ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
28 ส.ค. 2008, 9:40 pm |
  |
บทสัมภาษณ์ ดร.อาจองฯ เมื่อ 16 ตุลาคม 2548 เกี่ยวกับอนาคตของเมืองไทย
และโลกในอีก 12 ปีข้างหน้า จะพบกับเหตุการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่ มีการสูญเสีย
ไปบ้างพอสมควร แต่ก็ได้ความสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองในทางธรรมกลับคืนมา
ดังนี้.-
เมื่อประมาณ 15 ปีก่อนหน้ามนุษย์เริ่มวางแผนที่จะไปสำรวจดาวอังคาร แล้วก็เริ่มส่ง
ยานอวกาศ ออกไปสำรวจจนได้ข้อมูลเพียงพอ เพราะที่นั่น มันมีบรรยากาศใกล้เคียงกัน
กับโลก คือ มีอากาศเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ และคาร์บอนไดออกไซด์ ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยา
ในทางร้ายกับร่างกายของมนุษย์ แล้วถ้ามีคาร์บอนไดออกไซด์ มีน้ำ มีแสงแดด ต้นไม้ก็จะโต
เพราะต้นไม้จะเป็นตัวดูดเอาคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป เพื่อคายออกซิเจนออกมา
ทำให้มีบรรยากาศใกล้เคียงกับโลก
ดูจากหลักฐานที่เราได้มา จากก้อนหิน หรือจากการสำรวจ ทำให้เราพบว่า ครั้งหนึ่งในอดีต
ดาวอังคารเคยถูกน้ำท่วม ถูกน้ำซัดผ่านบริเวณผิวขอบของดาว ก็แสดงว่า ที่นั่นต้องมีน้ำเยอะ
แม้ว่าแสงแดดจะน้อยกว่าโลก จนทำให้อุณหภูมิลดลงถึง -35 องศาเซลเซียส แต่ก็ถือว่า
มันมีบรรยากาศใกล้เคียงกับโลกมากที่สุด.......แต่การที่มนุษย์ จะขึ้นไปอยู่บนดาวอังคาร
ได้จริงๆ ก่อนอื่น คือ เราจะต้องสร้างเรือนกระจกครอบขึ้นมา เพื่อเข้าไปอยู่ในนั้น
แล้วก็ต้องปลูกต้นไม้ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้เกิดออกซิเจนหนาแน่นขึ้น มนุษย์ถึงจะอยู่ได้
เดินไปเดินมาได้ โดยไม่ต้องแบกถังออกซิเจน หรือสวมชุดมนุษย์อวกาศ ซึ่งต่างจากดาวดวงอื่น
อย่างดวงจันทร์ ดาวเสาร์ หรือดาวพฤหัส เพราะบนนั้น ถึงจะมีน้ำอยู่บ้าง แต่ก็มีอุณหภูมิต่ำ
จนอากาศหนาวมาก จนกลายเป็นเรื่องยากที่มนุษย์จะอพยพไปอยู่บนนั้นได้......
.....แล้วความจริง แผนการสำรวจดาวอังคารของนาซาก็เริ่มต้นโครงการนี้มาเป็น 10 ปีแล้ว
เพราะเขาคิดว่า ต่อไปประชากรบนโลกเราก็คงเพิ่มขึ้น ซึ่งก็น่าจะเป็นการสร้างปัญหาให้กับโลก
ของเรา เพราะเมื่อจำนวนมนุษย์มากเกินไป อาหารการกินก็อาจจะไม่พอ น้ำก็ไม่พอ พลังงาน
ก็ไม่พอ อะไรต่ออะไรอีกหลายอย่าง ก็จะไม่พอต่อความต้องการของมนุษย์ เพราะฉะนั้น
การอพยพเอาพลเมืองโลกออกไปบ้าง มันก็น่าจะเป็นเรื่องที่ควรทำ และสามารถทำได้
ซึ่งการอพยพออกไปในครั้งนี้ เขาก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร ? หรือคนกลุ่มไหนโดยเฉพาะ ?
.....แต่แน่นอนว่า นอกจากการแสดงตัวในฐานะที่เป็นผู้นำแล้ว การขึ้นไปบน
ดาวอังคาร ยังหมายถึง การขยับขยายในเรื่องอุตสาหกรรมบนดาวอังคาร ซึ่งในหลายประเทศ
ต่างก็มีความคิดวางแผนเกี่ยวกับตรงนี้เอาไว้แล้ว และก็อาจจะมีการตกลงแบ่งอาณาเขตกัน
เอาไว้ สำหรับประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้า และมีศักยภาพเพียงพอ อย่าง อเมริกา
หรือญี่ปุ่น เพราะว่าต่างฝ่ายก็คิดกันไว้ว่า ถ้าตัวเองไปถึงตรงนั้นได้ก่อน ก็จะมีสิทธิในการครอบครอง
ได้ก่อน.......
