Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ถามผู้รู้เรื่องพระพุทธเจ้าปรินิพพาน อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
กตัญญุตา
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 29 มิ.ย. 2008
ตอบ: 73

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ย. 2008, 2:58 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมื่อก่อนเข้าใจว่าท่านดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้วคือไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่มีตัวตนอีกแล้วใช่ไหมคะ คือไม่เหลืออะไรอีกแล้ว เรียกว่าสูญไปแล้ว แต่พอมาหลังๆ ได้อ่านเกี่ยวกับบางท่านที่บอกว่าได้ฝึกมโนมยิทธิ ได้พบพระพุทธเจ้า ได้ฟังเทศน์จากท่าน อะไรอย่างนี้ เลยทำให้คิดว่าหรือท่านยังมีอยู่ เพียงแต่ไม่มีเกิด ไม่มีตาย แต่ท่านยังอยู่เบื้องบน และเหมือนเคยอ่านเจอในหนังสือว่าเทวดาก็มีการฟังธรรมด้วย แล้วใครเป็นผู้เทศน์บรรยายธรรมให้แก่เทวดาที่อยู่บนสวรรค์คะ ใช่พระพุทธเจ้าหรือเปล่า

รบกวนผู้รู้ช่วยเข้ามาให้ความกระจ่างด้วยค่ะ ขอบพระคุณมาก ๆค่ะ .. สาธุ
 

_________________
สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดจะเกิดปัญหา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ย. 2008, 6:10 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความหมายพระนิพพาน ในพระไตรปิฏก อรรถกถา ครับ

http://larndham.net/index.php?showtopic=24144&st=1

------------------------------------------------------------

นิพพานในความหมายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
http://larndham.net/index.php?showtopic=23173&st=0

(บางความเห็นอาจจะไม่ต่อเนื่องนะครับ เพราะระบบฐานข้อมูลมีปัญหา ช่วงหนึ่ง )
-----------------------------------------------------------

เมื่อก่อนก็เคยศึกษา วิชาธรรมกาย และ มโนมยิทธิ เพราะชอบเรื่องปาฏิหาริย์

แต่เมื่อมาพบปาฏิหาริย์ในการแสดงธรรมของหลวงพ่อเสือ ทิฏฐิจึงเปลี่ยนไปครับ


แดนนิพพานหรือเมืองนิพพานอยู่ที่ไหน
http://larndham.net/index.php?showtopic=23173&st=128


อ้างอิงจาก:
นิพพาน แปลว่าพ้นจากเครื่องร้อยรัดพันธนาการ คือพ้นจากตัณหานั่นเอง ตัณหาคือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ทุกข์คือสิ่งที่มีจริงอยู่ทุกวัน สมุทัยคือตัณหานั่นเอง สมุทัยคือตัวที่ทำให้เกิดทุกข์ ตราบใดที่ยังมีความต้องการอยู่ ตราบนั้นชีวิตต้องเปลี่ยนไปอย่างนั้น ไปอย่างนี้ ไปอย่างโน้นตลอดเวลา นิพพานเป็นการสิ้นสุดตัณหา ความหมายของพระนิพพานมี ๕ ประการคือ

๑. เป็นพระปรมัตถ์อย่างหนึ่งที่เข้าถึงได้ทุกคน มีอยู่โดยเฉพาะ ไม่มีการเสริมแต่งได้อีกต่อไป
๒.เป็นธรรมที่ไม่ตาย คือไม่มีทั้งการเกิดและการตาย
๓.เป็นธรรมที่เที่ยงแล้ว คือพ้นจากความเป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
๔.เป็นธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัยใด ๆ ทั้งสิ้น
๕.เป็นธรรมที่ประเสริฐยิ่ง หาธรรมอื่นเสมอเหมือนไม่ได้

คุณลักษณะของพระนิพพานมี ๓ อย่าง คือ
๑.มีความสงบจากกิเลสและขันธ์ เป็นลักษณะ
๒.มีความไม่แตกดับ เป็นกิจ
๓.ไม่มีนิมิตเครื่องหมายใด ๆ ที่จะไปถึง เป็นผลปรากฏ

ผู้ที่ถึงมรรคผลนิพพานนั้นไม่มีโอกาสกลับมาเล่าอีกแล้วเพราะว่าไม่เกิด ทวารดับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่มีอีกแล้ว ฉะนั้นคนที่นั่งสมาธิไปนี้ไปแค่ไหน ไม่ใช่นิพพานไปแค่สะพานแล้วกลับมาเล่าเท่านั้น
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ย. 2008, 6:18 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
แล้วใครเป็นผู้เทศน์บรรยายธรรมให้แก่เทวดาที่อยู่บนสวรรค์คะ ใช่พระพุทธเจ้าหรือเปล่า


พระอภิธัมมัตถสังคหะ

๒. ดาวดึงส์
http://abhidhamonline.org/aphi/p5/012.htm

ทิศตะวันออกเฉียงเหนือมี ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งชื่อ “ปุณฑริกะ” มีต้น ปาริฉัตตก์ ที่ใหญ่โตมาก ใต้ร่มปาริฉัตตก์ มีแท่น ปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ แท่นนี้ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปเทศนาโปรดพระพุทธมารดา ก็ใช้เป็นที่ประทับแสดงพระ ธรรมเทศนา มีศาลา สุธัมมา เป็นที่ประชุมฟังธรรม มีเจดีย์แก้วมรกต ชื่อว่า พระจุฬามณี บรรจุพระเขี้ยวแก้ว (ข้างขวา) กับบรรจุพระเกศา(ที่ทรงตัดออกตอน เสด็จออกทรงผนวช) อีกส่วนหนึ่งชื่อ สวนมหาวัน มีสระชื่อ สุนันทา สวนนี้เป็นที่ ประทับสำราญพระอิริยาบถของท้าวสักกเทวราช

