Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
...ความรู้คู่สุขภาพ...
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
นานาสาระ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 10 ก.ย. 2008, 3:12 pm
ความดันสูงถ่ายทอดถึงลูกชาย
ทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ในสหรัฐฯ ได้ศึกษาจากอาสาสมัครเพศชาย 1,160 คนที่ทำแบบสอบถามด้านสุขภาพขณะยังเป็นนักศึกษาในปี 1947 และทำแบบสอบถามประจำปีต่อเนื่องตลอด 54 ปีต่อมาเกี่ยวกับความดันโลหิต การวินิจฉัยและรักษาอาการความดันสูงของตนเองและของพ่อแม่
เมื่อเริ่มต้นการศึกษา อาสาสมัคร 264 คน (23%) มีผู้ปกครองอย่างน้อยหนึ่งคนความดันสูง และ 20 คนเป็นทั้งพ่อและแม่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปนับสิบปี พบผู้ที่มีพ่อหรือแม่หรือทั้งคู่เป็นโรคความดันสูงเพิ่มขึ้น 583 คน ทำให้สัดส่วนผู้ที่ผู้ปกครองอย่างน้อยคนใดคนหนึ่งเป็นโรคนี้เพิ่มเป็น 60% และเป็นทั้งสองคน 14%
สุดท้าย นักวิจัยพบว่าผู้ที่พ่อหรือแม่หรือทั้งคู่ความดันสูง ลูกชายจะมีระดับความดันโลหิตเฉลี่ยสูงกว่าปกติเช่นเดียวกันเมื่อเริ่มต้นการ ศึกษา และมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคดังกล่าวเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ โดยเฉพาะหากพ่อแม่เริ่มเป็นตั้งแต่ยังหนุ่มสาว ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นถึง 20 เท่าที่ลูกชายจะมีอาการเดียวกันเมื่ออายุ 35 ปี
ผู้ป่วยเบาหวานกว่า 5 แสน เสี่ยงตาบอด 25 เท่า
จากการสำรวจคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ล่าสุดในปี 2547พบเป็นโรคเบาหวานร้อยละ 7 หรือประมาณ 3 ล้านคน โดยพบในเขตกรุงเทพฯสูงสุด เฉลี่ยร้อยละ 11 ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่ตรวจพบเกินครึ่งไม่รู้ตัวว่าเป็นโรค โดยมีผู้ป่วยเบาหวานประมาณ 4 แสนรายหรือประมาณร้อยละ 12 เท่านั้นที่สามารถปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ ทำให้การรักษาได้ผลดี
นพ.เรวัต วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานานหลายปี จะมีผลทำให้เส้นเลือดฝอยทั่วร่างกายเปลี่ยนแปลง ส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะที่สำคัญ โดยเฉพาะที่ตา ทำให้ผนังหลอดเลือดในจอประสาทตาเกิดความผิดปกติ มีเลือดออกในตา น้ำวุ้นตาขุ่นมัว จอประสาทตาลอก หรือที่เรียกว่าเบาหวานขึ้นตา และทำให้ตาบอด ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ตาบอดเป็นอันดับ 2 รองจากตาต้อกระจก ขณะนี้พบผู้ป่วยเบาหวานขึ้นตาประมาณร้อยละ 20 ของผู้ป่วยหรือประมาณ 5 แสนคน มีความเสี่ยงตาบอดสูงกว่าผู้ป่วยทั่วไป 25 เท่าตัว
เอวหนาเสี่ยงสูงเป็นอัลไซเมอร์
ชายและหญิงวัยเลข 4 นำหน้าที่เอวหนาเป็นกาละมัง มีแนวโน้มสูงกว่าปกติ 3 เท่าที่จะเป็นโรคความจำเสื่อมร้ายแรงชนิดนี้เมื่ออายุล่วงเข้าวัย 70 ปี ผู้เชี่ยวชาญยอมรับว่า ไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนว่าเหตุใดรอบเอวที่หนาขึ้นจึงมีผลต่อสมอง แม้ไขมันช่วงกลางลำตัวมีการเผาผลาญได้ดีกว่าไขมันบริเวณสะโพกก็ตาม กระนั้น เชื่อว่าสาเหตุอาจมาจากการที่ไขมันมีความเกี่ยวโยงกับปัญหา อาทิ ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และระดับคลอเรสเตอรอลสูง
