Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
วิปัสสนากรรมฐาน (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 01 ก.ย. 2008, 6:12 pm
วิปัสสนากรรมฐาน มิใช่เป็นเรื่องของการนั่งหลับตา
เพื่อให้เห็นภาพวิจิตรพิสดาร หรือเพื่ออิทธิฤทธิ์ใดๆ
วิปัสสนากรรมฐานเป็นเรื่องของการศึกษาชีวิต
เพื่อที่จะปลดเปลื้องความทุกข์นานาประการออกเสียจากชีวิต
หรือปลดเปลื้องชีวิตออกเสียจากความทุกข์
เป็นเรื่องของการค้นหาความจริงว่า ชีวิตนี้มันคืออะไรแน่
เหตุไฉนคนเราจึงควบชีวิตตะบึงไปบนถนนแห่งความชรา
พยาธิ และมรณะ อย่างไม่ละลด
เหตุไฉนคนเราจึงไม่รู้สึกเบื่อหน่ายในชีวิตที่ผ่านมา
ในความเหี่ยวแห้งใจ และคับแค้นใจผ่านมา
ในความสมหวังแล้วก็ผิดหวัง
หัวเราะแล้วก็ร้องไห้ ด้วยหน้าตาชื่นแล้วก็กลับบูดบึ้ง
เหตุไฉนจึงไปลุ่มหลงกับการกระโจนขึ้นกระโจนลงของชีวิตที่ได้ผ่านมา
ในวิถีอันยืดยาว โดยไม่เคยสำนึกว่า มันมีอาการประดุจคนบ้า
เหตุไฉนตัวเราจึงได้พลอยเห็นดิบเห็นดีไปกับเขาด้วย
อะไรเล่าที่ผลักดันให้ชีวิตโลดแล่นไปอย่างน่าสมเพศเช่นนั้น
แล้วก็ยังทำให้เจ้าของชีวิตชื่นชม
ไปด้วยอาการที่คล้ายกับคนบ้าเช่นนั้น
อะไรเล่าที่ทำให้ดวงหน้าที่หัวเราะร่าเริงอยู่เมื่อวานนี้
กลับนองน้ำตาไปในวันนี้
อะไรเล่าที่มาทำให้ลิ้นที่กล่าววาจาอ่อนหวานอยู่เมื่อชั่วโมงก่อน
กลับมากล่าววาจาหยาบคายในชั่วโมงนี้
อะไรเล่าที่มาคอยแต่งความคิดของเราให้แปรเปลี่ยนไปมา
ในระหว่างบาป บุญ คุณโทษ ไม่มียุติลงได้
อะไรเล่าคือตัวการที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
ตามปกติ เราอาจไม่เคยตั้งปัญหาเหล่านี้ขึ้นถามตนเองเลย
ตามปกติเราปล่อยให้ชีวิตดำเนิน
ไปตามที่มันเคยดำเนินไปมาอย่างไรก็อย่างนั้น
เราปล่อยให้ความเคยชินนำชีวิตของเรา
ไปตามที่มันได้นำมาปีแล้วปีเล่า
จากวัยเด็กไปจนสู่วัยชรา
และเราก็เต็มใจที่จะปล่อยให้มันนำไปจนกระทั่งถึงเชิงตะกอน
ก็เป็นการเคราะห์ร้ายอยู่ที่เจ้าความเคยชิน
อันความมอบหมายให้เป็นผู้นำชีวิตของเรานั้น
โดยทั่วไปแล้วมันมิได้ทำหน้าที่เป็นดวงประทีปให้เลย
มันเป็นแต่ความมืดบอดและดังนั้น
ก็ไม่เป็นที่น่าประหลาดใจที่มันได้นำชีวิตของเราเปะปะกระหืดกระหอบ
ไปตามเรื่องของมัน เราได้ปล่อยให้มันนำไป
โดยที่เราไม่เคยสำนึกตัวว่า
เราได้ตกเป็นทาสของมันอย่างโงหัวไม่ขึ้น
และอย่างน่าสมเพศเหลือเกิน
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
เป็นเรื่องของการตีปัญหาซับซ้อนของชีวิตให้แตกกระจายออกไป
จนมองเห็นความจริงในสิ่งต่างๆ ที่แตกกระจายออกไปนั้น
เป็นเรื่องของการค้นหาความจริงของชีวิต
ตามวิธีการที่พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำมา
คือ เพ่งมองเข้าไปในชีวิตของตนเอง
เฝ้าดูการเคลื่อนไหวทั้งมวลภายในตัวของเราเอง
เฝ้าสังเกตวิจารณ์แต่กุศลและอกุศลธรรม
ที่ดำเนินไปในตัวของเราเอง
ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
โดยใช้เวลาของการปฏิบัติทั้งหมด
เพ่งมองเข้าไปแต่ในชีวิตของตนเองดังนี้
ปัญหาต่างๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้น
จะผุดขึ้นมาในความนึกคิดของเรา
และเราก็จะพบคำตอบปัญหาเหล่านั้นอย่างครบถ้วนและแจ่มแจ้ง
เราจะพบชีวิตที่ปล่อยให้ความเคยชิน
หรือใจที่ปราศจากสติที่นำไปนั้น
ช่างแตกต่างกันอย่างลิบลับกับชีวิตที่ผูกไว้กับสติ
และปล่อยให้สติเป็นผู้นำวิปัสสนากรรมฐาน
เริ่มต้นด้วยการปลดแอกตัวเรา
เริ่มต้นด้วยการปลดปล่อยตัวเราจากความเป็นทาสของความเคยชิน
หรือใจที่ไม่อยู่ในความควบคุมของสติ
นับตั้งแต่เริ่มการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
ชีวิตของเราจักได้รับความเป็นไทย
และเราจักทราบได้เองว่า
ตั้งแต่ชีวิตมาเราไม่เคยได้รับความเป็นไทยเช่นนี้มาก่อนเลย