ที่ศาลาสุธัมมา ตามปกติมีพรหมชื่อ สนังกุมาระ เป็นผู้เสด็จลงมาแสดงธรรม แต่ในบางโอกาส ท้าวสักกเทวราช หรือเทวดาองค์อื่นที่ทรงความรู้ในธรรมดี ก็เป็น ผู้แสดง

------------------------------------------------

จากหนังสือ ซอกตู้พระไตรปิฏก (คัดลอกมาบางส่วน)

ดาวดึงส์
ในสวนบุณฑริกจะมีแท่นศิลาอันหนึ่งเป็นที่ฟังธรรมกันแล้วมีเจดีย์แก้วมรกตคือ พระจุฬามณีตั้งอยู่ที่สวนบุณฑริกนี้ ซึ่งบรรจุพระเขี้ยวข้างขาวกับพระเกศาของพระสมณโคดม พวกเหล่าเทวดาเมื่อจะนึกถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม เพราะรูปพระพุทธเจ้าไม่มี ก็จะไปไหว้พระเขี้ยวแก้วและพระเกศา พวกเทวดาที่เป็นสัมมาทิฏฐิก็จะไปไหว้กัน

ความเป็นอยู่ของเทวดาชั้นดางดึงส์ล้วนแต่เป็นผู้เสวยทิพยสมบัติตลอดเวลา เพราะเกิดด้วยกุศลกรรมอันมากในอดีตภพจะมีแต่อิฏฐารมณ์ล้วน ๆ ความงามของเทวดาจะมีความแข็งแรงกำยำล่ำสัน ไม่มีแก่ เกิดปุ๊บอายุเท่าไรก็อยู่แค่นั้น ไม่มีง่อยเปลี้ยเสียขาหรือพิการแต่อย่างไร พร้อมไปหมด ลักษณะใบหน้าและเนื้อหนังมังสากำลังสมบูรณ์ อายุของเทวดาประมาณ ๒๐-๒๖ ปี แค่นั้นที่เทียบกับมนุษย์แล้ว ไม่แก่กว่านั้น ถ้าเป็นนางฟ้าก็จะมีลักษณะวัย ๑๕ หยก ๆ ๑๖ หย่อน ๆ ทั้งนั้น
อาหารที่เทวดาชั้นนี้บริโภคเรียกว่า สุทธาโภชน์ ก็คืออาหารทิพย์อันโอชาด้วยการไม่ต้องเคี้ยว นึกปุ๊บรสนั้นจะเป็นที่ต้องใจเลย เทวดาชั้นจาตุยังต้องเคี้ยวต้องกลืน
ในชั้นดาวดึงส์นอกจากจะเป็นที่โสภาแล้ว ยังบรรจุคุณค่าของความดีทั้งปวงอันสัญลักษณ์ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ธรรมสภา พระจุฬามณี แล้วก็เป็นที่บรรจุของพระไตรปิฏกขนานแท้ดั้งเดิม และไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้วยการสังคายนาเลย พระไตรปิฏกของสวรรค์ที่นี่ ทุกอย่างสะดวกไปหมด เพียงแต่เราอยากจะรู้พระไตรปิฏกในเนื้อเรื่องนี้ไปยืนหน้าแท่นพระไตรปิฏกตั้งเจตนาว่าอยากรู้เนื้อความเรื่องนี้ พระไตรปิฏกที่เป็นใบลานตั้งอยู่สูงมาก คล้าย ๆ รัฐธรรมนูญเคยเห็นไหมเป็นพานตั้งแล้วเป็นใบลานซ้อนกัน จะหล่นออกมา ๑ ใบ ออกมาเองเลยคือหน้าที่เราต้องการ แล้วก็ปรากฏให้เราเห็นเข้าใจเลย แล้วกลับไปได้

เวลามีการประชุมที่ธรรมสภาจะมีเสียงระฆังแก้ว เทวดาองค์ไหนที่ไม่ไปฟังธรรมไม่ไปเข้าประชุมที่ธรรมสภา จะอยู่ไม่ได้จนแก้วหูแตกตกนรกไปเลย

ชั้นยามา


เทวดาชั้นยามา เป็นชั้นที่เกิดด้วยอำนาจสมาธิ คือเป็นมนุษย์ชอบสมาธิ ส่วนมากเทวดาชั้นยามาจะมาจากพวกชาวซิกข์ พวกคนที่ได้ฌานขั้นปฐมฌาน และไม่ว่าใครที่ชอบทำสมาธิอย่างเดียวโดยไม่ทำวิปัสสนาจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้นยามา
เทวดาชั้นนี้นี่พิศดารที่สุดเลย พวกชอบนั่งทรมานตัวเอง นั่งบนตะปู ปล่อยหนวดให้ยาว หรือพวกชีเปลือยทั้งหลาย บางทีฝังตัวเองในดินครึ่งตัว ใผล่แต่หน้า เขามีความอดทนมากในการปฏิบัติ พอพวกที่ตายลงไปเป็นเทวดาชั้นยามา เพราะจิตกล้าแข็งมาก ไม่รู้ทุกข์ไม่รู้สุข ไม่ยอมรับรู้อะไร ปฏิสนธิปุ๊บจิตมันสร้างรูป เรียนแล้วนะครับ จิตมันจับอารมณ์รูปแห่งการนั่งมากติดในท่านั่ง ปฏิสนธิเป็นเทวดาทันทีในท่านั่ง อยู่เป็นแสน ๆ ๆ ปีก็นั่งอยู่อย่างนั้น
บางคนชอบนอนในโลงศพ เสียงระฆังดังปุ๊บ ( ประชุมที่ธรรมสภา) มาทั้งที่ยังนอนในโลงศพ บางทีหัวทิ่มมา มาตั้งตรงเด่ ๆ ๆ ๆ หลายเด่ไม่รู้ไม่ชี้ พอไปก็ไปทั้งหีบทั้งโลง นี่เทวดาชั้นยามา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ย. 2008, 6:32 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พรหมชาลสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_name.php?name=พรหมชาลสูตร&book=9&bookZ=33