....แต่การที่เขาไปสำรวจดาวอังคาร หรือการที่เตรียมจะอพยพคนออกไปจากโลก-
นั่นก็ไม่ใช่หมายความว่า โลกกำลังจะแตกจริงอย่างที่เขาทำนายกัน เพียงแต่ว่า
ขณะนี้โลกของเรา อาจกำลังจะมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่
ก็เป็นผลมาจากมนุษย์ด้วยกัน เพราะว่าเราทำลายป่าไม้ เผาผลาญพลังงานมากเกินไป
มันทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เยอะ แล้วก็เกิดภาวะเรือนกระจก ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น จนน้ำแข็งขั้วโลกเริ่มละลาย ทำให้เกิดพายุใต้ฝุ่น พายุเฮอริเคน
ซึ่งเกิดจากการทำลายสิ่งแวดล้อม.....
.....ผมดูจากสถานการณ์ จากเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้น จากภาวะเรือนกระจก ทำให้ระดับ
น้ำทะเลสูงขึ้น วิกฤตอันนี้ มันเกิดจากภาวะความเปลี่ยนแปลงของโลก เพราะเ
ปลือกโลกมันลอยอยู่กับของเหลวข้างใน ซึ่งของเหลวข้างใน มันมีความร้อนสูง เปลือกของโลก
มันก็เริ่มเคลื่อนไหวเพราะขาดสมดุล แล้วตัวน้ำทะเลที่มันสูงขึ้น ก็จะทำให้โลกข้าง
ที่อยู่ทางมหาสมุทรแปซิฟิกมีน้ำหนักมากขึ้น จนโลกเริ่มจะแกว่ง....
.......และแน่นอนว่า ถ้าระดับน้ำทะเลมันสูงขึ้น มันก็จะเกิดน้ำท่วมในหลายๆจุด แล้วถ้าลองคิดว่า
น้ำทะเลมันขึ้นแค่ 2 เมตร กรุงเทพฯของเราก็คงไม่มีแล้ว เพราะกรุงเทพฯเราอยู่เหนือ
น้ำทะเลไม่ถึง 1 เมตร แล้วถ้าน้ำมันสูงระดับนั้นจริงๆ มันต้องท่วมเข้ามาในภาคกลาง
ของประเทศไทย และบางประเทศ ก็อาจต้องสูญหายไป อย่างน้อยก็ประมาณเศษหนึ่งส่วนสาม
ของหมู่เกาะแถบอันดามัน ก็อาจจะหายไปเลย......
.......ผมคาดว่า อีก 12 ปี โลกของเราจะเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความสงบสุข
ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่มีการทำสงครามกัน เพราะส่วนหนึ่ง คือ ธรรมชาติ
เริ่มรู้ในความไม่รู้จักพอของมนุษย์.....ซึ่งแต่ละศาสนา ก็เคยมีการทำนายเอาไว้แล้วว่า
โลกของเรา จะต้องเกิดวิกฤต แต่การที่จะไปถึงจุดนั้นได้ มนุษย์เรา
คงต้องโดนกระตุ้นจากธรรมชาติเสียก่อน อย่างกรณีของการเกิดคลื่นสึนามิขึ้น
คนทั่วโลก็เริ่มที่จะเข้าใจกัน ช่วยเหลือกัน เหมือนเป็นการอาศัยวิกฤต เพื่อเปลี่ยนแปลง
แต่ผมคิดว่า มันก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่มนุษย์ จะต้องขอให้เกิดวิกฤตเสียก่อน
ถึงจะเลิกทะเลาะกัน เลิกทำสงครามกัน.....เพราะตอนนี้ ผมคิดว่า เรามีเวลาอยู่บน
โลกแค่เพียง 12 ปีเท่านั้น ก่อนที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลง.......
.....สัมภาษณ์เมื่อ 16 ตุลาคม 2548 จากวันโลกแตก วินาศภัยที่หลบไม่ได้ หนีไม่พ้น........
