ดีที่ทำนั้น เป็นดีแท้หรือดีเทียม จึงต้องพิสูจน์กันที่คำว่า ดีนั้นได้ทำให้จิตใจเราผ่องใสหรือไม่
.............ความผ่องใสเกิดจากการล้างสนิมใจในตัวเราเอง คำยกย่องจากคนอื่น ถือเป็นผลพลอยได้ ดีแท้ต้องเกิดจากภายในก่อน คำยกย่องในบางครั้งอาจไม่ได้ล้างสนิมใจ แต่อาจเพิ่มสนิมใจให้มากขึ้นทั้งแก่ตัวเรา และคนอื่นที่จ้องอิจฉาพยาบาทเราอยู่รอบด้าน
.............ข้าพเจ้าได้มองเห็นชัดเจนตลอดมาว่า ความดีมีหลายแบบ ความดีแต่ละอย่างก็ไม่เหมือนกัน ดีสากลมีแน่ แต่ดีตามที่มนุษย์บัญญัติเองนั้นมีมากกว่า เป็นความดีที่ขึ้นอยู่กับสภาพสังคม พรรค พวก และความเชื่อถือของกลุ่ม
.............ด้วยเหตุนี้ ดีที่เราหวังจากคนอื่น จึงต่างจากดีที่ทำให้ใจเราผุดผ่องโดยตรง ดีที่คนอื่นยกย่อง จึงแตกต่างกันสิ้นเชิงจากดีที่ขัดสนิมใจของเราได้ ดีที่เราทำลงไปวันนี้ จึงอาจต่างกันสิ้นเชิงจากดีที่สังคมบัญญัติไว้ ท่านยอมที่จะลงมือทำดีตามหลัก ๓ ประการหรือไม่
.............ถ้าวันนี้เราทำดีแล้ว แต่ยังคิดว่า ทำไมชีวิตเราจึงยังไม่ได้ดี ข้าพเจ้าขอให้ทบทวนความดีด้วยหลักง่ายๆว่า อาจเป็นเพราะเรารอคอยความหวังจากคนอื่นมายกย่องมากเกินไป มิใช่ตั้งใจทำดีเพื่อให้ดีปรากฏผล
.............อาจเป็นเพราะเรายังทำดีไม่ถึงดี อาจเป็นเพราะเราทำดีเกินพอดี อาจเป็นเพราะเราทำดีไม่ถูกดี หรืออาจเป็นเพราะเราทำดีเพื่อให้คนอื่นบอกว่าดี มิใช่ทำดีเพื่อล้างสนิมใจ มิใช่ทำให้ใจเราเองผ่องใส หรือบางครั้ง ขณะทำดีก็อาจยังละชั่วไม่ได้ แปลว่าดีก็ทำชั่วก็ทำ จึงทำให้ความดีคือสีขาวบริสุทธิ์ของเรานั้น ถูกผสมด้วยสีอื่นๆตลอดเวลา แทนที่ผลจะออกมาเป็นสีขาว ก็กลายเป็นสีเทา สีคล้ำ สีมังคุดไปได้อย่างน่าเสียดาย แล้วเราจะโทษใคร
.............ข้อต่อมา จะต้องถามใจเราเองอีกว่า ดีที่ทำนั้น ทำให้เราภาคภูมิใจหรือไม่ ดีนั้นได้ทำให้ใจของเราเบิกบานหรือไม่ หรือว่า เราทำเพื่อหวังผลอย่างอื่นมากกว่าตัวความดีแท้ๆ ต้องถามว่า เราทำดีเพื่อบูชาคุณแผ่นดิน หรือทำดีเพราะคะแนนเสียง เราเรียนหนังสือเพื่อให้ได้ความรู้จริง หรือเรียนเพื่อให้ได้คะแนนดีกันแน่
.............แม้ว่าคะแนนจะมีความหมายแต่ความรู้คือของแท้ แม้การยกย่องจากคนอื่นจะมีความจำเป็น การที่เขายกย่องเรา ก็ให้ถือเป็นการกระตุ้นให้เราทำดียิ่งๆขึ้นไป และป้องกันไม่ได้เราทำชั่วอีก การยกย่องจากคนอื่น จึงยังมิใช่ผลของความดี เราต้องไม่หลงดี อวดดีที่คนยกย่องเรา
.............เปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายเหมือนนักเรียนทำการบ้าน คะแนนที่ครูให้ อาจจะมิใช่ความรู้ที่นักเรียนมี นักเรียนต้องมั่นใจว่า ตนเองรู้และเข้าใจวิชานั้นจริงๆ จึงควรยอมรับคะแนนจากครู มิใช่ลอกการบ้านจากเพื่อนแล้วภูมิใจที่ได้คะแนนดีจากครู
.............ดีแท้ต้องอยู่เหนือการยกย่องของคนอื่น ดีจริงต้องอยู่เหนือประกาศนียบัตร ยศถาบรรดาศักดิ์ ดีบริสุทธิ์ ต้องอยู่เหนือคำชื่นชมของคนอื่น จึงจะทำให้ใจของเราผ่องใสได้ เพราะเป็นความดีที่ทำให้ใจมีอิสรภาพอย่างแท้จริง
.............เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้แล้ว ก็จะทำให้เราไม่ต้องกล่าวโทษตนเองว่าทำดีไม่ได้ดี และยังกล่าวหาคนอื่นให้เป็นโทษอีกว่า ทำไมเขาไม่เห็นความดีของเราเลย เป็นความน้อยใจ เสียใจ และหมดกำลังใจ
หากเรายังไม่ทำความเข้าใจจุดนี้ให้ถูกต้อง เราก็จะเป็นทุกข์ตลอดเวลา ความเข้าใจผิดนี้ ได้ทำให้คนไม่น้อยหงุดหงิดกับคำสอนเรื่องทำดีได้ดีนี้อย่างมาก หนักเข้าพาลเลิกทำดี หรือหันกลับมาทำชั่วประชดดีก็มีไม่น้อย
.............เมื่อท่านทราบอย่างนี้แล้ว ก็ต้องกลับมาคิดทบทวนชีวิตใหม่ว่า เราจะตั้งเข็มทิศชีวิตไว้อย่างไร
http://www.rama9temple.org/index.php?topgroupid=1&groupid=%20%20%20%20%209&subgroupid=&contentid=41
บัวหิมะ
บัวเงิน
เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273
ตอบเมื่อ: 08 ก.ย. 2008, 2:20 pm
ถึงทำดีแล้ว ดีไม่ปรากฏ ก็ไม่ท้อในการทำดีจ้า
_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
ฌาณ
บัวเงิน
เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์
ตอบเมื่อ: 11 ก.ย. 2008, 7:54 pm
_________________
ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th