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้วเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้วผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต.

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ บรรทัดที่ ๑ - ๑๐๗๑. หน้าที่ ๑ - ๔๔.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=9&A=0&Z=1071&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=9&i=1
-----------------------------------------------------------


อ้างอิงจาก:
เมื่อก่อนเข้าใจว่าท่านดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้วคือไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่มีตัวตนอีกแล้วใช่ไหมคะ คือไม่เหลืออะไรอีกแล้ว เรียกว่าสูญไปแล้ว



พระอรหันต์ทั้งหลายเมื่อ ดับขันธ์ปรินิพพาน จุติจิตดับลง ย่อมไม่มีเหตุปัจจัย ปรุงแต่ง ปฏิสนธิจิต และ รูป นาม ในภพต่าง ๆ อีกต่อไป

ผมจำได้ว่า มีพระบาลี บทนี้ครับ ( ถ้าจำไม่ผิดนะครับ )

นิพพานัง ปรมัง สุญญัง

นิพพานัง ปรมัง สุขขัง

------------------------------------------

เพราะการเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ( ชาติปิ ทุกขา )

แต่บางทิฏฐิ ยังเห็นการเกิดด้วยอำนาจสมาธิ เป็น เทวดา เป็นพรหม เป็นสุขอยู่ จึงได้ยึดถือภาวะนั้น เป็นนิพพาน

จึงเป็นการสอนที่ตรงข้ามกับพระพุทธเจ้า

แต่ท่านก็อ้างว่า ท่านติดต่อพระพุทธเจ้าได้ แม้กระทั่ง สมเด็จองค์ปฐม คือ พระพุทธเจ้าองค์แรก
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ย. 2008, 6:43 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วิจัยเรื่อง ธรรมกาย
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17404

หลักการวิจัยจากท่านผู้ทรงพระไตรปิฏก นี้ คงใช้ได้กับ วิชามโนมยิทธิ เพราะดูแล้วมีแนวทาง การปฏิบัติที่คล้าย ๆ กัน

และอ้างว่า สามารถ ติดต่อพระพุทธเจ้าได้ ทั้งสองแนว
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ย. 2008, 7:26 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
และเหมือนเคยอ่านเจอในหนังสือว่าเทวดาก็มีการฟังธรรมด้วย แล้วใครเป็นผู้เทศน์บรรยายธรรมให้แก่เทวดาที่อยู่บนสวรรค์คะ ใช่พระพุทธเจ้าหรือเปล่า


เมื่อครั้ง พุทธกาล พระพุทธองค์เคยเสด็จไป แสดงพระอภิธรรม โปรด เทพบุตร ที่เคยเป็น พุทธมารดา

ประวัติพระอภิธรรม
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14797&start=0&postdays=0&postorder=asc&highlight=&sid=3e44281e212d5acd9043c171b5fad520

ขณะที่ทรงแสดงอยู่นั้นมีพระดำริว่า
พระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต
หลังจากแสดงยมกปาฏิหาริย์แล้ว เสด็จจำพรรษา ณ ที่ใด

ทรงทราบด้วยญาณว่า เสด็จจำพรรษา ณ สวรรรค์ชั้นดาวดึงส์
เพื่อแสดงพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดาตลอดไตรมาส
ซึ่งเป็นพุทธประเพณีของพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต

เมื่อทรงทราบเช่นนั้น จึงทรงพระดำริไปอีกว่า
พระชนนีของตถาตถนี้มีคุณูปการรักใคร่ในตถาคตมาก
ทรงตั้งความปรารถนาไว้แต่ครั้ง พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
ประมาณแสนกัปล่วงมาแล้วว่า

ขอให้ได้เป็นพระมารดาของพระตถาคต
บัดนี้ ควรที่เราตถาคตจะเสด็จไปภพดาวดึงส์
เพื่อแสดงพระอภิธรรมสนองพระคุณ
จากนั้นจึงเสด็จลงจากพุทธอาสน์

เมื่อเหล่าเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายได้ถวายอภิวาทโดยเคารพแล้ว
พระองค์ทรงยกพระบาทเบื้องขวาเหยียดเหนือยอดเขายุคันธร
และทรงยกพระบาทเบื้องซ้ายเหยียบเหนือยอดเขาสิเนรุ
ก็เสด็จถึงเทวโลกชั้นดาวดึงส์
อันเป็นที่สถิตของท้าวสักกะเทวราช
ประทับเหนือบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ภายใต้ต้นปาริฉัตร

ท้าวสักกะเทวราชและเทพบุตรเทพธิดาต่างออกจากทิพยวิมาน
ถือผอบทองเต็มไปด้วยบุพชาติของหอมอันเป็นทิพย์พันมาเฝ้าพระพุทธเจ้า
ต่างกระทำการสักการะบูชา แล้วนั่ง ณ ที่สมควร