http://postjung.com/hottopic/data/2/2777.php |
|
|
|
   |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
29 ส.ค. 2008, 12:50 am |
  |
12 ปีดูน้อยจังเลยนะคับ
แต่พอเจริญมรณะสติแล้วยังอุ่นใจว่า 12 ปีนี้นานพอสมควร
 |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
29 ส.ค. 2008, 9:45 am |
  |
 |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
29 ส.ค. 2008, 8:23 pm |
  |
อ้างอิงจาก: |
12 ปีดูน้อยจังเลยนะคับ
แต่พอเจริญมรณะสติแล้วยังอุ่นใจว่า 12 ปีนี้นานพอสมควร
|
คุณคามินธรรมมีวิธีซ้อมตายอย่างไรบ้าง
มาเล่าสู่กันฟังบ้าง |
|
|
|
   |
 |
JARUWAN_G
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 15 ส.ค. 2008
ตอบ: 72
ที่อยู่ (จังหวัด): นนทบุรี
|
ตอบเมื่อ:
29 ส.ค. 2008, 9:09 pm |
  |
อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิดค่ะ
ดร.ยังบอกอีกว่า เมื่อน้ำทะเลมากขึ้น ๆๆๆเวลานั้นแกนโลกจะสั่น
หนทางที่จะหนีจากมหันตภัยร้ายนั้น มีอยู่ หนทางเดียวก็คือ
ทุกคนต้องเป็นคนดี ต้องทำความดี ให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้
เพื่อต่อสู้กับคนเลว กับความชั่ว แล้วสิ่งร้าย ๆ ต่าง ๆ อาจจะไม่เกิดขึ้น
หรือเกิดขึ้นน้อยที่สุด หรือเลื่อนระยะเวลาที่จะเกิดออกไปอีก เท่าที่จะ
ทำได้ ที่สำคัญ ต้องทำความดีเท่านั้น จึงจะผ่านไปได้ |
|
_________________ ทุกอย่างแก้ไขได้ วันนี้ต้องทำให้ดีกว่าเมื่อวาน |
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
29 ส.ค. 2008, 11:32 pm |
  |
mes พิมพ์ว่า: |
อ้างอิงจาก: |
12 ปีดูน้อยจังเลยนะคับ
แต่พอเจริญมรณะสติแล้วยังอุ่นใจว่า 12 ปีนี้นานพอสมควร
|
คุณคามินธรรมมีวิธีซ้อมตายอย่างไรบ้าง
มาเล่าสู่กันฟังบ้าง |
555
ซ้อมหยุดหายใจนี่มันทำให้ตายจริงเลยนะคับ
การซ้อมตายของผมก้มี 2 ระดับ
1. ซ้อมตายระดับความคิด
หมายถึงการใช้ความคิด ทำความรู้จักกับอนิจจังของความตาย
เป็นการทำสมถะ เช่นบทกลอนที่ว่า
“เห็นกันอยู่เมื่อเช้า ........สายตาย
สายยังอยู่สุขสบาย....... บ่ายม้วย
บ่ายยังรื่นเริงกาย..... เย็นดับ ชีพนา
เย็นอยู่หยอกลูกน้อย ....ค่ำคล้อยดับสูญ”
ความตายนั้น บังคับไม่ได้
รู้ล่วงหน้าไม่ได้
ต่อรองยืดเวลาก้ไม่ได้
ยื่นตีความซื้อเวลาก็ไม่ได้
ฉะนั้นเราต้องพร้อมเสมอ ที่จะรับมือกับความตาย
ด้วยการดำรงตนด้วยความไม่ประมาท
2. ซ้อมตายระดับจิตภาวนา
เมื่อเราเจริญจิตภาวนา ไม่ว่าจะด้วยจริตแบบใดก้ตาม
เราย่อมพบกับความตายอยู่เสมอ เป็นล้านๆครั้ง
ความตาย ประเภทนี้เกิดขึ้นเร็วมากๆ เยอะมากๆ ในแต่ะวัน
เช่นการดูข่าวในหนึ่งชั่วโมงนี่ โอ มาย ก๊อด
ความตาย ความมรณะ เยอะมาก
ความตายที่ว่านี้ มรณะสติที่ว่านี้
ไม่ได้หมายถึงชีวิตเราที่ตาย หรือชีวิตใครตายในข่าว
แต่หมายถึงในจิตใจเรานี่แหละ
ในหนึ่งชั่วโมงที่ดุข่าว... มันมีอะไรตายอยู่มากมายในใจเรา
ความตาย ความมรณะ แท้จริง...
หมายถึงจิตชั่วขณะๆ ที่ดับลง
หมายถึงทุกสิ่งๆ ที่ล้วนแล้วแต่มีความดับเป็นสมบัติ
็คือคำว่า .."ดับไป" ที่อยู่ในไตรลักษณ์นั่นเอง
คือคำว่า .."มรณะ" ที่อยู่ในปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง
วิธีซ้อมตายของผมเป้นอย่างนี้คับ
 |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
อิทธิกร
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 28 ส.ค. 2008
ตอบ: 137
ที่อยู่ (จังหวัด): ชลบุรี
|
ตอบเมื่อ:
01 ก.ย. 2008, 3:28 pm |
  |
ไม่มีความคิดเห็น |
|
_________________ ชีวิตที่รู้ |
|
  |
 |
บัวหิมะ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273
|
ตอบเมื่อ:
03 ก.ย. 2008, 1:03 am |
  |
ไม่ควรประมาทกับชีวิต  |
|
_________________ ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ |
|
  |
 |
|