งานวิจัยอีกชิ้นเชื่อมโยงโรคอ้วนกับโรคหลอดเลือด ซึ่งมีบทบาทสำคัญกับโรคสมองเสื่อม ส่วนหนึ่งจากการที่ไขมันไปอุดตันหลอดเลือดแดงในการวิจัยล่าสุดบ่งชี้ว่า ขณะที่มาตรฐานการวัดระดับความอ้วนด้วยดัชนีมวลกาย อาจช่วยในการทำนายความเสี่ยง แต่ขณะเดียวกัน ไลฟ์สไตล์ที่ทำให้รอบเอวหนาก็อาจเกี่ยวโยงใกล้ชิดกับสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค สมองเสื่อมในระยะยาว
นักวิจัยอเมริกันได้วัดระดับไขมันบริเวณหน้าท้องของอาสาสมัคร 6,583 คนที่อายุระหว่าง 40-45 ปี ในทศวรรษ 1960-1970 ผ่านไป 36 ปี อาสาสมัคร 16% ตรวจพบเป็นโรคสมองเสื่อม โดยคนที่มีชั้นไขมันรอบเอวหนาที่สุดเมื่ออายุ 40-49 ปี มีแนวโน้มเป็นโรคดังกล่าวเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าเมื่อเทียบกับคนที่มีไขมันรอบเอวน้อยที่สุด
กินผงชูรสมากอันตราย!!
นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย กล่าวถึงอันตรายจากการกินผงชูรสในปริมาณที่มากเกินไปว่า ปัจจุบันผู้บริโภคส่วนใหญ่กำลังนิยมใส่ผงชูรสในอาหารจำนวนมากขึ้น โดยเชื่อว่าผงชูรสจะช่วยเพิ่มรสชาติอาหารให้อร่อย ซึ่งในความเป็นจริงนั้น ผงชูรสจะละลายไขมันให้ผสมกลมกลืนกับน้ำ ทำให้มีรสเหมือนน้ำต้มเนื้อ และกระตุ้นปุ่มปลายประสาทของลิ้นกับคอทำให้อาหารมีรสหวานอร่อย แต่ถ้าหากกินมากเกินไปอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการแพ้ผงชูรสที่เรียกว่า ไชนีสเรสเตอรองต์ซินโดรม หรือรู้จักกันในชื่อของโรคภัตตาคารจีน ทำให้รู้สึกชาที่ปาก ลิ้น ปวดกล้ามเนื้อบริเวณโหนกแก้ม ต้นคอ หน้าอก หัวใจเต้นช้าลง หายใจไม่สะดวก ปวดท้องคลื่นไส้ อาเจียน กระหายน้ำ นอกจากนี้ บริเวณผิวหนังบางส่วนอาจมีผื่นแดงเนื่องจากเส้นเลือดรอบนอกบางส่วนขยายตัว และในผู้ที่แพ้ผงชูรสมากๆ จะเกิดอาการชาบริเวณใบหน้า หู วิงเวียน หัวใจเต้นเร็ว จนอาจเป็นอัมพาตตามแขนขาชนิดชั่วคราวได้ แต่อาการเหล่านี้จะหายเองภายในเวลา 2 ชั่วโมง หากไม่มีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ อีก โดยเฉพาะหญิงมีครรภ์ไม่ควรกินผงชูรสเด็ดขาด เพราะอาจส่งผลต่อมารกในครรภ์ได้ สำหรับทารกแรกเกิดถึง 3 เดือนนั้น หากได้กินผงชูรสเข้าไปจะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของสมองในเด็กวัยนี้อีกด้วย
การกินผงชูรสมากเกินไปนอกจากจะเสี่ยงต่ออาการแพ้ผงชูรสแล้ว ยังเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายจากผงชูรสปลอมอีกด้วย
เตือนอาหารเสริมอาจให้โทษถึงชีวิต
คณะนักวิจัยในประเทศเดนมาร์กเผยรายงานการศึกษาผลของการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริม อาหารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) โดยระบุว่าอาหารเสริมจำพวกวิตามินต่างๆ ที่มีการกล่าวอ้างว่ามีฤทธิ์ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ แท้จริงแล้วไม่ได้ช่วยยืดอายุของผู้บริโภคให้ยืนยาวได้จริง ซ้ำร้ายกลับเพิ่มความเสี่ยงต่อชีวิตมากขึ้นอีกด้วย