แม้เทวดาเหล่าอื่นในหมื่นจักรวาล
ต่างก็ถือสักการะบูชามายังมงคลจักรวาลนี้
ถวายนมัสการแล้วนั่งอยู่ ณ ที่สมควร
กล่าวกันว่าเทวดาทั้งหลายต่างเนรมิตกายเท่าอณูปรมาณู
(คือ ทำกายให้เล็กที่สุดเท่าที่จะเล็กได้ เพื่อไม่ให้กินเนื้อที่)
แม้พื้นที่เท่าขนทรายจามรีก็อยู่ได้สิบองค์บ้าง ยี่สิบองค์บ้าง ถึงแสนองค์ก็มี

ครั้นทวยเทพมาประชุมพร้อมเพรียงกันแล้ว
พระพุทธองค์ทรงทอดพระเนตรเหล่าทวยเทพนั้น
เมื่อมิได้ทรงเห็นสันดุสิตเทพบุตรผู้เคยเป็นพระมารดา
มาเฝ้าในท่ามกลางเทวสมาคมนั้น
จึงตรัสถามหากับท้าวสักกะเทวราช

ท้าวสักกะเทวราชทราบโดยพลันว่า
พระพุทธองค์เสด็จมาสวรรค์ครั้งนี้
ทรงมีพุทธประสงค์จะตรัสพระธรรมเทศนาโปรดเทพบุตรพุทธมารดา
ให้บรรลุมรรคผลนิพพาน

จึงรีบเสด็จไปยังชั้นดุสิต
อันเป็นที่สถิตของสันดุสิตเทพบุตรผู้เคยเป็นพระมารดานั้น

ครั้นเสด็จถึงก็อภิวาทโดยเคารพ
แล้วตรัสบอกว่า ขณะนี้ พระพุทธองค์เสด็จมายังภพดาวดึงส์
ประทับ ณ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ภายใต้ควงไม้ปาริฉัตร
ทรงรอคอยท่าน เพื่อจะตรัสพระธรรมเทศนา
ขอเชิญท่านไปเฝ้าโดยเร็วเถิด

สันดุสิตเทพบุตรผู้เคยเป็นพระมารดาได้สดับดังนั้น
ก็มีความโสมนัส รีบลงจากชั้นดุสิตไปยังชั้นดาวดึงส์
พร้อมด้วยอัปสรผู้เป็นบริวาร
ถวายนมัสการแล้วนั่งอยู่เบื้องขวาพระพุทธองค์ พลางดำริว่า

“การที่เราได้พระโอรสผู้ประเสริฐ เห็นปานนี้
นับว่ามีบุญยิ่งนัก มิเสียทีที่เราอุ้มท้องมา”

ลำดับนั้น พระพุทธองค์มีพระทัยปรารถนา
จะสนองคุณพระมารดา จึงทรงพระดำริว่า

“พระคุณแก่มารดาที่ทำไว้แก่ตถาคตยิ่งใหญ่นัก
สุดที่จะคณานับได้ว่ากว้างหนาและลึกปานใด
ธรรมอันใดจึงจะสมควรที่จะทดแทนพระคุณได้
หมวดธรรมฝ่ายพระวินัยและพระสูตรก็ยังน้อยนัก
เห็นควรแต่พระอภิธรรมเท่านั้นที่จะพอยกขึ้นชั่งพอเท่ากันได้”

 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ย. 2008, 7:29 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
เมื่อก่อนก็เคยศึกษา วิชาธรรมกาย และ มโนมยิทธิ เพราะชอบเรื่องปาฏิหาริย์

แต่เมื่อมาพบปาฏิหาริย์ในการแสดงธรรมของหลวงพ่อเสือ ทิฏฐิจึงเปลี่ยนไปครับ


หลวงพ่อเสืออยู่วัดไหน และยังมีชีวิตอยู่ไหมครับ คุณเฉลิมศักดิ์

พลวงพ่อเสือแสดงปาฏิหารย์ยังไง แบบไหน

ถูกต้องยังไง จึงทำให้คุณเปลี่ยนทิฐิจากเดิมได้ ช่วยเล่าหน่อย

ครับ ยิ้ม
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ฌาณ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ย. 2008, 7:38 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมว่า.....ผู้ที่ถึงนิพพานแล้วจะพบพระพุทธเจ้าเองครับ
ส่วนบนสววรค์....นั้นถ้ายังไม่ถึงนิพพาน....ก็ไม่มีพระพุทธเจ้าครับ

ยิ้มเห็นฟัน
 

_________________
ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ย. 2008, 7:53 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
พลวงพ่อเสือแสดงปาฏิหารย์ยังไง แบบไหน

ถูกต้องยังไง จึงทำให้คุณเปลี่ยนทิฐิจากเดิมได้ ช่วยเล่าหน่อย

ครับ


คุณกรัชกายครับ ปาฏิหาริย์ในการแสดงธรรม (ตามที่ผมอ้างข้างบน)

ลองศึกษาดูครับ

อ้างอิงจาก:
แดนนิพพานหรือเมืองนิพพานอยู่ที่ไหน
http://larndham.net/index.php?showtopic=23173&st=128