นับตั้งแต่เวลานั้นแทนความมืดบอด
เราก็ได้จุดดวงประทีปให้แก่ชีวิตของเรา
ดวงประทีปนั้นแท้จริงก็มีประจำอยู่กับชีวิตของเรานั่นเอง
แต่เราไม่ได้จุดมันขึ้น
บางทีก็อาจเป็นด้วยเราไม่ทราบว่า เรามีดวงประทีปติดอยู่กับเรา
เราพูดกันอยู่เสมอถึงคำว่า สติปัญญา
เราใช้สติปัญญาอยู่เสมอก็จริง แต่สตินั้นแท้จริงแล้ว
เรานำออกใช้น้อยนัก ทั้งที่สตินั้นมีคุณค่าแก่ชีวิต
และจำเป็นแก่ชีวิตที่มีคุณค่าอย่างเหลือที่จะประมาณได้
ประทีปดวงนั้นคือ สติ นับแต่เริ่มปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
เราก็ได้จุดประทีปดวงนั้นขึ้น แสงสว่างจะค่อยกล้าขึ้น
และโพลงขึ้นเป็นลำดับ
จนถึงขั้นที่เราสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ
ที่แฝงอยู่ในความมืดและที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
ตามปกติเราไม่ทราบดอกว่า
ความทุกข์ความเดือดเนื้อร้อนใจนานาประการ
ที่เกิดขึ้นแก่ชีวิตของเรานั้น มันมีต้นเหตุมาจากอะไร
และมันผ่านเข้ามาสู่ชีวิตโดยทางไหน
โดยทั่วไปเรามิได้เคยสนใจค้นคว้าหาเหตุผลในเรื่องนี้
และเราก็มักจะต้อนรับมัน โดยถือว่า
เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตอันคนเราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้
แต่เมื่อเราเอาใจผูกไว้กับสติ
โดยไม่ปล่อยให้ใจท่องเที่ยวไปไหนต่อไหนตามความเคยชินของมัน
แล้วความจริงบางอย่างก็จะปรากฏแจ่มแจ้งขึ้นมาในใจของเรา
และก็จะตระหนักว่า ความทุกข์ร้อนใจต่างๆ นานานั้น
มันมีต้นเหตุมาจากอะไร
และมันผ่านเข้ามาสู่ชีวิตของเราโดยทางไหน
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
คือ การระดมเอาสติทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวเรา
ออกมาใช้ประโยชน์ในการดับทุกข์
ให้ได้ผลที่ดีที่สุดที่จะทำได้
และการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
เราจะตระหนักในคุณค่าอันอัศจรรย์ของสติ
ที่เราไม่เคยคิดเห็นเช่นนั้นมาก่อน
ใจที่ลำพองมีพยศและมีความตะกละตะกลาม
เหมือนกับไฟอันไม่รู้จักอิ่มด้วยเชื้อจะเชื่องลง
และรู้จักจำกัดความต้องการของมัน
เมื่อถูกสติเข้าถือบังเหียนไว้
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน คือ
การอัญเชิญสติที่ถูกทอดทิ้งไว้ในความต่ำต้อย
ขึ้นมานั่งบนบัลลังก์ของชีวิต และเมื่อสติขึ้นสู่บัลลังก์แล้ว
ใจก็จะคลานเข้ามาหมอบถวายบังคมอยู่เบื้องหน้าสติ
สติจะบังคับมิให้ใจแส่ออกไปคบหากับอารมณ์ต่างๆ ภายนอก
และใจก็จะค่อยคุ้นกับการสงบอยู่กับอารมณ์อันเดียว
ที่สติคอยบังคับให้สงบอยู่
เมื่อใจตั้งมั่นดีแล้ว การรู้ตามความเป็นจริงก็จะเป็นผลติดตามมา
และเมื่อนั้นแหละเราก็จะทราบได้ว่าความทุกข์มันมาจากไหน
และจะสะกัดกั้นมันได้อย่างไร
นั่นแหละคือผลงานของสติ
นั่นแหละคืออานิสงส์ของวิปัสสนากรรมฐาน
ภายหลังที่ได้ทุ่มเทกำลังลงไปอย่างเต็มที่
จิตใจของผู้ปฏิบัติก็จะได้สัมผัสกับสัจจะแห่งสภาวะธรรมต่างๆ
อันผู้ปฏิบัติไม่เคยเห็นอย่างซึ้งใจมาก่อน
ผลงานอันมีค่าล้ำเลิศของสติบวกกับกำลังของสมาธิจิต
จะทำให้เราเห็นอย่างแจ้งชัดว่า
ความทุกข์ร้อนนานาประการนั้น
มันไหลเข้ามาสู่ชีวิตของเรา ทางช่องทางทั้งหก
คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้
ความทุกข์สารพัดชนิดรวมทั้งกุศลและอกุศลธรรมสารพัดชนิด
ตลอดจนการกระทำบ้าบอคอแตกทุกชนิด
ตัณหาทั้ง ๓ รูปและอกุศลมูลทั้ง ๓ ประการ
คือ โลภะ โทสะ โมหะ ก็มาจากช่องทางทั้ง ๖ นี้เท่านั้น
และมิได้มาจาทางอื่นอีกเลย
การสะกัดกั้นความทุกข์และบาปอกุศลทั้งปวง
จึงจะต้องทำกันที่ช่องทางทั้งหมดนี้
จะต้องสร้างทำนบขึ้น ณ ที่แห่งนี้
และตัวทำนบนั้น ก็คือ สติอีกนั่นแหละ
คัดลอกจาก...
http://jarun.org
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th