คริสเตียน กลัด แพทย์จากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก หนึ่งในผู้วิจัยเผยว่า จากการวิเคราะห์ผลการศึกษา 68 กรณี ในประชากร 232,606 คน พบว่าการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทต้านอนุมูลอิสระ ทั้งวิตามินเอ, อี และซี ไม่ได้ส่งผลดีต่อสุขภาพหรือช่วยให้อายุยืนยาวกว่าปกติเลยแม้แต่น้อย
ที่แย่ไปกว่านั้นในงานวิจัย 47 กรณี ที่ศึกษาในประชากรจำนวน 180,938 คน ซึ่งบริโภควิตามินเสริมทั้งในปริมาณปกติหรือมากเกินขนาดในแต่ละวัน และกลุ่มตัวอย่างที่บริโภควิตามินจำลอง พบว่าผู้ที่บริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังกล่าวมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต มากขึ้น
นอกจากนี้ นักวิจัยยังพบว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเบตาแคโรทีนยังเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปอดในผู้ที่สูบบุหรี่อีกด้วย
ทว่า ณ ปัจจุบันนี้นักวิจัยเริ่มตระหนักกันแล้วว่าสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำงานได้ดี และสามารถป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพจะต้องเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ ร่างกายได้รับจากการกินอาหารตามปกติ ไม่ใช่ได้จากการกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ดังนั้นผู้ที่กินอาหารที่มีประโยชน์และมีวิตามินสูงก็จะมีสุขภาพแข็งแรง มากกว่าได้อย่างง่ายๆ
ผลวิจัยชี้ทำงานนั่งโต๊ะ
เสี่ยงทักทายมะเร็งต่อมลูกหมาก
ผู้ชายที่ทำงานราชการ ครู หรือในสำนักงาน มีแนวโน้มเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากมากกว่าคนที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อาบเหงื่อต่างน้ำ เช่น ผู้ใช้แรงงาน ช่างตัดผม และคนทำขนมปังขนมอบ
ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอเธนส์ กรีซ ศึกษาผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมาก 320 คน และเปรียบเทียบกับผู้ชายอีกกลุ่มที่ไม่ได้เป็นโรคนี้ ผลที่ออกมาบ่งชี้ว่า ผู้ชายที่ทำงานในสำนักงานมีแนวโน้มเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากเพิ่มขึ้น 30% และ 40% สำหรับโรคต่อมลูกหมากโต ที่ทำให้มีปัญหาในการปัสสาวะ และแม้ไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ก็จำเป็นต้องผ่าตัด
อนึ่ง ความเสี่ยงของโรคนี้จะเพิ่มขึ้นตามวัย โดยผู้ชายที่อายุ 50 ปีขึ้นไปมีโอกาสเป็นมากขึ้น นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยทางพันธุกรรมมาเกี่ยวข้องด้วย
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 93 ส.ค. 51 โดย ธาราทิพย์)
คัดลอกจาก...ผู้จัดการออนไลน์
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
นานาสาระ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th