นิพพาน แปลว่าพ้นจากเครื่องร้อยรัดพันธนาการ คือพ้นจากตัณหานั่นเอง ตัณหาคือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ทุกข์คือสิ่งที่มีจริงอยู่ทุกวัน สมุทัยคือตัณหานั่นเอง สมุทัยคือตัวที่ทำให้เกิดทุกข์ ตราบใดที่ยังมีความต้องการอยู่ ตราบนั้นชีวิตต้องเปลี่ยนไปอย่างนั้น ไปอย่างนี้ ไปอย่างโน้นตลอดเวลา นิพพานเป็นการสิ้นสุดตัณหา ความหมายของพระนิพพานมี ๕ ประการคือ

๑. เป็นพระปรมัตถ์อย่างหนึ่งที่เข้าถึงได้ทุกคน มีอยู่โดยเฉพาะ ไม่มีการเสริมแต่งได้อีกต่อไป
๒.เป็นธรรมที่ไม่ตาย คือไม่มีทั้งการเกิดและการตาย
๓.เป็นธรรมที่เที่ยงแล้ว คือพ้นจากความเป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
๔.เป็นธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัยใด ๆ ทั้งสิ้น
๕.เป็นธรรมที่ประเสริฐยิ่ง หาธรรมอื่นเสมอเหมือนไม่ได้

คุณลักษณะของพระนิพพานมี ๓ อย่าง คือ
๑.มีความสงบจากกิเลสและขันธ์ เป็นลักษณะ
๒.มีความไม่แตกดับ เป็นกิจ
๓.ไม่มีนิมิตเครื่องหมายใด ๆ ที่จะไปถึง เป็นผลปรากฏ

ผู้ที่ถึงมรรคผลนิพพานนั้นไม่มีโอกาสกลับมาเล่าอีกแล้วเพราะว่าไม่เกิด ทวารดับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่มีอีกแล้ว ฉะนั้นคนที่นั่งสมาธิไปนี้ไปแค่ไหน ไม่ใช่นิพพานไปแค่สะพานแล้วกลับมาเล่าเท่านั้น


---------------------------------------------------------

คุณกรัชกายครับ การที่ได้ฟัง พระสัทธรรม ให้คลายความเห็นผิดว่า

สมถะ- วิปัสสนา คือสิ่งเดียวกัน

นิพพาน เป็นดินแดนที่จะได้พบพระพุทธเจ้า


ฯลฯ

ผมถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่สำหรับผมแล้วครับ

หลังจากเคยไปฝึก วิชาธรรมกาย และ มโนมยิทธิ เพื่ออยากเห็นนรก สวรรค์ นิพพาน ( แต่ไม่เคยกำหนดรู้ทุกข์ ตามกิจในอริยสัจ)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กตัญญุตา
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 29 มิ.ย. 2008
ตอบ: 73

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ย. 2008, 4:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณผู้รู้ทุกท่านที่มาตอบนะคะ... สาธุ เดี๋ยวจะมาตามอ่านตอนดึก ๆค่ะ พอดีต้องออกไปข้างนอก เลยแวะมาเช็คกระทู้ก่อนว่ามีคนมาตอบหรือเปล่า...ถ้าจะเพิ่มอีกเชิญนะคะ..จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ไม่รู้ท่านอื่นๆ ด้วยคะ ขอบคุณค่ะ ยิ้ม
 

_________________
สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดจะเกิดปัญหา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ยุติธรรม
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 02 ส.ค. 2008
ตอบ: 26

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ย. 2008, 6:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต - นิพพานไม่สูญ

นิพพานไม่สูญ
พระอาจารย์มั่นยืนยันว่า นิพพานไม่ใช่สูญ
นิพฺพานํ ปรมํ สูญญํ แปลว่า นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง

เป็นแดนว่างหรือปลดจากอุปสรรคขัดขวาง หรือขัดข้องทั้งสิ้นทั้งปวง เป็น
แดนของวิสุทธิเทพ คือผู้เป็นพระอรหันต์ ที่ละลายกายทิพย์หมดสิ้นแล้ว
เหลืออยู่แต่จิตสุขใสเป็นดวงแก้วประกายพรึก

พระอรหันต์สถิตย์อยู่ในแดนพระนิพพานนั้น ถ้าท่านต้องการจะทำอะไร
อย่างไรจะให้เป็นอะไร ท่านก็สามารถนฤมิตได้สำเร็จทุกอย่างไม่มีอะไร
ขัดข้อง ปลอดจากอุปสรรคทั้งปวง ท่านสามารถแบ่งภาคได้ร้อยแปดพัน
ประการไม่จำกัดขอบเขต ไม่จำกัดกาลเวลา

คำว่า นิพฺพานํ ปรมํ สูญญํ ที่แปลกันไปว่า นิพพานเป็นแดนสูญสิ้นไม่มี
อะไรเหลือเลยนั้น พระอาจารย์มั่นบอกว่า ไม่เป็นความจริง นิพพานไม่ใช่
สูญ ปรมํ สูญญํ ที่ไปแปลกันว่าคือ สูญโญ อันหมายถึงสภาวะไม่มีอะไร
เลยอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการแปลหรือตีความที่ผิด

การแปลความแบบนี้ก็เพื่อจะยืนยันความนึกเดาเอาตามมติของตนเองว่า
นิพพานคือภาวะดับสูญอย่างเด็ดขาด ซึ่งมีค่าเท่ากับที่สัทธิศูนยวาทว่าไว้
ว่า ไม่มีอะไร ๆ ก็หายสาปสูญไปหมด เรียกไม่รู้ กู่ไม่กลับนั่นเอง

นิพพานไม่ใช่แดนสูญอย่างที่เข้าใจกันเลย

นิพพานเป็นแดนทิพย์คล้ายพรหมโลก แต่สวยงามวิจิตพิสดารยิ่งกว่า
พรหมโลก ผู้สำเร็จพระอรหันต์เข้าไปสู่แดนพระนิพพานนั้น มีร่างทิพย์
ละเอียดที่นฤมิต ไม่ใช่กายทิพย์ธรรมดาเหมือนโอปปาติกะทั้งหลาย


กายทิพย์ หรือธรรมกายของพระอรหันต์ในแดนนิพพานเป็นกายทิพย์ที่
นฤมิตขึ้นด้วยธรรม ไม่ได้เกิดขึ้นเองเป็นเองโดยธรรมชาติของโลกวิญญาณ


ร่างธรรมกายของพระอรหันต์เป็นทิพย์ละเอียดใสสะอาดใสเป็นประกาย
คล้ายแก้วประกายพรึก มีรัศมีสว่างไสวมากกว่าพระพรหมอย่างเทียบกัน
ไม่ได้เลย มีความสุขที่สุดอย่างไม่มีอะไรเปรียบ เพราะความรู้สึกอื่นไม่มี
มีแต่จิตสงเคราะห์


พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ที่เข้าสู่แดนพระนิพพานไป
นมนานกาเลแล้วนั้น ไม่ได้สูญไป

พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายยังอยู่ ทรงอยู่ในสภาพของจิต
คล้ายดาวประกายพรึก
แต่เป็นดวงจิตที่รอบรู้สัพพัญญุตญาณคือความเป็น
ผู้รู้แจ้งแทงตลอดหมดสิ้นในเรื่องของสกลจักรวาล รู้ทุกสิ่งทุกอย่างถูก
ต้องแม่นยำไม่มีผิดพลาด

โลกเราเป็นเพียงวัตถุก้อนหนึ่งล่องลอยโครจรไปในอวกาศอันกว้างใหญ่
ไฟศาลหาขอบเขตไม่ได้ เปรียบไปก็คล้ายเป็นยานวากาศลำกระจ้อยร่อยเหลือเกิน

เมื่อเปรียบเทียบกับความกว้างใหญ่ไพศาลของจักรวาล เวลานับแสนนับ
ล้านปีของโลกเราที่หมุนไป อาจจะเป็นเสี้ยววินาทีเดียวของเวลาสากลจักรวาลก็ได้

ดังนั้นเวลา 2525 ปี นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานไป
อาจจะเป็นเวลาเพียงเศษหนึ่งส่วนล้านวินาทีของเวลาในแดนพระนิพพานก็ได้

พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกยังอยู่ในแดนพระนิพพาน ไม่ได้หาย
ลับดับสูญไปไหน

ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เล่าไว้อย่างน่าสนใจว่า หลังจากที่ท่าน
บรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้วในคืนวันต่อมา พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวก
อรหันต์จำนวนมาก ได้เสด็จมาทางนิมิตสมาธิ แสดงอนุโมทนาวิมุตติกับ
ท่าน คือแสดงความยินดีที่ท่านพระอาจารย์มั่นบรรลุอรหันตผล
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ยุติธรรม
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 02 ส.ค. 2008
ตอบ: 26

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ย. 2008, 6:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

รู้จากใครก็ไม่เท่ากับรู้จากพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ ดิฉันขอนำคำสอนของ
พระอรหันต์อีกรูปมาลง

หลวงปู่ดาบส สุมโน


ฝั่งนี้ฝั่งโน้น

ฝั่งนี้ ได้แก่รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์หรือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือสิ่งทั้งหลายทั่งปวงชื่อว่า ฝั่งนี้หรือจะเรียกย่อๆว่าอารมณ์ทั้งหลายก็ใช่

ฝั่งโน้น หมายถึงอมตะนิพพาน ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ชี้ไว้ คือ ธรรมชาตินั้นสงบละเอียด ธรรมชาตินั้นประณีตยอดเยี่ยม (เอตังสันตัง เอตังปะณีตัง) ดูกรภิกษุทั้งหลายอายตนะนั้นมีอยู่ (อัตถิภิกขะเว ตะทายะตะนัง) อมตะนิพพาน หมายถึงฝั่งโน้น คือ ฝั่งพ้นทุกข์พ้นภัย อมตะ แปลว่า ไม่ตาย นิพพาน แปลว่า พ้นทุกข์หรือไม่ทุกข์ อมตะก็ดี นิพพานก็ดี มักเข้าใจผิดกันว่า เป็นสภาพเปล่าสภาพสูญ ไม่มีอะไร แต่ความจริงตรงกันข้าม คือหมายความว่ามีอยู่ และไม่เปล่าไม่สูญทั่งไม่ตาย คือ มีอยู่โดยเป็นธรรมชาติสงบละเอียด และประณีตยอดเยี่ยม และเป็นอายตนะที่เหนืออายตนะใดๆทั่งนั้น และเป็นสุขอย่างยิ่ง

ฝั่งโน้นมี และผู้ที่ไปสู่ฝั่งโน้นแล้วก็มี มีพระพุทธเจ้าทั้งสาวกสาวิกา นับจำนวนไม่ถ้วน
ปัจจุบัน ฝั่งโน้นก็ยังเป็นฝั่งโน้นอยู่เหมือนเดิม 2พันกว่าปีมาแล้วอย่างใดก็อย่างนั้น

[b]แท้จริง อมตะนิพพาน ไม่มีอดีต อนาคต ไม่มีเบื้องต้นที่ตั้งขึ้นและเบื้องปลายที่ต้องสลายเป็นกาลิโกและอนันตัง[/b] พระพุทธองค์จะพบธรรมนี้ได้ก็แสนยาก ครั้งเมื่อพบแล้วที่เรียกว่า ตรัสรู้ก็ยังท้อพระหฤทัยก็จะบอกจะสอนผู้อื่น เพราะมาทบทวนดูแล้ว เห็นว่าอมตะนิพพานนี้เป็นธรรมล้ำลึก สงบประณีตยิ่งนักยากที่สัตว์ทั้งหลายจะรู้ได้สอนไปแล้วเขาไม่รู้ ก็จะเป็นการลำบากเปล่า แต่แล้วภายหลังก็มาเห็นว่า เหมือนบัว 4 เหล่า ผู้ที่พอจะรู้ได้ก็มีอยู่จึงกลับมีพระหฤทัยน้อมไปเพื่อจะโปรดสัตว์ตามปณิธาน ที่ได้สร้างพุทธบารมีมา 4 อสงไขย กับแสนกัลป์

อมตะนิพพาน หรือฝั่งโน้นอันเป็นฝั่งมีอยู่ และก็ไม่ใช่จะอยู่ไกล ที่จะต้องไปได้ด้วยการเดินเท้าหรือด้วยยานใดๆอยู่ใกล้ที่สุด คือที่ตัวเรา หรือจิตของเรานี้เอง แต่เส้นผมบังภูเขาเราจึงมองไม่เห็นหมอกม่าน ฝ้าฟาง บังตาของเราอยู่ท่านผู้รู้บอกเราว่า ฝั่งอยู่ข้างหน้าเรานี้นี่แหละ เรามองไปข้างหน้าตามที่ท่านบอก ก็เห็นเพียงน้ำเขียวๆกับฟ้าสีครามเท่านั้นไม่เห็นฝั่ง หากลงมือทำตามที่ท่านบอกไปตามทิศทางที่ท่านชี้ ย่อมไม่ผิดหวัง แม้จะยังไม่ถึงฝั่งโน้นผลที่ได้ทันทีในขั้นแรกโดยไม่ทันรู้ตัว ก็คือความเบา ความปลอดโปรงความเป็นตัวเอง ความอิ่มเอิบ ความเยือกเย็นเบิกบาน

[/b]
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.ย. 2008, 7:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เกี่ยวกับนิพพานคุณกตัญญุตาอ่านลิงค์นี้ครับ

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17297

ศึกษาภาวะของนิพพานสั้นๆกะทัดรัด คือ

เมื่ออวิชชา ตัณหา อุปาทานดับไป นิพพานก็ปรากฏแทนที่พร้อม

กัน

จะพูดให้มั่นเข้าอีกก็ว่าการดับอวิชชา ตัณหา อุปาทานนั่นแหละ

คือนิพพาน



แต่เมื่ออธิบายเกี่ยวกับบุคคลท่านว่านิพพานมีสองอย่าง คือ ท่านผู้ดับ

กิเลสดังกล่าวได้แล้วแต่ยังมีชีวิตอยู่ อย่างหนึ่ง กับท่านที่ดับกิเลสนั้น

ได้แล้วแต่สิ้นชีวิตลงอีกอย่างหนึ่ง

พูดให้เข้าใจง่ายว่า พระอรหันต์ที่สิ้นชีวิตแล้ว

ท่านผู้เช่นนี้แหละว่ากันว่า (เถรวาท) ไม่เกิดในภพภูมิใดๆอีกแล้ว

เพราะหมดเหตุปัจจัยแล้ว เปรียบเหมือนตะเกียงที่หมดไส้และน้ำมันจึง

ดับลงจุดไม่ติดเพราะหมดเชื้อแล้ว


ประเด็นต่อมา ที่เขาเห็นเช่นนั้น จะเรียกว่า อุปาทานหมู่ก็ได้ คือ

เขาพูดชักจูงสร้างภาพเช่นนั้นขึ้นในใจไว้ก่อนแล้ว เขาจึงเห็นเช่นนั้น


ตัวอย่าง ปัจจุบันคุณกตัญญุตาอยู่เยอรมัน คุณหลับตาทำจิตนิ่งๆนึกถึง

บ้านตนเองที่เมืองไทย ซึ่งคุณก็พอรู้นึกออกว่าอะไรอยู่ตรงไหน ฯลฯ

ฝึกคิดอย่างนั้นบ่อยๆ ภาพบ้านเราจะปรากฏในใจค่อยชัดขึ้นๆ เรื่อยๆ

บริกรรมไปด้วยก็ได้ว่า คิดถึงบ้านๆ

เหมือนเขาท่อง นะมะพะทะกัน โดยตัวนะมะพะทะเองไม่ต่างจากคำ

บริกรรมอื่น ที่ต่างกันคือเจตนาของคนท่อง นะมะพะทะ ได้ตั้ง

เจตจำนงไว้ ว่าเมื่อตนบริกรรมแล้วๆเล่าๆ จะเห็น...และได้เฝ้า

พระพุทธเจ้าที่แดนนิพพาน ซึ่งก็ได้วาดภาพไว้อีก

พูดง่ายๆว่า สร้างอุปาทานภาพนั้นๆขึ้นในใจก่อน
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.ย. 2008, 6:06 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ยุติธรรม พิมพ์ว่า:
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต - นิพพานไม่สูญ

นิพพานไม่สูญ
พระอาจารย์มั่นยืนยันว่า นิพพานไม่ใช่สูญ
นิพฺพานํ ปรมํ สูญญํ แปลว่า นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง

เป็นแดนว่างหรือปลดจากอุปสรรคขัดขวาง หรือขัดข้องทั้งสิ้นทั้งปวง เป็น
แดนของวิสุทธิเทพ คือผู้เป็นพระอรหันต์ ที่ละลายกายทิพย์หมดสิ้นแล้ว
เหลืออยู่แต่จิตสุขใสเป็นดวงแก้วประกายพรึก

พระอรหันต์สถิตย์อยู่ในแดนพระนิพพานนั้น ถ้าท่านต้องการจะทำอะไร
อย่างไรจะให้เป็นอะไร ท่านก็สามารถนฤมิตได้สำเร็จทุกอย่างไม่มีอะไร
ขัดข้อง ปลอดจากอุปสรรคทั้งปวง ท่านสามารถแบ่งภาคได้ร้อยแปดพัน
ประการไม่จำกัดขอบเขต ไม่จำกัดกาลเวลา

คำว่า นิพฺพานํ ปรมํ สูญญํ ที่แปลกันไปว่า นิพพานเป็นแดนสูญสิ้นไม่มี
อะไรเหลือเลยนั้น พระอาจารย์มั่นบอกว่า ไม่เป็นความจริง นิพพานไม่ใช่
สูญ ปรมํ สูญญํ ที่ไปแปลกันว่าคือ สูญโญ อันหมายถึงสภาวะไม่มีอะไร
เลยอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการแปลหรือตีความที่ผิด
!
!

ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เล่าไว้อย่างน่าสนใจว่า หลังจากที่ท่าน
บรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้วในคืนวันต่อมา พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวก
อรหันต์จำนวนมาก ได้เสด็จมาทางนิมิตสมาธิ แสดงอนุโมทนาวิมุตติกับ
ท่าน คือแสดงความยินดีที่ท่านพระอาจารย์มั่นบรรลุอรหันตผล

---------------------------------------------------

เพิ่มเติมจาก อาจาริยวาท และ อัตตโนมติ ต่าง ๆ


พระนิพพาน จากคำครูอาจารย์
http://www.geocities.com/pranipan/

------------------------------------------------------

คุณ กตัญญุตา และ คุณ เมตตา ครับ ต้องพิจารณา อัตตโนมติ ต่าง ๆ ให้ดี บางครั้งก็มีการอ้างคำสอน ของหลวงปู่ หลวงพ่อต่าง ๆ เพื่อมาสนับสนุน เรื่อง ดินแดนพระนิพพาน

ความเห็นผิดในนิพพาน จากพระไตรปิฏก
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=9&A=826&w=ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ_๕

----------------------------------------------------


พระนิพพาน จากคำครูอาจารย์
http://www.geocities.com/pranipan/

การกล่าวอ้างแบบนี้ ควรจะนำกาลามสูตร มาพิจารณาครับ

http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=กาลามสูตร

อ้างอิงจาก:
กาลามสูตร สูตรหนึ่งในคัมภีร์ติกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสสอนชนชาวกาลามะแห่งเกสปุตตนิคมใน แคว้นโกศล ไม่ให้เชื่อถืองมงายไร้เหตุผล ตามหลัก ๑๐ ข้อ คือ
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา,
ด้วยการถือสืบๆ กันมา,
ด้วยการเล่าลือ,
ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์,
ด้วยตรรก,
ด้วยการอนุมาน,
ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล,
เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน,
เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ,
เพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา;
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.ย. 2008, 7:57 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

นิพพานในความคิดของคุณเฉลิมศักดิ์เป็นแบบไหนครับ
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 08 ก.ย. 2008, 6:23 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กรัชกาย พิมพ์ว่า:
นิพพานในความคิดของคุณเฉลิมศักดิ์เป็นแบบไหนครับ



ความหมายพระนิพพาน ในพระไตรปิฏก อรรถกถา ครับ

http://larndham.net/index.php?showtopic=24144&st=1

------------------------------------------------------------

เมื่อก่อน อ่านหนังสือของท่านพุทธทาสมาก ๆ คิดว่า การที่จิตว่าง ปฏิเสธการมีตัวตน ไม่มี ตัวกู ของกู ไม่ต้องคิดอะไรมาก นั้นก็คือ นิพพานน้อย ๆ ที่เราสัมผัสได้อยู่แล้ว

นิพพานที่นี้และเดี๋ยวนี้ โดยท่านพุทธทาส
http://www.buddhadasa.com/index_subj.html

จากนั้น ชมรมพุทธ พาไปวัดธรรมกาย และได้ศึกษา วิชามโนมยิทธิ ( ตามที่คุณกตัญญุตา เจ้าของกระทู้อ้างถึง) ก็เชื่อว่า นิพพานเป็นดินแดนที่จะได้พบพระพุทธเจ้า

จนภายหลังได้มาพบท่านผู้ทรงพระไตรปิฏก จึงได้ทราบความหมายตามนัยปริยัติ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา

ต้องการนิพพานต้องรู้ถูก
http://www.abhidhamonline.org/Ajan/SW/ni.doc

อ้างอิงจาก:
สีเล ปติฐาย นโร สปญฺโญ
จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ
อาตาปี นิปโก ภิกฺขุ
โส อิมํ วิชฏเยชฏํ

ความว่า นรชาติชายหญิง ผู้มีปัญญาแต่กำเนิด
มีความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลสมีปัญญาบริหารจิต
เห็นภัยในการเวียนว่ายตายเกิด ตั้งมั่นในศีล
อบรมสมาธิและวิปัสสนาปัญญาเท่านั้น นรชนชาติชายหญิงนี้เท่านั้น
จึงจะสามารถสางรกชัฏที่เป็นเสมือนข่ายคือ ตัณหาออกได้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง